คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 :: Tell me the truth
Chapter 5
Tell me the truth.
คนอ่อนแอ...จะถูกปกป้องบ้างมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ?
ในห้องนอนที่อุณหภูมิเย็นคงที่เพราะแอร์คอนดิชันเนอร์ ผ้านวมกลิ่นหอมแดดอ่อน ๆ และฟูกนุ่ม ๆ นั้นทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้ ผมกอดหมอนข้างแล้วหลับตาลง ใต้หมอนผมมีปืนซ่อนอยู่ ก่อนหน้านี้คุณซีวอนสอนวิธีใช้ให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าอีทงเฮกล้าดีที่จะบุกมาลากผมกลับไปอีกล่ะก็...ผม...จะยิงเขาให้ตายด้วยมือของผมเอง
“...”
ผมเอื้อมมือขึ้นไปกดเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงเพราะฟุ้งซ่านกับความมืด นี่ผมกลายเป็นคนกลัวความมืดไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็คงตั้งแต่ถูกอีทงเฮจับไปขังที่บ้านหลังนั้นล่ะมั้ง เพราะความมืดมันทำให้ผมนึกถึงเขา
ผมนอนกระสับกระส่าย ทั้งที่เตียงก็นุ่ม กลิ่นรอบข้างก็หอม แต่ทำไมผมถึงนอนไม่หลับ? ผมลุกขึ้นนั่งแล้วเกาหัวแรง ๆ ผมชักจะหงุดหงิดตัวเองที่เป็นแบบนี้ ผมควรบอกตัวเองให้ปล่อยวางกับทุกอย่างแล้วพักผ่อนซะ ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินออกไปหาน้ำดื่ม ในตู้เย็นมีของกินมากมายให้เลือก แต่ตอนนี้ผมต้องการแค่น้ำเย็น ๆ สักแก้วเท่านั้น
“นอนไม่หลับเหรอครับฮยอกแจ?” ผมสะดุ้งเมื่อเห็นคุณซีวอนโผล่หน้าเข้ามาในครัว ผมรีบกลืนน้ำลงคอแล้วยิ้มแห้ง ๆ
“แค่รู้สึกไม่คุ้นที่น่ะ”
“ผมกับคิบอมเพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เอง ได้ยินเสียงกระดิ่งเลยเข้ามาดูน่ะ” เขายิ้มแล้วมองข้อเท้าผม
“อ้อ...มันน่ารำคาญมากเลยล่ะ” ผมบ่นอุบอิบแล้วก้มลงมองข้อเท้าตัวเอง
“ถ้ารำคาญทำไมไม่ถอดออกล่ะครับ?”
“มันถอดได้ซะที่ไหนล่ะครับ นี่มันคือของขวัญที่อีทงเฮใส่ให้กับมือตอนที่ผมพยายามหนีตายออกมาจากโรงพยาบาลนั่น” ผมพูดแล้วทำหน้าเซ็งเมื่อนึกถึงเขา
“มันแกะไม่ออกเลยเหรอ?”
“ครับ มันคล้าย ๆ กุญแจมือแต่แค่มีกระดิ่งเพิ่มมาด้วย” พอผมพูดจบคุณซีวอนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟแล้วก้มลงนั่งยอง ๆ กับพื้นก่อนจะจับกระดิ่งข้อเท้าเพื่อดูรายระเอียด
“แกะไม่ออกจริง ๆ ด้วย งั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะเข้าไปดูเครื่องมือในโรงจอดรถ ผมว่ามันน่าจะมีอะไรที่พอจะใช้ตัดออกได้” เขาหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงจนผมต้องเงยหน้ามอง ลักยิ้มที่แก้มเขาทำให้ผมใจเต้นแปลก ๆ
“คุณเลิกงานดึกแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“ครับ บางวันก็โต้รุ่งเลยน่ะ”
“คุณเอาเวลาไหนไปพักผ่อนกัน” ผมถามเขาด้วยความเป็นห่วง ผมชอบคิดตามว่าถ้าตัวเองเป็นคนอื่นแล้วจะเป็นยังไง แล้วคราวนี้ผมก็คิดว่าถ้าผมเป็นคุณซีวอนผมคงเหนื่อยตายแน่ ๆ
“มันก็เป็นแค่ช่วงที่มีงานใหญ่เข้ามาน่ะ ถ้าช่วงปกติผมก็มีเวลาหลับนอนเหมือนชาวบ้านเขาเหมือนกัน ทำไมครับ...คุณเป็นห่วงผมเหรอ?” เขาจ้องหน้าผม แต่คราวนี้มันใกล้กว่าครั้งก่อน ๆ ผมหลุบสายตาลงทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าใบหน้าของเราทั้งคู่ใกล้กันเกินไป
“แน่นอนสิ ก็คุณเหนื่อยมากขึ้นเพราะเรื่องของผมด้วยนี่” พอผมพูดจบคุณซีวอนก็หัวเราะในลำคอ
“ไว้ถ้าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ คุณต้องเลี้ยงข้าวผมกับคิบอมเป็นการตอบแทนนะ” เขาพูดติดตลกซึ่งนั่นมันทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ผมพยักหน้าหงึกแล้วเราทั้งคู่ก็แยกย้ายกันกลับไปนอนห้องของตัวเอง
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น...
“ผมว่าไอ้นี่น่าจะใช้ได้” คุณซีวอนมาพร้อมกับคีมด้ามสีแดงขนาดยาว ผมเลิกคิ้วมองก่อนจะหันไปหาคุณคิบอมที่นั่งอยู่โซฟาตัวข้าง ๆ
“ถึงผมจะเป็นตำรวจ แต่ตอนสมัยเรียนผมก็สนใจเรื่องอิเล็กเหมือนกันนะ” คุณคิบอมพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“แหงสิ ทุกวันนี้ที่นายเป็นตำรวจก็เพราะคำขอของแม่นี่” คุณซีวอนพูดพลางนั่งคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าผมพร้อมกับใช้คีมตัวนั้นหนีบตรงกำไลขอเท้า ผมก้มลงมองอย่างลุ้น ๆ ว่ามันจะได้ผลไหม
“โธ่ ใครจะมาเป็นตำรวจเพราะอยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราชเหมือนพี่ล่ะ? ใช่ไหมครับคุณฮยอกแจ?” คุณคิบอมหันมาขอความเห็นจากผมก่อนที่เสียงดังกริ๊กจะดังขึ้นเรียกความสนใจจากพวกเราทุกคน
“ออกแล้ว” คุณซีวอนชูกำไลข้อเท้าที่ถูกตัดออกด้วยคีมนั่นขึ้นมาให้ดู ผมยิ้มกว้างพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องหลอนเพราะเสียงมันแล้วนะ” คุณคิบอมยิ้ม ผมหัวเราะเบา ๆ เพราะบรรยากาศผ่อนคลายที่ทั้งคู่มอบให้ คุณซีวอนลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ แล้ววางมือลงบนหลังมือผม
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม?” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ
RRRrrr!!!
“ว่าไงชางมิน?” ผมจำได้ว่าคุณซีวอนฝากเรื่องหมอคยูฮยอนไว้กับคน ๆ นี้ คุณซีวอนสีหน้าเคร่งเครียดขณะฟังคนในปลายสายพูด ส่วนผมกับคุณคิบอมก็เช่นกัน
“งั้นเหรอ...อืม...ขอบใจมาก แล้วอีทงเฮล่ะ?”
“...”
“ได้ แล้วฉันจะรีบออกไป” คุณซีวอนเก็บมือถือแล้วหันไปมองคุณคิบอม ทั้งคู่พยักหน้าอย่างรู้กันก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบเสื้อกั๊กใส่ปืนขึ้นมาสวม
“พวกคุณจะรีบไปไหน แล้วเมื่อกี้คุณชางมินเขาว่ายังไงครับ?” ผมลุกขึ้นเดินกระเผกไปหาทั้งคู่
“ไม่มีคนเข้าออกบ้านของหมอคยูฮยอนเลย ที่คอนโดก็ด้วย”
“...”
“ขอโทษนะครับคุณฮยอกแจ ไว้ผมจะรีบกลับมาเล่ารายระเอียดให้ฟังทีหลัง ส่วนคุณ...อย่าเปิดประตูให้ใครแล้วก็อย่าออกไปไหน เข้าใจนะครับ?”
“...” ผมไม่ได้พยักหน้าตอบตกลงแต่สายตาของคุณซีวอนที่มองมาราวกับเป็นคำสั่งเด็ดขาด ผมได้เพียงแค่มองเขาทั้งสองคนออกไปจากบ้านโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย...
.
.
ติ่ก...ติ่ก...ติ่ก...
เสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความเงียบและความว่างเปล่าภายในห้องโถงกว้างนี้ ผมไม่ได้ขยับตัวไปไหนมาเป็นเวลาสักพักแล้ว ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำถามอยู่เต็มไปหมด ทำไมถึงไม่มีคนเข้าออกบ้านของหมอคยูฮยอนเลย เขาไม่มีครอบครัว? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเขามีคอนโดนั่นก็หมายความว่าเขาน่าจะแยกออกมาอยู่คนเดียวโดยที่มีพ่อแม่อยู่บ้านหลังนั้นไม่ใช่เหรอ?
ผมถอนหายใจอย่างหัวเสียเพียงแค่เห็นสภาพขาของตัวเองในตอนนี้ มันยังคงไม่ดีขึ้นอย่างที่ควร ก็แน่ล่ะ...แผลขนาดนี้แถมยังอักเสบอยู่เรื่อยแน่นอนว่ามันคงต้องใช้เวลาในการเยียวยา ผมน่าจะทำอะไรได้บ้างไม่ใช่เอาแต่นั่งรอความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แบบนี้ ถ้าคุณซีวอนบอกว่าคุยอะไรกับคุณชางมินบ้างก็คงดี
ผมเหลือบไปเห็นมือถือที่คุณซีวอนให้ไว้ ผมหยิบมันมาเลื่อนดูเบอร์ที่ถูกเมมไว้ มันมีเยอะมากจนผมคิดว่านี่คงเป็นมือถือส่วนตัวของคุณซีวอนอีกเครื่องหนึ่ง ผมหลับตาลงแล้วก็นึกถึงคนที่ผมรักซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนในโลกนั่นก็คือแม่กับเพื่อนสนิทของผมอีซองมิน ผมเลือกที่จะกดเบอร์ซองมินก่อนเพราะผมไม่พร้อมที่จะได้ยินเสียงเฉยชาของแม่ในตอนนี้ ถึงผมจะไม่อยากคุยกับแม่แต่ผมก็ควรจะโทรไปเพื่อยืนยันให้รู้ว่าท่านปลอดภัย
ตื้ด....ตื้ด...
( ยอโบเซโย? )
“ซองมินเหรอ ฉันฮยอกแจเองนะ”
( ฮยอกแจ?! นี่นายหายตัวไปไหนน่ะ รู้ไหมว่าทางโรงพยาบาลเขาเดือดร้อนกันไปหมด? )
“เรื่องมันยาวมาก ไว้ฉันจะไปหานายที่บ้านนะ”
( แล้วนี่นายอยู่ไหน? อยู่กับใคร? ทำไมถึงหนีออกจากโรงพยาบาลแบบนั้น? นายคงไม่ได้คิดที่จะฆ่าตัวตายอีกหรอกใช่ไหม? อีฮยอกแจ ไอ้เพื่อนบ้า คนเลว! )
ซองมินใส่มาเป็นชุดจนผมพูดไม่ออก แน่นอนว่าเขาเป็นหนึ่งคนที่ห่วงผมมากที่สุดหลังจากที่รู้ว่าผมกำลังจะตาย เขามาเยี่ยมผมทุกวัน ๆ ละหลายเวลาอีกทั้งยังจดโน๊ตมาให้อ่านในรายวิชาที่ผมพลาดตอนผมนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาลอีก
“ไว้ฉันจะโทรหาอีกทีนะ”
( อีฮยอกแจ เดี๋ยวสิ นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ! )
ผมชิงวางสายไปก่อนที่จะถูกซองมินด่ามากไปกว่านี้ จุดประสงค์ของผมก็แค่อยากรู้ว่าเขายังอยู่ดีอย่างปลอดภัย ถึงผมจะคิดว่าอีทงเฮไม่มีทางรู้จักคนรอบข้างในชีวิตผมทั้งหมด แต่ผมก็ไว้ใจไม่ได้
ผมก้มลงมองมือถือในมือแล้วใช้เวลาคิดอยู่เกือบนาทีก่อนจะตัดสินใจโทรหาแม่ ผมจะเรียบเรียงคำพูดยังไงดี เราไม่สนิทกันด้วยซ้ำ ตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลแม่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงผมเลยสักนิด
‘ถ้ารู้ว่าแกอยากตายแบบนี้ ฉันคงไม่ท้องแกตั้งแต่แรก’
คำพูดที่ตัดพ้อคนฟังแบบนั้นมักจะมาพร้อมกับแววตาเย็นชาเสมอ ผมยังจำได้ว่าสีหน้าของแม่เป็นยังไง แม่อาจจะเอือมระอาที่ผมคิดจะฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งจนไม่คิดที่จะห่วงผมอีก
( ยอโบเซโย? )
“...” ผมพูดไม่ออกเพียงแค่ได้ยินเสียงแม่
( สวัสดีค่ะ...นั่นใครคะ? )
“ม...แม่”
( ฮยอกแจเหรอ? )
“แม่...” จู่ ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมเอามือป้องปากเอาไว้เพื่อไม่ให้แม่ได้ยินเสียงผมร้องไห้
( ฮยอกแจเป็นอะไรลูก? )
“แม่ครับ...”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับแม่ดี ไม่รู้สิ...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าแม่ไม่สนใจใยดีผม คิดไปเองว่าแม่คงเย็นชาตัดพ้อใส่ แต่พอได้ยินเสียงแม่แบบนี้ผมกลับรู้สึก...
อยากกอดแม่แน่น ๆ ...
“แม่ครับ...แม่ยุ่งอยู่ไหม? ผมโทรมากวนเวลางานแม่หรือเปล่า?”
( ไม่ แม่ไม่ยุ่งหรอก นี่แม่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ว่าจะออกไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลพอดี )
เยี่ยมผมที่โรงพยาบาล...
นี่แสดงว่าแม่ยังไม่รู้สินะว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
“แม่ไม่ต้อ...”
( แต่แม่เห็นของขวัญวางอยู่หน้าบ้านซะก่อนน่ะสิ )
แม่ผมพูดเสียงใส ดูอารมณ์ดีจนน่าประหลาดใจ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินอย่างนั้น
( ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดนะลูก )
“...”
ผมหันควับไปเห็นปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางอยู่บนตู้ไม้ก่อนจะรีบกระเผกเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู...วันนี้...วัน...
วันเกิดแม่ผม...
( ถ้าไม่มีการ์ดเขียนบอกตรงข้างกล่องแม่คงคิดว่าเป็นหนุ่ม ๆ ส่งมาให้นะเนี่ย...คิดยังไงซื้อของขวัญให้แม่น่ะเรา? ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยจะจำได้ )
“...”
ของขวัญ...ของขวัญอะไร...
( ‘แม่จ๋า ผมขอโทษที่ชอบทำตัวเป็นลูกอกตัญญูอยู่บ่อย ๆ ขอโทษที่คิดฆ่าตัวตายครั้งที่สามล้านแปดแสนหกหมื่นสี่พันสองร้อย วันเกิดปีนี้ผมอยากอยู่กับแม่จัง ผมขอโทษนะที่ชอบหนีแม่ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ ทำให้แม่ต้องตามหาผมอยู่เรื่อย แม่จ๋า...ผมจะรีบกลับมาหาแม่ที่บ้านให้เร็วที่สุด...เพราะผมมีอะไรดี ๆ รอเซอร์ไพร์สแม่อยู่...จาก...อีฮยอกแจสุดที่รัก’ )
ผมยืนตัวเกร็งเมื่อได้ยินแม่อ่านการ์ดให้ฟัง นัยน์ตาของผมสั่นเครือ ข้อความนั้นเหมือนกับมีใครบางคนต้องการบอกให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้แม่อยู่ในกำมือของเขาแล้ว ผมไม่ต้องรออะไรอีก ในหัวมันสั่งการให้ผมรีบกลับไปที่บ้านให้เร็วที่สุด...
“ผมจะไปหาแม่เดี๋ยวนี้”
ผมเดินเข้าไปห้องนอนพร้อมกับหยิบปืนใต้หมอนขึ้นมามองครู่หนึ่งก่อนจะใส่มันไว้ในเสื้อคลุมตัวนอกแล้วรูดซิป สิ่งที่ผมควรทำเป็นอันดับแรกคือรวบรวมความกล้าให้ตัวเอง เพราะตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ นั่นก็รวมถึงครอบครัวและคนที่ผมรักด้วย ผมกดโทรออกหาซองมินอีกครั้ง ผมควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่อีทงเฮจะตามตัวเพื่อนรักผมเจออีกคน แต่รอสายไม่นานเขาก็กดรับ
“ซองมิน”
( เมื่อกี้เป็นบ้าอะไร อยู่ดี ๆ ก็วางสายไปทั้งฉันยังพูดไม่จบ )
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้นายฟังฉันนะ ปิดประตูหน้าต่างทุกบานให้แน่นหนา อย่าเปิดประตูให้ใครจนกว่าฉันจะไปถึง”
( ห...หา? )
“ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เชื่อฉันสักครั้งเถอะซองมิน”
( แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ยังไงในเมื่อนายไม่บอกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ ๆ ถึงให้ฉันล็อคบ้านซะแน่นหนาอย่างกับว่าจะมีใครเข้ามาทำร้ายฉัน )
“ตั้งแต่คบกันมาฉันไม่เคยขอร้องอะไรนายเลย นี่เป็นครั้งแรกนายจะเชื่อฉันสักครั้งได้ไหม?” ผมอ้อนวอนเขาอย่างอ่อนใจ ซองมินเป็นคนหัวรั้น เขาจะไม่ยอมเชื่ออะไรจนกว่าจะได้รับเหตุผลที่ฟังแล้วเข้าหู
( … )
“นะ”
( แล้วนายจะมาเมื่อไหร่ กินข้าวหรือยัง )
“ฉัน...” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดสนิทอยู่ ผมเปิดมันออกเล็กน้อยเพื่อส่องดูความผิดปกติข้างนอกนั่น ในหัวของผมมันจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าอีทงเฮจะยืนอยู่มุมนั้น...มุมนั้น...และมุมนั้น...คำพูดของคุณซีวอนลอยเข้ามาย้ำเตือนให้ผมหยุดความคิดบ้า ๆ นั่น แต่ผม...คงอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้
“ฉันขอจัดการธุระก่อนแล้วจะรีบไป”
.
.
ผมยืนหอบหายใจเมื่อวิ่ง ๆ เดิน ๆ มาจนเห็นบ้านที่อยู่ไกลไม่เกินสองร้อยเมตร เพราะว่าผมไม่มีเงิน ผมเลยต้องให้ขาทั้งสองข้างที่ไม่สมประกอบพาตัวเองมาถึงที่นี่ ตอนนี้ผมคงเดินตัวเบาเข้าไปในตรอกไม่ได้เพราะผมไม่รู้ว่าอีทงเฮอยู่ที่ไหน ผมก้มตัวเดินชิดกำแพงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าบ้าน ผมชะเง้อหน้าเข้าไปแล้วก็พบว่าแม่กำลังถือจานอาหารออกมาไว้บนโต๊ะ
“แม่...”
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ แต่ถ้าผมเข้าไปข้างในนั้นก็ไม่แน่...อีทงเฮอาจจะหลบอยู่ที่ในสักแห่งในบ้าน...ผมเชื่ออย่างนั้น ผมเปิดประตูบานเล็กเข้าไปก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าพลางกำปืนไว้แน่น ถ้าผมเจออีทงเฮ ไม่ว่าจะมาดีหรือมาร้าย ผมจะยิงเขาในทันที
“ฮยอกแจ มาแล้วเหรอลูก?” แม่ดูยิ้มแย้มอย่างมีความสุขต่างจากแม่ที่ผมรู้จัก ตั้งแต่เกิดมาแม่ยิ้มกี่ครั้งผมนับครั้งได้ แม่ประคองผมให้เดินไปนั่งบนโต๊ะอาหารที่มีเมนูของโปรดของผมวางอยู่บนนั้นอยู่สี่ห้าอย่างจนผมประหลาดใจว่าแม่รู้ได้ยังไง
“ออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่เลย?”
“...” ผมไม่รู้จะตอบคำถามยังไง “ซองมินน่ะครับ”
“อ๋อ...เพื่อนคนนั้นที่โรงพยาบาลใช่ไหม?” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แม่” ผมเรียกแม่ที่เอาแต่ยิ้มและตักข้าวให้ผม
“ว่าไง”
“แม่เป็นอะไร” ผมถามไปอย่างนั้น ตอนนี้เหมือนคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ของผม มันแปลกจนน่าสงสัย แม่เงยหน้าขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม สองมือโอบกอดรอบคอผมจากข้างหลังแล้วจูบขมับเบา ๆ
“แม่ขอโทษที่ละเลยลูกมาตลอด เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เริ่มต้นใหม่เหรอ?
“...”
“แม่ก็เอาแต่ทำงานจนลืมไปว่าลูกก็ต้องการความรัก แต่ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้แม่จะให้เวลากับลูกให้มากกว่านี้ แต่ลูกต้องสัญญากับแม่ก่อนว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตายเหมือนที่ผ่านมาอีก” แม่กระชับกอดผมแน่นยิ่งขึ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าแปลกใจ แม่ไม่เคยกอดผมแบบนี้ตั้งแต่จำความได้
“ของขวัญที่ให้มา แม่จะเอาไปแขวนไว้ในห้องนอน ดีไหม?” แม่ชี้ไปที่กรอบรูปที่วางทับกระดาษห่อของขวัญอยู่ ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งนั้น...นั่นมันคือรูปผมเมื่อปีที่แล้วและซองมินเป็นคนถ่ายให้...
‘ เราสองคน กลับมาอยู่ด้วยกันเถอะนะครับ ’
‘ เริ่มต้นใหม่...กับผม... ’
“...”
คำบรรยายใต้ภาพนั่นทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นทั้งตัว ทั้งที่นั่นเป็นรูปของผม แต่ผมกลับกลัวจนจิกเล็บลงกับหน้าขาตัวเอง
“เรามาเริ่มต้นใหม่กันนะฮยอกแจ...” ประโยคสุดท้ายที่แม่กระซิบข้างหูผมก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในครัว ผมได้แต่มองรูปนั้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น
RRRRrrrrrr!!!!
RRRRrrrrrr!!!!
RRRRrrrrrr!!!!
“ฮยอกแจ รับโทรศัพท์หน่อยลูก!” แม่ตะโกนออกมาจากห้องครัว ผมค่อย ๆ ชำเลืองมองโทรศัพท์บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามัน...ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทาบหูโดยที่ไม่พูดอะไรออกไป
( แซงอิลชุกคาฮัมนีดา แซงอิลชุกคาฮัมนีดา ซารางฮานึลออมอนี~ แซงอิลชุกคาฮัมนีดา~ )
“...”
เสียงทุ้มนุ่มที่ร้องเพลงอวยพรวันเกิดทำให้ผมยืนเกร็งอยู่กับที่...ถ้าคนอื่นได้ฟังคงคิดว่ามันไพเราะแต่สำหรับผมมันไม่ใช่ เสียงที่คุ้นหูกำลังหัวเราะอยู่ในปลายสาย ผมถือโทรศัพท์เอาไว้ทั้งที่มือสั่นไม่หยุด
( ยอโบเซโย นั่นคุณแม่หรือว่าฮยอกแจที่รักของผมรับสายกันนะ~ )
“...”
( ไม่พูดแบบนี้แสดงว่านี่เป็นที่รักของผมแน่ ๆ เลย...เป็นอะไรไปครับคนดี ตื้นตันใจจนพูดไม่ออกเลยเหรอครับ? )
“แก...”
( จ๋าที่รัก? )
“แกต้องการอะไรจากฉัน?” ผมกัดฟันกรอด โมโหจนน้ำตาไหลอาบแก้มเพราะทำอะไรไม่ได้ ทำไมอีทงเฮถึงรู้ไปซะทุกเรื่อง!! “แกเป็นใครกันแน่!!”
( ผมเป็นใครเหรอ? ผมก็เป็นคนที่ที่รักเรียกว่าไอ้โรคจิตไงครับ แต่ที่โทรมาอวยพรวันเกิดคุณแม่เนี่ยก็เพราะว่าอยากเป็นลูกเขยบ้านนี้ )
เขาหัวเราะราวกับว่าเรื่องที่พูดมันน่าตลกเสียเต็มประดา ผมบีบโทรศัพท์แน่นก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงแม่เดินออกมาจากห้องครัว
( เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมครับทูนหัวของผม... )
“ใครโทรมาเหรอลูก?”
“เพื่อนที่มหาลัยน่ะครับแม่ เดี๋ยวผมมานะ” ผมเอามือปิดปากโทรศัพท์ไว้แล้วหันไปยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้าน ผมหันกลับไปมองอีกครั้งเพื่อย้ำว่าตรงนี้ปลอดภัยพอที่จะคุยกับไอ้โรคจิตนี่แล้วเอาโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง
( อีฮยอกแจเด็กขี้โกหก~ )
“แกต้องการอะไร”
( ที่รักยังไม่ตอบผมเลยนะว่าเมื่อคืนหลับสบายดีไหม? )
“อยู่ที่ไหนก็สบายทั้งนั้นถ้าไม่มีแก”
( น้ำตาจะไหล... )
น้ำเสียงกวนประสาทนั่นทำให้ผมเดือดจนลมแทบออกหู ผมมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อมองหาว่าเขาอยู่แถวนี้หรือเปล่าแต่ก็ไม่พบวี่แวว
( กำไลข้อเท้าหายไปไหนแล้วครับ? )
“ห้อยอยู่บนคอแกมั้ง”
( ไม่น่ารักเลยนะ ผมอุตส่าห์ใส่ให้กับมือ เจอกันเมื่อไหร่ผมจะทำโทษเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลย )
“อยากใส่ก็ใส่เองสิ ฉันไม่ได้ต้องการมันสักนิด”
( ดูพูดเข้า...นี่ผมยังไม่เคลียร์เรื่องชายชู้เลยนะ )
“ชายชู้งั้นเหรอ? นี่แกคิดว่าเราเป็นอะไรกัน เป็นโรคขาดความอบอุ่นหรือไง?”
( ถ้าผมบอกว่าใช่ ที่รักจะมาช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ผมเหรอครับ? )
“หึ...” ผมแค่นหัวเราะ
ฉันเพิ่มให้แกแน่...ด้วยลูกปืนร้อน ๆ ของฉันนี่แหละ
( ว่าแต่ผู้ชายสองคนนั้น คนไหนเป็นชายชู้กันนะ? )
“แกกำลังจะพูดอะไร?”
( ก็จะได้กำจัดถูกคนไงครับ...เอ...หรือว่าจะกำจัดทั้งคู่เลยดี? )
“แกไม่มีทางทำอะไรเขาได้หรอก เขาฉลาดพอที่จะตามเกมของแกทัน อีกไม่นานเขาต้องลากคอแกเข้าตารางได้แน่!”
( อู้ย กลัวจัง...ว่าแต่ที่รักมีเซ็กส์กับมันหรือยังครับ? ถ้ามีนี่ผมไม่ยอมจริง ๆ นะ เพราะนั่นมันจะทำให้ผมโกรธมาก )
“พูดบ้าอะไรของแก!” ผมตะคอกใส่ปลายสายเมื่อได้ยินคำถามดูถูกกันแบบนั้น คุณซีวอนกับคุณคิบอมเป็นคนดีมากกว่าที่จะคิดเรื่องอุบาถว์แบบนั้นเหมือนเขา!
( ที่รักใช้ปากให้เขาด้วยหรือเปล่า? )
“...” ผมโมโหจนพูดไม่ออกเลยกดสายทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมเข้าไปหาแม่ที่นั่งรอกินข้าวพร้อมผมอยู่แล้วมองเธอด้วยแววตาจริงจัง
“แม่ครับ ฟังผมนะ” ผมนั่งลงยอง ๆ ลงตรงหน้าพร้อมกับวางมือไว้บนหน้าขาแม่โดยที่ไม่ให้เธอรู้ว่าผมเจ็บขาอยู่
“ว่าไงลูก”
“ผมอยากให้แม่กลับไปที่ทำงานก่อน...แม่เคยพูดตั้งแต่ตอนผมเป็นเด็กว่าที่นั่นภูเขาสวยมาก เราไปที่นั่นแล้วถ่ายรูปด้วยกันดีไหมครับ?”
“เอ๋? ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากไปที่นั่นล่ะ?”
“อยู่ที่บ้านมันน่าเบื่อออกครับ ตอนอยู่โรงพยาบาลก็เห็นแค่รถเข็นแล้วก็พยาบาล ผมอยากไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง นะครับแม่”
“อืม...” แม่ทำหน้าใช้ความคิด ผมได้แต่ภาวนาว่าแม่จะไม่ซักไซ้ไปมากกว่านี้ “งั้นลูกขึ้นไปเก็บกระเป๋าเลยสิ จะได้ไปพร้อมกัน”
“อ่า...ผมยังไปไม่ได้ครับ ผมอยากให้แม่ไปรอที่นั่นก่อน นะแม่...ผมมีอะไรจะเซอร์ไพร์สเหมือนอย่างที่บอกในการ์ดไงครับ” ผมโกหกไปหน้าด้าน ๆ ทั้งที่การ์ดนั่นผมไม่ได้เขียนเลยสักตัว แม่ยิ้มพลางลูบหัวผมก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืน
“ก็ได้ แล้วรีบตามแม่ไปเร็ว ๆ นะ”
...To be continued...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk
พระเอกออกมาแป๊ปเดียวจ้า 555555555
แต่มาแบบหลอนนิด ๆ
แต่พี่ทง...จะทำยังไงต่อไปนะ...
แล้วอึนจะสู้กับคนโรคจิตแบบพี่ทงเฮยังไง?
ความคิดเห็น