คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 : Friend?
Chapter 8
ครูเป็นสิ่งมีชีวิตที่...ฟอร์มจัดที่สุด
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
ท่ามกลางความเงียบในยามค่ำคืนที่ได้ยินเพียงแค่เสียงเข็มนาฬิกาเท่านั้น ผมควรจะหลับได้แล้วเพราะพรุ่งนี้คือวันจันทร์แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม เอาแต่นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมานับครั้งแทบไม่ถ้วน ต้นเหตุมันมาจากอะไรนะ...อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำล่ะมั้งครับที่ทำให้ผมนอนไม่หลับแบบนี้ พอนึกถึงก็หน้าแดงขึ้นมา ผมกล้าขอให้ครูจูบแบบนั้นได้ยังไงกัน (เขินจังเลยครับ) สุดท้ายก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปเปิดโคมไฟบนหัวเตียง อ๋า...นี่ตีสองแล้วเหรอครับเนี่ยไวจังเลย
ผมก้าวลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง เป้าหมายคือตู้เย็นในห้องครัว ถ้าได้ดื่มนมสักแก้วอาจจะทำให้ผมหลับลงก็ได้ เปิดตู้เย็นแล้วเทนมใส่แก้วกระดกไปอึกใหญ่แล้วยืนนิ่งปล่อยให้มันไหลลงไปอยู่ในกระเพาะอย่างช้าๆ พยักหน้าสองสามทีแล้วปิดตู้เย็นก่อนจะผงะถอยหลังไปสองก้าวเมื่อเห็นใครอีกคนที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ครูไม่นอนเหรอครับ”
“นอนไม่หลับเหรอ”
เราทั้งคู่โพล่งคำถามออกมาพร้อมกัน ผมยืนเงียบพลางใช้มือทั้งสองข้างถือแก้วเอาไว้แล้วถอยหลังไปอีกสองก้าวเมื่อครูเดินเข้ามาเปิดตู้เย็น ตอนนี้มีเพียงแค่แสงสว่างจากห้องโถงเท่านั้นที่ทำให้ผมมองเห็นอะไรได้ ผมมองครูที่กำลังดื่มน้ำก่อนจะปิดตู้เย็นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“หน้าตาแบบนี้คงยังไม่ได้นอนใช่ไหม?”
“ครับ”
“เป็นอะไรไป มีไข้เหรอหืม?”
“เปล่านะครับครู ผมปรกติดี” พูดจบครูก็เชยคางผมขึ้นแล้วเอาหน้าผากมาชนกัน ผมเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าของครูอยู่ใกล้ผมเกินไปแล้ว
“อืม...”
“...ผมไม่ได้ป่วยหรอกครับครู” ผมพูดเบาๆ สิ่งที่ครูกำลังทำอยู่มันให้ผมคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำ บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังเขินไม่หายที่พูดจาแบบนั้นออกไปครับ
“ตัวนายอุ่นๆ”
“ตัวครูต่างหากล่ะครับที่อุ่น...” ผมแย้งขึ้นมาพร้อมกับช้อนตามอง ผมเห็นหน้าครูไม่ชัดเท่าไหร่ครับเพราะมันย้อนแสง
“งั้นก็แสดงว่าตัวเราอุ่นทั้งคู่” ครูหัวเราะทั้งที่หน้าผากของเรายังคงแนบกันอยู่อย่างนั้น ผมพยักหน้าก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายจุ๊บหน้าผากเบาๆ
“ครูเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“ทำไมครับ ครูรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหรอ ผมว่าแล้วเชียว...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” ครูยิ้มพลางยืนพิงกับซิ้งค์ล้างจานแล้วเอื้อมไปกดสวิซต์ไฟที่อยู่ไม่ไกล ผมเดินเอาแก้วไปล้างก่อนจะหันกลับไปมองครูที่กำลังมองผมอยู่
“ครูคิดว่ามันคงเป็นเหตุผลเดียวกันที่นายนอนไม่หลับ”
“...เอ๋?”
“ไม่มีอะไร...ไปนอนกันเถอะดึกแล้ว” ครูเดินมาขยี้หัวผมแล้วก็เดินออกจากห้องครัวไป ผมได้เพียงแค่มองแผ่นหลังกว้างนั้นจนลับสายตาไป นี่แหละครับนิสัยของครู ชอบพูดค้างๆ คาๆ ให้ผมเดาเล่นไปเรื่อย
หันไปเห็นตารางสอนที่แปะอยู่หน้าตู้เย็นแล้วก็เพ่งตามองก่อนจะเห็นปฏิทินที่แปะอยู่ข้างๆ ตัวหนังสือสีแดงเด่นหรากำกับย้ำว่า ‘ออกข้อสอบ’ ผมเดินไปหยุดหน้าห้องครูแล้วยืนมองประตู ผมไม่ได้คิดจะเคาะมันหรอกนะครับแค่ขามันเดินมาหยุดตรงนี้เอง (ขาผมช่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกจริงๆ) ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ลอดออกมา นั่นทำให้ผมพอจะรู้แล้วล่ะว่าใครกันแน่ที่ป่วย (ครูนี่ปากแข็งจริงๆ เลย) แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ผมจะเคาะประตูแล้วปลุกครูมาแล้วพูดว่า ‘ครูนั่นแหละครับที่ป่วย’ ผมก็เลยหันหลังเดินกลับเข้าห้องตัวเองแล้วพยายามข่มตาหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเลยครับ โดยรวมแล้วผมนอนไปแค่ชั่วโมงครึ่งแต่ก็ทนแรงต้านทานของนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงกับแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือใต้หมอนไม่ได้ ผมลุกมาล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมทำข้าวกล่องให้กับครูครับ นี่คือเหตุผลที่ผมต้องมายืนสัปหงกตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันแบบนี้
.
.
ทันทีที่รถจอดเข้าที่ลานจอดรถสำหรับครูอาจารย์ ผมก็หันไปมองคนข้างๆ ที่อาการไม่ค่อยดีนัก ผมสังเกตเห็นครูแอบไออยู่บ่อยๆ ผมคิดว่าครูกำลังทำซึนครับ ครูคงไม่อยากให้ผมเป็นห่วงเลยเก็บอาการเอาไว้
“เดี๋ยวครับครู” ผมดึงแขนเสื้อครูไว้เพียงเบาๆ เพราะกลัวมันจะยับ ครูหันกลับมามองผมขณะกำลังจะลงจากรถ ผมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะยื่นข้าวกล่องที่ห่อด้วยผ้าสีฟ้าลายจุดให้ ครูเลิกคิ้วมองก่อนจะจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย ผมได้แต่ยื่นไปข้างหน้าอีกหวังว่าครูจะรับไปสักทีแต่เขาก็เอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้น
“ข้าวกล่องครับ”
“หืม?”
“ครับ...ข้าวกล่อง” ผมไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากประโยคเดิม เหมือนกับพวกตุ๊กตาที่บีบตรงท้องแล้วก็จะพูดประโยคซ้ำๆ ผมยังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ก็รู้ครับว่ากำลังยิ้มแปลกๆ แต่จะให้หุบยิ้มตอนนี้มันคงไม่ดีแน่ ย่าผมบอกว่าคนป่วยต้องการกำลังใจ เพราะฉะนั้นผมเลยต้องยิ้มเข้าไว้
“ให้ครูน่ะเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ขอบใจนะ”
ผมเตรียมคำตอบมาซะดิบดีแต่ครูกลับไม่ถามผมสักคำว่าผมทำข้าวกล่องอันนี้มาเพื่ออะไร สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือยิ้มเก้อแล้วมองครูเดินลงจากรถไปครับ พอประตูปิดลงครูก็โผล่หน้ามาให้ผมเห็นพร้อมกับกวักมือเรียก...เดี๋ยวนะครับ...ครูคนที่ทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงและแสนละมุนละไมคนเมื่อคืนหายไปไหนแล้ว ทำไมตอนนี้มีแต่ครูที่ป่วยและดูเร่งรีบอีกทั้งยังปล่อยเซอร์ผมอีก
ผมเดินลงไปช้าๆ ช่วงนั้นสมองผมก็ประมวลตามไปด้วยหรือสิ่งที่ผมทำไปมันจะไม่ประทับใจครูนะ
“สายแล้ว” สายตาของครูเหมือนกำลังสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม
“นั่นสินะครับ สายแล้ว ใช่เลย...สายแล้ว” ผมหันไปหัวเราะเกินจริงก่อนจะพยักหน้าหงึก ครูหัวเราะแล้วโบกมือลาผมแล้วเดินเข้าไปในตึก เป็นอีกครั้งที่ผมได้แค่ยืนมองแผ่นหลังของครู ในใจผมมันเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมครูถึงมีท่าทีแปลกไปจากเดิม
.
.
“รู้ตัวบ้างไหมว่าพักนี้นายเอาแต่ทำหน้าตูด” ฮยอกแจทักผมที่กำลังนั่งเอาคางเกยโต๊ะ ผมชำเลืองมองคนที่นั่งเท้าทางมองอยู่ข้างๆ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“เหรอครับ งั้นตอนนี้หน้าตามันคงไม่น่ามองสักเท่าไหร่สินะ”
“อยากเล่าให้ฉันฟังไหมล่ะ -.-” ฮยอกแจยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วส่ายหน้าพรืด
“ไม่อยากเล่าครับ”
“ตอบแบบอ้อมค้อมก็ได้นะเล่นพูดแบบนี้รู้บ้างไหมว่าคนถามเขาติดสตั้น -_-” ฮยอกแจทำหน้าเนือยใส่ผม คือมันไม่ใช่อย่างที่ฮยอกแจคิดนะครับ
“มันเป็นเรื่องที่ผมเล่าให้ใครฟังไม่ได้นี่ครับฮยอกแจ”
“ฉันไม่ใช่ใครที่นายกำลังพูดถึง นี่ใคร? ว่าที่แฟนนายในอนาคตทั้งคนเลยนะ” ฮยอกแจยิ้มแล้วกลอกตาใส่ผม
“ว่าที่แฟนอะไรครับ”
“แฟนไง Boyfriend Right?”
ผมมองหน้าฮยอกแจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เบือนหน้าหันไปถอนหายใจ พอเห็นอย่างนั้นฮยอกแจก็ผลักหัวผมจนเซเลยครับ ไม่รู้ผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจ
“นี่นายกล้าเมินฉันเหรอโจคยูฮยอน เดี๋ยวบั๊ด!”
“ฮยอกแจครับ”
“ไร”
“จูบแรกของฮยอกแจกับครูทงเฮน่ะ มันเกิดขึ้นก่อนหรือหลังคบกันเหรอครับ” ผมลดระดับเสียงลงเพราะเรื่องนี้มันอาจทำให้ฮยอกแจเดือดร้อนได้ เพราะที่ๆ เรานั่งอยู่มันคือสถานที่สาธารณะนี่ครับ ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี่ถึงแม้ว่าเพื่อนๆ จะยังเข้ามาไม่ครบแต่เชื่อเถอะว่าเรื่องที่ผมพูดออกไปถ้าไม่ระวังมันอาจถึงหูครูอังคณาก็ได้
“หืม...ถามแบบนี้แสดงว่านายเพิ่งมีจูบแรกมาล่ะสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คือผมจะสมมติว่าถ้าเกิดจูบกับใครคนหนึ่งทั้งที่ไม่ได้เป็นแฟนกันเนี่ย สถานะแบบนั้นเค้าเรียกว่าอะไรเหรอครับ”
“99% ของคนที่พูดว่าสมมติมักจะเป็นเรื่องจริง สารภาพมาเถอะโจคยูฮยอนแล้วฉันจะรูดซิปปากตัวเองไว้ด้วยช็อคโกแลตแท่งนี้” ฮยอกแจชูคิทแคทขึ้นมาระดับใบหน้าผมพร้อมกับทำตาปริบๆ ทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองด้วยนะครับ
“มันเป็นเรื่องของเพื่อนผมน่ะครับฮยอกแจ...”
“โกหก หน้าอย่างนายมีฉันคนเดียวเป็นเพื่อนก็ถือว่าปาฏิหารย์แล้ว พูดออกมาซะ!” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกตะคอกใส่หน้า เพื่อนร่วมห้องนี่หันมามองเราสองคนเป็นตาเดียวกันเลยล่ะครับ
“ไม่ต้องมอง! ฉันกำลังพลอดรักกับไอ้แว่นนี่อยู่เห็นไหม - -+”
“ฮยอกแจร็อคจังเลยเดี๋ยวก็โดนเพื่อนรุมอัดหรอกครับ...” ผมชี้ไปยังกลุ่มผู้ชายหน้าห้อง
“นี่มันไม่ใช่เวลามาพูดจาอ้อล้อนะ ฉันกำลังจะช่วยนาย ปลดปล่อยความทุกข์ออกจากหัวใจของนายไงไม่ดีเหรอ?”
“เอ๋...”
“นายน่ะ...จูบกับครูซีวอนมาแล้วสินะ...?”
ผมสะดุ้งสุดตัวจนเกือบหงายหลังแต่ก็ได้ฮยอกแจคว้าเอาไว้ทันครับ เสียงเย็นๆ ของเขาเมื่อครู่กับสายตาเจ้าเล่ห์ในตอนนี้มันช่างน่าผวาเสียเหลือเกิน ผมกลืนน้ำลายเอื้อกพยายามทำตัวให้เป็นปรกติที่สุดแต่สุดท้ายมันก็...
“ให้ตายเถอะแฟรงค์ ฉันพูดถูกสินะ!! 5555555555555555555555555555”
เพื่อนๆ หันมามองฮยอกแจด้วยความสงสัย เมื่อจู่ๆ เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งตอนนี้ผมคิดว่าฮยอกแจน่าจะเดาใจผมออกแล้วล่ะครับ ผู้ชายคนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าผู้คุมวิญญาณอีก
“ฮยอกแจครับ ได้โปรดอย่าโพนทะนาผมเลยนะ เห็นแก่เด็กปูซานเข้ากรุงอย่างผมทีเถอะ” ผมคว้าแขนฮยอกแจเอาไว้พร้อมกับเขย่าเบาๆ แล้วกระซิบ ฮยอกแจยังคงขำค้างอยู่ครับไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันตลกอะไรกันนักกันหนา
“ได้เลย แต่นายต้องเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังนะ”
“..................”
“จะเล่าไม่เล่า”
“..................”
“เฮ้! ทุกคน คยูฮยอนน่ะจู....” ผมรีบปิดปากฮยอกแจด้วยความเร็วแสง “ไม่มีอะไรครับเพื่อนๆ ไม่มีอะไรเลย ฮะๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วลากฮยอกแจออกจากห้องเรียนด้วยท่านั้นแหละครับ (ใช้คำว่าลากผมว่าคงถูกต้องแล้ว)
ตอนนี้เราทั้งคู่ยืนอยู่ตรงบันไดทางเดินครับแถวนี้ไม่มีใครเดินเพ่นพล่านสักเท่าไหร่ ฮยอกแจยืนกอดอกเคี้ยวหมากฝรั่งอีกทั้งยังกระดิกเท้ามองหน้าจับผิด ตอนนี้เหงื่อผมกำลังแตกพลั่กๆ เลยล่ะครับ ยังไงฮยอกแจก็ต้องเค้นเอาความจริงจากผมให้ได้สินะครับ
“ที่นี่ปลอดคนแล้ว จะเล่าได้หรือยัง”
“ฮยอกแจอยากรู้ไปทำไมครับ มันไม่สำคัญอะไรนักหรอก...”
“ไม่สำคัญแน่เร้อ~” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผมและยังคงจับผิดอย่างต่อเนื่องครับ
“(_ _ )”
“คยูฮยอน...”
“(_ _ )...”
“โจ...คยูฮยอน...”
“โอเคครับผมเล่าก็ได้...” ผมเอามือดันหน้าผากเขาเอาไว้เมื่อใบหน้าเขาเข้ามาใกล้ผมเกินไปแล้ว ถึงมันจะไม่ให้ความรู้สึกหวือหวาเหมือนตอนเวลาที่ครูทำแต่ฮยอกแจกำลังทำให้ผมกลัวครับ
“ว่ามา”
“คือ...” ผมถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ใช่ไหมครับเนี่ย “คือผม...จูบ...จูบกับ...ครู”
“นั่นปะไร!” เสียงดีดนิ้วดังมาพร้อมกับน้ำเสียงแห่งความสะใจ ผมตบหน้าผากตัวเองก่อนจะหันหน้าเข้าหาผนังแล้วเอาหัวโขกเบาๆ
“สาบานกับกำแพงนี่สิครับว่าจะไม่เอาไปบอกใคร...” ผมถลาเข้าไปจับหัวไหล่คนที่กำลังเอาแต่หัวเราะเหมือนคนเมายาเอาไว้
“55555555555555555”
“ฮยอกแจครับ T_T”
ไม่ได้นะครับฮยอกแจนายอย่าทำให้ผมใจแป้วแบบนี้สิ สิ่งที่นายควรทำในตอนนี้คือชูสามนิ้วขึ้นมาระดับหัวไหล่แล้วพูดว่า ‘ได้เลยคยูฮยอน ฉันสาบานกับนายตรงนี้เลยว่าจะไม่ปากโป้งแน่นอน’ สิครับ...
สักพักได้กว่าฮยอกแจจะสงบลง เขานี่เส้นตื้นเอาเรื่องเลยล่ะครับหัวเราะได้แม้กระทั่งเรื่องคอขาดบาดตายของคนอื่น เขามองผมหัวจรดเท้าแล้วก็กลั้นหัวเราะ ใบหน้าเรียวยื่นเข้ามาใกล้ๆ ผมพร้อมกับเอามือทาบลงกับกำแพง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่...ตั้งแต่...”
“เอาน่า...ไม่ต้องอายหรอก พูดๆ มันออกมาซะนายจะได้ไม่ต้องอึดอัดกับเรื่องนี้อีกไง” ผมปาดเหงื่อแล้วถอนหายใจ ตอนนี้ผมรู้สึกจนมุมมากเลยครับ
“ตั้งแต่...วันนั้น...ที่ครูถูกเรียกน่ะครับ...” ผมงุดหน้าลงแล้วพูดอู้อี้ในลำคอ ฮยอกแจหัวเราะออกมาก่อนจะจูงมือผมไปนั่งบนบันได
“เป็นไง เขาจูบเก่งไหม”
“เก่งมากครับ เอ๊ย!”
ฮยอกแจตบหน้าขาดังฉาดในขณะที่ตัวผมกำลังหดลงไปทุกทีๆ “ฉันกะไว้แล้วไม่มีผิด...ก็ว่า...ตอนที่อีทงเฮเล่าเรื่องครูซีวอนให้ฟังมันแปลกๆ”
“แปลกยังไงเหรอครับ”
“ฉันมีเซนส์ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าที่รัก” ฮยอกแจหันหน้ามามองผม ท่าทีของเขาดูสนใจกับเรื่องนี้มากเลยล่ะครับ
“จูบกันไปกี่ครั้งแล้วล่ะ”
“จูบกี่ครั้งมันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังจะคุยกันด้วยเหรอครับ...”
“เกี่ยวสิ! ฟังนะ...จูบครั้งเดียวมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์เผลอใจไง แต่ถ้าสองครั้งอาจจะเป็นอารมณ์ต้องการความแน่ใจ ว่าเอ...นี่ฉันชอบเขาหรือเปล่านะลองจูบดูอีกสักครั้งดีไหมอะไรแบบนั้นน่ะ”
“แล้วถ้ามากกว่านั้นล่ะครับ...”
ทันทีที่ผมพูดจบฮยอกแจก็หันควับทันที สีหน้าของเขาดูตกใจกับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้มากเลย ผมรู้สึกร้อนผ่าวตรงแก้มหวังว่ามันคงไม่แดงจนฮยอกแจจับได้นะครับ... (_/////_)
“นี่นายจูบกับเขามากี่ครั้งแล้วเนี่ย”
“ผมนับไม่ได้แล้วครับฮยอกแจ...”
“โอ้โห...”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่านะ...”
“นี่แหละเข้าเรื่องที่สุดแล้ว เอาล่ะ...เรื่องที่นายค้างคาใจคือครูเล่นรัวจูบนายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งทั้งที่ยังไม่ได้คบกันสินะ...”
ผมพยักหน้าเบาๆ อย่างเจียมตัวครับ ที่ผมถามฮยอกแจไปไม่ใช่ว่าผมต้องการที่จะคบกับครูหรอกนะ ผมก็แค่อยากรู้ว่าครูรู้สึกยังไง ครูคิดยังไงกับผมบ้างก็เท่านั้นเองครับ
“เขาทำแบบนี้มันก็ไม่ถูกอีกนั่นแหละ ไอ้อาการหมาหยอกไก่แบบนี้เหมือนกับอีตาครูห้องพยาบาลเฮงซวยนั่นไม่มีผิดเลยสมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน...นายกำลังกังวลอยู่สินะว่าจะทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ฉันไม่มีสิทธิ์ จะทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ติดว่าแคร์ความรู้สึกเขา จะทำแบบนี้ดีหรือเปล่า จะดูมากมายไปไหม? แบบนั้นสินะ?”
ผมพยักหน้าอีกครั้งทั้งที่ยังไม่หันหน้าไปมองฮยอกแจ เขาเก่งจังเลยนะครับแค่ฟังผมเล่าไม่กี่ประโยคก็บรรยายออกมาเป็นฉากๆ ได้แล้ว...ฮยอกแจนี่เป็นกูรูเรื่องความรักจริงๆ
“นายต้องการความชัดเจนงั้นเหรอ”
“ความชัดเจน...?”
“ใช่ อย่างเช่นว่าถ้าชอบก็ควรบอกอีกฝ่ายไปเลยว่าชอบ นายอยากให้ครูพูดแบบนั้นกับนายใช่ไหม”
“เปล่านะครับ ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ” ผมโบกมือปัดๆ ปฏิเสธในทันที
“เอ้า! แล้วกังวลเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
“ผมก็แค่...” ผมเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วถอนหายใจเบาๆ “ผมก็แค่อยากรู้ว่าครูคิดยังไงกับผม แต่ไม่ใช่ว่าผมต้องการให้ครูพูดมันออกมาหรอกนะครับ...ฮื่อ...ผมอธิบายไม่ถูกเลยครับฮยอกแจ”
“อ๋อ นายแค่อยากรู้สินะว่าที่เขาจูบนายไปนั้นเพราะอะไร ทำไมถึงจูบ ชอบหรือเปล่า หรือแค่อยากจูบ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง นั่นแหละครับใช่เลย
“ฉันคงให้คำตอบนายไม่ได้แต่ถ้าอธิบายให้นายเก็บเอาไปคิดมันก็ได้น่ะนะ...” ฮยอกแจกอดอกพลางยืดขาออก
“ครูซีวอนคงไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรแบบนี้กับใครซี้ซั้ว เพราะที่รู้ๆ จากไอ้ครูห้องพยาบาลเฮงซวยนั่นคือครูซีวอนคบกับแฟนจนจบมหาลัยแล้วก็เลิกกันโดยที่ไม่เคยนอกใจเลยสักครั้งเดียว”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ หันไปมองหน้าคนข้างๆ
ครูซีวอนคบกับแฟนจนจบมหาลัยแล้วก็เลิกกันโดยที่ไม่เคยนอกใจเลยสักครั้งเดียว
.
.
“แค่กๆ”
“ไม่สบายเหรอคะครูซีวอน” น้ำเสียงหวานของครูรุ่นแม่หันมาถามร่างสูงด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเขาเอาแต่กระแอมอยู่อย่างนั้นมาพักใหญ่ๆ แล้ว
ซีวอนหันไปยิ้มให้กับเธอพร้อมกับโค้งหัวเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยื่นแก้วน้ำร้อนมาให้ก่อนที่เธอจะถือกระเป๋าขึ้นมาเพื่อออกไปทานมื้อเที่ยงกับสามีที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์
“ยังไงถ้าไม่ดีขึ้นฉันว่าครูซีวอนควรไปหาหมอนะคะ ข้อสอบน่ะให้คนอื่นช่วยออกก็ได้ค่ะอย่าหักโหมนักเลย”
“ครับผม ขอบคุณมากนะครับ”
ในห้องพักครูยามเที่ยงที่เงียบสงบได้ยินเพียงแค่เสียงกระดาษกับเสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้นเท่านั้น หากแต่ใครอีกคนกลับเลือกที่จะนั่งออกข้อสอบอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ออกไปหามื้อเที่ยงทานเหมือนครูคนอื่นๆ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากเข้าไปทุกทีๆ คาดว่าตอนนี้เขาคงจะไม่สบายเข้าจริงๆ เสียแล้ว จากตอนแรกคิดว่าทานยาแล้วนอนตื่นมาก็น่าจะหาย เห็นคยูฮยอนเอาแต่จ้องหน้าก็เลยพยายามทำตัวให้เป็นปรกติมากที่สุดเพราะไม่อยากเสียฟอร์ม มือแกร่งวางปากกางลงก่อนจะเอนหลังพิงกับเก้าอี้ ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ก็คงเป็นน้ำอุ่นในแก้มกับการพักสายตานี่แหละ
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนทำข้าวกล่องมาให้ หันไปข้างหลังแล้วก็หยิบมันมาวางไว้ตรงหน้าแล้วค่อยๆ คลี่ผ้าสีฟ้าลายจุดออก ริมฝีปากหยักอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเปิดออกมาแล้วเห็นสิ่งที่คยูฮยอนทำให้...ข้าวสีขาวที่ถูกตกแต่งให้เป็นรูปหน้าคนมันทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเขานั่งหัวเราะคนเดียวตอนนี้คงถูกหาว่าเป็นคนบ้าแน่ๆ เส้นผมและคิ้วที่ถูกตกแต่งด้วยสาหร่าย ตาที่แต่งด้วยลูกเกด ไหนจะแก้มสีชมพูที่ตกแต่งด้วยแฮม...ข้างๆ มีไข่ม้วนกับแครอทรูปดาวและไส้กรอกอีกสองชิ้น ได้ผักสีเขียวมาเพิ่มความสวยงามคือบล็อคโคลี่กับสลัด ที่ทำให้เขาหุบยิ้มไม่ได้เลยคือตลับกล่องยารูปหมีริลัคคุมะสีน้ำตาลที่มียาลดไข้และยาแก้ไออยู่ข้างใน ซีวอนคาดไม่ถึงเลยว่าคยูฮยอนจะทำอะไรแบบนี้มาให้เขา
.
.
ตอนนี้ทางสะดวก ไม่มีครู ไม่มีประธานนักเรียน ไม่มีภารโรงหรือใครทั้งนั้น ผมยืนสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กำลังใจตัวเองทีหนึ่งแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องพักครู
“ขออนุญาตครับ”
ครูเงยหน้าขึ้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของผม ดูเหมือนว่าตอนนี้ครูกำลังจะกินมื้อเที่ยงที่ผมตั้งใจทำให้เมื่อเช้าอยู่ล่ะครับ รู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ว่าจะให้กลับลำถอยหลังตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ผมเดินเข้าไปที่โต๊ะของครูพร้อมกับวางกล่องสแตนเลสลง ครูขมวดคิ้วพลางมองหน้าผมด้วยความสงสัย
“หืม?”
“ซุปหัวหอมครับครู”
“อ่า...”
“แก้หวัด ผมเห็นครูตัวร้อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เมื่อเช้าที่ผมไม่ได้เอาให้พร้อมกับข้าวกล่องเพราะคิดว่ากว่าจะเที่ยงซุปคงเย็นซะก่อนแล้วผมก็คิดว่าที่ห้องพักครูคงไม่มีไมโครเวฟ...ผมก็เลยเก็บไว้กับตัวเองแล้วเอาไปเวฟในห้องคหกรรมเมื่อกี้น่ะครับ”
“อ่า...ให้ตายสิ” ครูหัวเราะแล้วจ้องหน้าผม
“กินสิครับครู จะได้นั่งทำข้อสอบต่อไง”
“นายรู้ได้ยังไงว่าครูกำลังนั่งทำข้อสอบอยู่”
ผมชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเก้อ บางทีถ้าผมตอบไปว่า ‘ผมเห็นที่ครูมาร์คไว้ในปฏิทินน่ะสิครับ’ แบบนั้นผมอาจจะโดนมองว่าเป็นพวกชอบจุ้นจ้านก็ได้
“ผมเห็นนั่นน่ะครับ กองข้อสอบใช่ไหม” ผมชี้ไปยังกองชีทเอกสารที่วางอยู่ข้างมือครู ผมเป็นคนแก้สถานการณ์เก่งใช้ได้เหมือนกันนะครับเนี่ย
“นั่นเอกสารที่ต้องส่งให้ผู้ปกครองเรื่องทัศนศึกษาของปีสามน่ะ ไม่ใช่ข้อสอบหรอก”
( ̄(エ) ̄)
“นั่งด้วยกันไหม?”
“ได้เหรอครับ?” ผมถามแล้วหันไปมองรอบข้าง ถ้านั่งแล้วเกิดมีใครมาเห็นอีกครูจะเดือดร้อนหรือเปล่าครับ ผมชักจะหวั่นๆ
“นั่งเถอะ ครูทานคนเดียวไม่หมดหรอก” ครูลากเก้าอี้มาไว้ข้างตัวก่อนที่ผมจะค่อยๆ เดินไปนั่งด้วย
“ทานข้าวมาแล้วหรือยัง?”
“เมื่อกี้กับฮยอกแจครับ”
“ตื่นมาทำตั้งแต่ตอนไหนน่ะเรา” ครูถามขณะที่จิ้มแครอทเข้าปาก ผมมองลุ้นๆ ดูว่าครูจะพูดอะไรสักคำไหมว่ารสชาติมันอร่อยหรือเปล่า ถึงมันจะเป็นแค่แครอทที่ถูกปั้มออกมาเป็นรูปดาวไม่ได้ตกแต่งรสชาติอะไรแต่ผมก็ยังคาดหวังว่าครูจะชมว่า ‘อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย คยูฮยอนนายนี่เจ๋งจริงๆ’
“ตีห้าครึ่งครับครู”
“หืม? ตีห้าครึ่งครูเห็นครัวเงียบสนิทเลยนะ”
( ̄(エ) ̄)
ครูหัวเราะเมื่อจับโกหกผมได้ จริงๆ ผมก็ไม่ใช่เด็กที่ชอบโกหกไปเรื่อยหรอกนะครับผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ครูนั่นแหละครับที่ผิด บังคับให้ผมต้องโกหกออกไป เรื่องอะไรผมจะบอกว่า ‘ผมตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อทำสุดยอดข้าวกล่องให้ครูไงล่ะครับ’ ล่ะ
“ชิมฝีมือตัวเองหน่อยไหม?” ครูเอาตะเกียบคีบไข่ม้วนมาจ่อไว้กับปากผม ถึงขนาดนี้ไม่ชิมก็ไม่ได้แล้วล่ะครับ ผมเลยงับมันไว้กับปากแล้วเคี้ยวง่ำๆ ซะเลย ใจดีนักใช่ไหมครับ ถ้าเกิดไม่อิ่มขึ้นมาจะโทษผมไม่ได้นะ
“เป็นไง อร่อยไหมครับครู?” ผมแทบสำลักเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากครูครับ เหมือนครูจะจงใจแกล้งพูดจี้ใจผม ถึงผมจะอยากถามแบบนั้นแต่ครูก็ควรจะให้คำตอบมากกว่ามาเดาคำถามในใจผมนะ -_-
“ต้องอร่อยอยู่แล้วล่ะครับ...” ผมพึมพำแล้วก้มหน้างุด หน้าผมมันจะแดงไปเพื่ออะไรครับไม่ได้ถูกครูจุ๊บสักหน่อยก็แค่ถูกอ่านใจออกก็เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น...” ครูยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู เสียงแหบพร่านั่นกำลังทำให้เด็กน้อยอย่างผมเทียบเสียสติ “ก็ทำมื้อเที่ยงให้ครูทานทุกวันเลยสิ”
ถ้าอยากให้ผมทำมื้อเที่ยงมาให้ครูกินทุกวัน...
งั้นก็ห้ามบ่นว่าเบื่อข้าวกล่องให้ผมได้ยินนะครับครู...
.
.
หลายวันที่ผ่านมาผมเก็บเอาเรื่องที่ฮยอกแจเล่าให้ฟังไปคิดอยู่เหมือนกันครับ แต่จะให้ผมแสดงอาการงอนง้อครูไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง ผมคิดว่ามันงี่เง่าเกินไปที่จะทำแบบนั้น ครูคงไม่ชอบเท่าไหร่ถ้าเด็กอย่างผมที่แฟนก็ไม่ใช่จะมาน้อยใจเรื่องอดีตของครู
เพราะยังไงอดีตก็คืออดีตนี่ครับและผมคิดว่าสำหรับครูแล้วอย่างน้อยมันก็ยังมีความทรงจำดีๆ ให้นึกถึงมากกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับ
ตอนนี้ผมกำลังจะไปทัศนศึกษาครับ ตามตารางแล้วจะต้องไปพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเสียก่อน ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการมาทัศนศึกษาครั้งนี้มาก เพราะที่ปูซานแล้วทัศนศึกษาก็คือการเที่ยวชมทุ่งนาและป่ากว้างครับ ฮยอกแจหาว่าผมบ้านนอกล่ะซึ่งผมก็ไม่เถียง เขาเอาแต่บ่นว่าอยากนอนอยู่ที่บ้านมากกว่าที่จะออกมาเดินดูอะไรแบบนี้ (เขาขี้เกียจมากเลยครับ)
วันนี้ครูไม่ได้มาทัศนศึกษาด้วย ถึงผมจะแอบเสียดายอยู่บ้างแต่ครูก็ไม่ใช่ที่ปรึกษาห้องผมสักหน่อย ครูก็แค่มาช่วยดูแลแทนครูที่ปรึกษาผมที่ลาคลอดไปก็เท่านั้นเองครับ ผมมองวิวทิวทัศน์ข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว อากาศในวันนี้ดีมากจนผมอยากให้ครูอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้แต่พอหันไปข้างๆ แล้วก็พบความเป็นจริงว่านั่นไม่ใช่ใคร...ฮยอกแจกำลังเคี้ยวขนมกรุบกรับเสียงดังไม่แคร์สื่อบนรถบัสโรงเรียนที่ใครๆ ต่างก็หลับ ในเมื่อจุดหมายปลายทางนั้นยังอีกไกลกว่าจะถึง คงมีแต่ผมกับฮยอกแจเท่านั้นแหละครับที่ยังคงถ่างตาอยู่อย่างนี้
ทันใดนั้นเองครูทงเฮก็เดินผ่านมาพร้อมกับดึงซองขนมออกจากมือฮยอกแจครับ สีหน้าของเขาดูดุๆ คาดว่าคงไม่พอใจที่เห็นฮยอกแจทำตัวเสียมารยาทแบบนี้ (ก็เขาหลับกันหมด)
“เห็นไหมว่าเพื่อนๆ หลับอยู่” ครูตักเตือนฮยอกแจแล้วไงครับ ผมกะจะพูดแบบนั้นอยู่เหมือนกันแต่ก็กลัวว่าฮยอกแจจะโบกกระบาลให้ ผมเลยเลือกที่จะเงียบดีกว่า
“อะไร” ฮยอกแจมองหน้าครูทงเฮอย่างไม่พอใจ ผมว่ามันไม่ดีแน่ถ้าเกิดสองคนนี้จะเอาเรื่องที่บ้านมาทะเลาะกัน (ก่อนหน้านี้ฮยอกแจเล่าให้ผมฟังว่ายอมต่อสัญญาเดือนนี้ไปแล้วน่ะครับ)
ครูหยิบขนมขึ้นมากินขณะที่สายตายังคงไม่ละห่างจากฮยอกแจ เขาเอี้ยวตัวหันกลับไปแล้วเดินสอดส่องนักเรียนคนอื่นต่อทั้งที่มือก็ยังจ้วงขนม (ของฮยอกแจ) ไม่ขาดปาก...
“ไอ้ครูปัญญาอ่อนเอ๊ย...” ฮยอกแจสบถเบาๆ ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้ ครูทงเฮนี่ขี้แกล้งเอาเรื่องเลยนะ สมแล้วครับ สมแล้วที่ฮยอกแจจะด่าแบบนั้น
“ไม่เป็นไรนะครับฮยอกแจ ผมมีลูกอมรสน้ำผึ้งมะนาวอยู่เป็นแผงเลย ถ้าเกิดนายอยากกินขนมล่ะก็ไอ้นี่มันช่วยได้เยอะเลยนะครับ ไหนจะแก้เมารถได้ ไหนจะทำให้นายลืมหิวขนมได้” ผมล้วงกระเป๋ามาแล้วกำลูกอมใส่มือฮยอกแจ เขาทำหน้างงๆ บวกกับสีหน้าไม่พอใจจนผมแยกไม่ออกเลยว่าเขาจะอารมณ์ไหนกันแน่
“ใครจะบ้าเมารถกัน ไม่ใช่เด็กบ้านนอกเหมือนนายนะ!”
“คนโซลเค้าไม่เมารถกันเหรอครับ ดีจัง”
“นั่งอมไอ้นี่แล้วเงียบไปเลยไป - -+” ฮยอกแจบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วมองลูกอมในมือตัวเองแล้วก็เก็บใส่กระเป๋า ตอนแรกผมก็คิดว่าเขาจะเขวี้ยงมันทิ้งลงพิเนเพราะโมโหครูทงเฮซะอีกแต่ก็ดีแล้วล่ะครับผมเสียดายของ
และแล้วก็มาถึงสถานที่สุดท้ายจนได้ครับ...หอคอยนัมซาน
“ไม่รู้อีตาครูเฮงซวยนั่นจะมาด้วยทำไม ท่าจะว่างมาก เป็นครูที่ปรึกษาหรือก็ไม่”
ฮยอกแจยังคงบ่นไม่หยุดไม่รู้ว่าเขาอาฆาตอะไรครูทงเฮนักหนา ตอนนี้ก็เกือบเย็นแล้ว ผมรู้สึกเป็นห่วงครูที่อยู่โรงเรียนในตอนนี้ ต่อให้อาการของครูเริ่มจะดีขึ้นแล้วก็เถอะครับ พวกคุณไม่เข้าใจความรู้สึกผมหรอก
“เขาอาจจะอยากมาคล้องกุญแจคู่กับฮยอกแจก็ได้นะครับ”
ใช่ครับ ฮยอกแจเล่าให้ผมฟังว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆ คู่รักชอบมาคล้องกุญแจกัน เหมือนในซีรี่ย์หลายๆ เรื่องที่พระเอกกับนางเอกเขวี้ยงลูกกุญแจทิ้งไปพร้อมกันทั้งคู่ แต่พอซีรี่ย์เรื่องนั้นจบพระเอกก็ไปโผล่เรื่องใหม่แล้วเขวี้ยงกุญแจกับนางเอกคนใหม่แบบนี้มันทำให้ผมชักจะไม่ค่อยเชื่อแล้วล่ะครับ
“เอากุญแจพวกนั้นไปคล้องเป้ากางเกงหมอนั่นดีกว่าไหม?” ฮยอกแจแค่นหัวเราะแล้วมองไปยังครูทงเฮที่กำลังยืนบอกทางนักท่องเที่ยวอยู่ เขาช่างเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ครับ
“ฮยอกแจเชื่อเรื่องคล้องกุญแจคู่รักนี่ไหมครับ”
“ไม่เชื่อแต่จะคล้อง” หืม - -
“แล้วถ้า...ไม่เอาดีกว่า” ผมส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปเมื่อผมคิดอุตริอยากคล้องกุญแจขึ้นมาบ้างแล้วไงครับ
“ถ้าอะไร นายอยากเขียนชื่อนายกับครูซีวอนลงไปล่ะสิ?” ฮยอกแจมองหน้าผมล้อๆ ผมได้แค่มองเขาหวาดๆ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เขาพูดออกมาครับ
“ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ...”
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ครูทงเฮเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราทั้งคู่ ฮยอกแจเห็นอย่างนั้นเลยกอดคอผมเดินหนีทันทีเลยครับแต่ว่าครูทงเฮก็ยังตื้อเดินตามมาติดๆ อีก “เฮ้...อย่าเดินหนีกันแบบนี้สิ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ไหนบอกว่าหายโกรธแล้วไงครับคนดี” ครูทงเฮเดินมาเทียบฮยอกแจ สีหน้าเขาอ้อล้อมากเลยครับ ผมคิดว่าครูทงเฮทำอะไรเปิดเผยซะขนาดนี้แต่ทำไมนะ...ทำไมเรื่องของเขาทั้งคู่ถึงปิดเป็นความลับมาได้ตั้งสามปี
“ถ้าผมไม่ยอมหายพี่คงไม่ปล่อยให้ผมออกมาทัศนศึกษาน่ะสิ”
“รู้ใจดีจริงๆ นัมเบอร์วันของพี่” ครูทงเฮหัวเราะชอบใจ ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินครับ เห็นแบบนี้แล้ววูบหนึ่งผมก็คิดไปว่าถ้าเกิดครูมาที่นี่ด้วยกันก็คงดี
“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง” ฮยอกแจหรี่ตามองผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมาอย่างกับรังมด
“มีอีกโรงเรียนมาด้วยน่ะสิ เพราะฉะนั้นอย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียวนะเดี๋ยวหลง” ครูทงเฮพูด ในความคิดผมแล้วผมคิดว่าต่อให้ฮยอกแจตกทะเลแล้วถูกพายุลูกใหญ่ซัดออกไปเขาก็คงว่ายกลับมาได้อยู่ดีแหละครับครู
“โรงเรียนอะไรเนี่ย ชุดไม่คุ้นเลย”
“โกอึมจุน โรงเรียนไฮโซที่มีแต่ลูกคนรวยเท่านั้นที่เข้าไปเรียน”
ผมหันไปมองกลุ่มนักเรียนที่กำลังลงมาจากรถตู้คันหรู มันไม่เหมือนรถตู้ทั่วไปที่ผมเคยนั่งเลยครับ รัศมีคนมีเงินแผ่ซ่านไปทั่วคนกลุ่มนั้นเลยทีเดียว
“โรงเรียนที่แฟนเก่าซีวอนสอนอยู่น่ะ”
ผมค่อยๆ หันไปมองหน้าครูทงเฮที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ฮยอกแจ เรื่องที่ผมได้ยินเมื่อครู่นั้นมันทำให้ผมอดคิดไม่ได้เลยว่าแฟนเก่าของครูจะมาที่นี่หรือเปล่า ถ้าเธอมาผมก็อยากจะเห็นหน้าเธอสักครั้ง
‘อีทงเฮเล่าให้ฟังว่า ครูโดนปฏิเสธการขอแต่งงานเมื่อวันเรียนจบ อ้างว่าเธอยังไม่พร้อม’
‘.................’
‘ฉันไม่รู้นะว่าเขายังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเลิกกันทั้งที่ยังรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่’
‘อ่า...’
‘ฉันกำลังเตือนสตินายอยู่นะคยูฮยอน คิดในแง่ดีหน่อยครูก็คงลืมผู้หญิงคนนั้นได้แล้วและบางทีครูก็อาจคิดที่จะเริ่มต้นใหม่กับนายก็ได้’
‘ครับ’
‘แต่ถ้าอีกแง่หนึ่ง...บางทีครูซีวอนอาจจะยังรักเธออยู่เพียงแต่เขาไม่พูดมันออกมาเท่านั้น’
ผมกำลังคิดว่าถ้าเกิดเป็นอย่างข้อแรกที่ฮยอกแจบอกมันก็คงดี แต่ถ้าครูยังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่ผมคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ แค่คิดว่าครูจะต้องเจ็บปวดผมก็รู้สึกเจ็บไปด้วยแล้ว ผมใช้เวลาหลายวันคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่คิดว่าจะต้องกลับมาคิดอีกครั้ง
ครูจะเสียใจแค่ไหนที่ถูกปฏิเสธแบบนั้น...ผมสงสารครูจังเลยครับ
“ถ้าโชคดีก็คงได้เจอกัน ฉันก็คิดถึงยัยนั่นเหมือนกัน” พูดจบก็ถูกฮยอกแจฟาดแขนทันที ครูทงเฮลูบแขนป้อยๆ หันมามองหน้าอีกฝ่ายงงๆ “อะไรกันเล่า”
“จะบ้าเหรอ คยูฮยอนยืนอยู่ตรงนี้จะให้เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน”
“อ้าว สรุปคยูฮยอนคบกับซีวอนแล้วเหรอ?” ครูชะเง้อหน้าถาม ผมได้เพียงแค่ยกมือปัดๆ ปฏิเสธไป
“เมื่อคืนเล่าให้ฟังแล้วก็ไม่สนใจไง ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ” ฮยอกแจบ่นอุบอิบ ครูทงเฮหัวเราะร่าก่อนจะเดินไปข้างหน้า
“ไปกันเถอะ ถ้าโชคดีคงได้เจอ...แต่ถ้าโชคร้ายหน่อยคือเราได้เจอเธอและซีวอนดันโผล่หัวมาที่นี่” ครูล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกราวน์แล้วเดินนำหน้าไป
“อย่าไปฟังหมอนั่นพูดเลย ทุกอย่างมันอยู่ที่ครูซีวอนนั่นแหละ” ฮยอกแจตบบ่าปลอบใจผม
สุดท้ายเราก็เดินขึ้นมาถึงที่ๆ ทุกคนรอคอยครับ แม่กุญแจที่เกาะอยู่ตามรั้วเรียงรายกันเต็มไปหมดจนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าคนที่คล้องกุญแจทั้งหมดนี่เขายังรักกันอยู่ดีไหม มองแม่กุญแจอันเล็กที่แอบซื้อมาทั้งสองอันในมือแล้วก็อมยิ้มเงียบๆ ผมเขียนชื่อครูกับผมไว้ด้วยครับ ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองกำลังเพ้อเจ้อที่ทำเรื่องแบบนี้โดยที่เราทั้งคู่ไม่ได้เป็นแฟนกัน เอาเถอะครับ...ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ให้ใครเห็น แต่ผมจะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อทุกคนทยอยกันลงไปขึ้นรถแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะเอาไปคล้องเป็นคนสุดท้ายแล้วกันนะครับ
RRRrrrr...
“สวัสดีครับครู”
( ว่าไง ทัศนศึกษาสนุกไหม? )
“สนุกครับ ถ้าเกิดครูมาด้วยกันคงสนุกมากกว่านี้”
ผมได้ยินเสียงครูหัวเราะเลยรู้ตัวว่าพูดอะไรบ้าๆ ออกไป
“ผมหมายถึงว่าผมอยากให้มาด้วยกันน่ะครับที่นี่สวยมากเลย ฮะๆ... - -”
( (หัวเราะ) งั้นวันหลังเราไปด้วยกันดีไหม? )
“หมายถึงพิพิธภัณฑ์เกาหลีเหรอครับครู”
( อืม...ครูหมายถึงหอคอยนัมซานน่ะ )
“.................”
( หลังสอบเสร็จเป็นไง )
“อะ...ครับ... (สำหรับครู) ผมว่างอยู่แล้ว...” ผมเริ่มหน้าแดงขึ้นมาเมื่อกำลังจินตนาการให้ไปถึงวันนั้นเร็วๆ ครูจะสารภาพรักผมแล้วเอาแม่กุญแจคล้องกับรั้วนั่นไหมนะ ไม่สิไม่! จะคิดแบบนั้นไม่ได้นะคยูฮยอน นายนี่มันเพ้อเจ้อจจริงๆ เลย (ทึ้งหัวตัวเอง)
( วันนี้ครูอาจจะกลับช้าหน่อยเพราะกะว่าจะไปเยี่ยมครูที่ปรึกษาของนาย ไม่ต้องรอทานมื้อเย็นนะ )
“ครับ”
( เอาล่ะ เที่ยวให้สนุกล่ะครูไม่กวนเวลานายแล้ว )
ผมเก็บมือถือใส่ในกระเป๋าแล้วมองไปรอบๆ ตัวที่นักเรียนหลายคนต่างกำลังทยอยกันเดินออกไป รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลยครับถ้าได้มาที่นี่กับครูจริงๆ มันจะมีอะไรอีกนอกจากบ้านตุ๊กตาหมีที่อยู่ข้างล่างกับที่นี่ ที่ๆ คู่รักเขามากัน...
ผมหันซ้ายหันขวาดูว่ามีใครมองอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ไม่มีเพื่อนผมอยู่แถวๆ นี้แล้วครับแม้กระทั่งฮยอกแจ เขาโดนครูทงเฮลากไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ทำอะไรสะดวกๆ หน่อย ผมไขแม่กุญแจออกแล้วคล้องชื่อตัวเองลงไปก่อน มองชื่อของครูบนแม่กุญแจอีกอันแล้วจู่ๆ หน้าก็แดงอีกแล้วครับ (_////_)
ขอโทษนะครับครู
แกร่บ...
ฟู่ว...เสร็จแล้ว
ผมเดินลงไปข้างล่างเพื่อขึ้นรถบัสตอนนี้ท้องฟ้ากำลังเป็นสีส้มอ่อนๆ กว่าจะกลับไปถึงโรงเรียนก็คงมืดพอดี แต่เดี๋ยวนะครับ...
รสบัสโรงเรียนที่จอดอยู่ตรงนี้หายไปไหนแล้วครับ!!!
“ข...ขอโทษนะครับ...ไม่ทราบว่ารถบัสโรงเรียนที่จอดอยู่ตรงนี้หายไปไหนแล้วครับ” ผมหันไปถามคนแถวนั้นครับ อย่าบอกนะว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ - -
“อ๋อ เพิ่งออกไปประมาณห้านาทีที่แล้วน่ะ”
“..............”
หะ...ห้านาทีที่แล้ว...
ไม่สิครับ ถ้าเกิดคนยังไม่ครบรถก็ออกไม่ได้ไม่ใช่เหรอ อย่างตอนอยู่พิพิธภัณฑ์ยังมีการเช็คชื่อนักเรียนก่อนออกรถเลยแล้วนี่มันอะไรกันครับ...
ตัดภาพไปที่รถบัส...
“ชเวมินโฮ”
“มาครับ”
“อีฮยอกแจ”
“ครับ...”
“โจคยูฮยอน”
“.............”
“โจคยูฮยอน?”
“เฮ้ยคยูฮยอน หลับเหรอ? ...สงสัยหมอนี่จะหลับมั้งครับครู”
“งั้นต่อไป คิมจงฮยอน”
“มาครับ!”
.
.
อย่างกับหนังไทยยอดฮิตเรื่องหนึ่งที่พระเอกตกรถ ผมกำลังเดินไปตามริมถนนเพื่อหารถกลับบ้าน จะทำยังไงดีครับตอนนี้แบทมือถือผมก็แดงเถือกแล้วด้วย กว่าจะโทรหาฮยอกแจติดเขาก็เล่นบ่นผมซะหูชาเลย เรื่องของเรื่องคือก่อนหน้านี้ครูทงเฮทะเลาะกับฮยอกแจครับเขาเลยคิดจะหาวิธีง้อ แต่ผมดันขึ้นรถไม่ทันมันก็เลยเป็นแบบนี้แหละ พอโทรหาครูก็ไม่ติดอีกแถวนี้สัญญาณมีปัญหาหรือยังไงก็ไม่รู้ครับ เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวผมเอง
“นี่หนู”
ผมหันไปตามเสียงเรียกเมื่อรถเก๋งคันหนึ่งจอดเทียบข้างๆ ผม กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงก่อนที่ผมจะเห็นใบหน้าของเธอ
“ผมเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ เรานั่นแหละ ตกรถเหรอ?”
“ประมาณนั้นเลยครับ - -”
“เอางี้ไหมเดี๋ยวฉันไปส่ง ขึ้นรถมาก่อนสิ”
ผมยืนนิ่งเลยครับพูดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้จักเธอมาก่อนจู่ๆ ก็หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้แบบนี้...จะหลอกผมไปขายหรือเปล่านะ
“ขึ้นมาเถอะ”
ผมต้องเก็บความเกรงใจยัดใส่ในกระเป๋าเมื่อตอนนี้ผมก็ไม่ต่างอะไรจากหมาจนตรอก แบทก็หมด เงินก็ไม่ค่อยมี ถ้าเกิดผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านคงได้ขายไร่ที่ปูซานมาจ่ายแน่ๆ เลย
สุดท้ายผมยอมขึ้นรถกับคนแปลกหน้าไป เธอเป็นคนสวยมากเลยครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนสวยใจดีอยู่บนโลกใบนี้ด้วย
“บ้านอยู่ไหนจ๊ะ?”
“ส่งผมแค่โรงเรียนก็พอแล้วครับ...” ผมงุดหน้าลงเล็กน้อย นั่งหนีบขาสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“โชคดีนะที่ฉันออกมาทีหลัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเดินอีกไกล” เธอหันมาพูดกับผมแล้วยิ้มให้ บอกไม่ถูกเลยครับกับรอยยิ้มของเธอ แค่มองแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น
“วันนี้ฉันแวะมาดูน้องสาวน่ะ รู้สึกเป็นห่วงเพราะเธอเพิ่งเคยออกมาทัศนศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
“เหมือนผมเลยครับ นี่ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน”
“จริงเหรอ? น้องสาวของฉันก็น่าจะวัยเดียวกับเธอนี่แหละ”
“ฮะๆ”
“แบทหมดเหรอ เอามือถือฉันไปใช้ก่อนไหมจ๊ะ?” เธอยื่นมือถือมาให้ผมครับ ผมรับมันไว้อย่างงงๆ ก่อนจะโค้งหัวของคุณเธอเล็กน้อย
“งั้นผมขอยืมหน่อยนะครับ”
ผมกดโทรออกอยู่หลายครั้งเลยครับกว่าจะติด ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อครูรับสายผม
“ฮัลโหลครูครับ”
( คยูฮยอนเหรอ? เอาเบอร์ใครโทรมาน่ะ? )
“คืองี้ครับครู...ตอนนี้ผม...”
( เป็นอะไรหรือเปล่า )
“ผม...ตกรถน่ะครับ”
( ตกรถเหรอ? ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? )
“ผมไปขึ้นรถช้าน่ะครับครู...มันเป็นความผิดของผมเอง...” ผมพูดเสียงแผ่วเพราะกลัวถูกครูดุครับ ระหว่างนั้นเธอคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันมายิ้มให้เมื่อเห็นสีหน้าผมไม่ดี
( ตอนนี้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวครูจะไปรับ )
“ตอนนี้ผมอยู่กับคนใจดีคนหนึ่งครับ เธอกำลังจะไปส่งผมที่โรงเรียน”
( ขอครูคุยกับเขาหน่อย )
ผมมองหน้าคนขับพร้อมกับยื่นมือถือไปตรงหน้า เธอรับมันไปอย่างงงๆ
“คุยกับครูผมหน่อยครับ...”
“อ๋อได้สิ...สวัสดีค่ะ”
( ขอโทษครับ ผมเป็นครูของเด็กคนนี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกันเหรอครับ? )
“ตอนนี้ฉันกำลังกลับเข้าตัวเมืองแล้วล่ะค่ะ อยู่แถวห้างสรรพสินค้า K แล้ว”
( งั้นคุณช่วยจอดรอผมที่นั่นได้ไหม พอดีว่าผมกำลังจะไปแถวๆ นั้นพอดี )
“ได้สิคะ งั้นฉันจะนั่งรอที่แม็คโดนัลชั้นหนึ่งนะ”
( ขอบคุณมากครับผม )
ผมนั่งจ้องหน้าเธออย่างใจจดใจจ่อ แต่เธอแค่หันมายิ้มให้แล้วเลี้ยวเข้าไปในห้าง ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ ผมกำลังสร้างภาระให้ทั้งครูและผู้หญิงคนนี้
.
.
“ดูท่าครูของเธอจะเป็นห่วงมากเลยล่ะ”
“เขาดุผมบ้างไหมครับ?”
“ไม่เลย จากน้ำเสียงแล้วเขาดูกระวนกระวายเสียมากกว่า”
“อ่า...ขอบคุณมากเลยนะครับ...”
ผมได้แค่นั่งดูดน้ำอัดลมรอครูมาหา ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดใครได้เป็นแฟนของผู้หญิงคนนี้เขาคงโชคดีมากเลยล่ะครับ ไหนจะใจดี ยิ้มสวย
“แล้วคุณไม่ได้กลับพร้อมน้องสาวเหรอครับ”
“ไม่หรอกจ๊ะฉันเอารถส่วนตัวมา พอดีว่าช่วงบ่ายไม่มีสอนแล้วเลยแวะมาดูน้องสาว”
“อ้าว คุณเป็นครูเหรอครับ?”
“ใช่จ๊ะ โรงเรียนนั้นนั่นแหละ” เธอหัวเราะ
“ว๊าว...สอนวิชาอะไรเหรอครับ ถ้าให้เดา...ผมว่าต้องสอนภาษาอังกฤษแน่ๆ เลย”
“เดาผิดแล้ว~ ฉันสอนคณิตศาสตร์ต่างหาก” เธอยังคงหัวเราะแล้วดันถาดแฮมเบอร์เกอร์มาให้ผม
“อ๋า...แต่ครูคนที่ผมโทรหาก็สอนคณิตศาสตร์เหมือนกันนะครับ”
“จริงเหรอ จริงๆ แล้วฉันก็มีเพื่อนอยู่ที่โรงเรียนเธอเหมือนกันนะ คนหนึ่งสอนคณิตศาสตร์ อีกคนดูเหมือนว่าเขาจะสอนสุขศึกษามั้ง ไม่แน่ใจ”
“จำชื่อได้ไหมครับ เผื่อผมรู้จัก” ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นครับ ถึงแม้ว่าผมจะมาอยู่ที่โรงเรียนนี่ได้ไม่นานแต่ผมคิดว่าผมรู้จักครูหลายคนพอสมควรเลย
ตอนนี้ผมรู้สึกถูกชะตากับเธออย่างบอกไม่ถูก ชีวิตนี้ผมได้พบเจอครูสอนคณิตศาสตร์ที่ใจดีที่สุดถึงสองคนแล้วล่ะครับ
“ชเวซีวอน...”
“อะไรนะครับ นั่นคือเพื่อนคุณเหรอ”
“อ่า...” เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะประสานมือวางไว้บนโต๊ะ
“นั่นแหละครับคนที่ผมเพิ่งโทรหาเมื่อกี้ เดี๋ยวเขาก็จะมาแล้ว ดีจังเลยนะครับที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันที่ไหน” ผมยิ้มด้วยความปิติแต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับดูไม่ดีสักเท่าไหร่เลยครับ
“แล้วครูสอนสุขศึกษาอีกคนล่ะครับชื่ออะไร”
ตอนนี้สีหน้าของเธอเริ่มไม่สู้ดีนัก จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นพรวดพลางเอาผมเหน็บหู รอยยิ้มฝืนๆ ของเธอกำลังทำให้ผมตกใจ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
“...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ขอโทษจ๊ะ ฉันคงนั่งรอครูของเธอต่อไปไม่ได้ พอดีเพิ่งนึกออกว่ามีธุระน่ะ” เธอสะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป ผมได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะรั้งเธอเอาไว้แต่นั่นเป็นจังหวะเดียวที่ครูเดินเข้ามาพอดี
“นั่นไงครับ ครูมาพอดีเลย”
“....................”
“....................”
“อึนซอ...”
TALK
คิยูหน้าโง่ (ล้อ)
เชื่อว่าหลายคนคงคาดหวังกับทัศนศึกษาครั้งนี้ เราเสียใจจริงๆ ที่มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด
(เสียใจจริงๆ) 55555
ความคิดเห็น