คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 :: Punisher
Chapter 8
Punisher
“โอ๊ย!!” ผมถูกเหวี่ยงจนล้มลงไปกองอยู่ข้าง ๆ ซองมินที่นอนหอบหายใจรวยริน ผมหันไปมองเพื่อนสนิทแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก ผมไม่กล้าแตะต้องตัวซองมินเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บ
“ซองมิน ทำใจดี ๆ ไว้นะ...” ผมพูดเบา ๆ ขณะมองสภาพอีกคนแล้วก็อยากตบหน้าตัวเองสักร้อยครั้ง ทำไมคนที่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ถึงไม่ใช่ผม ทำไมต้องเป็นคนที่ผมรักด้วย?!
“ทำใจไปก็เท่านั้น เดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว” อีทงเฮพูดอย่างไม่ยี่หระ เขาเดินมานั่งยอง ๆ ลงข้างผมแล้วมองซองมินด้วยแววตาเวทนา
“แกมันเลว” ผมหันไปมองเขา แต่อีทงเฮกลับเลิกคิ้วมองทำไม่รู้เรื่อง
“ก็ผมถามดี ๆ แต่เพื่อนคุณไม่ตอบเองนี่”
“ก็เพราะซองมินเป็นคนดีเกินกว่าที่จะขายฉันให้แกไง ไอ้ระยำ”
“คำก็เลว สองคำก็ระยำ แต่คนดี ๆ เขาต้องหลบอยู่ข้างหลังแล้วปล่อยให้เพื่อนตายต่อหน้าต่อตาสินะ~” อีทงเฮพูดลอย ๆ แล้วหัวเราะ
“...”
“คิดดูดี ๆ สิครับที่รัก...ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่มันเพราะใคร?” อีทงเฮเชยคางผมขึ้นมา ผมสะบัดหน้าออกแล้วเม้มปากแน่น ทำไมผมถึงต้องเจ็บปวดกับประโยคก่อนหน้านี้?
ก็เพราะว่ามันจริงอย่างที่อีทงเฮพูดไงล่ะ...
ผมปล่อยให้ซองมินโดนทำร้ายต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย...
ผมมันเลวจริง ๆ ...
“จะเข้ามากอดเพราะความคิดถึงก็ไม่มี”
“ไม่เจอกันแค่วันสองวันแกก็ยังเพ้อเจ้ออยู่เหมือนเดิมนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ก็เหมือนเดิม อีทงเฮไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ช่วยไม่ได้ พอนึกถึงคุณทีไรผมก็เพ้อไปจนเสร็จทุกทีเลย” ประโยคสุดท้ายเขาจงใจเข้ามากระซิบข้างหูผม อีทงเฮหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกระชากผมออกมาจากซองมิน พอเห็นอย่างนั้นผมเลยตบหน้าเขาซะเต็มแรงเพราะความโมโห
เพี๊ยะ!!!
อีทงเฮหน้าหันไปอีกทาง เขาแค่นยิ้มแล้วหันกลับมามองผมด้วยแววตาพิศวาส...ใช่...ผมไม่ได้คิดไปเองหรอก จะมีคนประเภทไหนอีกที่ถูกตบแล้วยังยิ้มได้แบบนี้นอกจากพวกโรคจิต!
“ที่รักกำลังทำผมมีอารมณ์นะ”
“เชิญไปมีอารมณ์ในนรกเถอะ ไอ้สารเลว”
“ถึงกับอะดรีนาลีนแล่นพุ่งพล่าน...” เขาหัวเราะ
“แกจะทำบ้าอะไรอีก!” ผมปัดมือหนาออกเมื่อจู่ ๆ เขาเข้ามาคร่อมตัวผม
“ผมบอกแล้วไงครับว่าถ้าเจอกันอีกเมื่อไหร่...ผมจะทำให้ที่รักลุกไม่ขึ้นเลย”
“อ...อย่า...” ซองมินตะเกียกตะกายมากระตุกขากางเกงอีกคนด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี อีทงเฮใช้มือข้างหนึ่งบีบคอผมเอาไว้เพื่อไม่ให้ผมหนีไปไหนได้ก่อนจะหันกลับไปมองซองมิน
“อะไรครับ อย่างมีส่วนร่วมด้วยเหรอ? ผมไม่ค่อยถนัดสามพีซะด้วยสิ”
“ป...ปล่อย...ฮยอกแจ...”
“เฮ้อ ผมจะหมดอารมณ์ก็เพราะแบบนี้แหละ” อีทงเฮถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับบีบคอผมให้ลุกขึ้นตามด้วย ผมจับข้อมือเขาเอาไว้พยายามจะแกะออกเพราะเริ่มหายใจติดขัด
“ซ...ซองมิน...”
“รักกันดีจริง ๆ นะ~ มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าคุณทั้งสองคนนี่แอบกุ๊กกิ๊กกันมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า...” อีทงเฮหันมามองผมใกล้ ๆ พร้อมกับยิ้มทะเล้น
“...” ผมไม่ตอบอะไรออกไปเพราะแค่หายใจยังลำบาก ผมปรายตามองซองมินที่หน้าซีดเผือดเพราะเสียเลือดมากเกินไป
อีทงเฮนั่งลงกับขอบเตียงพร้อมกับกระชากผมให้นั่งคุกเข่าลงบนพื้น มือหนาข้างที่ว่างอยู่เอื้อมไปทางด้านหลังก่อนจะหยิบปืนกระบอกสีดำออกมา ผมเบิกตากว้างเมื่อเขาเอาปืนมาจ่อกลางขมับผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
“ปัง ปัง”
เขาออกเสียงด้วยปากแล้วหัวเราะพอใจ ทุกอย่างที่เขาเป็นมันทำให้ผมหมดความอดทน ผมถุยน้ำลายใส่หน้าเขาเป็นครั้งที่สองในชีวิตโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะยิง ก็ยิงผมให้ตายตรงนี้เถอะ ผมไม่ไหวแล้ว
“...” รอยยิ้มบนใบหน้าคมจางหายไป เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนปืนไปที่ซองมินทั้งที่ยังจ้องหน้าผมอยู่
“แกจะทำอะไร...?” ผมเบิกตากว้างพลางมองหน้าอีทงเฮสลับกับปืนนั่น เขายิ้มพอใจกับสีหน้าของผมก่อนจะปลดเซฟตี้
“อีทงเฮ! อย่านะ!” ผมพยายามแกะมือเขาที่คอผมออก แต่เขากลับเอาแต่หัวเราะ “ซองมิน!” ผมหันไปมองเพื่อนที่ยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น
“ดูท่าที่รักจะชอบการเล่นน้ำลายเอามาก ๆ ...”
“...!!”
“มันเลอะหน้าผมนะครับ เช็ดออกให้หน่อยสิ” เขาเอียงแก้มมาเพื่อให้ผมเช็ดคราบน้ำลายที่เพิ่งถุยไปเมื่อกี้ออกให้ ตาผมสั่นพร้อมกับน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาอาบแก้ม ผมปล่อยมือออกจากข้อมือของเขาแล้วเอื้อมไปเช็ดให้ทั้งที่ไม่ได้อยากทำอย่างนั้น
“แค่มือมันจะเช็ดออกเหรอครับคนดี”
“...” เขาหันมายิ้มแล้วใช้ปืนเกี่ยวคอเสื้อผมออก
“ถอดเสื้อออกมาเช็ดให้ผมสิครับ”
“อย่า...นะ...”
“...” ผมได้ยินเสียงซองมินที่กำลังพยายามห้ามไม่ให้ผมทำอย่างนั้น ผมกับอีทงเฮสบตากันแค่ครู่เดียวผมก็ลุกขึ้นยืนพอเห็นอย่างนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากคอผมแล้วนั่งเท้ามือลงบนเตียงเพื่อรอดูผมถอดเสื้อ
“ขาวจัง”
“...”
“ฮ...ฮยอกแจ...” ซองมินกำหมัดแน่น เขากำลังร้องไห้อย่างหนักเพียงแค่เห็นผมยืนทำเรื่องน่าอายแบบนั้น
“คุณน่ะเงียบได้แล้วนะครับ คนเขาจะพลอดรักกัน” อีทงเฮหันไปพูดกับซองมินด้วยโทนเสียงสุภาพก่อนจะหันมาเงยหน้ามองผม
“ถ้าฉันทำแบบนั้น แกจะไม่ยิงซองมินใช่ไหม?”
“ที่รักเชื่อใจผมมากแค่ไหนล่ะครับ?” เขายิ้มพลางรั้งเอวผมให้ขยับเข้าไปใกล้เขามากยิ่งขึ้น ริมฝีปากหยักกดจูบลงบนสะดือจนผมต้องหดท้องลง ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอและเสียงสะอื้นของซองมินที่ดังอยู่ใกล้ ๆ หู
“ฉันจะเช็ดให้...” ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติแม้ว่าน้ำตาของผมจะยังไหลลงมาไม่หยุด ผมไม่อยากให้อีทงเฮรู้ว่าผมอ่อนแอแค่ไหน ผมไม่อยากเห็นแววตาเวทนาของเขา ผมเกลียด
ผมใช้เสื้อเช็ดคราบน้ำลายตรงแก้มอีทงเฮอย่างลวก ๆ ในขณะที่เขาก็จ้องหน้าผมด้วยสายตาลึกซึ้งไม่ห่าง มือหนาเอื้อมขึ้นมาจับมือผมเอาไว้ก่อนจะหลับตาลงแล้วพรมจูบลงบนหลังมือผมอย่างอ่อนโยน ผมรู้สึกขยะแขยงกับสัมผัสนี้ แต่ถ้าผมปฏิเสธ ผมก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะหันปืนไปที่ซองมินอีกทีเมื่อไหร่
ผมหันไปมองซองมินที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิม เขาเม้มริมฝีปากแน่นทั้งที่ยังสะอื้นอยู่อย่างนั้น ผมขยับปากเป็นคำพูดเพื่อให้รู้กันแค่สองคน
‘ฉันขอโทษ...’
“เสร็จแล้วเหรอครับ?”
“อืม” ผมตอบสั้น ๆ เขายักไหล่แล้วเอนหลังลงเล็กน้อยก่อนจะปลดเข็มขัดออกแล้วรูดซิปกางเกงยีนส์ลง
“แกจะทำอะไร?”
“ที่รักทำให้มันตื่นนี่ครับ” เขาตอบแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมยิ้ม ๆ
“...”
“ผมรู้ว่าที่รักเป็นคนมีความรับผิดชอบ มาสิครับ” เขาพูดแล้วเท้าแขนลงกับเตียง ผมยังคงอึ้งกับภาพที่เห็นและคำพูดหยาบโลนแบบนั้น แต่พออีทงเฮเห็นผมไม่ทำตามที่สั่งเขาก็คว้าปืนขึ้นมาเล็งไปที่ซองมินอีกครั้ง
“แกรับปากฉันแล้วนะว่าจะไม่ทำอะไรซองมิน!” ผมลนลานหันไปมองซองมินที่นอนปรือตานิ่ง ๆ อยู่บนพื้น
“หืม? ผมรับปากเมื่อไหร่กันครับ ที่รักอย่าพูดเองเออเองสิ” เขาหัวเราะ ผมกำหมัดแน่นพลางหันไปมองกองเสื้อผ้าที่ใส่มาก่อนหน้านี้...
ข้างในนั้นมีปืนของคุณซีวอน...ผมจะทำยังไงถึงจะไปเอามันมาได้...
.
.
.
.
“เมื่อไหร่จะตายครับ จะอึดเกินไปแล้วนะ”
ผมได้ยินเสียงนั้นลอดเข้ามาในห้องน้ำ ผมเบิกตาโพลงแล้วรีบออกไปข้างนอก แล้วก็พบว่าอีทงเฮใส่กางเกงเรียบร้อยแล้ว เขานั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าซองมินที่ยังคงนอนร้องไห้อยู่ตรงนั้นพร้อมกับเอานิ้วชี้ม้วนผมอีกคนเล่น
“แกจะทำอะไร?”
“อ้าว มาแล้วเหรอ? ผมแค่ดูสุขภาพเพื่อนของที่รักนะ เห็นพะงาบ ๆ มาตั้งนานแล้วไม่ตายสักที” เขาหันไปมองซองมินอีกครั้ง
ผมก้มลงมองเสื้อตัวเดิมที่กองอยู่บนพื้นก่อนจะหยิบมันขึ้นมาสวม ในกระเป๋าเสื้อมีปืนกระบอกเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่พอผมผมเห็นปืนของอีทงเฮที่วางอยู่บนเตียงแล้วก็คิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ ถ้าเขาไม่มีปืนทุกอย่างก็คงง่ายขึ้น ผมค่อย ๆ เดินเนียนไปหยิบปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่เขา
ตายซะเถอะ...อีทงเฮ!!
แกร่ก...
“...!!!” ผมเบิกตากว้างเมื่อปืนมันยิงไม่ออก ผมมองปืนในมือก่อนที่อีทงเฮจะหันมาหาผม
“หานี่อยู่เหรอครับ?”
รอยยิ้มชั่วร้ายที่มาพร้อมกับแม๊กกระสุนในมือ ผมกดเหนี่ยวไกซ้ำ ๆ เหมือนกับคนโง่ จนกระทั่งอีทงเฮเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้แม๊กกระสุนปืนนั่นฟาดเข้าที่หน้าจนผมล้มลงไปกับเตียง
“โอ๊ย!!”
“ฮยอก...แจ...”
“ผมแค่ลองใจดูแล้วก็คิดไว้ไม่มีผิด ทำไมครับ? จะยิงผมเหรอ?” เขาขึ้นมาคร่อมทับพร้อมกับจิกหัวผมขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอน
“ใช่! ถ้ามีวีธีไหนที่ทำให้แกตายได้ ฉันก็จะทำ! อ่ะ!!” ผมหน้าหันไปอีกทางเพราะถูกหลังมือตบเข้าเต็ม ๆ “มันสมควรแล้วล่ะที่แกจะถูกหมอคยูฮยอนทิ้งแบบนั้น!”
“หืม?” อีทงเฮเลิกคิ้วมอง สายตาของเขาดูไม่พอใจกับคำพูดผมมาก
“คนโรคจิตอย่างแกใครเขาจะอยากอยู่ด้วย ที่หมอคยูฮยอนทนคบกับแกมาตลอดเขาก็แค่สงสารเท่านั้นแหละมั้ง? หึ...น่าสมเพช” ผมแค่นหัวเราะ อีทงเฮออกแรงบีบคอผมมากยิ่งขึ้น ผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บก่อนจะหันไปเห็นโคมไฟที่วางอยู่ข้างเตียง
“นาทีนี้ ต่อให้เขาไม่อยากอยู่กับผม มันก็ไม่สำคัญแล้วครับ” เขายิ้ม ผมพยายามเอื้อมมือไปหยิบโคมไฟนั่นอย่างทุลักทุเล
“เพราะคนที่ต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิตจนกว่าจะตายจากกันไปข้างมันก็คือคุณ...อีฮยอกแจ”
“!!”
เพล๊ง!!!!
“อ๊ากกก!!!”
ผมฟาดโคมไฟใส่ขมับอีทงเฮจนเขาทรุดลงไปนอนข้าง ๆ ผมรีบยันตัวลุกขึ้นแล้วมองเขาที่กำลังก้มหน้าเลือดไหลอยู่ ผมหันไปมองซองมินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้วก็รีบเข้าไปดูในทันที
“ซองมิน ซองมิน...ทำใจดี ๆ ไว้นะ...”
“ร...รีบไป...” ซองมินดันมือผมออก ริมฝีปากของเขาแห้งผาก เสียงของเขาผะแผ่วลงจนฟังไม่ค่อยชัด
“อีฮยอกแจ!!!”
ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมองคนที่เงยหน้าขึ้นมาในสภาพเลือดอาบหน้าซีกหนึ่ง ผมค่อย ๆ คลานถอยหลังเมื่อพบว่าเขากำลังลุกขึ้นยืนพร้อมกับใส่แม๊กกระสุนเข้าไปในปืนกระบอกนั้น
“หนี...ไป...” ซองมินพูดอีกครั้งนั่นทำให้ผมต้องกัดฟันทิ้งเพื่อนที่รักมากที่สุดแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง
เสียงฝีเท้ากึกก้องไปทั่วทางเดินยาว ผมไม่มีเวลามากพอแม้แต่จะสวมรองเท้า ผมหันหลังกลับไปมองข้างหลังแล้วก็พบว่าอีทงเฮกำลังเดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบ เหมือนกับเหตุการณ์วันนั้น...
“วิ่งเร็วได้แค่นี้เหรอ ห๊า?!”
เขาตะโกนไล่หลังมาราวกับไม่กลัวว่าคนที่อยู่ห้องแถวนั้นจะเปิดประตูออกมาต่อว่า และต่อให้มีคนออกมาด่าจริง ๆ ผมคิดว่าอีทงเฮคงกำจัดปัญหาด้วยการเป่าลูกปืนให้เป็นค่าทำขวัญ ซองมินเคยเล่าให้ผมฟังว่าที่นี่คู่สามีภรรยาทะเลาะกันบ่อย เลยไม่มีคนโผล่หน้าออกมายุ่งเรื่องชาวบ้านนัก มันคงเป็นคราวซวยของผมที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดตามลำพัง
ผมวิ่งลงทางหนีไฟพลางก้ม ๆ เงย ๆ มองคนที่กำลังเดินตามลงมา ตอนนี้เขาไม่ได้เดินทอดน่องเหมือนก่อนหน้านี้ เขากำลังตามหลังผมมาติด ๆ แล้ว!!
“!!”
ผมวิ่งลงมาถึงชั้นหนึ่ง ผมไม่คิดที่จะแวะขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ตรงล็อบบี้เพราะอีทงเฮคงเข้ามาลากคอผมออกจากตรงนั้นได้ง่าย ๆ เพียงแค่อ้างว่าเราเป็นคู่รักกัน ทุกคนระแวกนั้นมองผมเป็นตาเดียว อาจเป็นเพราะผมไม่ได้สวมรองเท้า อีกทั้งยังวิ่งขากระเผกอย่างไม่คิดชีวิตแบบนี้อีก
“ขอโทษครับ!” ผมหันไปกล่าวขอโทษกับคนที่ผมวิ่งชนจนแทบล้มแล้วก็วิ่งต่อ ผมเข้าไปในตรอกแคบ ๆ เพราะคิดว่ามันคงเป็นทางลัดออกไปอีกทางได้ แต่ผมก็ต้องแหกปากร้องลั่นเมื่อถูกใครบางคนรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
“!!!!”
“คุณจะไปไหน?” ผมเบิกตากว้างเมื่อถูกคุณคิบอมเอามือปิดปากไว้ ผมดิ้นทุรนทุรายก่อนจะล้วงเอาปืนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาฟาดเข้าที่หน้าเขาเต็ม ๆ จนคุณคิบอมเซถอยหลังไปเล็กน้อย เขากุมหัวตัวเองพลางส่ายหน้าไล่อาการมึนงงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ยืนตกใจอยู่ตรงนั้น
“อย่ามายุ่งกับผม!!” ผมถอยหลังออกมาเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ผมเล็งปืนขึ้นมาแม้ว่าผมจะไม่กล้าเหนี่ยวไกมัน เขายกมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
“คุณฮยอกแจ”
“อย่าตามมานะ!”
ผมถอยหลังแล้วเริ่มวิ่งอีกครั้ง ผมวิ่งเแทรกเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังรอยืนข้ามถนน คนรอบข้างมองผมด้วยความประหลาดใจ เขาคงคิดว่าผมเป็นคนบ้าเพียงแค่ไม่ใส่รองเท้า ผมก้มหน้าเดินเนียนไปกับคนพวกนี้ อย่างน้อย...คนหมู่มากก็ทำให้ผมปลอดภัย...
หรือเปล่า...?
“วิ่งให้ตายยังไงก็หนีผมไม่พ้นหรอกครับที่รัก...”
ผมหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างหูพร้อมกับโลหะแข็ง ๆ ที่จ่ออยู่กลางหลัง ตอนนี้คนรอบข้างผมเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามหมดแล้ว...เหลือเพียงแค่ผม...กับ...
“ถ้ายังคิดหนีอยู่อีก...ผมจะตามไปเยี่ยมคุณแม่ยายถึงที่ทำงานเลยดีไหมนะ~”
…To be continued...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
เหนื่อยแทนฮยอกแจละ วิ่งมันทั้งเรื่องค่ะ ขาก็เจ็บ
ความคิดเห็น