คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Friend's VIII - Feel..
“จะต่อย..จะด่าว่า..คาดโทษอะไรกับกูก็เชิญ..”
“........................”
“ไหนๆ กูก็ไม่เคยเป็นคนดีในสายตามึงอยู่แล้วนี่..”
สายตาตัดพ้อของทงเฮทำให้ฮยอกแจพูดอะไรไม่ออก มือหนาไม่ได้ออกแรงบีบมือเขาเหมือนอย่างที่เคย..ทงเฮอาจจะทำอะไรบ้าๆ เหมือนตอนนั้นรึเปล่าในตอนแรกก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ในตอนนี้ความโกรธ ความเป็นห่วงนั้นมันกลบความรู้สึกกลัวไปหมดแล้ว
ไม่ได้ตอบคำถามอะไรออกไป..ไม่จำเป็นต้องพูดให้ทงเฮรู้สึกดีขึ้น..ในเมื่อแต่ละคำที่พูดออกไปมันก็ทำร้ายทั้งตัวเขาและทงเฮไม่แพ้กัน..
“คนที่แคร์มากที่สุด..” เอ่ยทั้งน้ำเสียงสั่น นัยน์ตาคมจ้องมองคนตรงหน้า..เว้นช่วงประโยคอยู่ครู่หนึ่ง “คนที่คิดว่าจะอยู่ข้างๆ กันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..” ร่างโปร่งชะงัก รู้สึกจุกอยู่ในอก..
เคยคิดมาตลอดว่าฮยอกแจคือคนที่เข้าใจเขามากที่สุด..แต่แล้วยังไงล่ะ..
ที่เป็นแบบนี้..ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ..
แต่ที่เจ็บ..ก็เพราะทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ต่างหาก..
“ถ้าจะเกลียดกู..ก็เกลียดให้ถึงที่สุดสิ” ทงเฮพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด ฮยอกแจเบือนหน้าหลบ..นัยน์ตาคู่สวยสั่นระริกพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้..
ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้เห็น..
“ไหนจะกางร่มให้..ไหนจะลากกูออกมา..ไม่ปล่อยให้กูโดนยิงตายไปเลยล่ะ” ได้ยินทุกอย่างชัดเจน..ในตอนนั้นไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่น..รู้ตัวอีกทีก็กระชากทงเฮออกมาจากตรงนั้นแล้ว
“...จะทำดีกับคนที่มึงเกลียดไปทำไม”
คราวนี้เป็นฮยอกแจที่พูดไม่ออก..ได้เพียงแค่ฟังคนตรงหน้าระบายความรู้สึกออกมา นั่นน่ะสิ..เขาทำดีกับทงเฮไปเพื่ออะไรกัน?
“ถ้ากูตาย..คนที่จะดีใจเป็นคนแรกก็คงเป็นมึงไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าเรียวหันกลับมามองคนตรงหน้าหลังจากอีกฝ่ายพูดจบ ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยสักครั้ง..ถึงจะโกรธทงเฮมากแค่ไหนแต่สุดท้ายก็แพ้ความรู้สึกตัวเองอยู่ดี.. กลับกลายเป็นเขาเองด้วยซ้ำที่รู้สึกเกลียดตัวเอง...เกลียดที่ไม่กล้าตัดสินใจให้เด็ดขาด..
เกลียดตัวเอง...ที่เกลียดทงเฮไม่ลง...
ฮยอกแจเม้มริมฝีปากแน่น..ได้เพียงแค่สบตากับอีกฝ่าย..แทนที่จะสะใจตอนเห็นทงเฮอยู่ในสภาพนี้..แต่กลับกันแล้วเป็นเขาเองที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน..
นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นที่ทาบทับลงบนริมฝีปาก..ข้อมือถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระหากแต่ร่างโปร่งกลับยืนนิ่ง..มือหนายึดไหล่บางเอาไว้ทั้งสองข้าง..แค่ริมฝีปากที่แตะลงมาเพียงเบาบางเท่านั้น..แต่กลับรู้สึกเจ็บปวดไปถึงหัวใจ..
ร่างโปร่งผลักอกอีกฝ่ายออกเต็มแรงพลางจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาที่ดูว่างเปล่าราวกับคนสิ้นหวัง..มือเรียวยกขึ้นถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะวิ่งไปโบกแท็กซี่ที่วิ่งผ่านมาพอดี
ใบหน้าคมมองตามใครอีกคนที่กำลังปิดประตูรถ ใบหน้าเรียวเบือนหลบไปอีกทางไม่แม้จะหันมามองเขาเลยสักนิด.. ทงเฮแค่นเสียงหัวเราะ นึกสมเพชตัวเองที่ทำอะไรบ้าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
มือหนาเสยผมขึ้นพลางหลับตาลง..อากาศตอนกลางคืนหนาวเย็นขึ้นตามเวลา..อีกไม่นาน..ฝนก็คงตกลงมา หากแต่ใครคนหนึ่งกลับเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ถึงตอนนี้น้ำตาจะแห้งเหือดไปแล้ว..แต่ความรู้สึกเจ็บปวดมันยังคงอยู่ไม่จางหายไป..
บางทีการประชดชีวิตมันก็เป็นวิธีที่ทำแล้วสะใจใช้ได้..นอกจากจะทำให้คนอื่นเจ็บปวดแล้ว...
ก็ยังทำให้หัวใจตัวเองเจ็บไปพร้อมๆ กัน..
จนบางครั้งมีคำถามว่า..
ที่ทำไปทั้งหมดนั้น..ฮยอกแจหรือเขาเอง..ที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดมากที่สุด..
.
.
สายตาทอดมองไปข้างนอกก่อนจะเอนหัวพิงกับกระจกรถ..ทำไมถึงได้รู้สึกเหนื่อยแบบนี้..แค่ได้หายใจใกล้ๆ แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยค..ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้แล้วงั้นเหรอ..
จูบแรก..ระหว่างเขากับทงเฮ
จะเรียกว่าจูบก็คงได้..ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเบาๆ เคยถูกบังคับขืนใจมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง..แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะถูกทำแบบนี้..
มือเรียวยกขึ้นป้องปากตัวเองเมื่อสกัดกั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ไม่ไหว..หยาดน้ำใสไหลอาบแก้ม ความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไรกัน แล้วน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดนี่เพราะอะไร..
“เป็นผู้ชาย..เค้าไม่ร้องไห้กันหรอก”
ถึงทงเฮจะเคยพูดแบบนี้..แต่กลับเป็นเขาเองที่ร้องไห้ต่อหน้าฮยอกแจ..และพอได้เห็นน้ำตาของคนที่เคยด่าว่าไร้หัวใจ..คำพูดทุกอย่างก็ถูกกลืนลงคอไปหมด
จนในตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจแล้ว..ว่าทงเฮหรือเขากันแน่..
ที่เป็นคน...ไร้หัวใจ....
.
.
เคยบอกตัวเองว่าอย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร..
ในตอนนี้..ผมคงต้องคิดใหม่..
ในคาบเซรามิกส์..นักศึกษากำลังใช้สมาธิในการปั้นในขณะที่อาจารย์หนุ่มกำลังนั่งเช็คคะแนนในส่วนต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอม..จนไล่มาถึงชื่อของโจคยูฮยอน..
คะแนนอยู่ในระดับดี..
ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงใครอีกคนที่คงนอนหลับอยู่ในห้องของเขา..บางทีถ้าเกิดเรื่องนี้ถึงหูใครเข้าคงได้ตกเป็นข่าวฉาวแน่..แต่ทุกอย่างที่ทำลงไป..มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรขนาดนั้นนี่..
ก็แค่อาจารย์ดูแลลูกศิษย์ก็เท่านั้น..
“เอ่อ..” ใบหน้าคมเงยขึ้นมองร่างผอมบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา มือแกร่งวางปากกาลงพลางมองหน้าอีกฝ่าย เขากับฮยอกแจไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอีกเลยหลังจากวันนั้น ถึงแม้ร่างโปร่งจะอยู่ในคาบเรียนของเขา แต่การกระทำทุกอย่างมันชัดเจนที่ฮยอกแจพยายามเลี่ยงออกห่าง..
ก็พอเข้าใจ..เพราะมันก็เป็นความต้องการของเขาทั้งคู่..ในเมื่อฮยอกแจต้องการให้ลืมทุกอย่างเขาเองก็พร้อมที่จะทำตาม คนอย่างชเวซีวอนไม่ใช่คนที่ชอบเข้าไปเซ้าซี้ใครอยู่แล้ว
“ผมมาลาป่วยให้คยูฮยอนครับ” พูดจบก็แทบกลั้นขำไม่อยู่ ใบหน้าคมพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะเลิกคิ้วถามอีกคนหน้าตาเฉย
“หืม?”
“คยูฮยอนไม่สบาย..ให้เขาทำงานแจกันส่งย้อนหลังได้ไหมครับ” ฮยอกแจพูด นัยน์ตาเรียวนิ่งไม่มีพิรุธให้จับผิด.. ถ้าเกิดซีวอนไม่รู้..ก็คงเชื่อไปแล้วว่าคยูฮยอนป่วยจริงๆ ถ้าเกิดมีใบลามาด้วยเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะกลั้นหัวเราะไหวรึเปล่า
“อ่า..ได้สิ..ไว้เขาหายป่วยเมื่อไหร่ก็บอกให้ติดต่อผมมาแล้วกัน” ซีวอนพูดพร้อมกับเปิดดูรายชื่อนักศึกษาก่อนจะติ๊กเครื่องหมายหน้าชื่อไว้เพื่อให้อีกคนสบายใจ
“ขอบคุณมากนะครับ” ฮยอกแจโค้งหัวให้กับร่างสูงก่อนจะเดินกลับไปยังเครื่องปั้นประจำตำแหน่ง ซีวอนมองตามแผ่นหลังบางพลางยิ้มน้อยๆ
เด็กคนนี้...ใจแข็งน่าดู...
.
.
จริงหรือเปล่า..
ที่เราจะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่ใกล้คนที่ชอบ..?
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาหลังจากผ่านพ้นวันที่แสนโหดร้าย..จะโทษว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งก็คงไม่ได้ในเมื่อตัวเองเลือกที่จะเดินกลับบ้านทั้งที่รถจอดอยู่ร้านพี่ฮีชอลตั้งแต่เมื่อคืน..ระหว่างทางตอนเดินกลับมีเรื่องต่างๆ นาๆ ผุดขึ้นมาให้คิดมากมาย.. นี่ก็ปีสามแล้วแต่ยังทำเป็นเล่นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต..ทั้งที่คนอื่นวางแผนอนาคตกันแต่เขากลับไม่เคยคิดถึงจุดนั้น
พอนึกถึงยูอีแล้วก็อดคิดไม่ได้..ถ้าสมมติเด็กที่เธอแท้งไปเป็นลูกของเขาจริงๆ ล่ะ? เขาพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างแล้วเหรอ?
คำตอบคือไม่...
อีทงเฮเป็นแค่ผู้ชายที่ชอบคิดอะไรตื้นๆ เขาเลี้ยงดูยูอีกับเด็กไม่ไหวแน่ งานการก็ยังไม่มี เรียนก็ยังไม่จบ อนาคตข้างหน้ามันช่างมืดมนเสียเหลือเกิน..
พอเริ่มคิดได้ว่าไม่ควรปล่อยให้ชีวิตลอยไปลอยมา เมื่อเช้าก็เลยไปติดต่อเรื่องสถานที่ฝึกงานสำหรับนิสิตปีสาม ด้วยความที่อยากลองทำตัวเหมือนคนปกติดูบ้าง...ก็เลยนั่งรถเมล์ไปมหาลัย...
สุดท้าย...ก็นั่งผิดป้าย...
หนำซ้ำพอขึ้นรถเมล์ถูกสาย ถามย้ำคนขับรถเมล์แล้วนะว่าผ่านมหาลัยรึเปล่า..โอเค...ทางนั้นตอบว่าผ่านชัวร์ร้อยเปอร์เซนต์...อีทงเฮก็วางใจหน่อย...แต่สุดท้าย...
ก็นั่งเลยป้ายจนต้องวิ่งหอบย้อนกลับมาทางเดิม...
กว่าจะเดินเรื่องเสร็จ กว่าจะคลานกลับมาถึงบ้านก็เล่นเอาเหงื่อโทรมกาย จะไม่อยู่ในสภาพนี้เลยถ้าเกิดไม่มีอาการไข้หวัดแบบนี้
จริงๆ ก็หายหวัดตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ แต่คงเพราะเดินตากลมทั้งคืนบวกกับนอนไม่พอแถมยังไปตากแดดตากลมที่มหาลัยอีก...คงไม่แปลกที่จะต้องมานอนซมแบบนี้...
ร่างหนาห้อยหัวลงจากโซฟาพลางดึงทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำมูกหมดสภาพหนุ่มแบดบอยที่น่าหลงไหล นอนท่านี้ด้วยความสิ้นคิดเพราะคิดว่าน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาน้ำมูกไหลได้..เปลือกตาปิดลงอย่างอ่อนล้า เหนื่อยกับทุกอย่าง...
นี่แม่หายไปไหนนะ...
เปลือกตาหนายังคงหลับอยู่ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงประตูเปิดออก อ่า..โชคดีจัง..แม่คงกลับมาแล้วสินะ
"แม่
.ขอโคล่าแก้วนึง"
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับของผู้เป็นแม่ ได้ยินเพียงแค่เสียงเปิดตู้เย็นกับเสียงน้ำแข็งที่กระทบกับแก้วเท่านั้นไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า ทงเฮยื่นมือขึ้นไปรับแก้วทั้งที่ตายังปิดอยู่.. เปลือกตาหนาลืมตาขึ้นพลางจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ต้องเบิกตากว้างทันทีที่ลืมตา...
เฮ้ย!!! นี่มัน...นี่มันอีฮยอกแจนี่หว่า!!
ร่างหนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมที่ลอยขึ้นก่อนจะตกลงมาแตกกระจายบนพื้น นัยน์ตาคมจ้องอีกฝ่ายตาปริบๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง..
อีฮยอกแจกำลังก้มเก็บเศษแก้วที่แตกอยู่บนพื้นโดยไม่มีท่าทีตกใจเหมือนเขาเลยแม้แต่น้อย..ไม่จริง..นี่เขากำลังฝันอยู่ใช่ไหม?
อีฮยอกแจจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตลกน่า
“ใช่..มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ..” พึมพำกับตัวเองก่อนจะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อไม้ถูพื้นชนขาเข้าให้ ทงเฮยกขาขึ้นบนโซฟาอย่างงงๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ถูพื้นอยู่อย่างนั้น
ทงเฮมองเสื้อตัวเองที่เลอะน้ำอัดลมก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางเดินไปหยุดหน้าประตูห้อง ร่างหนาเอี้ยวตัวกลับไปมองอีกคนที่เอาถังขยะใบเล็กมาใส่เศษกองทิชชู่ที่กองไว้บนโต๊ะ..
ไม่อายสักนิด ซากกางเกงในของผมฮยอกแจมันก็เคยเก็บให้มาแล้ว..แต่ที่ยืนมองเนี่ยก็เพราะสงสัยว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ร่างหนาเข้าไปในห้องนอนพลางเดินไปเปิดประตูเสื้อผ้า ในตอนนี้ทำตัวไม่ถูก..ใช่..ทำตัวไม่ถูก..มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด..แล้วไอ้อาการตื่นตูมเมื่อกี้มันก็โคตรจะเสียฟอร์มเลยให้ตายเถอะ ฮยอกแจคงแอบหัวเราะเขาอยู่ในใจเป็นแน่..
หรือว่าจะหายโกรธแล้ว?
ไม่สิ..ถ้าหายโกรธแล้วมันก็ต้องมีเข้ามาทักทายกันบ้างไม่ใช่เหรอ..แต่นี่เล่นทำเหมือนเขาเป็นวิญญาณผีเฝ้าบ้านที่มองไม่เห็นงั้นแหละ
ทงเฮเดินออกมาจากห้องในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงสามส่วนสบายๆ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดิมพลางเหล่มองคนที่กำลังง่วนอยู่กับซิงค์ล้างจาน..
อยากรู้..แต่ถ้าถามไปก็กลัวจะเสียฟอร์ม..
เรื่องเมื่อคืนยังคาใจอยู่ หนำซ้ำยังไปจูบมันอีก ถ้าจะให้เป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อนเกิดมันเสือกหยิ่งไม่ตอบขึ้นมาก็หน้าแตกน่ะสิ..ในตอนนี้เริ่มสับสนในตัวเองจนทำตัวไม่ถูก ทั้งรู้สึกผิด ทั้งทิฐิ แล้วจะทำยังไงล่ะ คงต้องนั่งนิ่งๆ ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสินะ..อืม..ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น..อยากทำความสะอาดบ้านนักก็ทำไป ทำเสร็จแล้วก็กลับๆ ไปเลยนะไม่ต้องมาคุยกันหรอก
ร่างหนาเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะจัดแจงท่านั่งไปมาเกือบสิบท่า ท่าไหนก็ไม่ได้ดั่งใจ ต้องทำฟอร์มเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับการมาเยือนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ให้ฮยอกแจได้รู้ซะบ้างว่าเขาเองก็โกรธเป็นเหมือนกัน
RRRRrrrrr!!!!!
“พ่อมึง...!!!”
ริมฝีปากหยักสบถอย่างตกใจเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น.. ร่างโปร่งเอี้ยวตัวหันกลับมามองอีกฝ่ายที่กำลังปั้นหน้าให้เป็นปกติหลังจากปล่อยไก่ตัวเบ่อเร่อออกมาก่อนจะหันกลับไปล้างจานต่อไป
“สวัสดีครับ ที่นี่กรมปศุสัตว์ย่านคังนัม” กวนประสาทคนในปลายสายที่โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา ล้านปีจะมีคนโทรเข้ามาแบบนี้...คงเป็นใครไม่ได้นอกจากพ่อกับแม่ของเขา
‘กรมบ้าบออะไรของแก ฮยอกแจมาถึงรึยังน่ะ’ ได้ยินแล้วถึงกับอ้าปากค้าง..
“อ๊อ...ที่แท้ก็เป็นแผนของแม่นี่เองสินะ...” นึกโกรธแม่ในใจจนอยากแหกปากดังๆ ลั่นบ้านสักที
ให้ตายเถอะ! เมื่อกี้ก็แอบคิดในแง่ดีไปแล้วว่าฮยอกแจอาจสำนึกผิดที่ต่อยหน้าเขาแล้วหนีขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านและทิ้งให้เขายืนเอ๋ออยู่ตรงนั้น..เออ..ก็นั่นแหละฮยอกแจหนีขึ้นแท็กซี่เพราะโดนเขาจูบก็จริง..
แต่จูบมันไม่เจ็บเหมือนโดนต่อยนี่ครับ?
‘แผนอะไร แม่ก็แค่โทรเรียกฮยอกแจมาเอาของฝาก’
“ไม่ต้องมาพูด! แม่น่ะตัวการ!” ป้องปากคุยพลางหันกลับไปมองคนที่อยู่ในห้องครัวเป็นระยะ แม่ชักจะเอาใหญ่แล้ว ก็รู้ว่าแม่หวังดี อยากให้เขาคุยกับฮยอกแจ...แต่.....
‘หุบปากแล้วเรียกฮยอกแจมาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้’ ทงเฮถึงกับอ้าปากค้าง...อะไรกัน! ใครจะไปทำแบบนั้น เสียฟอร์มแย่ดิ
“ไม่”
‘หนึ่ง’
“ต่อให้นับถึงร้อยผมก็ไม่เรียกให้แม่หรอก”
ครั้งหนึ่งแม่เคยเล่นมุขนับเลขมาแล้วตอนไปประกันตัวเขาออกจากโรงพักหลังจากมีเรื่องชกต่อย กับลูกคนใหญ่คนโตแม่อ้างจะไม่ซื้อรถให้ถ้าเกิดไม่ยอมขอโทษอีกฝ่าย..แล้วสุดท้าย..
‘สอง’
“ก็ได้!! จะเรียกให้เดี๋ยวนี้แหละ...” ทงเฮผละออกจากโทรศัพท์พลางบ่นอุบอิบ ร่างหนายันตัวลุกขึ้นยืน..
แค่หายใจเข้าลึกๆ ปั้นหน้าให้ปกติ...แล้วเดินเอาโทรศัพท์ไปให้ก็จบน่าอีทงเฮ...
ฮยอกแจเอี้ยวตัวหันกลับมามองอีกคนเมื่อถูกสะกิดแขน.. นัยน์ตาเรียวก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหนาก่อนจะเงยหน้ามองร่างหนาที่เบือนหน้าหลบไปอีกทาง
“แม่จะคุยด้วย”
ฮยอกแจรับโทรศัพท์จากมืออีกคนมาก่อนจะอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของคนในปลายสาย แม่ของทงเฮยังคงน่ารักเหมือนเดิม..
“ครับแม่”
“ครับ..ผมพึ่งมาถึงเองครับ..มื้อเย็นเหรอครับ..อ่า”
มื้อเย็น?! นี่แม่คิดจะประกาศสงครามกับเขาใช่ไหมที่ชวนฮยอกแจอยู่กินมื้อเย็นด้วยกันแบบนี้เนี่ย..แค่นี้ก็หน้าแหกเกินทนแล้วนะ...โอย...กูจะบ้า
“ได้สิครับ..ครับ..ไม่รีบครับ...ครับผม...ขับรถดีๆ นะครับแม่...ครับ..สวัสดีครับ..”
ถึงจะนั่งอยู่โซฟาเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยทำเหมือนไม่ได้สนใจกับบทสนทนาแต่หูนั้นเก็บข้อมูลทุกอย่าง ทงเฮเอนตัวลงนอนพลางคว้ากล่องทิชชู่มากอด..ที่อึดอัดหายใจไม่ออกเป็นเพราะอาการไข้หวัดหรือเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้กันแน่นะ
.
.
“กินเยอะๆ นะ เราน่ะผอมเกินไปแล้ว” พูดพร้อมกับตักกับข้าวใส่จานร่างโปร่งอย่างเอ็นดู
“ครับ ผมจะทานให้หมดเลย..” ฮยอกแจว่าพลางยิ้มให้กับคนที่นั่งข้างๆ
ทงเฮมองแม่กับฮยอกแจสลับกันไปมาพลางตักข้าวเปล่าเข้าปาก..โอ๋กันเข้าไป..ลูกก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไม่เคยจะสนใจตักให้กินหรอก นั่นก็อีกคน..ช่วยสำนึกบ้างได้ไหมว่าคนที่นั่งอ้อนอยู่นั่นน่ะคือแม่ของเขานะ แม่ของคนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาไง
“เป็นอะไรไปทงเฮ” ทงเฮชะงักพลางปั้นหน้าให้เป็นปกติ “อะไร เป็นอะไร” พูดพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก คนเป็นแม่มองพฤติกรรมของลูกชายแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ไอ้ลูกคนนี้ชักจะบ้าเข้าไปทุกวันแล้ว
“นี่ก็อร่อย เจ้านี้ขาประจำของแม่เอง ลองชิมดูสิ” พูดพร้อมกับตักกุ้งผัดซอสเผ็ดใส่จานร่างโปร่ง..ฮยอกแจจ้องมองกุ้งที่อยู่บนจานก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นเมื่อใครอีกคนเอื้อมมาตักมันออกไปใส่จานตัวเอง
“ทงเฮ! นี่แกทำอะไรน่ะ” ลุกขึ้นเอื้อมไปตีแขนลูกชายเบาๆ คนถูกตีขมวดคิ้วมองคนเป็นแม่พลางเคี้ยวกุ้งที่พึ่งแย่งมาเมื่อครู่ก่อนจะลูบแขนป้อยๆ
“อะไรเล่า”
“อยากกินก็ตักเองสิ ไปแย่งของเพื่อนทำไม”
“ก็หิวอ่ะ” ตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหันไปสบตากับร่างโปร่งที่จ้องเขาอยู่อย่างนั้นท่ามกลางเสียงบ่นของคนเป็นแม่ที่ไม่ได้ลอยเข้าหูเลยสักนิด
“น่าเสียดาย มาทะเลทั้งทีแต่แดกกุ้งไม่ได้...สั่งมาเยอะซะด้วยสิ”
“กูก็อยากกินนะ ตอนนั้นลองแดกทีแม่งผื่นขึ้นเห่อเลย”
“สงสารไอ้ฮยอกแจว่ะสาดเสือกแพ้ของอร่อย..งั้นก็แดกปลาเผาอย่างเดียวเถอะมึง”
“55555555555555555”
“ทงเฮ!! ไอ้เด็กคนนี้นี่!!” ลุกขึ้นฟาดแขนลูกชายแรงๆ อีกครั้ง เมื่อร่างหนาเล่นเอาจานกุ้งผัดซอสเผ็ดมาเทใส่จานตัวเองจนหมด เสียงบ่นของคนข้างๆ ไม่ได้ทำให้คนอย่างอีทงเฮสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มือหนายกแก้วน้ำขึ้นดื่มพลางพ่นลมออกจากปากเมื่อรู้สึกได้ถึงไอร้อนของรสเผ็ดที่ไล่ลงคอ..ฮยอกแจนั่งมองพฤติกรรมของคนตรงหน้าแล้วก็พูดไม่ออก..
ทงเฮรู้ว่าเขาแพ้กุ้ง..แต่ทงเฮเอง..ก็กินเผ็ดไม่ได้..
.
.
ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปในห้องพลางมองใครอีกคนที่นั่งกอดเข่าดูทีวีบนโซฟาในชุดไหมพรมสีขาว นัยน์ตาเรียวมองผู้มาใหม่ก่อนจะกดปิดรีโมททีวี
“หิวรึยัง”
“ยังครับ” คยูฮยอนมองตามอาจารย์หนุ่มที่เดินถือถุงพะรุงพะรังหายเข้าไปในครัว วันนี้นั่งๆ นอนๆ ทั้งวัน..รู้สึกเป็นภาระอย่างบอกไม่ถูก ไม่นานนักร่างสูงก็เดินออกมาพร้อมกับแอปเปิ้ลหนึ่งลูก มือแกร่งยื่นให้กับอีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ขอบคุณครับ” รับมาถือไว้ตามมารยาท อาจารย์หนุ่มยิ้มบางๆ นั่นทำให้เขาเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
“โทรหาเพื่อนคุณหน่อยดีไหม?” มือแกร่งคว้าโทรศัพท์บ้านขึ้นมาพร้อมกับยื่นให้กับร่างโปร่ง.. คยูฮยอนมองอีกฝ่ายงงๆ แต่ก็รับโทรศัพท์มาถือเอาไว้
“เพื่อนคุณ...อีฮยอกแจน่ะ...ดูท่าเค้าจะเป็นห่วงคุณน่าดู โทรไปบอกเขาสักหน่อยสิ”
คยูฮยอนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปข้างนอกระเบียง ถึงจะมีประตูกระจกกั้นแต่ก็พอได้ยินว่าคุยอะไรกันไปบ้าง ไม่นานนักคยูฮยอนก็เดินกลับมาพร้อมกับโค้งหัวขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร”
จู่ๆ ก็เงียบไปเลยทั้งคู่ ซีวอนหันไปมองลูกศิษย์ที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาแล้วก็รู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรในตอนนี้?
“ถ้าผม...ขอรบกวนคุณอีกสักสองสามวัน...คุณจะว่าอะไรไหมครับ” ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองคนข้างๆ ซีวอนทำหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่คุณน่ะบอกที่บ้านรึยัง”
“....ยังครับ”
“โทรไปบอกเขาหน่อยก็ดีนะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล” ยื่นโทรศัพท์ให้ร่างโปร่งอีกครั้ง คยูฮยอนมองมืออีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูง
“...แต่ผมว่า...คุณพาผมกลับไปเอาของที่บ้านเลยดีกว่า”
.
.
ความหึงหวง..
ทำให้คนๆ หนึ่ง..กลายเป็นหมาบ้าโดยไม่รู้ตัว
ร่างสูงยืนพิงรถคู่ใจในขณะที่ยืนรอร่างโปร่งเก็บของ เขาจอดรถอยู่ไม่ห่างจากบ้านคยูฮยอนนัก พ่อแม่เขาคงไม่เปรมเท่าไหร่ถ้าเกิดเห็นลูกชายหอบข้าวของออกมากับอาจารย์อย่างเขา
มือแกร่งคว้าซองบุหรี่ขึ้นมาก่อนชะหยุดชะงักเมื่อนึกได้ว่าใครอีกคนเกลียดกลิ่นบุหรี่..ซองบุหรี่ถูกเก็บเข้าไปเช่นเดิมพลางถอนหายใจเบาๆ คนที่ติดบุหรี่อย่างเขาต้องมางดสูบแบบกระทันหันแบบนี้มันก็ลำบากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน..ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ติดหนักอะไร แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็เป็นต้องสูบทุกที..
นัยน์ตาคมมองไปยังรถเก๋งคันสีดำที่จอดลงหน้าบ้านคยูฮยอนก่อนที่ใครอีกคนจะเดินลงมาจากรถ..ร่างหนาหยุดยืนกับที่พลางจ้องมองเขาในขณะที่คยูฮยอนกำลังเดินออกมาพอดี
ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้าไปคุยกับคยูฮยอนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับทุกครั้ง แต่ดูคยูฮยอนจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่..ทั้งคู่คุยอะไรกันเขาเองก็ไม่ได้ยินเพราะระยะห่างมันก็ไกลพอสมควร
“จะไปไหนเหรอ?”
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่”
“เมื่อคืนไม่กลับบ้าน..รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง..” ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อนโยนให้กับคนตรงหน้า..ใช่..เขาเป็นห่วงคยูฮยอนจริงๆ ถึงแม้ว่าจะหน้ามืดทำอะไรลงไปแต่ใช่ว่าเขาจะอยากทำแบบนั้นเสียเมื่อไหร่...อยากอ่อนโยนกับคยูฮยอนให้มากที่สุด...แต่ที่เป็นแบบนี้...ก็เพราะแรงหึงหวงที่มันมากขึ้นทุกวัน...
“ห่วงผมเหรอ?” คยูฮยอนพยายามตั้งสติเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย..
จะไม่ยอมให้คนๆ นี้มามีอิทธิพลต่อชีวิตเขาอีกต่อไปแล้ว...
“พี่เอาเวลาที่วิ่งตามผม...กลับไปดูแลพี่อินฮยองกับลูกของพี่ดีกว่าไหม?” ยองอุนลดสีหน้าลงอย่างเห็นได้ชัด..ราวกับมีหนามเป็นพันๆ เล่มแทงเข้ามาที่อก...
มันก็ถูกอย่างที่คยูฮยอนพูด...ในตอนนี้เขากำลังเป็นไอ้บ้าที่เอาแต่วิ่งตามน้องเมียจนลืมครอบครัวตัวเอง..
ยองอุนเลิกคิ้วมองร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามากุมมือคยูฮยอนให้เดินไปขึ้นรถ คยูฮยอนเงยหน้ามองอาจารย์หนุ่มที่ยืนกุมมือเขาก่อนจะเดินตามไปอย่างไม่ขัดขืน นัยน์ตาคมมองตามทุกย่างก้าวจนกระทั่งชายร่างสูงคนนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูรถ
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง...แค่มองตาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร...
ในสถานการณ์แบบนี้คงได้แค่ยืนมองคยูฮยอนไปกับไอ้หมอนั่น เดาว่าชายร่างสูงคนนั้นอายุคงไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่...แล้วก็พอจับต้นชนปลายได้บ้างแล้วว่า...
เบอร์โทรศัพท์บนข้อมือคยูฮยอนเมื่อวาน...เป็นของใคร...
.
.
ท้องฟ้ามืดครึ้ม กระแสลมเย็นพัดผ่านบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนก็คงตกลงมา..ทงเฮกำลังเดินตามหลังใครอีกคนเมื่อถูกหมายสั่งจากเบื้องบนว่า “ไปส่งฮยอกแจที่ป้ายรถเมล์ซะ” แม่เขานี่ชอบทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่...จากตอนแรกบังคับให้เขาขับรถไปส่งฮยอกแจ...คุณชายอีสุดเย่อหยิ่งก็ไม่ยอมให้ไปส่ง อ้างว่านั่งรถเมล์กลับก็ได้ไม่อยากให้เปลืองน้ำมัน...พอพูดลามไปถึงเรื่องรถก็ถูกแม่บ่นอีกว่าลืมไว้ที่ร้านพี่ฮีชอล วันหลังก็ให้เสียบกุญแจรถไว้ให้ด้วยเดี๋ยวโจรจะขโมยลำบาก โดนบ่นไปชุดใหญ่ก่อนจะได้คำสั่งเด็ดขาดมาแบบนั้น
จากข้างในหมู่บ้านไปถึงป้ายรถเมล์ก็ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ ฮยอกแจเอาแต่เดินไปข้างหน้าไม่คิดที่จะหันกลับมามองเขาเลยแม้แต่น้อย พอเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกปวดหนึบๆ ตรงหัวใจยังไงก็ไม่รู้
ถึงแม้จะบอกตัวเองว่าควรปลงกับเรื่องนี้ได้แล้ว ควรชินกับพฤติกรรมที่แสนเย็นชาของฮยอกแจแล้วทำตัวเหมือนปกติอย่างที่เคยเป็น...
ทั้งที่พยายามไม่สนใจ...แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่มันก็ยิ่งเหนื่อยมากยิ่งขึ้น...
เพราะอากาศที่เริ่มเย็นขึ้นเมื่อใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว..หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่..ที่ทำให้ผมอยากจะจับมือฮยอกแจไว้..แล้วพูดว่า “ขอโทษ”
แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น...ถ้าพูดมันออกไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นรึเปล่านะ?
“ส่งแค่นี้แหละ”
ทงเฮหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครอีกคนพูดขึ้นมา..ร่างโปร่งยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่อย่างนั้น..
“..................”
“กูเป็นผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องให้ใครเดินไปส่งหรอก” น้ำเสียงเย็นชา..ตัดพ้อ..ทำให้คนฟังรู้สึกคว้างอย่างบอกไม่ถูก..ฮยอกแจหันหน้ากลับมาสบตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับทุกครั้ง
“แต่แม่กู..”
“มึงไม่จำเป็นต้องฝืนในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ” ร่างโปร่งพูดแทรกขึ้นมา นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าเรียวนิ่ง
“กูพูดเหรอว่าไม่อยากทำ”
“สันดานมึงเป็นยังไง..ตัวมึงเองน่าจะรู้ดีที่สุด” พูดจบก็หันหลังกลับแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกอีกคนคว้าข้อมือเอาไว้
“....................”
“มึงมันก็เอาแต่หลบหน้า” ทงเฮพูดพลางจ้องมองอีกฝ่ายที่มองเขาเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ
“เหตุผลอะไรที่กูต้องอยู่มองหน้ามึงนานๆ ด้วยล่ะ”
“....................”
“มึงยังต้องการอะไรจากกูอีกเหรอ?” ฮยอกแจพูดเสียงเรียบพร้อมกับแกะมืออีกฝ่ายออก มือหนาปล่อยข้อมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย เข้าใจแล้วว่าคำพูดที่ออกมาจากของคนที่แคร์มากที่สุดมันมีอิทธิพลมากแค่ไหน...
และสุดท้าย...ก็ทำได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังบางที่กำลังเดินจากเขาไป..
ต้องการอะไรงั้นเหรอ....
ฮะๆ ...จะถามทำไมนะ...ทั้งที่ฮยอกแจเองก็รู้ดีที่สุด...
ว่าทงเฮต้องการอะไรจากเขา...
.
.
“............!!”
ร่างสูงสะดุ้งตื่นทันทีหลังจากได้ยินเสียงใครอีกคนอาเจียนในห้องน้ำกลางดึก.. ขายาวรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะเห็นคยูฮยอนโก่งคออาเจียนอยู่ มือแกร่งลูบหลังอีกคนเบาๆ พลางช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืน
ตั้งแต่กลับมาจากบ้าน คยูฮยอนก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก..ไม่ยอมทานมื้อเย็น เอาแต่นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มจนเขาต้องปล่อยให้อยู่อย่างนั้นไปก่อน
ร่างสูงพยุงอีกฝ่ายนอนลงบนเตียงพร้อมกับห่มผ้าให้ ใบหน้าเรียวซีดเผือดมีหยาดเหงื่อซึมไปทั่ว คยูฮยอนหอบหายใจพลางมองอาจารย์หนุ่มที่นั่งอยู่ขอบเตียง
“ไหวไหม?”
“.............” ร่างโปร่งไม่มีแรงแม้แต่จะพยักหน้า แค่กระพริบตายังลำบาก..
ฝันร้ายอีกแล้ว...
“คุณไปหาหมอเถอะ” ร่างสูงทนดูต่อไปไม่ไหว ถ้าเกิดคยูฮยอนยังเป็นแบบนี้ อาการคงได้ทรุดหนักเข้าสักวัน..
ร่างโปร่งนอนหันหลังให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ..อาจารย์หนุ่มลอบถอนหายใจ ใช่ว่าไม่รู้คำตอบ.. และก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขา มันไม่จำเป็นเลยที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วง
มือแกร่งลูบใบหน้าตัวเองเบาๆ ถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตคยูฮยอน เขาก็ต้องเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชเวซีวอนไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น...แค่ร่องรอยบนร่างกายคยูฮยอนที่บังเอิญไปเห็นเข้า...และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบเจอ.. มันก็พอทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างได้โดยไม่ต้องเอ่ยถามอะไรออกไป
จะต้องทำยังไง?
ชายหนุ่มหลุดออกจากห้วงความคิดเมื่อหันไปเห็นมือเรียวกุมชายเสื้อของเขาเอาไว้ เปลือกตาบางคงยังปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะ...ร่างสูงก้มลงมองอีกคนราวกับต้องการที่พึ่งแม้กระทั่งยามหลับไหล รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนจะวางมือทาบทับลงบนมือเรียวพร้อมกับคลึงเบาๆ
ให้คยูฮยอนรู้สึกได้ว่า..ยังมีเขาที่ยังคงอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน..
.
.
“จอดตรงนี้ล่ะครับ” คยูฮยอนพูดก่อนที่ร่างสูงจะเทียบจอดข้างทาง ร่างโปร่งปลดเข็มขัดนิรภัยออกพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถ ซีวอนทำมือเป็นรูปโทรศัพท์บ่งบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้โทรหา คยูฮยอนเห็นอย่างนั้นแล้วก็หลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ร่างโปร่งมองตามรถของอาจารย์หนุ่มที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า บล็อกถัดไปก็ถึงมหาลัยแล้ว.. ไม่อยากให้ซีวอนตกเป็นขี้ปากคนอื่น ธรรมชาติของคนเรามักจะมองโลกในแง่ร้ายเสมอ แค่เห็นเขาไปกับซีวอน..มีหรือจะมองว่าเป็นแค่ลูกศิษย์กับอาจารย์
คยูฮยอนเริ่มรู้สึกดีขึ้น...จากที่เคยมองซีวอนในแง่ร้ายตอนนี้ความคิดเดิมๆ นั้นก็ค่อยเลือนหายไปเพราะความหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้มันกลบทับความรู้สึกเดิมๆ
บางทีเขาอาจจะมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปก็ได้..
“เฮ้ย! คยูฮยอน!”
ร่างโปร่งหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเฮนรี่นั่งอยู่กับใครคนหนึ่ง...
คนที่เขา...ไม่อยากเจอมากที่สุด...
เฮนรี่เดินเข้ามากอดคอร่างโปร่งให้เดินไปนั่งร่วมโต๊ะ ใบหน้าเรียวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองอีกฝ่าย
“พี่มึงมานั่งรอพักนึงละ นึกว่ามึงจะไม่มาเรียนแล้วนะเนี่ย” เฮนรี่ว่าพลางกระชับกอดเพื่อนสนิท
“.................”
“ฮยอกแจมันบอกว่ามึงป่วยกูเลยคิดว่ามึงจะนอนหยอดข้าวต้มอยู่ที่บ้านซะอีก แต่เห็นพี่มึงบอกว่ามึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง...ไปนอนซมที่บ้านสาวที่ไหนว๊า” เฮนรี่แซว หากแต่คนถูกแซวกลับรู้สึกอึดอัดจนอยากเดินหนีไปจากตรงนี้
แม้แต่ฮยอกแจเองก็ยังไม่รู้เรื่องที่เขาไม่กลับบ้าน...แต่นี่คิมยองอุนกำลังจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่...
“พี่มาทำไม”
“เห็นเราหอบเสื้อผ้าออกไปเมื่อวาน...พี่โทรหาก็ไม่รับสาย...รู้ไหมว่าพ่อแม่นายเป็นห่วงแค่ไหน” ใบหน้าคมยิ้มบางๆ หากแต่อีกฝ่ายกับจ้องหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ
จะวุ่นวายกับชีวิตเขาไปถึงเมื่อไหร่...
เฮนรี่มองคนสองคนสลับกันไปมา ตัวเขาใช่ว่าจะสนิทกับคยูฮยอนเท่าฮยอกแจซะด้วย พอได้ยินจากปากพี่มันว่าคยูฮยอนไม่กลับบ้านก็เกิดอาการใบ้แดก ตอบพี่ชายมันไม่ได้ ก็ไม่รู้มันหายหัวไปไหนมาเหมือนกัน จริงอยู่ที่เขาอยู่กลุ่มเดียวกันมาตลอดสามปี แต่ความเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันใช่ว่าจะต้องสนิทกันครบทุกคนเสียเมื่อไหร่ล่ะ กลุ่มเขามีห้าคน เฮนรี่สนิทกับอีทึกมากที่สุด ส่วนฮยอกแจก็สนิทกับทงเฮที่สุด (อดีต) ส่วนคยูฮยอนก็สนิทกับฮยอกแจที่สุด สนิทแบบไหนก็ไม่รู้มัน เอาเป็นว่ามันสองคนคงสนิทกันมากกว่าเขาเยอะ
“คุยกันไปนะค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันล่ะมึง ยังไงเขาก็เป็นพี่มึงนะเว้ย” เฮนรี่ตบบ่าร่างโปร่งเบาๆ ตอนแรกก็งงหรอกว่าผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร จู่ๆ ก็เดินมาถามหาคยูฮยอน...พอคุยไปได้สักพักก็ถึงบางอ้อ...ที่แท้ก็ผัวของพี่ญาติมันนี่เอง
“.................” คยูฮยอนหันไปมองเฮนรี่พลางจับข้อมืออีกคนไว้ เฮนรี่ผงะเล็กน้อย สีหน้าร่างโปร่งซีดเผือกแถมยังออกแรงบีบเขาโดยไม่รู้ตัว
“เอ้า...กูไปแล้วมึงจะได้คุยกับพี่มึงได้สะดวกขึ้นไง” เฮนรี่แกะมือเรียวออก หวังดีอยากให้คยูฮยอนเคลียร์กับพี่ชายให้รู้เรื่อง เพราะปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นคยูฮยอนเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่กลับบ้าน ไม่มาเรียนจนต้องให้คนมาตามที่มหาลัยแบบนี้
“ผมไปก่อนนะพี่” เฮนรี่หันไปบอกยองอุนพร้อมกับโค้งหัวให้
“ขอบใจมากนะ” ชายหนุ่มยิ้มพลางมองตามเด็กหนุ่มร่างสูงที่เดินไปก่อนจะหันมามองคยูฮยอนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น
“....ผมจะกลับหรือไม่กลับมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่ ผมอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว พ่อแม่ผมยังไม่ทำแบบนี้...แล้วพี่เป็นใคร” คยูฮยอนจ้องอีกฝ่ายหากแต่มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะนั้นจิกกางเกงสแล็คสีดำแน่น..พยายามเอาชนะความกลัวที่มี...
“พี่..เป็นใครน่ะเหรอ?” ชายหนุ่มแค่นยิ้มก่อนจะลุกขึ้นมายืนข้างหลังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ มือหนาวางลงบนไหล่บางพลางนวดเบาๆ หากแต่ร่างโปร่งกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
“...................” คยูฮยอนรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มันเร็วถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้รู้สึกอึดอัด...แม้แต่หายใจยังลำบาก...
“ที่พี่เป็นแบบนี้...ก็เพราะนาย” ชายหนุ่มก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กหากแต่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับยันตัวลุกขึ้น
“นายเองก็รู้...” จ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาเรียวของคนตรงหน้า ตั้งแต่วันนั้น...วันแรกที่เขาทำผิดพลาดไปก็เอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอด..
จริงอยู่ที่เขาตกหลุมรักน้องชายห่างๆ ของอินฮยอง...พยายามเก็บความรู้สึกไว้...แต่สุดท้ายเขาก็ทำทุกอย่างพัง...
และที่เป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้...ก็เพราะความหึงหวงทั้งนั้น...
“คยูฮยอน....” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเนือย ทุกครั้งที่เห็นคยูฮยอนตัดพ้อเย็นชาใส่มันเจ็บ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายผลักไส...เขาก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้น...จนสุดท้ายก็เผลอใช้กำลังลงไป
“โจคยูฮยอน”
ร่างโปร่งหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากตึกชั้นสอง ใบหน้าคมเงยขึ้นมองใครคนหนึ่งที่ยืนมองเขาทั้งคู่อยู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ...
หมอนี่อีกแล้ว
“ผมอยากให้คุณมาช่วยลงสีแจกันให้หน่อย คุณว่างอยู่ใช่ไหม?”
“......ค....ครับ...ผมว่าง” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์หนุ่มก่อนจะหันกลับมามองอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องหน้าร่างสูงไม่ห่าง...
ยองอุนมองตามร่างโปร่งที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดไป..เหลือเพียงแค่ใครคนหนึ่งที่ยังคงยืนมองเขาอยู่อย่างนั้นก่อนจะเดินหายไป...
เป็นถึงอาจารย์เลยสินะ...
.
.
ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องน้ำชายพร้อมกับหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงใครอีกคนอาเจียน..มือหนาดันประตูเข้าไปก่อนจะนั่งยองๆ พลางช่วยลูบหลังพลางถอนหายใจ
ถ้าเกิดเขาไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่...คยูฮยอนจะทำยังไง...
“แค่กๆ!!”
ซีวอนประคองคยูฮยอนให้ยืนขึ้นพิงกับผนังห้องน้ำ ร่างโปร่งหลับตาลงพลางหอบหายใจ...มือเรียวเกาะวงแขนแกร่งไว้เป็นหลัก นิ้วเรียวยาวปาดน้ำตาออกจากแก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือ...สงสาร...
“คยูฮยอน...ไปหาหมอเถอะ...”
.
.
กลิ่นสาบของโรงพยาบาล..
ไม่ชอบ..
ร่างโปร่งนั่งเงียบมาสักพักแล้ว นัยน์ตาเรียวมองไปยังอาจารย์หนุ่มที่ยืนคุยกับพยาบาลสาว นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองคู่สนทนาพลางพยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่มือเรียวก็จดรายระเอียดต่างๆ ลงไปในสมุด..ไม่นานนัก..พวกเขาทั้งคู่ก็เดินกลับมาหาร่างโปร่ง
“ญาติคนไข้รอข้างนอกนะคะ” พยาบาลสาวพูดกับร่างสูงก่อนจะผายมือไปข้างหน้าให้กับคยูฮยอน.. ใบหน้าเรียวหันกลับมามองอาจารย์หนุ่มที่กำลังยิ้มบางๆ ก่อนจะหลับตาลงเมื่อมือแกร่งเอื้อมขึ้นมาลูบหัวเขาเบาๆ
“ผมจะนั่งรอคุณอยู่ตรงนี้”
ร่างโปร่งพยักหน้าเป็นคำตอบทั้งที่หลับตาอยู่..เปลือกตาบางค่อยๆ ลืมขึ้นก่อนจะเดินตามพยาบาลสาวเข้าไปในห้อง
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่กว้างมาก..แล้วก็ไม่แคบมากจนเกินไป..คุณหมอหนุ่มนั่งเขียนอะไรบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มให้เขา
“เชิญนั่งครับ” ใบหน้าหล่อเข้ากับลักยิ้มทั้งสองข้างกับอาชีพที่เป็นอยู่นั้นทำให้คนตรงหน้าดูเป็นคนดีในสายตาคยูฮยอนอย่างปฏิเสธไม่ได้..ร่างโปร่งนั่งลงฝั่งตรงข้ามคุณหมอหนุ่มก่อนจะโค้งหัวทักทาย
“สวัสดีครับ~ คุณโจคยูฮยอนใช่ไหม? ผมหมอคิมคิบอมนะ” พูดจาทักทายราวกับเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน คยูฮยอนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มกับคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ..” ร่างโปร่งหันไปมองข้างๆ มีลูกตุ้มนาฬิกาที่หมุนเหวี่ยงเป็นจังหวะก่อนจะหันไปถามคุณหมอหนุ่ม
“ไอ้นั่น..มีไว้ทำไมเหรอครับ”
“อ๋อ..นั่นน่ะมันจะทำให้คนไข้รู้สึกมีสมาธิและผ่อนคลาย...เพราะส่วนใหญ่คนไข้ที่มาหาผมมักจะอารมณ์ร้อนกันทั้งนั้น” คุณหมอหนุ่มตอบก่อนที่ร่างโปร่งพยักหน้าเข้าใจ
“ทานอะไรมารึยังครับเนี่ย..” เอ่ยถามพลางเอามือประสานกันไว้บนโต๊ะ คยูฮยอนพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบอีกครั้ง
“ดีแล้วครับ ทานอาหารให้ตรงเวลา ระบบขับถ่ายจะได้ไม่มีปัญหา แล้วช่วงนี้ตอนกลางคืนนอนหลับสบายดีไหมเอ่ย?” คยูฮยอนเริ่มสงสัยว่าคนตรงหน้านี่เป็นจิตแพทย์จริงรึเปล่า.. จากที่จินตนาการเอาไว้คนเป็นหมอน่าจะพูดจาอะไรที่มันดูเป็นหลักการมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ..
“ผม...ชอบสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก...ช่วงหลังๆ มานี้..ผมก็ฝันร้ายทุกวัน...” ตอบน้ำเสียงนิ่ง คุณหมอคิมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง
“สาเหตุอาจจะมาจากการที่เราคิดมากจนเก็บเอาไปฝันก็ได้นะ”
“................”
“คุณต้องผ่อนคลาย..ปล่อยวางบ้าง..อีกอย่างคือต้องทานอาหารให้ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ผมก็เคยเป็นเหมือนคุณช่วงก่อนเรียนจบ...อ่า...ในตอนนั้นผมเครียดมาก พอเครียดแล้วก็นอนไม่หลับ..พอนอนไม่หลับก็เกิดปัญหาตามมาคือนอนไม่พอ...พอนอนไม่พอ..สมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่...มันก็กลายเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“แล้วคุณหมอแก้ไขมันยังไงครับ...” คุณหมอหัวเราะเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเริ่มคล้อยตามบทสนทนาของเขา
หลังจากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องความชอบ เรื่องการเรียน หรือแนวเพลงที่ชอบฟัง..คยูฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าคุณหมอหนุ่มกำลังหว่านล้อมให้เขาไว้ใจ..เผลอคุยกับอีกฝ่ายออกรส
พอรู้สึกไว้ใจคนตรงหน้าแล้วสุดท้ายก็...
“ผมเคยถูก...พี่เขย...ขืนใจ”
คุณหมอหนุ่มชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูด..มือแกร่งเอื้อมไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับคลึงหลังมือเบาๆ เป็นกำลังใจ.. ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มบางๆ สีหน้าคยูฮยอนไม่สู้ดีนัก..คิมคิบอมบอกกับเขาว่าจะไม่บังคับให้เล่าอะไรใดๆ ทั้งสิ้น..นอกเสียจากว่าคยูฮยอนต้องการจะระบายมันออกมาเอง..
“ผมรู้จักเขาตั้งแต่อายุสิบสี่..ในตอนนั้นเขาเรียนอยู่มหาลัยเดียวกับพี่สาวห่างๆ ของผม..เขาคบหากันจนเธอเริ่มพาเขาเข้ามาแนะนำตัวให้พ่อแม่ของผมรู้จัก..เขาเป็นคนอัธยาศัยดี...พ่อแม่ชอบเขามาก..และผมเองก็ด้วย...”
“เราสนิทกัน..เขาสอนผมทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ตลอด..จากตอนแรกที่ผมตกวิชานี้..แต่วันหนึ่งก็กลับมาดีเด่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ..”
“ผมเคารพเขามาก..รู้สึกเหมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของผม..วันเกิดทุกปีเขาจะมาพร้อมกับเค้กก้อนโตและของขวัญที่มีความหมายทุกอย่าง..”
“จนกระทั่งผมอยู่มัธยมปลายปีสาม..ปีสุดท้ายที่ผมกำลังติวเรื่องเอนทรานซ์..ช่วงนั้นเขากำลังวุ่นวายกับการแจกการ์ดแต่งงานเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่..จนวันหนึ่ง...ที่บ้านผมจัดเลี้ยงฉลองเล็กๆ และเชิญญาติทางฝ่ายเจ้าบ่าวมาด้วย..”
“ผมร่วมโต๊ะได้ไม่นานนัก...เพราะผมต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ...”
“กลางดึก...”
“เขาเข้ามาในห้องผม...กลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่คละคลุ้งไปทั่ว...เขาเดินเข้ามา...” ร่างโปร่งกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ..มือแกร่งกระชับมืออีกคนไว้เป็นเชิงให้กำลังใจ
“รู้ตัวอีกที...หน้าของผม...ก็ถูกกดลงกับหมอน...”
“อยู่นิ่งๆ ....อย่าสงเสียง....”
“คยูฮยอน...พี่รักนาย....อา...”
.
.
ท้องฟ้ามืดเป็นสีดำ..กระแสฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด..นัยน์ตาเรียวทอดมองออกไปข้างนอกกระจกที่ฝ้ามัว ทั้งคู่นั่งเงียบอย่างนี้มาได้สักพักแล้ว..ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาล คยูฮยอนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก..หมอจ่ายยามาให้หนึ่งชุด ในนั้นมียานอนหลับ ยาลดความเครียดและยาต้านอาการซึมเศร้า ซีวอนได้มีโอกาสคุยกับหมอคิบอมอยู่ครู่หนึ่งในระหว่างที่ร่างโปร่งกำลังรอรับยา
“คนไข้รู้สึกหวาดระแวงทุกอย่าง..คุณเป็นพี่ชายของเขาเหรอครับ”
“...ผมเป็นอาจารย์ครับ” ร่างสูงตอบ
“อ่า..โอเคครับ..วิธีรักษาเบื้องต้นคือ คุณต้องทำให้คนไข้รู้สึกวางใจ และคุ้นเคยกับคนรอบข้าง และสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว”
“ครับ..”
“ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย..นั่นแหละครับ..คือสิ่งที่คุณควรจะทำ”
ร่างสูงเอื้อมไปหยิบเสื้อแขนยาวที่ห้อยอยู่เบาะหลังมาก่อนจะห่มตัวให้อีกฝ่าย คยูฮยอนยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น นั่นยิ่งทำให้เขาเป็นกังวล..ว่าที่พามาหาจิตแพทย์นั่นมันถูกแล้วหรือ...
“เหนื่อยรึเปล่า?”
“..................”
“นอนพักผ่อนสักหน่อยไหม”
นัยน์ตาคมยังคงจ้องมองร่างโปร่งที่ทอดสายตาออกไปข้างนอก..บางทีเขาก็น่าจะชินกับอาการเหล่านี้ของคยูฮยอนได้แล้ว..แต่พอเจอแบบนี้ทีไรก็อึดอัดจนทำอะไรไม่ถูกทุกที..
“ผมเกลียดกลิ่นบุหรี่..”
“.....................” ร่างสูงเงียบ ไม่ตอบอะไรออกไปในขณะที่อีกฝ่ายพูด
“เกลียด...คนเมา” เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่เข้าใกล้ทงเฮเวลาเมา.. เลี่ยงที่จะไม่ไปเที่ยวกลางคืนด้วย..เพราะเห็นคนเมาทีไร..มันก็ทำให้นึกถึงวันนั้น..
“ผมไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว..นอกจากฮยอกแจ”
“.....................”
“แค่ได้ยินเสียงลูกบิดประตู...ผมก็รู้สึกกลัวแล้ว...” ร่างโปร่งหันกลับมาสบตาอีกฝ่าย แววตาสิ้นหวังของคยูฮยอนนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่ปกติ...และคงไม่มีใคร...อยากอยู่กับคนอย่างผมหรอก”
“.....................”
“ผมเป็นคนโรคจิต...ใช่ไหม” หยาดน้ำตาคลอหน่วงพลางจ้องมองคนตรงหน้า มือเรียวขยำกางเกงไว้แน่น รู้สึกหดหู่จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว...
“ไม่หรอก”
นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่แตะลงบนริมฝีปาก..ร่างสูงผละออกเพียงเล็กน้อยพลางจ้องมองดวงตาคู่สวยที่รื้นไปด้วยน้ำตา..ก่อนจะกดจูบซ้ำลงไปอีกครั้ง..เบาๆ แต่นุ่มนวล..
ให้คนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่เขามอบให้..
.
.
มือเรียวลากเส้นไปตามกระดานวาดรูปสีขาว..ลายเส้นที่ดูยุ่งเหยิงหากแต่ดูแล้วก็พอรู้ว่าเป็นผู้ชายห้าคนยืนอยู่ริมหาด.. ร่างโปร่งนิ่วหน้า รู้สึกปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว..ฮยอกแจค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักอย่างลำบาก
“.......!!!”
ร่างโปร่งทรุดตัวลงทั้งยาตกลงมากระจายอยู่เต็มพื้นห้องหากแต่ไร้เรี่ยวแรงที่จะหยิบมันมา..ขาเรียวงอเข้าหาตัวเมื่อความเจ็บปวดมันมากเกินกว่าจะทนไหว..
นัยน์ตาคู่สวยพร่ามัวไปด้วยน้ำตาก่อนจะเห็นมือถือที่ตกอยู่บนพื้น..มือข้างหนึ่งกุมท้องเอาไว้..ยิ่งขยับตัวก็ยิ่งปวด...จะทำยังไงดี...จะทำยังไงดี...
ฮยอกแจเอื้อมไปหยิบมือถือมาอย่างลำบาก..นิ้วเรียวกดปุ่มโทรด่วนค้างไว้..สมองพร่ามัวไปหมด..หยาดน้ำตาไหลออกมาไม่มีแรงแม้แต่จะออกเสียง...
ใครก็ได้...ช่วยที....
.
.
ร่างบางเดินมาปิดทีวีเมื่อคนที่เปิดมันดันนอนห้อยหัวอยู่บนโซฟาไม่สนใจกับรายการเพลงเกิร์ลกรุ๊ปที่เปิดทิ้งไว้ ขาเรียวก้าวมาหยุดตรงหน้าก่อนจะเห็นสภาพลูกชายทำหน้าเหมือนคนป่วยใกล้ตายนอนกอดกล่องทิชชู่ไว้แนบอก ในถังขยะใบเล็กมีเศษกระดาษทิชชู่อยู่จำนวนหนึ่ง
“แม่จะไปแล้วนะ”
“อื้อ”
“อาลัยอาวรณ์กันบ้าง” มือเรียวตีเข้าที่หน้าผากลูกชายก่อนจะนั่งลงยองๆ นัยน์ตาคมจ้องมองคนเป็นแม่ทั้งที่นอนห้อยหัวพลางหลับตาลงเมื่อถูกจูบหน้าผากเบาๆ
“กินยาแล้วก็นอนพักผ่อนซะ แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนห้อยหัวแบบนี้ เดี๋ยวเลือดก็ไหลลงหัวหรอก”
“รู้แล้วครับ......” ตอบเสียงเนือย รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ จนไม่อยากขยับตัวไปไหน
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับความเงียบเหงาในบ้านอีกครั้ง... พ่อแม่ก็ทำงานข้างนอกตลอดไม่ค่อยได้กลับบ้าน ชินแล้วกับการที่ต้องอยู่คนเดียวบ้านหลังนี้...ฮยอกแจเคยบอกว่า
“ถ้าเราชินกับอะไรบางอย่างแล้ว...เราจะไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย...”
เคยชินกับอะไรหลายๆ อย่าง..เช่นการเมาแล้วอ้วกแตก..หรือการตื่นไปโรงเรียนตอนมัธยม..แต่สิ่งเดียวที่เขายังไม่ชินในตอนนี้คือ...
การไม่มีอีฮยอกแจอยู่ในชีวิต.....
눈물이 차올라서 고갤 들어~
흐르지 못하게 또 살짝 웃어~
내게 왜 이러는지~ 무슨 말을 하는지~
เสียงริงโทนเพลงสุดแหว๋วทำให้ร่างหนาต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นัยน์ตาคมมองไปยังแบล็คเบอรี่เครื่องสีดำที่สั่นอยู่บนโต๊ะอย่างหวาดๆ ถ้าผีจะมาหลอกกันตั้งแต่หัวค่ำก็จะตลกเกินไปแล้วมั้ง...
ทงเฮชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมไปหยิบบีบีขึ้นมาดู...เป็นอย่างที่คิด...ริงโทนนี้เขาตั้งเฉพาะเบอร์ฮยอกแจคนเดียวเท่านั้นเพราะครั้งหนึ่งร่างโปร่งเคยคลั่งไอดอลคนนี้ยิ่งกว่าอะไรดี...หน้าจอขึ้นรูปเจ้าของเบอร์ก่อนจะกดรับสายอย่างลังเล
“......ฮัลโหล” ทงเฮพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด..บางทีที่ฮยอกแจโทรเข้ามานั่นอาจเป็นเพราะเผลอนั่งทับมือถือก็ได้...
ไม่อยากเข้าข้างตัวเองอีก...
ปลายสายเงียบไม่ยอมพูดอะไร ได้ยินเพียงแค่เสียงกุกๆ กักๆ ...กะแล้วไม่มีผิด..สุดท้ายฮยอกแจก็ไม่ได้ตั้งใจจะโทรหาเขา..ทงเฮถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลดระดับมือถือลงพลางมองหน้าจอที่ยังคงขึ้นว่าเชื่อมต่อสายอยู่...นิ้วเรียวเลื่อนไปจะกดวางสายแต่...
‘......ช่วย....ด้วย.....’
.
.
ซ่า.......
รถคันคู่ใจเทียบจอดหน้าหอพักของใครอีกคนก่อนจะรีบเปิดประตูลงมาถึงแม้ว่าฝนจะตกหนักจนมองไม่เห็นอะไร ชายหนุ่มเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนหากแต่ฝีเท้ากลับวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างไม่รีบร้อน มือหนาทุบประตูห้องรัวๆ ไม่หยุดพร้อมกับตะโกนเรียกคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ข้างในนั้นหากแต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลยแม้แต่น้อย...
“ฮยอกแจ!!!! ฮยอกแจ!!!!”
ซ่า.......
ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง...กุญแจที่เคยมีอยู่ก็โยนทิ้งไปแล้ว...มีวิธีเดียวเท่านั้น...
คือไปเอามันกลับมา...
สวนเล็กๆ หน้าหอพักที่มืดสนิท...เขาเคยเขวี้ยงกุญห้องทิ้งลงมาตรงนี้ มือข้างหนึ่งใช้กดมือถือเพื่อให้แสงสว่างช่วยในการค้นหา..ส่วนมืออีกข้างก็ควานหาไปตามพื้นหญ้าที่เลอะไปด้วยโคลน...
ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร...
น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้มปนกับน้ำฝน..ความหวังที่ริบหรี่..นึกโกรธตัวเองที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้..ไม่เคยหวัง ไม่เคยขอพรกับพระเจ้า...แต่ตอนนี้อีทงเฮอยากขอร้องให้พระเจ้าเห็นใจคนเลวๆ อย่างเขาสักครั้ง...
แค่ครั้งเดียวเท่านั้น....
“..................” มือหนาหยุดกึกเมื่อรู้สึกได้ถึงโลหะแข็งๆ ที่ควานไปเจอ... ทงเฮยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อคำอธิฐานของเขาเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ.. ร่างหนายันตัวลุกขึ้นเมื่อเจอกุญแจที่ตามหาอยู่นานก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องฮยอกแจอีกครั้ง
ประตูห้องเปิดออกอย่างเร็วพร้อมกับชายหนุ่มที่รีบเข้าไปในห้อง...ทงเฮเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้านอนขดตัวอยู่บนพื้นก่อนจะรีบเข้าไปประคองขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ฮยอกแจ!!”
“.....ฮึก”
นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นยาแก้ปวดที่ตกอยู่บนพื้น.. มือหนาเอื้อมไปหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ข้างบนโต๊ะพลางเปิดขวดออก
“กินยาก่อนนะ” พูดกับอีกฝ่ายพร้อมกับป้อนยาเข้าไปในปากร่างโปร่ง ฮยอกแจอ้าปากรับอย่างว่าง่ายพลางดื่มน้ำตาม...
ใคร...ใครกันนะที่มาหาเขา..
เสียงคุ้น...คุ้น..จนได้ยินแล้วน้ำตามันไหล...
ร่างโปร่งถูกช้อนตัวขึ้นวางไว้บนเตียง อาการเจ็บปวดคงทุเลาในอีกไม่ช้า..ทงเฮห่มผ้าให้อีกฝ่ายก่อนจะยืนนิ่งเมื่อเห็นสภาพใครอีกคนที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
ลมหายใจที่มีแต่ควันสีขาวพ่นออกมาทุกจังหวะหายใจเพราะอากาศหนาวเย็น ทงเฮค่อยๆ เดินถอยหลังไปนั่งบนเก้าอี้พลางเอนหลังพิงกับผนังห้อง...
ถ้าเกิดในตอนนั้นวางสายไปเพราะมัวแต่น้อยใจ..ป่านนี้ฮยอกแจจะเป็นยังไง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ข้างนอกฝนยังคงตกอยู่อย่างนั้น..เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มในตอนนี้เริ่มอุ่นเพราะไอร้อนในกาย..มือแกร่งปัดจมูกเบาๆ เมื่อรู้สึกคัดจมูก อาการหวัดยังคงไม่หายดี..แต่เรื่องแค่นี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหรอก
พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นใครอีกคนนั่งจ้องเขาอยู่แล้ว ทงเฮมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนจะหลุบสายตาลง..ร่างหนาลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดยาเคลือบกระเพาะพร้อมกับยื่นให้กับร่างโปร่งโดยที่ไม่พูดอะไร
“.....................”
“.....................”
ฮยอกแจรับขวดยาสีขาวมาถือไว้ ไม่คิดว่าที่กดโทรออกจะเป็นทงเฮ...และไม่คิดว่าทงเฮจะมาหาเขา..ในตอนนี้อาการปวดท้องทุเลาลงไปมากแล้ว นัยน์ตาเรียวมองไปยังใครอีกคนที่ยืนหันหลังอยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนู
นิ้วเรียวสะกิดแขนอีกคนพร้อมกับยื่นผ้าขนหนูให้ ทงเฮมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา..แต่ก็รับมันไว้ ฮยอกแจยังคงไม่ยอมพูดอะไรได้เพียงแค่ส่งสายตาให้เขาเข้าไปอาบน้ำ...ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยฮยอกแจเอาไว้...แต่ใช่ว่าฮยอกแจจะยอมยกโทษให้เสียเมื่อไหร่
ไม่นานนักร่างหนาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ได้อาบน้ำอุ่นก็รู้สึกสบายตัวขึ้นบ้างหลังจากนั่งหนาวสั่นอยู่นาน..เสื้อผ้าของเขาที่เคยทิ้งไว้ในห้องฮยอกแจถูกวางไว้บนเตียง..นั่นทำให้ทงเฮรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
อย่างน้อยฮยอกแจก็ไม่ได้เอามันไปทิ้ง...
ทงเฮนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงหลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ มือแกร่งเช็ดผมที่เปียกลู่ก่อนจะชะงักเมื่อใครอีกคนนั่งลงบนขอบเตียงตรงหน้าพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดผมให้กับเขา.. ทงเฮค่อยๆ วางมือลงในขณะที่จ้องมองดวงหน้าหวานไม่ห่าง..
พูดอะไรไม่ออก...ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ..
รู้แค่ว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของฮยอกแจนั้น..มันทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก..
“ฮยอกแจ..”
“..............” ใบหน้าเรียวจ้องมองคนตรงหน้าในขณะที่ยังเช็ดผมให้อีกฝ่าย
“มึง...เกลียดกูมากไหม”
ร่างโปร่งหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละมือออกมา..นัยน์ตาคู่สวยเบือนหลบไปอีกทางก่อนจะให้คำตอบที่ทำให้คนฟังน้ำตาคลอ
“อืม..”
เหมือนโดนตบหน้า...ทงเฮรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ถึงจะคิดมาตลอดว่าฮยอกแจเกลียดเขามากแค่ไหน แต่พอได้ยินกับปากแล้ว...มันเจ็บ...เจ็บจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว...
“แล้ว...” ริมฝีปากหยักเว้นจังหวะ ใบหน้าเรียวหันกลับมามองใบหน้าอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มทั้งน้ำตา
“แล้วเกลียด...เท่าที่เคยรักกูรึเปล่า...”
ความคิดเห็น