คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : PART 2 : SEOUL POLICE DEPARTMENT
PART 2
SEOUL POLICE DEPARTMENT
คนเรามักจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ค่าเสมอ
หนึ่งในนั้น...ก็รวมถึงตัวผมเองด้วย
“ค่อยๆ กินก็ได้” พูดพร้อมกับยื่นขวดน้ำให้คนตรงหน้า เด็กหนุ่มหยุดชะงักพลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย นัยน์ตากลมโตหลุบลงพลางกลืนไส้กรอกที่อัดอยู่เต็มปากลงคอ
“แค่กๆ!!” พูดไม่ทันขาดคำ ร่างสูงเข้าไปช่วยลูบหลังให้ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่ม เริ่มถอนหายใจน้อยๆ กับพฤติกรรมของคนตรงหน้า
ภายในโซนซุปเปอร์มาเก็ตที่เงียบสงบไร้ซึ่งผีดิบต่างจากชั้นล่างที่เขาพึ่งหนีมา แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้เต็มร้อย ทุกย่างก้าวทุกวินาทีมีอัตราการเสี่ยงเท่ากัน...เพราะความเงียบ...มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไร
“คุณชื่ออะไร”
“โจ...” ทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ พลางหายใจเข้าลึกๆ “โจคยูฮยอน”
เด็กหนุ่มตอบพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัว เมื่อครู่คุณคนนี้เป็นคนช่วยเขาไว้ นับว่าโชคดีจริงๆ เกือบถอดใจนอนตายอยู่ในลิฟท์แล้วไหมล่ะ
“คุณมาที่นี่กับใคร? มีเพื่อนหรือครอบครัวมาด้วยรึเปล่า?” ร่างสูงเอ่ยถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน ไม่ลืมที่จะยื่นมือให้คนตรงหน้า คยูฮยอนมองมือแกร่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับเอาไว้พลางยันตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินตามหลังร่างสูงไป...ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางของที่มีขนม นม เนย มากมายวางเรียงกันอยู่
คนๆ นี้....เป็นตำรวจรึเปล่าวะ....
ก็เพราะว่าไอ้เครื่องแบบนั่นมันดูเวิ่นเว้อกว่าพวกตำรวจหน้าเลือดที่คอยเก็บค่าส่วยทั่วไปนี่นะ
“เลือกของกินใส่กระเป๋าซะ” พูดจบร่างสูงก็เดินไปโซนน้ำดื่ม คยูฮยอนยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าออก....พอเห็นของที่อยู่ข้างในแล้วก็อยากจะเบะปากร้องไห้สักที
เย้ดเขว้...แรร์ไอเทมกูแตกละเอียดเละเป็นขี้ไม่มีชิ้นดีเลย!
แบบนี้จะส่งเคลมได้ไหม...ใช้ยังไปไม่เท่าไหร่เลย นี่รักยิ่งกว่าอะไรเลยนะ ของพวกนี้เพื่อนมาขอยืมใช้ยังต้องคิดค่าเช่า...รู้ละ...มันคงเป็นผลพวงจากตอนโยนกระเป๋าใส่หนังหน้าพวกซอมบี้ตอนนั้นแน่เลย
“ทิ้งไปได้แล้ว” ร่างสูงพูดพร้อมกับดึงน้องซัมซี่แท๊บกับน้องพีเอสวิสต้าออกมาทิ้งลงบนพื้นอย่างไร้เยื่อใย คยูฮยอนเบิกตากว้าง เครื่องนึงไม่ใช่วอนสองวอนนะครับทำไมพี่หล่อทำกับผมแบบนี้ล่ะ T_T
“ทำไมทำเงี้ย.............” เอ่ยถามเสียงแผ่วพลางมองตามไอเทมสุดรักที่พึ่งถูกโยนทิ้งลงพื้นไปเมื่อครู่ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนเอาฉี่อูฐสาดใส่หน้าไม่มีผิด ชายหนุ่มร่างสูงทำหน้านิ่งหากแต่อีกฝ่ายกลับเบะปากเตรียมจะเป่าปี่รอมร่อ
“ของพวกนี้พกไปก็มีแต่จะหนักเปล่าๆ เห็นอยู่ว่ามันใช้งานไม่ได้แล้ว” ถึงจะพูดถูกก็เถอะ แต่อย่างน้อยถ้ารอดชีวิตจากที่นี่ไปได้ ก็คิดว่าจะเอาไปส่งเคลมสักหน่อยไง
พูดก็พูดได้........ซื้อใหม่ให้เขาป่ะล่ะ - _-
เอาวะ...ไม่เป็นไร...แค่มีช็อคโกแลตกับโค้กเขาก็รอดตายแล้ว! -.-
มือเรียวเปิดกระเป๋าออกกว้างก่อนจะกวาดเอาช็อคโกแลตหลากยี่ห้อใส่ลงไปด้วยสีหน้าสุขสันต์จนแทบลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้นี้ใครกันที่ทำท่าจะเป็นจะตายตอนเห็นของในกระเป๋าพัง ร่างสูงถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินมาปรามมืออีกคนเอาไว้ คยูฮยอนขมวดคิ้วขัดใจ...
จะห้ามอะไรอี๊กกกกกกกกกกก
“พอแล้ว” ร่างสูงพูดก่อนจะเอาขนมบิ๊สกิตใส่เพิ่มเข้าไปในกระเป๋าสองกล่องพร้อมกับน้ำเปล่าอีกสองขวด คยูฮยอนอ้าปากหวอ น้ำเปล่าเป็นสิ่งเดียวในตู้เย็นที่เขาไม่เคยข้ามล้ำไปแตะเลยนะ!!...
ไม่มีทาง...เขาไม่ยืมดื่มน้ำเปล่าแน่ รสชาติจืดชืดไร้ความหวานซาบซ่า ดื่มไปทำไมกัน
“เดี๋ยวผมไปเอาโค้กแปปนึง”
“น้ำเปล่าก็พอแล้ว น้ำอัดลมมีแต่จะเพิ่มแก๊สในกระเพาะทำให้คุณท้องอืดซะเปล่าๆ” บ่นเชี่ยอะไรครับคุณตำรวจ... ถ้าไม่มีโค้กก็เหมือนให้เขาหายใจในน้ำทางกระบอกไม้ไผ่นั่นแหละ...แล้วไอ้พวกบิ๊สกิตนี่อีกล่ะ กินไปแล้วมีแต่จะคอแห้งถ้าจะให้กินไอ้นี่ยังไงมันก็ต้องมีโค้กมาผสมโรงด้วยสิ กินบิ๊สกิตกับน้ำเปล่านั่นน่ะประเทศไหนพากินวะครับ
“คุณไม่พอใจเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมพอใจที่สุดเลย” ตอบพร้อมกับยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นสีหน้าดุของอีกฝ่าย โหดยิ่งกว่าพ่อกูอีกครับ นี่ถ้าไม่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้นะ พ่อจะเอาคมแฝกวิ่งไล่ฟาดให้หายหล่อเลยสิ - _-
ตึกๆๆ!!!
“อา....ให้ตายเถอะ”
เสียงรองเท้าคอมแบทหยุดลงพร้อมกับชายหนุ่มร่างหนาที่ยืนถอนหายใจอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเจ้าปัญหายังคงมีชีวิตอยู่ ร่างสูงรูดซิบกระเป๋าให้กับเด็กหนุ่มพร้อมกับหันไปมองผู้มาใหม่ที่เสยผมขึ้นพลางหอบหายใจ คยูฮยอนมองทหารหนุ่มตาปริบๆ พลางกินไส้กรอกที่อยู่ในมือต่อไป นึกอยากขอบคุณพระเจ้าที่ได้เจอกับเขาอีกครั้ง แต่สายไปแล้วคุณทหาร พี่หล่อคนนี้เค้าช่วยผมไว้แล้ว -.-
.
.
“ผมพึ่งได้รับแจ้งเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ใจกลางกรุงโซล...ไวรัสแพร่ระบาดจนยากที่จะต้านทานไหว ข้างนอกนั่นถัดไปอีกไม่กี่บล็อกก็มีแต่ทะเลเพลิงและศพของพลเรือน ผมและทีมได้ออกยับยั้งทุกอย่าง...แต่เชื้อไวรัส...มันแพร่กระจายเร็วเกินไป” ร่างสูงพูดขณะที่ทั้งสามคนนั่งอยู่บนพื้นระหว่างช่องทางเดินในซุปเปอร์มาเก็ตของห้างสรรพสินค้านั้น
เด็กหนุ่มได้เพียงแค่มองตาปริบๆ พลางกินช็อคโกแลตที่พึ่งกวาดใส่กระเป๋ามาเมื่อครู่ ก็อยากเสือกอยู่เหมือนกันนะแต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แค่นั่งเก็บ Detail เงียบๆ ไปก็เท่านั้น...
“ผมเองก็ถูกจ้างวานมาเหมือนกัน...แต่ไม่ใช่จากฝ่ายรัฐบาลเหมือนคุณ” ชายร่างหนาตอบพลางถอดกั๊กตัวนอกออกมาเช็คกระสุนปืนระหว่างที่คุยกันไปด้วย
“Umbrella สินะ” พอร่างสูงพูดจบ นายทหารคิมก็เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่ต้องไปเกี่ยวพันกับบริษัทนั่น
ก่อนที่จะเข้าบรรจุเป็นทหารหน่วย U.B.C.S เขาเองก็เคยเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลเกาหลีมาก่อนที่จะถูกจับไปขังคุกในเกาะทางตะวันออก แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก Umbrella โดยมีข้อเสนอว่า..ทำงานให้กับ Umbrella เพื่อแลกกับอิสรภาพ...ซึ่งดูแลแล้วก็ไม่เห็นถึงอิสรภาพสักเท่าไหร่?
ส่วนมากหน่วยทหารของ U.B.C.S ก็เป็นนักโทษเดนตายมาก่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกค้ายาเสพย์ติดยันฆ่าหั่นศพเผาทั้งหมู่บ้าน...นักโทษเหล่านี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกเสียจากรอวันถูกประหาร...หรือจะเข้าเป็นทหารกับ Umbrella ที่ไปเสี่ยงดวงในเอาสนามรบ
ถ้าหากรอด...ก็ถือว่าเป็นโชค...
หน่วย U.B.C.S ที่แบ่งแยกออกไปถึงสี่หน่วย คิมยองอุนถูกจ้างวานโดย Umbrella Corparation ภารกิจคือค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตในเมือง...แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยลูกทีมของเขาเริ่มตายไปทีละคนจนตอนนี้กระจัดกระจายกันไปหมด
“คุณเองก็ไล่ต้อน Umbrella อยู่” พูดพร้อมกับดูตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนเสื้ออีกฝ่าย ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้ทหารหนุ่ม
“ชเวซีวอน”
“คิมยองอุน” ยื่นมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับเช็คแฮนด์สานความสัมพันธ์กันเล็กน้อย ร่างสูงยิ้มให้ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกวนประสาทแว่วขึ้นมา
“โจคยูฮยอน.... ( ̄(エ) ̄)”
จะหาว่าเสือกก็คงใช่ ชายหนุ่มในเครื่องแบบทั้งคู่หันมามองเด็กหนุ่มที่ยื่นมือออกมาข้างหน้าเป็นตาเดียวกัน เด็กน้อยหัวเราะแห้งๆ ถึงจะเป็นแค่เด็กมัธยมก็มีหัวใจเหมือนกันนะครับ ในเมื่อตกอยู่ในสถานภาพเดียวกันอย่างนี้ ก็ต้องร่วมมือกัน หาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ (เท่สึด)
.
.
“ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่คุณ ก็คุณ ควรเสียสละปืนพกหนึ่งกระบอกให้ผมไว้ติดตัวบ้างนะ” คยูฮยอนพูดพลางมองไปยังทหารหนุ่มที่จัดแจงอาวุธให้เข้าที่
“ไม่จำเป็น หน้าที่นายคือหลบอยู่ข้างหลังแล้วหมอบลงกับพื้นก็พอ”
“หู้ย
พูดงี้ได้ไงเนี่ย คุณไม่เคยเห็นผมเล่นเกมส์ Shooting อ่ะดิ? รู้จักรึเปล่า Counter Strike อ่ะ ผมเซียนปืนไรเฟิลเลยนะไม่อยากจะคุย เคยไปแข่งทัวร์นาเมนท์ได้เหรียญทองมาแล้วด้วย” พูดเป็นต่อยหอยพลางเดินตามประกบทหารหนุ่มที่เดินนำหน้าพร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งไปรอบตัว
“เงียบๆ หน่อย” ตำรวจหนุ่มหน้าหล่อนามว่าชเวซีวอนเอ่ยปรามเขาพร้อมกับเอามือปิดปาก คยูฮยอนขมวดคิ้วก่อนจะแกะมือแกร่งออกทันที
“ให้ผมเดินตามหลังต้อยๆ แบบเนี้ย เกิดมีพวกหมาขี้เรื้อนกระโดดออกมาจากกระจกผมก็โดนกินคนแรกดิ ไม่มีอะไรป้องกันตัวเลยสักอย่าง”
เพล๊งงงงงงงง!!!!
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!”
พูดไม่ทันขาดคำก็มีสัตว์ประหลาดกระโจนออกมาจากกระจกข้างตัวเขา คยูฮยอนกุมหัวหมอบลงกับพื้นก่อนที่จะถูกใครอีกคนคว้าเอวเอาไว้แล้วลากออกจากตรงนั้นพร้อมกับเหนี่ยวไกใส่เป้าหมายที่กำลังย่างกรายมาหาเขาทั้งสาม
ปัง!! ปังๆๆ!!!
เสียงปืน...เงียบไปแล้ว...
“...................”
“...................”
“พวกหมาติดเชื้อจะเคลื่อนตัวเร็วกว่าผีดิบเป็นเท่าตัว...มันออกล่าเหยื่อตอนกลางคืนและยิ่งกว่านั้นคือ...มันนิ่ง...เงียบ...และซุ่มดูเหยื่ออยู่ห่างๆ ....รอให้เหยื่อตายใจ...แล้วเข้าตะครุบโดยไม่ให้เหยื่อรู้ตัว...” ชายหนุ่มร่างหนาเล่าประสบการณ์ให้ฟังในขณะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ เขาเห็นมากับตาว่าไอ้หมาเนรคุณพวกนั้นมันไวแค่ไหน
ชั่วพริบตาเดียว...มันกระโดดตะปบกัดกินทีมเขาไปต่อหน้าต่อตา
“เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้ว เมื่อกี้ถ้าผมเดินช้าไปอีกสองก้าวนะ คงโดนพวกมันคาบไปกินแน่ เพราะอะไรรู้ไหม? นั่นก็เพราะว่าผมมันไม่มีอาวุธไง...ถ้ามีนะป่านนี้...อ๊ะ!!” ร่างโปร่งเซถอยหลังเล็กน้อยเมื่อปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง
อะไรวะ จะหยุดก็ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน -_ -
ซีวอนมองทั้งคู่พลางส่ายหน้าเอือม คนหนึ่งก็อารมณ์ร้อน
อีกคนก็เจ้าปัญหา แบบนี้จะไปกันรอดรึเปล่า?
“เอาไป” ร่างหนาพูดพร้อมกับยัดปืนพกใส่มือเรียว คยูฮยอนอ้าปากหวอ นัยน์ตาเบิกกว้างก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มด้วยความปลื้มปิติ
“ทีนี้จะหุบปากได้รึยัง?” ร่างหนาถามพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ร่างโปร่งที่กำลังยิ้มพอใจเหมือนเด็กได้ของเล่น คยูฮยอนพยักหน้าหงึกๆ พลางยืนตรงพร้อมกับตะเบ๊ะ
“สามชั่วโมงเลย!!”
.
.
ความมืด...
มันน่าหวาดกลัวแค่ไหน...คุณเองน่าจะรู้ดีที่สุด
ตึ่ก!!
เสียงฝีเท้าสัมผัสลงบนพื้นหลังจากกระโดดลงมาจากกำแพงรั้วบ้านที่เขาทั้งสามพึ่งปีนป่ายข้ามมาจนถึงปั้มน้ำมันตามที่คาดหมาย จองซูเล็งปืนไปรอบตัวสำรวจความเรียบร้อยก่อนที่จะหันไปส่งสัญญาณให้ทงเฮและฮีชอลกระโดดตามลงมา
“ถึงแถวนี้จะไม่มีพวกมันเพ่นพ่าน...แต่เราก็วางใจไม่ได้...ยังไงก็ค่อยๆ เลียบทางเดินไปแล้วกัน” พูดพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ บนถนนที่เงียบสงบ มีเพียงซากรถยนต์ที่กำลังไฟลุกโชนและเศษซากขยะเท่านั้น
ทำไมเรื่องราวมันเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้?
ทงเฮส่งมือขึ้นไปรับร่างบางที่กำลังจะกระโดดตามลงมาในขณะที่จองซูกำลังมองหาทางหนีทีไล่ เป้าหมายคือหารถสักคันที่จอดอยู่ในปั้มน้ำมันและแวะหาอาหารในมินิมาร์ทก่อนจะออกตัวไปสถานีตำรวจ
“ขอบคุณครับ” ร่างบางยิ้มขอบคุณร่างหนาก่อนที่ทั้งสามจะค่อยๆ เดินเลียบกำแพงไปจนถึงปั้มน้ำมันที่เงียบสงบ...
เงียบ...จนน่ากลัว...
“ทงเฮ...นั่น” นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่รถซีวิคซีดำที่จอดอยู่ทางด้านใน ทงเฮพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเข้าไปสำรวจรอบรถ อีทึกและฮีชอลหยุดยืนดูทงเฮอยู่ห่างๆ เมื่อร่างหนาหันซ้ายขวาก่อนจะเอาสันปืนทุบกระจกรถจนแตกละเอียด
“ไม่มีกุญแจ” เงยหน้าขึ้นมาบอกพี่ชายก่อนจะชะโงกหัวเข้าไปข้างในรถ “ให้ตายเถอะ...สงสัยคงต้องใช้มุกเดิมแล้วสิ...” พึมพำกับตัวเองเบาๆ “ไปหาอาหาร เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
ว่าแล้วก็ปลดล็อคประตูออกก่อนจะเข้าไปนั่งทางด้านในพร้อมกับเอนตัวลงนอนราบไปกับพื้นเบาะ จำได้ว่ายงจุนฮยองเพื่อนที่เรียนช่างเคยสอนวิธีสตาร์ทรถแบบไม่ต้องใช้กุญแจให้ตอนที่แวะไปอู่ซ่อมรถบ้านมัน มือหนาดึงสายไฟที่พันระโรงยะยางใต้พวงมาลัยออกมาพลางคาบไฟฉายหลอดเล็กที่พกติดกระเป๋ามาไว้ในปาก ทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ทบทวนความรู้ที่เพื่อนเคยสอนให้แล้วก็สุ่มมั่วจับหยิบสายไฟมาสปาร์คกันเสียดื้อๆ
“ติดสิ...ติดสิ...”
.
.
หน้าที่จัดการเรื่องรถคงมอบให้เป็นของทงเฮไป ร่างโปร่งหันไปมองข้างๆ พลางขมวดคิ้วเมื่อร่างบางที่เคยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันเมื่อครู่หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พอหันไปก็เห็นประตูร้านมินิมาร์ทกำลังปิดลง ขอเดาว่าคิมฮีชอลคงเดินเข้าไปในนั้นเป็นแน่...
ให้ตายเถอะ...สถานการณ์แบบนี้คิดว่ากำลังเดินช็อปปิ้งอยู่หรือไงกัน?
จองซูรีบวิ่งเข้าไปในมินิมาร์ทก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นฮีชอลยืนผวาชิดตู้แช่เย็น...ร่างโปร่งรีบเข้าไปดูอาการอีกฝ่ายพร้อมกับสำรวจร่างกายพลางหันไปมองบนพื้นที่มีร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ไม่...ผมไม่เป็นอะไรครับ” ร่างบางเอ่ยเสียงสั่น ฉายแววตาหวาดกลัวในสิ่งที่เห็นเมื่อภาพตรงหน้าคือร่างชายหนุ่มสองคนในชุดเครื่องแบบพนักงานนอนคอหักอยู่...ร่างสูงนั่งลงยองๆ มือหนึ่งถือปืนเล็งเอาไว้ส่วนมืออีกข้างนั้นใช้สำรวจร่างกายผู้ตาย
“..................”
คาดว่าพนักงานทั้งสองคนนี้คงกลายสภาพเป็นผีดิบไปแล้วทั้งคู่และถูกฆ่าซ้ำหลังจากนั้น...หากแต่ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลยแม้แต่น้อย...นอกเสียจากรอยกัดที่เหวอะไปทั่วคอและท่อนแขน...แต่ทว่าคอนั้นกลับพลิกหักไปอยู่ข้างหลัง...นั่นทำให้เขาไม่ต้องเดาเลยว่า...มีการต่อสู้เกิดขึ้น
ด้วยมือเปล่า...
“ผีดิบสองตัวนี้พึ่งตายไปไม่นาน” ยันตัวลุกขึ้นพลางหันไปมองดวงหน้าหวานที่ยืนอยู่ข้างๆ
“หมายความว่ามีคนมาที่นี่ก่อนเราเหรอครับ?”
“......ผมไม่รู้” ร่างโปร่งส่ายหน้า อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้? ถึงจะเป็นตำรวจ...แต่ถ้าพูดถึงเรื่องด้านชันสูจน์ล่ะก็เขาเองก็ไม่ถนัดสักเท่าไหร่
“ถ้าผีดิบเหล่านี้พึ่งตายไปได้ไม่นาน...นั่นก็แสดงว่าคนที่กำจัดพวกมันอาจจะพึ่งออกเดินทางไปก็ได้...จริงไหมครับ?”
“...................”
“จองซู....เรารีบเก็บของแล้วออกไปจากที่นี่กันเถอะ บางทีเราอาจจะพบพวกเขากลางทางก็ได้นะ” ฮีชอลพูดก่อนจะจับต้นแขนอีกคนเพื่อเรียกสติ บรรยากาศรอบตัวมันทำให้เขารู้สึกหวาดผวาจนไม่อยากยืนตรงนี้นานๆ แล้ว...
.
.
มีเพียงแค่เสียงกระแสไฟช๊อตกันหากแต่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์กลับไม่ติดสักที หยาดเหงื่อไหลซึมตามจอนผมไล่มาถึงคางเรียวทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ กดดัน...จนไม่มีสมาธิ
“ติดสิลูกพ่อ...ติดสิ....” ความเงียบที่เคยต้องการเพื่อใช้ทำสมาธิกลับเป็นตัวทำลายสมาธิเขาเสียเองในเมื่อบรรยากาศรอบข้างมันช่างน่าหวาดผวา
ครืน.....
“บิงโก”
ริมฝีปากหยักยิ้มกว้างเมื่อความพยายามเป็นผล ร่างหนายันตัวขึ้นตรงที่นั่งคนขับก่อนจะหันหลังกลับไปดูมินิมาร์ทที่ป่านนี้ทั้งคู่ก็ยังไม่ออกมา แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่ออกมาทางด้านเบาะหลัง
“กร๊าซซซซซซซซซซ!!!”
“เฮ้ย!!”
ร่างหนาถอยกรูจนหลังพิงพวงมาลัยพลางใช้เท้าถีบผีดิบสาวที่กำลังพยายามปีนป่ายข้ามเข้ามาหาเขา เสียงแตรรถดังลั่นเรียกความสนใจให้กับคนที่อยู่ในมินิมาร์ทได้เป็นอย่างดี อีทึกคว้ามือเรียวไว้ก่อนจะรีบวิ่งออกมาทันทีหลังจากเก็บของเสร็จเมื่อครู่
ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด................
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด...อาจเป็นเพราะพื้นที่แคบหรือเพราะความซวยก็ไม่อาจล่วงรู้ได้...ร่างหนาพยายามควักปืนที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมาหากแต่เพราะแรงปะทะต่อสู้ทำให้ปืนนั้นตกลงไปบนพื้น
“แม่งเอ๊ย!” เท้ายังคงยันผีดิบสาวให้ออกห่างไม่หยุดในขณะที่เขาก็กำลังพยายามควานหาปืนที่ทำตกลงไปเมื่อครู่
ตึก..ตึก!!!
“แฮ่........” เสียงผีดิบสองตัวยืนทุบกระจกอยู่ฝั่งข้างคนขับ นั่นทำให้เขาใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิมใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมองประตูเหนือหัวที่ไร้กระจก...ถ้าเกิดพวกมันมาทางนี้ เขาคงกันไว้ไม่ได้แน่!
ปัง!!! ปัง!!!
เลือดสีแดงสดสาดกระจายติดกระจกรถพร้อมกับร่างที่ทรุดลงไปกับพื้น ทงเฮเบิกตากว้างพลางหอบหายใจหนักก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเย็นของปืนที่ทำตกลงไปเมื่อครู่...
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”
ปัง!!!
กริ๊ก... เสียงกระสุนปืนเด้งออกมาพร้อมกับร่างไร้วิญญาณที่แน่นิ่ง ผีดิบสาวปากโหว่แน่นิ่งไปในทันทีหลังจากถูกยิงเข้าไปเต็มๆ มือหนาสั่นเทาเพราะความกลัว ถึงแม้จะผ่านเรื่องราวแบบนี้มานักต่อนัก...แต่เขาก็ไม่เคยชินกับการที่ได้เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเลยสักครั้ง
“ทงเฮ!!”
“.....แฮ่ก....แฮ่ก.....”
“นายโอเครึเปล่า?” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยก่อนจะเปิดประตูรถออกพลางพยุงน้องชายให้ออกมาจากรถ ฮีชอลนั่งลงยองๆ พลางสำรวจบาดแผลที่อยู่บนหัวคิ้วให้ร่างหนา ทงเฮหอบหายใจหนักพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมโอเค....”
“จองซู...คุณไปขับรถ เดี๋ยวผมทำแผลให้ทงเฮเอง”
.
.
นัยน์ตาคมจ้องมองน้องชายผ่านกระจกมองหลังในขณะที่ร่างบางกำลังช่วยทำแผลบนหัวคิ้วให้
“โชคดีนะที่คุณไม่โดนกัด” กลีบปากบางระบายยิ้มก่อนจะติดพลาสเตอร์เป็นขั้นตอนสุดท้ายให้ โชคดีที่หยิบผ้าก๊อตและอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นติดมือมาด้วย ทงเฮผละตัวออกก่อนจะเอนหลังพิงเบาะพลางหลับตาลง...
กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้งติดจมูก เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นมันสั้นแค่ไหน เพียงชั่วพริบตาเดียว...มันพร้อมจะพรากลมหายใจไปจากคุณได้ทุกเมื่อ....
ไม่นานนัก...ทั้งสามคนก็เดินทางมาถึงสถานีตำรวจ ประตูรถถูกปิดลงพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปยังตึกสูง...ที่เรียกว่า... Seoul Police Department
“คุณทำงานที่นี่”
“ครับ แต่ผมพึ่งบรรจุ...พึ่งเคยเข้าไปข้างในแค่ครั้งเดียวเอง” ร่างโปร่งพูด สถานที่ๆ ทำงานที่เขาเคยไฝ่ฝัน โต๊ะทำงานใหม่ที่อยู่ด้านในยังคงมีแฟ้มเอกสารที่ยังไม่ได้จัดแจงให้เข้าที่
“หวังว่าจะมีคนอยู่ข้างในนั้น...” ร่างบางพูดพร้อมกับกระชับมืออีกคนเป็นเชิงให้กำลังใจ จองซูยิ้มบางๆ ลึกๆ เขาเองก็หวังว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น
ใครสักคน....ที่พอจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขาได้รู้
ทันทีที่ประตูเปิดออกทงเฮแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่านี่คือสถานีตำรวจจริงๆ ชั้นแรกดูโล่งกว้างคล้ายกับโรงแรมหรู ตรงกลางมีรูปปั้นนกเหยี่ยวขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม...
แต่ทำไม...
ถึงเงียบสงบ..ได้ขนาดนี้
“อาจจะมีคนรอดชีวิตอยู่ด้านใน” จองซูพูดก่อนจะเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์กลางห้องโถงที่มีคอมพิวเตอร์อยู่ทางด้านใน ทงเฮและฮีชอลหยุดยืนอยู่ข้างหลังพลางจ้องมองมอนิเตอร์ที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิด
“นั่น...มีผู้รอดชีวิต!” ร่างโปร่งเอ่ยเมื่อเห็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกับวิทยุสื่อสาร นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบตัว...สถานีตำรวจมีอยู่สามชั้นกว้างๆ ที่เขาเองก็ยังเดินไม่ทั่วถึง พยายามนึกให้ออกว่าตำรวจคนนั้นอยู่ชั้นไหน?
“ติดต่อเขาได้รึเปล่า?”
“พี่จะพยายาม” พูดพร้อมกับกดแป้นคีย์บอร์ดเพื่อหาทางเข้าระบบ ไม่นานนัก เสียงสัญญาณวิทยุก็ดังขึ้น
“อ...ฮัลโหล...ครืดดดดด....มีใครได้ยินผมไหม...ได้โปรด...ครืดดด....ช่วย....ครืดดดดดด”
“ฮัลโหล ผมได้ยินคุณแล้ว....คุณได้ยินผมรึเปล่า”
“นะ...นั่นใคร....พวกเขาส่งคนมาช่วยผม...ครืด....ใช่ไหม....ครืดดดดด...”
“คุณอยู่ชั้นไหน??”
“ผม...ครืดดดดดดดดดด...ชั้นสาม...ห้อง..........ครืดดดดดดดด....”
พรึ่บ!!!
สัญญาณดับไปพร้อมกับไฟที่ดับไปเมื่อครู่...ไม่เกินอึดใจระบบก็บูธขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จองซูหันไปมองจอมอนิเตอร์ที่กำลังบูธเครื่องอยู่ก่อนจะหันกลับมาหาทงเฮ
“ไหนๆ ก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ชั้นสาม ผมว่าเราขึ้นไปตามหาเขาเลยดีกว่า” ทงเฮว่า ทั้งคู่พยักหน้าเข้าใจพร้อมกับเดินเข้าไปในประตูไม้สีน้ำตาล
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็แทบจะเรียกหาพระเจ้าเมื่อตรงหน้ามีผีดิบนับสิบอยู่ทางด้านใน นั่นทำให้เขาทั้งสามรีบปิดประตูกลับเข้าไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“บ้าจริง”
“.....ผู้ชายคนนั้นคงไม่ได้เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวหรอกนะ” จองซูพูดพร้อมกับเดินถอยหลังออกมา...ยังไงก็ตามแต่...ไม่ว่าจะมีกี่คนที่รอด...ทุกชีวิตสำคัญเสมอ
“มีอีกทาง”
“..................”
“หอสมุด”
.
.
หอสมุดประจำสถานีตำรวจที่ทำด้วยไม้เก่าแก่เสียจนดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย ในตอนแรกจองซูคิดว่าทางนี้น่าจะปลอดภัยที่สุด...แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องวิ่งหนีไม่ต่างจากในทีแรก
ชั้นหนังสือถูกวางเรียงเป็นระเบียบ...เสียงพื้นไม้เอี้ยดอ๊าดทุกครั้งที่ฝีเท้าย่ำเหยียบลงไป แม้จะเพียงเบาบางแต่ก็ได้ยินชัดเจน ทงเฮอาสาเดินนำหน้าและให้จองซูคอยระวังหลังแทนเมื่อถูกผีดิบไล่ต้อนเข้ามาเรื่อยๆ ประตูที่ล็อคแน่นหนาก็เป็นเพียงแค่กำบังที่จะถ่วงเวลาพวกมันไปได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
พยายามเดินระวังให้มากที่สุดเพราะกลัวว่าพื้นไม้นั่นจะทรุดตัวลงไป สถานีตำรวจก็ออกจะดูหรูหรา แต่ทำไมหอสมุดถึงได้เก่าคร่ำครึแบบนี้?
ไวเท่าความคิด อาจเป็นเพราะพื้นไม้เก่าเกินกว่าจะรับน้ำหนักคนไหวจึงทำให้ร่างหนาร่วงลงไปข้างล่างท่ามกลางความตกใจของจองซูและฮีชอล
“
!!!!!”
“ทงเฮ!!!”
“ทงเฮ!!!”
ทงเฮนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด...รู้สึกเหมือนหัวเขาจะกระแทกกับพื้นด้วย ถือว่าโชคดีที่ตกลงมาแค่ชั้นลอยหากแต่ไม่มีบันไดให้ปีนขึ้นไปหาพี่ชายและร่างบาง
“นายเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ผมไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวพี่จะลงไปรับนาย รอก่อนนะ!”
“ไม่ต้อง....ไม่ต้องลงมา....รีบไปช่วยผู้ชายคนนั้นก่อน ตามหาเขาให้เจอ เดี๋ยวผมจะหาทางตามไปเอง” ร่างหนาพูดพลางยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แต่ถ้าไม่ถึงกับกระดูกหักก็ยังคงพอไหว
เพราะเขาเชื่อว่า...ยังไงผู้ชายคนนั้นก็คงให้คำตอบกับเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้แน่...
“...............”
“เร็วเข้า! ผมไม่เป็นไร!” ร่างหนายกมือขึ้นบังแสงสว่างที่สาดส่องลงมาด้านล่าง เห็นเงาดำของคนเป็นพี่และร่างบางอยู่ลางๆ
“สัญญาสิ...ว่านายจะกลับมาหาพี่”
“....................” ทงเฮหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่ทำให้เขาจุกจนแทบไม่ออก...
‘จุนซู...สัญญาสิว่ามึงจะต้องกลับมา’
‘ฮ่าๆ กูต้องกลับมาอยู่แล้ว’
‘มึงสัญญากับกูก่อน...’
‘เอ้อ! กูสัญญาว่าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแน่!’
“.........................”
“...ผม...สัญญา”
.
.
มันเฝ้ามองคุณอยู่ทุกหนแห่ง...
คุณ...หนีมันไม่พ้นหรอก...
พออีทึกและฮีชอลกระโดดข้ามผ่านจุดที่เขาพึ่งตกลงมาได้แล้วก็หันไปมองรอบข้างก่อนจะหยิบไฟฉายหลอดเล็กขึ้นมาส่องหาทางออก...และดูเหมือนจะเห็นแต่ทางตัน ทงเฮถอนหายใจพร้อมกับเดินเลียบกำแพงไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพบกับช่องแอร์
มือหนากะเทาะเหล็กออกก่อนจะกระโดดขึ้นไป การปีนเข้าไปในช่องแคบๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมอากาศภายในดูอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก...ร่างหนาคลานไปตามทางเรื่อยๆ อยู่นานจนพบแสงสว่าง...เขาตัดสินใจกระโดดลงมาข้างล่างพร้อมกับปัดฝุ่นออกจากตัว จามเบาๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
นี่มัน....ท่อระบายน้ำ....
แอ๊ดดด.....
เสียงประตูเหล็กเปิดออกเรียกความสนใจจากร่างหนาหากแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าผู้มาใหม่...ร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นเพราะถูกตีเข้าที่หัวอย่างจัง
นั่น...ใคร
.
.
จะมีจุดจบได้ยังไง...
ในเมื่อผม...ยังไม่เคยเริ่มต้นมันเลยด้วยซ้ำ...
นิ้วเรียวกระตุกเล็กน้อยก่อนที่เปลือกตาหนาจะค่อยๆ ลืมขึ้น...รู้สึกหน่วงที่หัว มันหนักอึ้งจนแทบจะระเบิดออกมา...บรรยากาศรอบตัวหนาวเย็นจนใบหน้ามือไม้ซีดเผือด...เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบากพลางกุมหัวตัวเอง
“อะ...อา....”
หรี่ตามองภาพตรงหน้าที่พร่ามัวกระพริบตาอยู่สองสามครั้งแล้วทุกอย่างก็เริ่มชัดขึ้น...
“...................”
ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น...ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มตัวผอมบางถูกแช่อยู่ในหลอดแก้ว...ดูแล้วเขายังคงมีชีวิตอยู่...แต่ว่า...อะไรทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในนั้นล่ะ...
ทงเฮเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบางที่งอตัวอยู่ข้างใน มีสายระโยงรยางค์อยู่เต็มไปหมด ราวกับว่าชายหนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่ได้เพราะมัน...มือหนาทาบลงบนหลอดแก้วก่อนจะชะงักถอยหลังเมื่อเปลือกตาบางค่อยๆ ลืมขึ้นมาเสียดื้อๆ
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างบางจะเริ่มตะเกียกตะกายตัวเมื่อระดับน้ำในหลอดแก้วค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ มือเรียวเล็กแปะป่ายไปทั่วราวกับจะขาดอากาศหายใจ นั่นยิ่งสร้างความตกใจให้กับชายหนุ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...
“คุณ....คุณ!!!”
มอย
ฮิ~
พูดอะไรดีล่ะ ชอบป่ะ - -
ดูจิตๆ นะกู
ความคิดเห็น