คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 : ง้อนะครับ...
Chapter 6
ครูเป็นสิ่งมีชีวิตที่...ขี้แกล้งที่สุดในโลก
‘ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับนายว่าต้องการที่จะอยู่กับครู...หรือว่าเลือกที่จะไป’
ประโยคนั้นมันยังคงก้องอยู่ในหู ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ครูพูดออกมาซะทั้งหมดแต่ผมก็พอจะรู้ว่าควรทำอะไรหลังจากนั้น ผมได้ยินเสียงครูคุยโทรศัพท์กับพี่อารา น้ำเสียงของครูดูนิ่งเหมือนเดิมไม่มีท่าทีลำบากใจอย่างที่ผมกำลังเป็นกังวลอยู่ ครูพยายามเกลี้ยกล่อมพี่อาราตามคำขอของเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมอยู่นาน สุดท้ายพี่อาราก็ยอมให้ผมอยู่กับครูต่อ...
ตอนนั้นผมได้แค่โค้งหัวขอบคุณอย่างคะเขิน ทำอะไรไม่ถูกไม่แม้แต่จะมองหน้าครูจนกระทั่งเขาเดินเข้าไปในห้องนอนโดยที่ไม่พูดอะไรอีก นั่นทำให้ผมรู้สึกใจแป้วอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ...คิดไปต่างๆ นานา ว่าครูอาจจะรำคาญที่ผมเซ้าซี้เลยยอมคุยกับพี่อาราให้ ผมได้แค่ยืนมองประตูห้องของครู เอื้อมมือหวังจะเคาะเรียกแต่ก็ต้องชั่งใจเอาไว้...สุดท้ายแล้วผมก็ไม่กล้าเรียก
“ดูทำหน้า”
เป็นเสียงของฮยอกแจที่เรียกสติผมกลับมาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผมหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมห้องที่จะเรียกว่าสนิทที่สุดก็คงได้ ปากของเขายังคงเอาแต่เคี้ยวหมากฝรั่งส่วนผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมา
“สวัสดีครับฮยอกแจ”
“ฉันอยู่ทางนี้ -_-” ฮยอกแจผลักหัวผมเบาๆ เมื่อผมเอ่ยทักทายเขาทั้งที่ไม่มองหน้า ไม่ได้อยากจะเสียมารยาทอะไรหรอกนะครับแต่อารมณ์ของผมในตอนนี้มันขุ่นมัวเกินกว่าที่จะแสดงสีหน้าสุขสันต์จริงๆ
“เป็นยังไงบ้าง ฉันเห็นนายอาการไม่ดีตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว ห่วงนะเนี่ยรู้เปล่า”
“ผมสบายดีครับฮยอกแจ”
“หน้าตานายสบ๊ายบาย จะอะไรก็ช่างเถอะแต่นายช่วยหันมาคุยกันดีๆ หน่อยได้ไหม -_-” ฮยอกแจดึงแขนผมให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา มือเล็กโอบใบหน้าผมไว้ทั้งสองข้างก่อนจะจับให้ส่ายไปมาเบาๆ
“ครูซีวอนไล่นายออกจากบ้านเหรอไง”
“ยังครับ ตอนนี้ยัง” ผมทำหน้าอิดโรย
“แสดงว่าใกล้แล้วสินะ เก็บข้าวของรอหรือยังล่ะ ระวังเขาโยนของๆ นายทิ้งออกไปหน้าบ้านนะ” ฮยอกแจทำหน้าจริงจังจนผมเริ่มหวั่นแล้วไงครับ
“ฮยอกแจทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับผมยิ่งใจไม่ดีอยู่ ครูคงไม่ทำแบบนั้นหรอก...มั้ง...” ผมแย้งกลับถึงแม้ว่าในใจก็กลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง ถ้าเกิดกลับไปถึงบ้านแล้วเห็นครูโยนกระเป๋าผมออกมาข้างนอกแล้วชี้หน้าไล่ผมล่ะ
“นายจะรู้ได้ยังไง? บางที...” ยังพูดไม่ทันจบฮยอกแจก็หยุดชะงักแล้วมองผ่านหลังผมไปเผยให้เห็นฮันซึงยอนที่กำลังเดินเข้ามาหาเราทั้งคู่ “เซ็งเลย ไม่พูดต่อละ”
“อะไรกันยะอีฮยอกแจ ฉันไม่ได้มาหานายย่ะ” ร่างเล็กเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเมื่อเห็นการมาของเธอผมขยับก้นทันทีเมื่อซึงยอนหยัดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับผมโดยไม่มีการไถ่ถามเลยสักนิด
“สวัสดีครับซึงยอน เอางี้นะครับเดี๋ยวผมลุกให้นั่ง” ผมทำท่าจะลุกขึ้นเดินไปลากเก้าอี้ตัวอื่นมาให้เธอนั่งครับ เบียดกันแบบนี้มันไม่ดีเท่าไหร่อีกอย่างเธอเป็นผู้หญิงซะด้วย แต่ผมยังไม่ทันได้ก้าวเดินออกไปซึงยอนก็ดึงให้ผมนั่งลงกับที่เหมือนเดิม เธอถลึงตาใส่เหมือนกับผีอีแพงจนผมไม่สามารถหนีไปได้อีก
“ไม่ต้อง นั่งด้วยกันนี่แหละ”
“ยัยขี้เหร่ ฉันจำได้ว่าห้องเรียนเธอไปทางนั้น” ฮยอกแจชี้ไปข้างนอกห้องแต่ดูเหมือนว่าซึงยอนจะไม่สนใจนะครับ
“ฉันก็จำได้ว่าฉันมาหาคยูฮยอน...ไม่ได้มาหานาย -.-”
“เพราะปากแบบนี้ไงเยซองถึงได้ไม่สนใจเธอ ไม่ไหวๆ”
“ย๊า! หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็อย่าเอ่ยชื่อถึงผู้ชายคนนั้นอีก!”
“ทั้งคู่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย”
“เสียอารมณ์จริงๆ คยูฮยอนอ่า...เพื่อนนายนิสัยแย่มากเลยใช่ไหม” ซึงยอนทำตาแป๋วใส่ผม มันก็ดูน่าสงสารหรอกนะครับแต่ทำไมผมถึงไม่คิดแบบนั้นนะ
“นี่คยูฮยอน จริงหรือเปล่าที่ว่านายกับครูซีวอนแอบคบกันอยู่น่ะ?” เสียงของเพื่อนร่วมห้องถามผมขึ้นมา ผมได้แค่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ถูก ทั้งที่ควรจะปฏิเสธไปในทันทีเลยว่ามันไม่ใช่ แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วมัน...
“ใช่ๆ ฉันสงสัยตั้งแต่นายโดนเรียกเข้าห้องปกครองเมื่อวานแล้วล่ะ เด็กผู้ชายที่ครูซีวอนคบอยู่นั่นคือนายใช่ไหม? เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“งั้นแสดงว่าเรื่องที่นายอยู่บ้านหลังเดียวกับครูซีวอนก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”
หลากหลายคำถามที่เพื่อนๆ สาดเทเข้ามาพร้อมๆ กันนั่นทำให้ผมประหลาดใจว่าก่อนหน้านี้พวกเขานั่งทำอะไรกันอยู่ถึงได้กรูเข้ามาถามพร้อมกันรวดเดียวแบบนี้ ผมนั่งทำตาปริบๆ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ซึงยอนก็ดึงผมให้ลุกขึ้นยืนอีกทั้งแขนของเธอก็คล้องอยู่กับแขนของผมอีกด้วย
“พวกนายพูดเรื่องอะไรกัน คยูฮยอนจะคบกับครูซีวอนได้ยังไง ในเมื่อเราสองคนกำลังดูๆ กันอยู่”
ผมเลิกคิ้วมองคนข้างๆ ที่ไม่รู้ว่าผีสางอวตานตนไหนดลใจให้เธอพูดแบบนั้นออกมา ผมหันไปหาฮยอกแจหวังจะขอความช่วยเหลือแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรื่องครับ ฮยอกแจจิ๊ปากแล้วนั่งมองผมกับซึงยอนด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ซึงยอน พูดอะไรออกมาน่ะครับ...” ผมกระซิบ
“ฉันกำลังช่วยนายอยู่ไม่เห็นเหรอ ช่วยสำนึกบุญคุณฉันบ้างก็ดีนะตาบ๊อง!”
“ช่วยผมเหรอครับ” ผมชี้หน้าตัวเองพลางทำตาปริบๆ
“ก็ใช่น่ะสิ นายคิดว่าฉันจะพิศวาสนายจริงๆ น่ะเหรอ นี่ฮันซึงยอนนะ นายคงไม่อยากตกเป็นขี้ปากคนอื่นหรอกใช่ไหมล่ะ?”
“อ๋า...โล่งอกไปทีนะครับ” ผมยกมือทาบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาแต่ดูเหมือนฮยอกแจที่นั่งอยู่ข้างๆ จะไม่เชื่อในสิ่งที่ซึงยอนพูดสักเท่าไหร่ (เขาได้ยินครับเพราะเรานั่งอยู่ใกล้กัน อีกอย่างฮยอกแจก็หูดีมากด้วย)
“ว่าไงนะ คยูฮยอนกับซึงยอนน่ะเหรอ?”
“เกินไปแล้วนะเว้ย เห็นหน้าตาหงิมๆ แบบนี้ไวไฟใช้ได้นะเนี่ย”
“โธ่...ไอ้เราก็คิดว่าคบกันอยู่ซะอีก แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ครูซีวอนโสดมาตั้งนานแล้วจู่ๆ จะมาคบกับเด็กผู้ชายได้ยังไง...อีกอย่างเด็กผู้ชายที่ว่านั่นดันเป็นไอ้บ้านนอกอย่างคยูฮยอนซะด้วย ฮ่าๆ”
“อย่าว่าคยูฮยอนของฉันแบบนั้นนะ” ถึงแม้ว่าซึงยอนจะพยายามปกป้องผมสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เธอพูดอยู่ดี นั่นมันเป็นการหลอกลวงประชาชนชัดๆ นะครับถึงแม้ว่าเธอจะพยายามเอาตัวเองมาเป็นไม้กันหมาเพื่อช่วยคนอย่างผมก็เถอะ
“เฮ้ยๆ ซีวอนเข้าแล้ว”
นักเรียนทุกคนแตกตื่นกลับไปนั่งที่กันอย่างเป็นระเบียบ ผมมองครูที่ยืนอยู่หน้ากระดานดำพร้อมกับหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดบทเรียนในขณะที่ซึงยอนกำลังสะกิดแขนผมแล้วโบกมือลาก่อนจะคลานออกจากห้องไป
สีหน้าของครูไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ทั้งที่ปรกติเขามักจะยิ้มอยู่ตลอดแท้ๆ ผมไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เลยครับ...มันทำให้ผมกลับมานั่งทบทวนว่ามันดีแล้วเหรอที่ไปร้องขอความเห็นใจแบบนั้นทั้งที่บางทีแล้วครูอาจจะไม่เต็มใจ
ในคาบมีโจทย์ให้แสดงวิธีทำแต่ครูก็ไม่เรียกผมออกไป คิดในแง่ดีว่าครูอาจจะอยากให้คนอื่นๆ ออกไปบ้างแต่ผมก็ยังคิดมากอยู่ดีแหละครับ...เย็นวันนั้นขณะที่ผมกำลังเดินไปหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน วันนี้สบายหน่อยเพราะซึงยอนเธอไม่ว่างผมเลยไม่ต้องติวคณิตฯ ให้เธอ ทันใดนั้นก็มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งมาจอดข้างๆ พร้อมกับเลื่อนกระจกลง
“ไง”
“ผมเหรอครับ?” ผมชี้หน้าตัวเองเมื่อเห็นครูทงเฮทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ กำลังจะกลับบ้านเหรอ?”
“ครับ”
“ครูไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรครับครู” พูดจบผมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อครูเปิดประตูรถออกมาพร้อมกับเดินเข้ามากอดคอผมให้เดินอ้อมไปประตูข้างคนขับแล้วยัดผมเข้าไปข้างใน
“เดี๋ยวครับ คือผม...”
“เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“หาอะไรกิน...แต่ผมต้องกลับไปทำมื้อเย็นน่ะสิครับครู”
“ทำทำไมกัน กินข้าวคนเดียวไม่อร่อยหรอกนะ” ครูทงเฮหันมายิ้มให้ผมแล้วขับรถออกไปนอกโรงเรียน
“แล้วฮยอกแจล่ะครับครู”
“ฮยอกแจก็ส่วนฮยอกแจสิ ถามถึงเขาทำไมหืม?” ครูเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาหยิกแก้มผม
“ดีกันแล้วใช่ไหมครับ” ครูเอาแต่ผิวปากไม่ยอมสนใจในสิ่งที่ผมถามเลยครับ อะไรจะอารมณ์ดีขนาดนั้น
“นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็ต้องกลับไปทำมื้อเย็นกินกับครูอยู่แล้ว”
“วันนี้ซีวอนไม่กลับไปกินมื้อเย็นหรอก หมอนั่นประชุมอยู่ไม่เชื่อลองโทรหาสิ” ครูทงเฮพูดพร้อมกับกดเบอร์โทรออกให้เสร็จสรรพแล้วยื่นมือถือมาให้ผม
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’
“ครูปิดเครื่องครับ”
“อ๋อ ลืมบอกไปเลยว่าหมอนั่นชอบปิดมือถือเวลาเข้าประชุม แย่เนอะคนแบบนี้...ถ้าเกิดใครเป็นอะไรตายขึ้นมาคงได้รู้เป็นคนสุดท้ายแหงแซะ” ครูทงเฮหัวเราะ
ในที่สุดผมก็ต้องจำใจไปกินมื้อเย็นกับครูทงเฮครับ ข้อเสียข้อแรกของผมคือปฏิเสธคนไม่เป็น ผมเลยโดนเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ ในระหว่างที่นั่งกินข้าวกันผมก็คิดไปถึงใครอีกคนที่กำลังประชุมอยู่ ผมอยากกลับบ้านแล้วล่ะครับ ผมกลัวว่าถ้าครูกลับไปถึงแล้วจะหิว กว่าจะเข้าครัวทำกับข้าวเสร็จท้องไส้คงพรุนกันพอดี
เกือบสองชั่วโมงกว่าครูทงเฮจะมาส่งผมที่บ้าน เขาโบกมือลาผมพร้อมกับทำท่าส่งจูบ ถ้าฮยอกแจมาเห็นเข้าเขาคงร็อคใส่ผมเป็นแน่ถึงแม้ว่าเขาจะเคยชวนผมไปคบกัน (เล่นๆ) ก็เถอะ ผมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับถอดรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ รถที่จอดอยู่ข้างหน้ากับไฟในบ้านทำให้ผมรู้ว่าครูนั้นกลับมาถึงบ้านแล้ว เดินเข้าไปข้างในแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของครู ผมชะเง้อหน้าเข้าไปในห้องทำงานก็ไม่เจอ...หรือว่าจะอยู่ห้องนอนกันนะ...
ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของครูอยู่พักหนึ่งทั้งที่ยังสะพายกระเป๋าเป้อยู่ อาจจะสิบนาทีหรือสิบห้านาทีแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความยาวนานของเวลาเลยสักนิด ผมอยากคุยกับครู พูดอะไรกันสักคำบ้างก็ยังดี
ทันใดนั้นผมก็ได้ยินอะไรบางอย่าง ผมหันไปมองห้องนั่งเล่นเพื่อหาต้นตอของเสียงนั่นพร้อมกับเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นร่างของครูที่กำลังนอนหลับทั้งที่อยู่ในชุดทำงาน ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างน้อยครูก็ไม่ได้หายไปไหน ผมเดินเอากระเป๋าไปเก็บแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะเข้าครัวไปทำอะไรง่ายๆ ให้ครูกิน ผมขอเดาเอาเองว่าครูน่าจะยังไม่ได้กินมื้อเย็นมาและถ้าเกิดครูกินแล้วก็ไม่เป็นไรไอ้ที่ทำมาเนี่ยเดี๋ยวผมกินเองก็ได้
วางซุปสาหร่ายไว้บนโต๊ะพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ผมไม่ควรปลุกครูในเวลานี้เพราะผมเข้าใจดีว่าครูคงเหนื่อยมาก เดินเอาถาดไปเก็บในห้องครัวแล้วไปอาบน้ำ หวังว่าครูจะตื่นมาเห็นซุปก่อนที่มันจะเย็นนะครับ...
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงทีวีเปิดอยู่คาดว่าครูคงจะตื่นแล้ว ผมค่อยๆ ก้าวไปหาครูอย่างช้าๆ แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันแต่ไม่ต้องห่วงครับผมทิ้งระยะห่างไว้เยอะเลยล่ะ ชำเลืองมองคนข้างๆ ที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับจอทีวีที่กำลังฉายข่าวอยู่ ซุปสาหร่ายบนโต๊ะยังอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ครูแทบจะไม่ได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ ผมเขยิบเข้าไปใกล้อีกนิด...โดยที่ไม่ให้ครูรู้ตัว เม้มริมฝีปากแน่นไม่รู้จะพูดประโยคไหนก่อนดี
“อู้หู...พรุ่งนี้อากาศปลอดโปร่ง น่าเตะบอลมากๆ เลยนะครับครูว่าไหม”
ผมหันไปพูดกับครูเป็นนกแก้วนกขุนทองแต่ครูยังคงนั่งเฉยหนำซ้ำแล้วเสียงฟ้าผ่ายังเปรี้ยงดังตามมาอีก นี่เหรอครับที่บอกว่าพรุ่งนี้อากาศจะปลอดโปร่ง - - ผมยิ้มเก้ออยู่อย่างนั้นก่อนจะหันกลับไปมองจออย่างเก่า ครูจะโหดร้ายกับผมเกินไปแล้ว ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะครับ T_T
พรึ่บ!!
จู่ๆ ไฟก็ดับลงเสียอย่างนั้นขณะที่ฝนกำลังสาดเทลงมาอย่างหนักหน่วง ผมกระพริบตาปริบๆ ท่ามกลางความมืดก่อนจะเอื้อมมือไปงมๆ หาอะไรบางอย่างที่พอจะช่วยส่องแสงสว่างในห้องนี้ได้
“ครูครับ”
“................”
“เดี๋ยวผมไปเอาเทียนในตู้มานะครับ แป๊ปนึง...ว๊ากกกกกกก!!!”
ผมแหกปากลั่นเมื่อมือที่กำลังงมๆ อยู่นั่นดันไปโดนถ้วยซุปเต็มๆ ผมสะบัดมือไล่ความเจ็บปวดออกเหมือนหมาโดนน้ำร้อน ทันใดนั้นร่างของผมก็ถูกรวบลงไปนอนลงบนโซฟาพร้อมกับแสงสว่างจากมือถือที่จ่ออยู่ข้างๆ ใบหน้าผม
“...อะ...โอย”
“เจ็บไหม? เมื่อกี้โดนมือข้างไหนขอครูดูหน่อย” สีหน้าของครูดูกระวนกระวายมาก จริงๆ มันก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอกครับเพราะผมวางมันไว้ก่อนไปอาบน้ำแต่มันก็ยังหลงเหลือความร้อนอยู่บ้าง ผมชูมือขวาให้ครูดูทั้งที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเพียงแค่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเป็นใยผมขนาดนี้
“แสบมากไหม?” ครูเอื้อมไปเอาแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะมาราดมือผมโดยที่ไม่ห่วงเลยว่าพื้นมันจะสกปรก มือแกร่งดึงทิชชู่มากำใหญ่ๆ พร้อมกับประคบมือผมเอาไว้
“นิดหน่อยครับ...” ผมตอบเสียงแผ่ว ครูหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วมองหน้าผม ตอนนี้ครูอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งคร่อมทับ มือของผมยังถูกถุมเอาไว้โดยใครอีกคน คนที่ใจร้ายกับผมมาตลอดทั้งวัน
“................”
“ครูยอมพูดกับผมแล้ว” ผมยิ้มบางๆ พลางมองใบหน้าอีกคนที่กระทบกับแสงหน้าจอโทรศัพท์มือถือ รู้สึกปวดหนึบตรงหน้าอกข้างซ้ายเพียงแค่คิดว่าครูจะไม่สนใจใยดีผมอีก
“ผมไม่รู้ว่าครูโกรธอะไรผม...”
“................”
“อาจจะเป็นเรื่องที่ผมวุ่นวายมากเกินไป ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมก็อยากจะขอโทษ...”
“................”
“ที่ผมอยากอยู่ที่นี่ก็เพราะมีครู แต่ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันทั้งที่ไม่พูดไม่คุยกันแบบนี้...ผมจะย้ายออกไปก็ได้นะครับ...”
“................”
“ครูครับ...” ผมจ้องหน้าครูอยู่อย่างนั้น อยากให้เขาตอบอะไรสักคำก็ยังดีกว่าเงียบไปเลยแบบนี้
“ให้ตายสิ...” ครูสบถเบาๆ พร้อมกับก้มหน้าลง ครูยังคงกุมมือผมไว้อยู่ ท่ามกลางความมืดและแสงสว่างมาเป็นระยะจากโทรศัพท์มือถือ
“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ” นิ้วหัวแม่มือคลึงหลังมือผมเบาๆ ก่อนที่ครูจะเอามันไปวางทาบบนแก้มตัวเอง ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ
“นายกำลังจะทำให้ครูเป็นบ้านะรู้ไหม?”
“เอ๋? ผมน่ะเหรอครับ”
“ทั้งที่ครูพยายามจะไม่สนใจนายแล้ว...แต่มันก็ทำไม่ได้”
“................”
“ครูมันงี่เง่าเอง ใช่ ครูมันงี่เง่า”
“ครูกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ”
“................”
“................”
“ครูทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไป...กับนาย”
สายตาของครูที่มองผม นั่นทำให้ผมรู้แล้วล่ะครับว่าครูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร...
“เรื่องจู...” ยังพูดไม่ทันจบริมฝีปากของผมก็ถูกประกบลงในทันที ผมอาจจะเป็นเด็กขี้สงสัย เด็กที่ชอบตั้งคำถามโง่ๆ แต่การที่ครูพยายามทำให้ผมหยุดพูดด้วยวิธีนี้มันได้ผลจริงๆ ครับ...
ริมฝีปากหยักบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างดูดดื่ม ผมรู้สึกว่าอากาศในปอดผมมันกำลังลดลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของครูบดเบียดเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น...ผมได้แค่จูบตอบกลับอย่างไม่ประสีประสา หัวใจผมเต้นเร็วรัวกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่...ครูผละริมฝีปากออกช้าๆ มองผมที่กำลังหอบหายใจหนักเพราะขาดอากาศ ผมปรือตาขึ้นมองใบหน้าของครูที่กำลังคร่อมร่างผมเอาไว้
“................”
“................”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย ราวกับว่าครูต้องการที่จะใช้สายตาสื่อสารกับผม ไฟยังคงไม่ติดสักที ส่วนฝนก็ยังเทลงมาไม่หยุด...
“ครูจะหายโกรธผมได้หรือยังครับ”
“ครูพูดเมื่อไหร่ว่าโกรธนาย”
“ผมรู้...ว่าครูน่ะโกรธผมอยู่...”
“หืม?”
“ง้อนะครับ...”
“.................”
“ง้อ...” ผมชูนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้านั่นทำให้ครูหลุดหัวเราะออกมา
“ครูก็แค่...” ครูโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ พร้อมกับกระซิบข้างใบหูผมเบาๆ “หวงนาย...”
ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าแดงอยู่...มันกำลังแดงอยู่แน่ๆ เพราะใบหน้าของผมมันร้อนผ่าวไปถึงหูแล้ว
“ครูคงงี่เง่ามากเกินไป...ที่หวงนายกับฮันซึงยอน”
“................”
“มันไร้เหตุผล...ที่ครูไม่พอใจเวลานายไปไหนมาไหนกับอีทงเฮ”
“................”
“ทั้งที่ครูเอง...ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนายเลยสักนิด”
เชื่อไหมครับ...ว่าตอนนี้หัวใจของผมมันกำลังทำงานหนักมาก...มากจนได้ยินเสียงมันเต้นอยู่ คำพูดของครูแต่ละประโยคมันอาจจะดูงี่เง่าไร้เหตุผลอย่างที่เขาพูดมาจริงๆ แต่ฟังแล้วเขินอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ เขินจนอยากได้ยินครูพูดซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง
“ครู...มีสิทธิ์...นะครับ” ผมงึมงำในลำคอ พอครูได้ยินอย่างนั้นแล้วก็บีบจมูกผมเบาๆ แล้วก้มลงมาจุ๊บปาก ผมจ้องหน้าครูพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่นแล้วชูขึ้นมาสามนิ้ว
“หืม?”
“จูบ...ครั้งที่...สามแล้ว...” ค่อยๆ ลดมือลงพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ บางทีผมก็ลืมไปแล้วว่าเราทั้งคู่นั้นไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาทำอะไรแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องปรกติ
ครูโน้มใบหน้าลงมาใกล้...ใกล้จนหน้าผากชนกัน ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มออกมาจนผมรู้สึกได้ว่า ‘นี่แหละครูซีวอนคนเดิมที่ผมรู้จัก’ มือแกร่งข้างหนึ่งรวบตัวผมเอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงถือเครื่องมือสื่อสารไว้เพื่อใช้เป็นแสงสว่าง
“งั้นครูจะทำให้นายนับมันอีกไม่ได้เลย...คยูฮยอน”
.
.
เวลาผ่านไปเร็วมากคุณคิดเหมือนผมหรือเปล่าครับและถ้ายิ่งเป็นเวลาแห่งความสุขแล้วมันยิ่งผ่านไปเร็วแต่ผมว่าถ้าเราเอาแต่คิดแบบนั้นเราก็จะเป็นทุกข์...เพราะฉะนั้น...ผมเลยกำลังทำทุกวันให้มีแต่ความสุขล่ะ
เช้าวันอาทิตย์กับอากาศดีๆ จะมีอะไรเหมาะไปกว่าการมาโบสถ์อีก เสียงเพลงบรรเลงสรรเสริญทำให้ผมนั่งเคลิ้มอย่างบอกไม่ถูก ในมือผมมีไบเบิ้ลหนึ่งเล่มที่ครูให้ยืมมา ปากของผมก็ฮัมเพลงร้องตามไปด้วย ครูหันมามองผมแล้วกลั้นหัวเราะจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันมีอะไรน่าขำกัน
“อย่างกับเด็ก”
“ก็ผมยังเด็กอยู่นี่ครับ...” ผมเลิกคิ้วมองครูแล้วงึมงำ (อีกแล้ว) ครูจับมือข้างที่พันแผลไปดูก่อนจะมองหน้าผม
“คราวหลังถ้าไฟดับอีก อย่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้านะรู้ไหม?”
“ผมไม่ได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ ถ้าครูกินซุปสาหร่ายหมดตั้งแต่แรกมือผมก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอก...”
“เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะเรา”
ผมลูบหน้าผากป้อยๆ เมื่อถูกนิ้วเรียวดีดเข้าให้...ได้เพียงแค่เหล่มองครู ริมฝีปากหยักยิ้มออกมาเมื่อมองไปยังคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังร้องเพลงในโบสถ์ สถานที่แบบนี้ทำให้ผมนึกถึงงานแต่งงานเลยครับ ผมเคยคิดอยากจะแต่งงานด้วยนะ แต่เจ้าสาวของผมนี่สิจะเป็นใคร...กำลังคิดอะไรเพลินๆ มือของผมก็ถูกกุมเอาไปวางไว้บนตักหนา ครูกระชับมือผมไว้แน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานกัน ผมอมยิ้มแล้วก้มหน้าลง พยายามปั้นหน้าให้เป็นปรกติที่สุด
ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันคืออะไร ผมจะคิดไปเองได้ไหมว่าผมเป็นคนพิเศษสำหรับครู เพราะทุกครั้งที่ครูจับมือผม...จูบผม...และกอดผมเอาไว้ มันทำให้ผมอดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลย และถ้าเกิดว่าผมจะต้องพบกับความผิดหวัง...
ถ้าเป็นครูแล้ว...ผมก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันครับ...
“คยูฮยอน”
“ครับครู”
“บ่ายนี้ไปเที่ยวสวนสนุกกันไหม?”
“สวนสนุก? กับครูน่ะเหรอครับ?”
“ใช่”
“อ๋า...มีบ้านผีสิงด้วยใช่ไหมครับ?”
“(หัวเราะ)”
“ครูเข้าบ้านผีสิงกับผมด้วยนะ”
“ปล่อยให้เข้าไปคนเดียวเลยดีไหมหืม?”
“ผมรู้ว่าครูไม่ใจร้ายกับผมแบบนั้นหรอก...”
“เด็กน้อย...”
ประโยคสุดท้ายที่ฝังลงมาบนแก้มผมพร้อมกับปลายจมูกของโด่งสัน เสียงหอมฟอดใหญ่นั่นทำให้ผมรีบหันซ้ายหันขวากลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า ผมมองหน้าครูที่กำลังหัวเราะชอบใจก่อนจะเอาหมวกฮู๊ดขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้เพราะความเขินอาย นับวันภูมิต้านทานของผมที่มีต่อครูมันชักจะลดน้อยลงเข้าไปทุกวันๆ
พระเจ้าครับ...ผมอยากจะเขียนเรียงความขอบคุณท่านจังที่ให้ครูเกิดมาบนโลกใบนี้
ขอบคุณที่ให้ผมได้รู้จักกับเขา...และ...
และ...
ได้รู้สึกอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่ผมยังก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่...
ในตอนนี้ผมคิดว่ามันเป็นความรักได้ใช่ไหมครับ...
“แล้วปิดท้ายด้วยชิงช้าสวรรค์ดีไหม”
“อ๋า...ไม่เอานะครับ ผมกลัวความสูง T_T”
“งั้นดีเลย ครูจะพานายนั่งสักห้ารอบ (หัวเราะ)”
“ไม่เอานะครับครู...ไม่แกล้งผมนะครับ นะนะนะ... T_T”
“ชิงช้าสวรรค์~ (หัวเราะ)”
TALK
ไม่มีอะไรจะพูดหรอก . _.
ก็แค่ตอนหน้าครูจะพาเด็กน้อยไปเที่ยวสวนสนุก
โถๆๆ พี่ซีวอนที่แท้ก็หวงน้องนี่เอง จริงๆ ว่าจะไม่เขียนโมเม้นพี่ซีวอนนอยแดกแล้วนะ
แต่อดไม่ได้ ขอโมเม้นนี่ทีเถอะ! อย่าคิดมากเลย...ถ้าฟิคเรื่องนี้คุณครูจะจูบน้องบ่อยๆ ก็น้องมันน่าหมั่นเขี้ยวอ่ะ!
ความคิดเห็น