คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 :: Get to know
Chapter 3
Get to know
ผมลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่บนตัวผม แสงสว่างของแดดสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างกระจกใสนั่นทำให้ผมได้รู้ว่าตอนนี้คงสายมากแล้ว ผมหันไปมองต้นเหตุที่ยังคงขยับตัวอยู่บนร่างผม สัมผัสแปลก ๆ นั่นทำให้ผมงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่พอได้เห็นมันชัด ๆ เต็มสองตาแล้วผมถึงกับต้องเบิกตากว้าง
น่ะ...นั่นมัน....ง...งูเหลือม!!!
“!!!”
ผมผงะแล้วรีบปัดงูที่กำลังเลื้อยอยู่บนตัวผมออกมั่วซั่วเพราะความกลัวขึ้นสมอง ผมลนลานลงบนเตียงโดยที่ไม่สนใจว่าขาข้างขวามันยังคงเจ็บเพราะบาดแผลนั่นอยู่ ข้อมือของผมยังถูกมัดเอาไว้และนั่นมันเป็นอุปสรรคเล็ก ๆ ที่ทำให้การหลบหนีของผมลำบากยิ่งขึ้น ผมคลานไปนั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้องทั้งที่งูตัวนั้นยังคงเลื้อยอยู่บนเตียง ทั้งขนแขน ขนขามันลุกตั้งชูชันขึ้นมาพร้อม ๆ กันเพียงแค่คิดว่างูตัวตัวนั้นมันเคยเลื้อยอยู่บนตัวผม ผมนั่งตัวสั่นแล้วก็ได้แต่สงสัยว่างูตัวนั้นมันเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?
ผมก้มลงสำรวจแขนขาตัวเองเพื่อดูว่าถูกกัดตรงไหนหรือเปล่าแต่ก็ไม่พบรอยแผลสักจุดเดียว อย่างที่รู้ ๆ ว่าผมเคยคิดฆ่าตัวตายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เชื่อเถอะ...ว่างูคือสิ่งแรก ๆ ที่ผมเกลียดและกลัวมากที่สุด
สายตาของผมยังคงจ้องงูตัวนั้นไม่ห่าง มันหันมามองผมเหมือนกับในหนังสยองขวัญราวกับรู้ว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในห้องนี้ที่มันสามารถเข้ามาปลิดชีวิตได้...ผมถดตัวถอยแม้ว่าตอนนี้หลังของผมจะแนบชิดกับผนังเย็นแล้วก็ตาม ความกลัวมันสั่งให้สมองคิดหาทางหนีก่อนที่สัตว์เลื้อยคลานตัวนั้นจะเข้ามาฝังพิษเข้าในตัวผม
“...” ผมมองมันสลับกับประตูที่อยู่ทางซ้ายมือแล้วค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด มันกำลังเลื้อยลงมาจากเตียงผ่านผ้านวมสีแดงนั่นอย่างใจเย็น
มันจะเลื้อยเข้ามาหาผมทำไม?!
ถ้ามันจะฆ่าผมทำไมไม่ฆ่าผมให้ตายไปตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่ตื่นกันล่ะ?!
งูเหลือมตัวนั้นเลื้อยเข้ามาใกล้เต็มที ส่วนผมก็ใกล้จะถึงประตูแล้วเช่นกัน แต่พอผมค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นงูตัวนั้นก็แผ่แม่เบี้ยชูคอขึ้นสูง ผมเคยเรียนมาว่าเวลางูโกรธมันจะทำท่าทีแบบนั้น งูบางชนิดไม่แผ่แม่เบี้ยแต่มันจะฉกศัตรูในทันทีถ้ามันตกใจ ผมเบิกตาโพลงพลางกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อเห็นลิ้นสองแฉกของมัน
กลัวเหรอฮยอกแจ?
งูตัวนี้...มันน่ากลัวเท่ากับผู้ชายชื่ออีทงเฮหรือเปล่า?
ผมลดสีหน้าลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่านาทีนี้คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าอีทงเฮอีกแล้ว ผมหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป ถ้าผมตายเพราะพิษงูมันอาจจะทรมานสักหน่อยตอนพิษแล่นเข้าสู่หัวใจ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานให้คนโรคจิตทารุณไปวัน ๆ แบบนี้
“ตื่นแล้วเหรอ?”
ผมลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่าอีทงเฮยืนอยู่ตรงหน้า เขาอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีส้มซึ่งดูไม่เข้ากับเขาเลยสักนิด ใบหน้าหล่อยิ้มกว้างพร้อมกับก้มลงนั่งยอง ๆ ข้างงูเหลือมตัวนั้น...ก่อนที่เขา...จะจับมันขึ้นมาจ้อง...
บ...บ้าไปแล้ว!!!
“ไงครับคุณนายฮโยริ ฮยอกแจที่รักของผมปลุกยากไหม?” เขาพูดพร้อมกับสบตางูตัวนั้นราวกับว่าสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางไหน
“เขาน่ารักใช่ไหมล่ะครับ ดูสิ...ตื่นมาก็ทำปากน่าจูบแต่เช้าเลย” ดูเหมือนว่าจะพูดกับงูตัวนั้นแม้ว่าเขาจะจ้องหน้าผมอยู่ ผมยังคงสั่นไม่หายและคิดว่าคงใช้เวลานานหน่อยกว่าจะสงบลงได้ตราบใดที่งูตัวเท่าแขนผมยังอยู่ในห้องนี้
“อ้อ ผมลืมแนะนำไปเลย นี่คือคุณนายฮโยริ ทำความรู้จักกันไว้นะครับ”
“ฉันไม่อยากทำความรู้จักกับสัตว์เดรัจฉาน”
“หืม? ทำไมที่รักถึงหยาบคายกับคุณนายฮโยริอย่างนี้ล่ะ?”
“ฉันไม่ได้หมายถึงมันตัวเดียว แต่ฉันหมายถึงแกด้วย” ผมพูดเสียงแข็ง ถ้ามันเป็นงูที่เลื้อยเข้ามาจากทางด้านนอกผมอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้ แต่พอรู้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของไอ้เลวนี่เท่านั้นแหละ...
ทงเฮนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเบะปากน้อย ๆ ก่อนจะยักไหล่แล้วหันไปมองงูตัวนั้น
“อะไรนะครับ?”
“...”
“อยากเข้าไปคุยกับฮยอกแจเหรอ?”
“...” ผมมองคนตรงหน้าที่เอาแต่พูดกับงูราวกับคนบ้า
“คุยตรงนี้ก็ได้นี่ครับ...หื้ม? อยากเข้าไปมองหน้าฮยอกแจใกล้ ๆ เหรอ?”
“...”
“ได้สิครับ...เพื่อคุณนายผมทำได้อยู่แล้ว” พอพูดจบเขาก็พางูตัวนั้นเข้ามาใกล้ ๆ ผมเบิกตากว้างแล้วยกมือขึ้นบังเพราะความกลัวจนกระทั่งเสียงหัวเราะดังขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ ”
“...” ผมกลัวจนน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าผมบ่อน้ำตาตื้นหรือว่าผมอ่อนแอเองกันแน่น้ำตามันถึงได้ไหลออกมาได้ทุกเวลาแบบนี้
“เอาน่าครับ...แรก ๆ อาจจะยังไม่สนิทกัน แต่พอผ่านไปสักพักเดี๋ยวก็ชินเอง”
“จะให้ฉันชินกับคนโรคจิตกับสัตว์มีพิษแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่” เขาตอบหน้าตาย ผมได้แต่แค่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเขาตอบหน้าด้าน ๆ แบบนั้น
“หิวหรือยังครับคนดี”
“ไม่”
“ชั่วโมงนี้ไม่หิวก็ต้องหิว ผมมีเวลาป้อนที่รักแค่ตอนนี้เพราะเที่ยง ๆ ผมต้องออกไปธุระข้างนอก”
“ฉันไม่ได้ขอให้แกมาป้อน จะไสหัวไปไหนก็ไป” พูดจบหน้าผมก็หันทันทีเพราะถูกฝ่ามือหนาตบเข้าให้ ผมรู้สึกชาไปทั้งหน้าเมื่อถูกตบโดยไม่ทันตั้งตัว ผมค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าใครอีกคนที่นั่งมองผมด้วยรอยยิ้ม
“เจ็บเหรอครับ?” เขาถามพลางปล่อยให้คุณนายฮโยริลงไปเลื้อยบนพื้นแล้วใช้มือข้างนั้นมาโอบใบหน้าผม “โทษทีนะ เมื่อกี้มันมียุงบินไปเกาะที่แก้มที่รักน่ะ...” เขาแบมือขวาออกให้ผมดู ซึ่งมันก็มียุงตายคามือเขาอยู่จริง ๆ แต่ผมไม่คิดว่าที่เขาทำไปเพราะจุดประสงค์นั้น ดูยังไงก็จงใจตบหน้าผมชัด ๆ
“เก็บคำขอโทษของแกไว้เถอะไอ้ฆาตรกร”
“น่า...โมโหแต่เช้าแบบนี้เสียสุขภาพจิตแย่เลย มาครับ...ไปทานข้าวกัน” ทงเฮยื่นมือมาแต่พอเห็นอย่างนั้นสมองก็สั่งการให้ผมถุยน้ำลายใส่ลงไป เขามองมือตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำลายก่อนจะถอนหายใจน้อย ๆ พลางเดินไปดึงทิชชู่ออกมาสามสี่แผ่น เขายืนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยกระดาษทิชชู่แผ่นบางเหล่านั้นลอยลงไปบนพื้นแล้วกลับมานั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าผมเหมือนเดิม
“เล่นกับผมแต่เช้าแบบนี้เพราะกลัวเหงาตอนผมไม่อยู่สินะ”
“...”
“ขี้เหงาก็ไม่บอก...” พูดจบเขาก็เอามือที่เปื้อนน้ำลายเมื่อครู่มาป้ายหน้าหน้าผมพร้อมกับบดขยี้ฝ่ามือ ผมเบือนหน้าหนีแต่เขากลับใช้มืออีกข้างบีบกรามผมให้เชิดหน้าขึ้น
“โอ๊ะ...ผมลืมไปว่าที่รักยังไม่ได้แปรงฟัน” เขาทำหน้าทำตาแล้วจิกหัวผมให้ลุกขึ้นไปตามแรงดึง ผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ล้ม ๆ คลาน ๆ ไปตามทางจนกระทั่งถึงห้องน้ำ
“เอาสีอะไรดีครับ ผมให้เลือก” ทงเฮหยิบแปรงสีฟันมาห้าหกอันตรงหน้าผม
“...” ผมมองเขาด้วยความโทสะ ผมยังคงรู้สึกชาตรงหนังหัวเพราะแรงกระชากลากดึงเมื่อครู่ ไอ้เลวเอ๊ย! จิตใจแกทำด้วยอะไร?!
“ไม่ชอบสักสีเลยเหรอ?”
“...”
“ที่รักครับ ผมรู้ว่าที่รักชอบสีดำ แต่แปรงสีดำน่ะเขาไม่ค่อยทำกันหรอกนะ แล้วนี่มันก็คือทั้งหมดที่บ้านหลังนี้มีแล้ว” เขาพูดเสียงเอื่อย ๆ ราวกับระอากับคนเอาแต่ใจอย่างผม
เอาแต่ใจเหรอ? ไม่นะ...เพราะถ้าจะให้ผมบอกเขาว่า ‘เอาสีไหนก็ได้’ มันก็คงดูตามใจเกินไป แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะต้องตามใจคนโรคจิตแบบมันด้วย
“ไม่เอา?”
“นี่แกโง่หรือเข้าใจยากกันแน่?” ผมจ้องหน้าเขาแล้วถามเสียงเย็น
“อ๋อ งั้นผมมีให้อีกหนึ่งตัวเลือก” ทงเฮยิ้มแล้วชูนิ้วชี้ขึ้นมาเป็นเชิงบอกนัย ๆ ว่าให้ผมรอก่อน เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้ใต้ซิงค์ล้างหน้าแล้วค้นหาอะไรบางอย่างก่อนจะกลับมาพร้อมกับ...
แปรง...ขัดส้วม...
“แบบนี้พอใจยังครับ?”
“...”
“ผมบีบยาสีฟันใส่ให้เลยแล้วกันนะ” เขาพูดพลางคว้ายาสีฟันขึ้นมาบีบไปทั่วแปรงขัดห้องน้ำจนหมดหลอด ผมได้เพียงแค่มองอย่างตกใจกับพฤติกรรมแบบนั้น
ไม่จริงใช่ไหม? ไอ้บ้านี่มันคงไม่ได้...
“ฮึ...ผมล้อเล่นน่ะ ดูทำหน้าเข้าสิ” เขาหัวเราะแล้วโยนแปรงขัดส้วมทิ้งลงในถังขยะก่อนจะเข้ามาบีบจมูกผมเบา ๆ ผมสะบัดหน้าออกอย่างแรงแล้วมองเขาด้วยความโมโห
“ไอ้โรคจิต!”
“นี่ยังจิตไม่พอนะ ถ้าโรคจิตหนัก ๆ ต้องเอาแปรงนั่นมาขัดฟันให้ที่รักแล้วเอาน้ำล้างส้วมมาบ้วนปากให้” เขาพูดหน้าตาเฉย ผมกัดฟันกรอดแล้วหันหน้าหนี
“ยอมแปรงดี ๆ แต่แรกก็จบแล้ว” เขาโยนแปรงสี่ห้าอันเมื่อครู่ใส่หัวผมจนตกกระจายลงบนพื้นห้องน้ำ ผมนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไรจนกระทั่งเขาเดินออกไป
เรื่องอะไรผมจะยอมตามใจคนอย่างอีทงเฮ...
เพราะถ้าเดินตามเกมของมัน...ผมก็จะเป็นได้แค่สัตว์เลี้ยงเหมือนไอ้งูนรกตัวนั้น
.
.
“ถ้าหิว ก็ไปขอกุญแจห้องจากคุณนายฮโยรินะครับคนดี” ทงเฮพูดส่งท้ายแล้วเข้ามาจูบขมับผมก่อนที่เขาจะคว้าเสื้อหนังพร้อมแว่นดำออกไปนอกบ้านหลังจากที่เขาพยายามเอาอาหารหลากหลายเมนูยัดใส่ปากจนผมสำรอกออกมาจนหมด ผมคิดว่าในท้องผมคงไม่มีอะไรพอที่จะย่อยได้เลย ถึงผมจะหิวมาก แต่ผมกลับกินไม่ลงเพียงแค่เห็นหน้าคนอย่างเขา
ผมยืนมองบานประตูที่เพิ่งถูกปิดลงพร้อมกับเสียงล็อคกลอนจากทางด้านนอก หลังจากนั้นไม่นานเสียงรถก็สตาร์ทออกไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงรถที่อีทงเฮขโมยมา
“...”
ผมหันหลังกลับไปมองงูตัวนั้นที่เลื้อยอยู่บนเตียงที่มีกุญแจห้องอยู่ตรงช่างกลางระหว่างลำตัวของมัน ผมอยากจะเดินไปลองเปิดหน้าต่างกระจกบานนั้นดูสักครั้งเพราะคิดว่าทางนั้นคงเป็นทางเดียวที่ผมจะหนีออกไปได้ แต่พอได้ยินเสียงงูฟ่อ ๆ นั่นขาของผมมันก็ไม่อยากขยับไปไหนอีก
ผมหันไปมองประตูห้องอีกบานที่เชื่อมต่อไปยังห้องนั่งเล่นและห้องครัว กุญแจที่อยู่กับงูตัวนั้น...มันจะพาผมออกไปจากห้องนี้ได้สินะ? แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าทงเฮไม่ได้แกล้งปั่นหัวผมเล่น บางทีกุญแจดอกนั้นมันอาจจะเปิดอะไรไม่ออกเลยก็ได้
“...”
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเสี่ยงตายเดินเข้าไปใกล้งูเหลือมตัวนั้นทีละก้าว ในหัวผมคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าถ้าเกิดผมหยิบกุญแจดอกนั้นมาได้แล้วมันหันมาฉกผมจะเกิดอะไรขึ้น ผมเอื้อมมือเข้าไปใกล้...ใกล้...จนห่างมันเพียงไม่กี่นิ้ว
“ฟ่อ...” ผมเบิกตากว้างเมื่องูตัวนั้นมันชูคอขึ้นเหมือนกับก่อนหน้านี้ ผมไม่กล้าขยับตัวอีกเพราะกลัวว่ามันจะเข้ามาฉกผมเข้า ลิ้นสองแฉกที่ผุบเข้าผุบออกนั่นทำให้ผมกลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนี แต่ถ้าผมทำอย่างนั้น ผมคงตายแน่เพราะงูมันเร็วกว่าผมมาก
“…!!” ผมสะดุ้งเมื่องูมันทำท่าผงกคอจะฉกผม มันทำอย่างนั้นอยู่สองครั้งจนผมขาอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น
ผมมองมันไม่ละสายตาแล้วค่อย ๆ คลานถอยหลังไปทีละนิด...และดูเหมือนว่ามันกำลังจะเล่นกับความรู้สึกผมอยู่ มันเลื้อยเข้ามาอย่างช้า ๆ ทั้งที่ลิ้นของมันยังผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่อย่างนั้น
“อ...อย่านะ...” ผมพูดแม้ว่ามันจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
“ช...ช่วยด้วย...” ผมพูดเสียงแผ่วเหมือนกับคนสิ้นหวัง ผมกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่เกลียดที่กลัวที่สุดอยู่ พอเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่กล้าตายด้วยเหตุผลนี้
ปัง ปัง ปัง!
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืนแม้ว่ามันจะเป็นแบบเก็บเสียงก็ตาม ผมหันไปมองประตูที่ถูกยิงจนเป็นรูก่อนที่มันจะถูกถีบเข้ามา ยังไม่ทันมองว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นใครก็ต้องหันกลับมามองงูเหลือมตรงหน้าที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเพราะถูกยิง
ผมอึ้งกับสิ่งที่เห็น...งูเหลือมที่เคยจะเข้ามาปลิดชีวิตผมตอนนี้มันนอนแน่นิ่งจมกองเลือดไปแล้ว ผมค่อย ๆ หันไปที่ประตู...ภาพในมโนความคิดของผมคืออีทงเฮที่มีปืนอยู่ในมือ แล้วถ้าเป็นอีทงเฮจริง ๆ เขาจะฆ่าไอ้งูนรกนี่ลงคอเชียวเหรอ?
แต่พอคิดว่าเป็น ‘อีทงเฮ’ เท่านั้นแหละ ผมคิดว่าเขาคงทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขนาดคนที่เขารักเขายังฆ่าได้ลงคอ นับประสาอะไรกับแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง แต่ทันทีที่ผมเห็นคน ๆ นั้นผมก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด...เพราะคนที่กำลังเดินเข้ามาหาผมคือ...
“คุณฮยอกแจ...ปลอดภัยใช่ไหมครับ?”
...To be continued...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
TALK
555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
เอามาลงสั้น ๆ
ห้ามว่าพี่ทงเฮนะ ถ้าใครว่าพี่ทงเฮเราจะเอาแปรงอันนั้นให้ไปแปรงฟันที่บ้าน
ความคิดเห็น