คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 :: Fearless
Chapter 1
- Fearless -
บนแท็กซี่ที่ก่อนหน้านี้เคยมีเสียงวิทยุดังจ้อแจ้ไม่หยุดแต่หลังจากที่ผมขึ้นมาได้ไม่นานโชเฟอร์เขาก็เอื้อมมือไปปิดมันลงจนความเงียบเข้ามาแทน เขาหันมามองผมเป็นระยะ สายตาของเขาดูหวาดระแวงราวกับว่าผมจะไปทำอะไรเขา
“จ...จะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ?”
นั่นสิ...ผมควรจะไปที่ไหนดีล่ะ ที่บ้านผมเหรอ?
ผมหันกลับไปมองข้างหลังดูว่ามีใครขับตามมาหรือเปล่า และถ้าจะให้ดีผมต้องแน่ใจเสียก่อนว่าไอ้เลวนั่นไม่ได้ตามผมมาจริง ๆ ผมเม้มริมฝีปากแน่น ขมวดคิ้วเป็นปมพลางคิดหาที่ทางต่อไป...ผมจะกลับบ้านไม่ได้เด็ดขาด เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าไอ้โรคจิตนั่นมันต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่ มันฆ่าคุณหมอโจอย่างเลือดเย็น อีกทั้งยังตามไล่ล่าผมโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครมาเห็นอีก และที่สำคัญ...มันรู้จักชื่อผม
และถ้ามันรู้จักแม้กระทั่งชื่อผมแบบนี้ แสดงว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
“ไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด”
“ครับ...แต่เลือดคุณไหลไม่หยุดเลย จอดทำแผลก่อนดีไหม?” โชเฟอร์ถาม แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็ยังดูหวาดระแวงเหมือนเดิม
“ไม่ต้อง ผมยังไหว” ถ้าเกิดหยุดรถ ผมกลัวว่าไอ้เวรนั่นมาจะโผล่เซอร์ไพร์สผมอีก ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมต้องไปให้ถึงสถานีตำรวจให้เร็วที่สุด
“เดี๋ยวผมจะจอดให้คุณลงที่หน้าส.น.แล้วกัน ผมไม่ได้กดมิเตอร์เพราะคิดว่าคุณคงไม่มีเงินติดตัวมาสักวอน” เขาพูดถูกแล้วล่ะ ผมไม่มีเงินติดตัวมาเลยสักวอนเดียว และที่เขาพูดแบบนั้นผมก็พอจะเดาออกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างเขาคงไม่อยากยื่นขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ก็เลยจะส่งผมลงแค่หน้าสถานีตำรวจ
“ขอบคุณ”
เรานั่งเงียบกันไปสักพัก ผมรู้สึกชาตรงขาข้างขวาและเพลียจนแทบหมดแรงเพราะเสียเลือดมาก ถ้าเกิดผมไม่เจอแท๊กซี่คันนี้ ผมคงวิ่งกระเผก ๆ ให้เลือดไหลไปเรื่อย ๆ แล้วล้มลงอย่างน่าอเนจอนาถนาจพอถึงตอนนั้นมันคงหัวเราะด้วยความพอใจ แล้วก็ฆ่าผมให้ตายอย่างช้า ๆ แน่
ผมเอนหัวพิงกับกระจกรถ ลมหายใจของผมผะแผ่วลงไปทีละนิด...ทีละนิด...ผมได้ยินเสียงโชเฟอร์พูดอยู่ตลอด แต่ผมกลับจับใจความไม่ได้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร...
บางที...ผมอาจจะไม่ได้ตายเพราะน้ำมือไอ้เลวนั่นก็ได้...
.
.
ผมคิดผิดว่าทุกอย่างมันต้องจบลงเร็ว ๆ นี้...
ทั้งที่มัน...เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น...
“คุณครับ?”
“...”
“คุณ...คุณครับ?”
เสียงทุ้มนุ่มมาพร้อมกับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ข้างแก้ม ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะยกมือป้องระดับสายตาเมื่อพบกับแสงสว่างบนเพดาน...ค่อย ๆ ปรับสภาพให้คุ้นเคยกับที่เป็นอยู่แล้วหันไปมองตามเสียงปริศนาเมื่อครู่ คน ๆ นี้...ไม่ใช่คนขับแท็กซี่นี่นา เขาดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาเสียเลย พอกระพริบตาสองสามครั้งภาพของเขาก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มร่างผอมสูงหน้าตาดีที่อยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตสีเข้ม ที่คอเขาห้อยป้ายอะไรสักอย่างเอาไว้ พอสังเกตแล้วก็พอทำให้เข้าใจได้ว่าเขาเป็นตำรวจ...
“เป็นยังไงบ้างครับ?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง พอนึกขึ้นได้ผมเลยมองไปรอบ ๆ เพื่อมองหาโชเฟอร์คนนั้นแต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า ในห้องนี้มีเพียงแค่ผมกับเขา เสื้อนอกที่แขวนไว้บนราวและหมวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่วางไว้บนโต๊ะมุมห้องเท่านั้น
“เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้ดื่มนะ” เขาพูดพร้อมกับเดินไปกดน้ำตรงมุมห้อง ผมก้มลงมองดูเตียงสีขาวที่นอนอยู่ มันเป็นเตียงเดี่ยวขนาดแคบกว่าสามฟุต ยังสังเกตอะไรได้ไม่เท่าไหร่แก้วใบใสก็ยื่นมาตรงระดับใบหน้าของผมแล้ว
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา บางทีผมควรจะพูดอะไรออกไปสักคำอย่างเช่นคำว่า ‘ขอบคุณครับ’ หรือ ‘โชเฟอร์คนนั้นไปไหนแล้ว?’ แต่อาจเป็นเพราะผมยังช็อคเรื่องไอ้โรคจิตนั่นอยู่ผมถึงได้เงียบปากราวกับคนใบ้แบบนี้
“หิวไหมครับ?” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาลากเก้าอี้มาข้าง ๆ เตียงแล้วนั่งมองผมดื่มน้ำ
“คนขับแท็กซี่พาคุณมาที่นี่ เขาบอกว่ามีคนกำลังตามฆ่าคุณอยู่...” ผมกลืนน้ำลงคอแล้วหันกลับไปมองคนข้าง ๆ
“ที่นี่คือสถานีตำรวจใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ”
“แล้ว...ข้างนอกนั่นมีตำรวจอยู่เต็มไปหมดเลยใช่ไหม?” ผมถามต่อโดยไม่ให้ขาดจังหวะ ผมอ่านป้ายชื่อเขาอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาเป็นตำรวจจริง ๆ หรือเปล่า?
...เขาเป็นตำรวจชื่อ ‘ชเวซีวอน’
“แน่นอนครับ ข้างนอกมีตำรวจที่เข้าเวรกันหลายนาย ส่วนผมกำลังจะกลับแต่เห็นคนขับแท๊กซี่คนนั้นพยุงคุณที่หมดสติเข้ามา ผมก็เลยอยู่ทำแผลให้ก่อน” ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเมื่อได้ยินที่เขาพูด ผมหลับตาลงเอามือทาบอกแล้วก็นึกขอบคุณโชเฟอร์และตำรวจคนนี้เหลือเกิน
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” เขาใช้สิทธิ์ความเป็นตำรวจถามผม สายตาของเขาไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนกับสายตาของไอ้โรคจิตนั่นเลยสักนิด
“ผมรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโซล แล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ผมฝันร้ายก็เลยขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้า...แต่...” ผมเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสบตากับเขาที่กำลังตั้งใจฟังอยู่
“ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งเอามีดแทงคุณหมอ”
“...”
“ผมตกใจแล้วก็กลัวมาก ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าผมไม่หนีผมต้องโดนฆ่าอีกคนแน่ แต่พอผมก้าวขา...เขาก็หันมาเห็นผมแล้ว” ผมกำขากางเกงคนไข้แน่น คุณตำรวจที่ชื่อซีวอนเอื้อมมือมากุมมือผมเอาไว้พร้อมกับตบเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“ใจเย็น ๆ นะครับ ค่อย ๆ เล่า”
“เขา...ดึงมีดออกมาจากอกคุณหมอคนนั้นแล้วก็ไล่ตามผมลงมาติด ๆ ผมหาทางหนีเขาสุดชีวิตแต่สุดท้ายเขาก็จับผมได้ แล้วก็เอามีดเล่มนั้นเสียบลงขาผม” ผมก้มลงมองขาตัวเองที่ถูกทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นความน่ากลัวมันก็ยังตามหลอกหลอนผมอยู่
“แล้วคุณแน่ใจเหรอครับว่าคนที่ถูกฆ่าเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลนั้น?”
“แน่ใจครับ เมื่อตอนกลางวันผมยังเห็นเขานั่งคุยกับคนไข้อยู่เลย คนไข้คนอื่น ๆ เรียกเขาว่าคุณหมอโจ...แต่ชื่อเขา...ผมไม่รู้” ผมขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าลง
“ถ้ามีการฆาตรกรรมเกิดขึ้นจริง ๆ มันคงไม่ยากที่จะรู้ชื่อของผู้ตาย...ว่าแต่คุณเห็นกับตาใช่ไหมว่าหมอคนนั้นตายแล้วจริง ๆ ?”
“ผมคิดว่าเขาคงไม่รอด ถูกแทงซะขนาดนั้น แถมไอ้โรคจิตมันยังหมุนควานมีดซ้ำอีก คุณไม่เชื่อผมเหรอ?” ผมถามคนตรงหน้าที่เอาแต่ถามอยู่นั่นว่าผมแน่ใจอย่างนั้นแน่ใจอย่างนี้ไหม? คิดว่าเรื่องแบบนี้มันควรโกหกกันหรือไง?
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมเป็นตำรวจก็ต้องสอบถามรายระเอียดทุกอย่างเพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลอยู่แล้ว...คุณพอจะจำหน้าคนร้ายได้ไหมครับ?”
“จำได้แม่นยำเลยครับ”
“ถ้าจำหน้าคนร้ายได้มันคงง่ายขึ้นมาหน่อย คุณลุกไหวไหม?” เขาถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ไหวครับ”
“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาตำรวจอีกคนเพื่อให้เขาสเกตรูปหน้าตาคนร้าย...มาครับ ผมช่วย” เขายื่นมือมาดึงผมให้ลุกขึ้นก่อนจะสอดแขนเข้ามาตรงช่วงเอว พอขาซ้ายผมถึงพื้นเขาก็เอาแขนผมข้างหนึ่งไปพาดกับคอของเขาเอาไว้
กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งตรงข้อเท้าข้างขวามันดังหลอกหลอนทุกครั้งที่ขาผมก้าวไปข้างหน้า มันอาจจะเป็นความตั้งใจของไอ้โรคจิตนั่นเพื่อให้ผมนึกถึงมันทุกครั้งที่ได้ยินเสียง คุณซีวอนพาผมไปหานายตำรวจอีกคนแล้วให้ผมอธิบายรูปร่างหน้าตาของคนร้าย ถึงมันจะเป็นช่วงตอนกลางคืนและมืดมาก แต่ผม...ก็จำหน้ามันได้ดี
แกต้องได้รับผลกรรมนี้อย่างสาสม...อีทงเฮ
.
.
คนโง่ชอบคิดไปเองว่าตัวเองน่ะฉลาด (หัวเราะ)
“ถ้าผมกลับบ้าน ผมกลัวว่ามันจะดักรออยู่ที่นั่น” ผมพูดกับคุณซีวอนหลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรานั่งคุยกันอยู่สักพัก เขาทำหน้าครุ่นคิด ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดหาทางช่วยผมอย่างสุดความสามารถอยู่
“แล้วที่บ้านคุณมีใครอยู่บ้างไหม?”
“ไม่มีครับ แม่ผมไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับบ้านก็สุดสัปดาห์เลย แล้วนี่อีกตั้งสี่วันกว่าเขาจะกลับ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปเก็บกระเป๋าที่บ้าน แล้วคุณก็มาพักที่บ้านผมชั่วคราวจนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้ดีไหมครับ?” คุณซีวอนพูดกับผมขณะที่เรากำลังเดินออกมาจากสถานีตำรวจ
“บ้านคุณเหรอ?”
“ผมอยู่กับน้องชายอีกสองคน คนหนึ่งเป็นนักเรียนนายร้อย คุณไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีใครเข้ามาทำร้ายคุณได้ เพราะถ้าจะให้คุณอาศัยในห้องพักตำรวจชั่วคราวก็เกรงใจตำรวจนายอื่นน่ะ”
“จะดีเหรอครับ...ผมเกรงใจจัง” ผมลดสีหน้าลง ทั้งรู้สึกขอบคุณ ทั้งเกรงใจ เมื่อก่อนผมเคยรู้สึกติดลบกับตำรวจมาก แต่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะเจอคนใจดีแบบนี้
“มันเป็นหน้าที่ของตำรวจนี่ครับ ประชาชนเดือดร้อน จะปล่อยให้ผ่านไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรก็คงไม่ได้” เขายิ้มบาง ๆ แล้วเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งที่คนขับ ทันทีที่เขาบิดกุญแจสตาร์ทรถ เขาก็หันมามองจนผมสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ให้ตายเถอะ ผมลืมหารองเท้าให้คุณใส่ไปได้ยังไงเนี่ย?” คุณซีวอนถอนหายใจพลางมองเท้าผมที่ไม่ได้สวมใส่อะไร
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไปใส่ที่บ้านผมก็ได้”
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวรอแป๊ปนึงนะ” เขาชูนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วขยิบตาทะเล้นเล็กน้อย ผมยิ้มแห้ง ๆ ก่อนที่เขาจะวิ่งกลับไปในสถานีตำรวจ
ระหว่างรอผมก็มองไปรอบ ๆ จนสะดุดตานาฬิกาตรงใกล้ ๆ ที่ใส่ซีดีเพลง นี่ก็ตีสี่ครึ่ง...อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ผมหลับตาลงแล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก เรื่องราวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้มันยังคงทำให้ผมกลัวอยู่ ภาพของคุณหมอโจที่ถูกแทงนั่นมันยังคงติดตาผม ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีใครไปเห็นหรือยัง...เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ?
ครืด...
“มาเร็วจังเล...” ผมหันไปมองประตูรถฝั่งคนขับที่เพิ่งเปิดออกก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อคนที่ขึ้นมานั่งตรงนั้นมันไม่ใช่คุณซีวอนอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันคือ...
ไอ้โรคจิตอีทงเฮ...
“คาดเข็มขัดด้วยนะครับทูนหัว” รอยยิ้มชั่วร้ายที่มาพร้อมกับมือหนาที่หยิกลงบนแก้มผม ไม่จริงน่า! อีทงเฮมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!! ผมหันหน้าเข้าหาประตูรถแล้วพยายามเปิดมันออกแต่ก็ได้ยินเสียงล็อคดังแกร๊กเสียก่อน ผมหันไปมองมันอย่างหัวเสียแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มชั่ว ๆ นั่น!
“จ๋า?”
ผมยังพยายามเปิดประตูต่อไปแม้ว่าใครอีกคนจะผิวปากอย่างอารมณ์ดี ผมหันกลับไปมองข้างหลังหวังว่าคุณซีวอนจะกลับมาแล้วหยิบปืนออกมาเป่าหัวไอ้เลวนี่ซะ
“ผมบอกให้คาดเข็มขัด ไม่ใช่เขย่าประตูนะครับ”
“เปิดสิ! เปิด!” น้ำตาผมไหลออกมาเมื่อฝันร้ายมันกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีตำรวจมาแล้ว ผมได้แต่หันกลับไปมองอย่างมีความหวังว่าคุณซีวอนจะวิ่งออกมาช่วยผม...แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเขา
“ชอบตำรวจคนนั้นเหรอครับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ผมนั่งนิ่งทั้งที่ยังหันหน้าเข้าหาประตูรถอยู่อย่างนั้น
“ถ้าจะฆ่าฉันก็เอาเลยสิ” ผมพูดเสียงเรียบราวกับคนหมดความหวัง ไม่หรอก...ผมรู้สึกสิ้นหวังจริง ๆ ผมไม่อยากดิ้นรนอีกแล้ว ถ้าจะฆ่าผมก็ฆ่าเลยดีกว่า ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างผวาแบบนี้อีกต่อไปอีกแล้ว
“ฆ่า? ทำไมฮยอกแจที่รักพูดแบบนั้นล่ะครับ”
“ฉันไม่ใช่ที่รักของแก ไอ้ระยำ”
“อ่า...พูดไม่เพราะเลย ผมชอบเวลาที่รักพูดหวาน ๆ มากกว่านะ”
“พูดหวาน ๆ เหรอ? เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยคุยกับแกมาก่อนนะ สติแตกหรือไง?” ผมหันกลับไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มอยู่แม้ว่าสายตาของเขากำลังมองไปตามถนนเบื้องหน้า
“อ้าวเหรอครับ? งั้นไม่เป็นไร ต่อไปนี้ผมจะทำให้คุณพูดแต่คำหวาน ๆ กับผมเอง ดีไหมล่ะ?”
“ไอ้โรคจิต!” ผมตะคอกใส่เขาด้วยความโทสะ ก่อนที่รถกระเบรคกระทันหันจนหัวผมพุ่งไปชนกับกระจกข้างหน้า เขาแค่นหัวเราะแล้วหันมามองผมที่กำลังขยับไปชิดขอบประตูเพราะกลัวสีหน้าจิต ๆ แบบนั้น
“ก็บอกแล้วไงครับว่าให้คาดเข็มขัด...ที่รักนี่ดื้อจริง ๆ เลย” เขาโน้มตัวเข้ามาหาจนผมต้องเบี่ยงหน้าหลบ ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังคาดเข็มขัดให้แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือปลายจมูกเขากำลังซุกไซร้กับซอกคอผม
“ผมชอบกลิ่นเหงื่อแห่งความหวาดกลัวของคุณจัง...” เขากระซิบข้างหูผมที่กำลังหลับตาปี๋อยู่ ผมจะกลัวทำไม ในเมื่อตอนแรกก็ทำใจให้มันฆ่าแล้วไม่ใช่เหรอ?
“!!!” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายลิ้นอุ่น ๆ ของเขาแตะลงที่ซอกคอผม มันค่อย ๆ เลียขึ้นมาถึงกกหูพร้อมกับขบเม้มเบา ๆ
“ขนลุกไปหมดแล้ว...มีอารมณ์เหมือนกันใช่ไหมล่ะครับที่รัก?”
“อารมณ์บ้าอะไรของแก! ออกไปนะ!” ผมยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น แต่ทันทีที่ผมพูดจบเขากลับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ผมเป็นคนคลั่งไคล้ความตื่นเต้นมากที่สุดเลยล่ะที่รักรู้ไหมครับ?”
“จะฆ่าก็ฆ่าฉันเลยสิ แกจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร! ถ้าฉันตายก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่แกฆ่าหมอโจแล้วนี่!”
“หมอโจ?...โจคยูฮยอนน่ะเหรอ?”
“...”
คุณหมอคนนั้นชื่อโจคยูฮยอนใช่ไหม....ได้....ผมจะจำเอาไว้...
“ที่รักไม่เห็นต้องสนใจเรื่องคนอื่นเลยนี่...มาสนใจเรื่องของเราต่อดีกว่านะครับ” เขาเข้ามารุกรานโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตั้งหลัก ผมพยายามผลักเขาออกไปแต่ทุกครั้งที่ผมผลักเขาจะกัดลงที่ซอกคอผมแรง ๆ ราวกับจะสั่งให้ผมหยุดดิ้นซะ
“ปล่อย!!!”
“ดิ้นอีกสิ...ผมชอบ”
“ม่ายยย!!!!!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากพันธนาการครั้งนี้ แต่ยิ่งผมดิ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับคนดี ชู่วว~” จู่ ๆ เขาก็ผละออกพร้อมกับมองผมอย่างเอ็นดู มือหนาข้างหนึ่งปัดไรผมออกจากหน้าผมช้า ๆ เหมือนกับว่าเขาอยากจะทะนุถนอมผมเสียเหลือเกิน ผมมองเขาด้วยแววตารังเกียจก่อนจะเบือนหน้าหลบเมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาทำท่าจะจูบเปลือกตาผม
“ไม่ชอบบนรถสินะ ได้...” เขายิ้มมุมปากแล้วผละตัวกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะออกรถอีกครั้ง ผมชักจะตงิดกับประโยคนั้น มันหมายความว่ายังไงที่บอกว่าไม่ชอบบนรถ? มันคงไม่ได้คิดจะปล้ำผมจริง ๆ หรอกนะ?!
“ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” ผมกอดตัวเองนั่งชิดติดประตูพลางมองเขาอย่างหวาด ๆ
“หมายถึงปล่อยให้อารมณ์ค้างน่ะเหรอ?” เขาพูดพร้อมกับก้มลงมองเป้ากางเกงตัวเองแล้วหันมายิ้มให้ผม
“...”
“ก็จะได้ไปต่อกันที่บ้านผมไงครับ”
“ฉันหมายถึงเรื่องที่แกจับฉันมาแบบนี้ ทำไมไม่ฆ่าปิดปากฉันให้มันจบ ๆ ไปซะล่ะ? อีกอย่าง...แกรู้จักชื่อฉันได้ยังไง? แกเป็นใครกันแน่!”
“ความสงสัยเป็นบ่อเกิดของความเสียใจ บางทีการที่เราไม่รู้ มันอาจจะดีกว่าก็ได้นะครับ” เขาหันมายิ้ม
“แกตอบไม่ตรงคำถาม”
“ผมไม่จำเป็นต้องตอบ ผมจะตอบคำถามที่ผมพอใจเท่านั้นครับที่รัก”
“แกมันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน...แกฆ่าหมอโจได้ยังไง...ทั้งที่เขาอ้อนวอนขอชีวิตแกซะขนาดนั้น”
“คำขอร้องจะเป็นผลก็ต่อเมื่อคน ๆ นั้นยังมีความสำคัญอยู่...แต่คุณหมอโจของคุณกลับทำตัวไม่น่ารักกับผมเอง มันก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับจุดจบแบบนั้น” เขาแค่นหัวเราะก่อนจะหักเลี้ยวเข้าไปในซอยถนนรุกรังที่รอบข้างมีแต่ต้นไม้อยู่เต็มไปหมดไม่มีบ้านคนเลยสักหลังเดียว ผมพยายามสังเกตรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ เพราะถ้าวันหนึ่งผมมีโอกาสหนีออกมาได้ ผมจะได้ไม่หลงทาง
“ทำไมแกถึงฆ่าเขา”
“เพราะเขาไม่รักผมแล้ว”
“แล้วแกรักเขาหรือไง?” ผมถามด้วยท่าทีรังเกียจ เหตุผลนี้เหรอที่ทำให้เขาฆ่าคนดี ๆ คนหนึ่งได้ลงคอ
“รักสิ...”
“เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม”
“...”
“แต่เขามีสิทธิ์ทำแบบนี้กับผมด้วยหรือไง?” เขาหันมาถามผมหลังจากจอดรถอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวในย่านชานเมือง
“เขามีสิทธิ์บอกเลิกผมไปหาคนอื่น ทั้งที่ผมยังรักเขาอยู่เต็มหัวใจได้หรือไง?”
“...”
“เขาควรยุติธรรมกับความรักของผมสิ”
“แกพูดคำว่ายุติธรรมทั้งที่แกไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ” ผมมองเขาอย่างสมเพช แต่เขากลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาของผมเลยสักนิด
“ในเมื่อเขาไม่รักผมแล้ว...เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปรักคนอื่นเหมือนกัน นี่แหละคือความยุติธรรมสำหรับผม” เขาแค่นยิ้มแล้วลงจากรถก่อนตรงมาหาผมแล้วเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออก
เขายื่นมือมาอย่างกับว่าผมจะยื่นมือไปจับ ผมยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นและไม่มีท่าทีว่าจะลงไป เขาเลิกคิ้วมองก่อนจะกระชากแขนผมอย่างแรงจนผมตกลงมากองอยู่กับพื้นโคลนดินข้างล่าง
“โถ...ที่รักไม่มีแรงทำไมไม่บอกผมล่ะ ผมจะได้อุ้มคุณเข้าไปในบ้าน...ดูสิครับ มอมแมมไปหมดแล้ว” เขานั่งยอง ๆ มองผมที่คลุกอยู่กับโคลนบนพื้น ผมพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นแต่ก็ลื่นโคลนลงไปอยู่ดี
“มาครับ ผมจะพาไปอาบน้ำนะ”
“ม...ไม่...อย่าเข้ามานะ!” ผมใช้มือที่เปื้อนโคลนผลักเขาออกไป แต่เขาก็รวบตัวผมพาดบ่าขึ้นมาได้อยู่ดี ผมพยายามดิ้น ทั้งเจ็บแผลที่ขา ทั้งเกลียดเสียงกระดิ่งที่ดังกรอกหูอยู่ตลอดเวลา
.
.
ซ่า...
“...!!!” บริเวณหลังบ้านที่มีเครื่องซักผ้ากับต้นไม้หลากชนิดที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นบ้านของคนจิตใจต่ำช้าอย่างอีทงเฮ ผมยกมือป้องสายน้ำที่ฉีดออกมาตามแรงอัดในขณะที่ใครอีกคนกำลังเพลิดเพลินกับการทารุณผม มืออีกข้างของเขาถือร่มเอาไว้ราวกับกลัวว่าน้ำจะกระเด็นไปโดนตัวเอง
“ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำก็ต้องล้างโคลนให้สะอาดก่อน”
ผมไม่ได้หวีดร้องเลยสักแอะเดียว...ไม่มีสักแอะจริง ๆ ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บตรงแผลที่ขามากสักแค่ไหน ผมชาไปแล้วเหรอ? ไม่หรอกครับ...เพราะสิ่งที่ผมเป็นอยู่มันกำลังบอกให้ผมอดทนไว้ต่างหาก
“ฮยอกแจที่รักชอบสีอะไรครับ”
“...”
“โอ๊ะ โทษที” เขาปล่อยนิ้วหัวแม่มือออกจากที่ฉีดก่อนที่สายน้ำจะหยุดลง ผมยืนนิ่ง ๆ ให้หยดน้ำไหลลงพื้นพร้อมกับมองหน้าเขา
“สีดำ” ผมตอบไปสั้น ๆ เขาเลิกคิ้วมองราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าผมจะตอบคำถามนั่น
“หดหู่จัง”
“สีดำ...ชุดดำ...เอาไว้ใส่ไปงานศพของแกไง” ผมมองเขาพร้อมกับปาดน้ำออกจากใบหน้า ถึงผมจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยังยิ้มได้อยู่ดี
อีทงเฮเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วทิ้งสายฉีดลง ผมกัดฟันแน่นฮึดสู้กับคนโรคจิต ผมจะไม่ให้เขาเห็นด้านอ่อนแอของผมอีก เขาโอบใบหน้าผมไว้แล้วจูบริมฝีปากเบา ๆ ถ้าเกิดมันกล้าคิดจะลองดีสอดลิ้นเข้ามาในปากผมล่ะก็...ผมจะกัดลิ้นมันให้ขาดภายในครั้งเดียวแน่ผมขอสาบาน แต่น่าเสียดายที่มันแค่จูบแช่ไว้เท่านั้น
เขาผละริมฝีปากออกเพื่อมองหน้าผม นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหน้าคนที่ได้ชื่อว่าฆาตรกรใจโหดชัด ๆ เต็มสองตาเพราะแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องไปทั่วท้องฟ้าในยามเช้าตรู่ ผมไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าคนหน้าตาดีอย่างเขาจะเป็นฆาตรกรโรคจิตแบบนี้
“แล้วถ้างานคืนเข้าเรือนหอ...ฮยอกแจที่รักยังอยากใส่ชุดดำอยู่ไหมล่ะครับ?”
…To be continued…
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
TALK
ตอนแรกเราว่าจะกลัวพี่ทงเฮละ แต่เพิ่งนึกได้ว่านี่มันคือฟิค
#กลัวตัวเองก่อน555555555555555
ปล.เก็บทุกความสงสัย ความคาใจของคุณไว้ก่อน
เดาได้ค่ะแต่อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรามั่วจนกว่าเราจะเขียนจบนะ
ความคิดเห็น