คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : มันก็แค่แผน
Chapter 1
บางครั้งการหลอกตัวเอง...มันก็ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้โดยปกติสุขเหมือนคนทั่วไป
ร่างหนาเดินเข้าไปใน Section ที่มีเพื่อนร่วมคณะนั่งสุมหัวกันอยู่ บ้างก็หัวเราะร่วนกับสิ่งที่พูดคุย บ้างก็นั่งแต่งหน้าตามประสาผู้หญิง พลันหันไปเห็นเพื่อนตัวบางที่ใส่หูฟังนั่งโยกหัวตามจังหวะเพลงอยู่ท้ายห้องแล้วก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“อรุณสวัสดิ์” พูดพร้อมกับดึงหูฟังออก ฮยอกแจสะดุ้งเล็กน้อยพลางหันไปมองผู้มาใหม่ เก็บสายหูฟังใส่ซองอย่างเป็นระเบียบในขณะที่ทงเฮกำลังมองหาใครอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้
“ซีวอนล่ะ?”
“เมียเก่ามาตามออกไปคุยข้างนอก สงสัยอยากทบทวนความทรงจำ” หัวเราะเบาๆ กับประโยคบอกเล่าของฮยอกแจ นัยน์ตาคมก้มลงมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหันไปหาคนข้างๆ ด้วยความสงสัย
“แกเช่าหนังสือเล่มนี้มาเหรอ?”
“หา...เปล่าอ่ะ ของไอ้ซีวอนมัน” ฮยอกแจพูดพร้อมกับชะเง้อหน้ามองหนังสือเล่มเก่าที่ทงเฮถืออยู่ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ เจ้าบ้านี่ก็ยิ้มออกมาเพียงแค่เปิดหน้าสุดท้ายของเล่ม
“ยิ้มอะไรของแกวะ?”
“เปล่าหรอก” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่สายตาของเขายังคงจ้องมองวันที่ๆ ถูกปั้มการเช่ายืมมา นิ้วเรียวลูบไปตามตัวเลข ริมฝีปากหยักยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นจนฮยอกแจแค่นหัวเราะ
เอาเข้าไป...นับวันเจ้าบ้านี่ยิ่งเหมือนพระเอกนิยายเข้าไปทุกวัน
“นั่นไง มันโผล่หัวมาแล้ว” ร่างบางพูดพร้อมกับชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังผิวปากเดินเข้ามาในห้อง ทงเฮละสายตาจากหนังสือนวนิยายสยองขวัญพร้อมกับพยักหน้าทักทายร่างสูงที่หยัดตัวนั่งลงข้างๆ เขา ซีวอนลดสีหน้าลงทันทีเมื่อเห็นหนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือเพื่อนสนิท
“แกเช่ามาเหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วนี่ของใครล่ะ ฮยอกแจบอกว่ามันเป็นของแกนี่” ทงเฮหันไปหาอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนที่ร่างบางจะโบกมือปัดๆ เป็นเชิงปฏิเสธ ซีวอนจะบอกความจริงไปไม่ได้ว่าเขากำลังวางแผนเชือดคอโจคยูฮยอนอยู่ นั่นก็รวมถึงการเข้าหาเด็กนั่นทางหนังสือบ้าๆ นี่ด้วย เพราะถ้าจะให้ทงเฮรู้จริงๆ ก็ต้องเป็นตอนแผนการสำเร็จแล้วเท่านั้น
“ฉันเก็บได้ตรงบันไดทางขึ้นน่ะไม่รู้ใครทำตกไว้ มีอะไรวะ?”
“อ๋อ...เปล่าหรอก” ทงเฮพูดพร้อมกับคลี่หนังสือเล่มนั้นทีละหน้า สายตาของเขาเหมือนคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าเจ้าบ้านี่อกหักเจียนตายมาร่วมหกเดือนแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะเอาไปคืนห้องสมุดเอง ขากลับผ่านทางนั้นพอดี” พูดตัดบทสนทนาเพื่อให้อีกคนตัดใจจากหนังสือเล่มนั้นซะ จะได้ไม่ต้องสืบความยาวสาวความยืดอะไรอีก เขาก็ใช่ว่าจะสนใจหนังสือเล่มนั้นเสียเมื่อไหร่เก็บๆ มันไปแล้วค่อยอ่านทีหลังก็ได้
“ดีแล้วล่ะ เพราะถ้ามันหายไปก็คงแย่...คิดว่าคงมีคนอยากอ่านเล่มนี้อยู่” ร่างสูงเท้าคางมองอีกฝ่ายก่อนจะมองผ่านไปหาฮยอกแจที่นั่งยักไหล่ไม่รู้เรื่องอยู่ตรงนั้น พอมาถึงมันก็เพ้อตั้งแต่หัววัน เอากับเขาสิ
“เขาคนนั้นอ่านไปตั้งหลายรอบแล้ว ป่านนี้คงจำได้ทุกตัวอักษรแล้วมั้ง” พึมพำเบาๆ ก่อนที่ทงเฮจะเงยหน้าขึ้น ซีวอนเลียนแบบท่าไม่รู้เรื่องจากฮยอกแจในขณะที่ทงเฮกำลังขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“เมื่อกี้แกว่าไงนะ?”
“เปล่า...ฉันบอกว่าฉันน่าจะลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูสักรอบ เผื่อจะเป็นคนรักการอ่านขึ้นมาบ้างไง” ซีวอนแถจนสีข้างถลอกหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่เอะใจ ทงเฮยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้เพื่อนสนิทพร้อมกับรอยยิ้ม
“ลองดูสิ เรื่องนี้สนุกมากเลยนะ”
“...................”
‘ลองอ่านเรื่องนี้ดูไหมครับ เป็นเรื่องสั้นสี่เรื่องผมคิดว่าคุณน่าจะชอบมันนะ’
“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจอ่าน แค่เห็นตัวหนังสือฉันจะง่วงแล้ว จริงป่ะวะฮยอกแจ?”
“ถูกต้องเลยครับเพื่อน~” ฮยอกแจพูดเสริมนั่นทำให้ร่างสูงยิ้มพอใจ ทงเฮถือหนังสือเก้อก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเช่นในทีแรก จู่ๆ ซีวอนก็นึกขึ้นได้ว่ายังไงเขาก็ต้องอ่านมันอยู่ดี เพราะถ้าไม่อ่านก็เอาไปคุยกับเจ้าเด็กนั่นไม่รู้เรื่องอีก...ถ้างั้นก็...
“มันสนุกจริงๆ เหรอวะ?”
“ก็...สนุกนะ?” ทงเฮเลิกคิ้วมองคนข้างๆ ที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงเขาปรับอารมณ์ตามหมอนี่ไม่ทันแล้ว
“ถ้าสนุกก็เล่าเนื้อเรื่องให้ฟังหน่อยสิ เผื่อฉันสนใจเช่ากลับไปอ่านต่อที่บ้าน”
“เลิกเหอะ อมตีนแมวมาพูดยังไม่อยากเชื่อเลยว่ะ” ฮยอกแจส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะหลบฝ่ามือของร่างสูงที่ทำท่าจะโบกกระบาลเขา
“เอาสิ ไหนๆ อาจารย์ก็ยังไม่เข้านี่” ทงเฮพูดพร้อมกับเปิดหนังสือออก ซีวอนหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวแล้วเท้าคางฟังเพื่อนสนิทที่กำลังสาธยายถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ที่เขาเพิ่งเปิดอ่านไปได้แค่สองหน้าแล้วก็หลับคาโซฟาไป บอกตรงๆ ว่าการอ่านหนังสือถ้าไม่จำเป็นจริงๆ มีหรือชเวซีวอนจะแตะ
.
.
หอสมุด...
16.40 น.
โค้งหัวในบรรณารักษ์ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสมุดที่เงียบสงบ ข้างในห้องโถงกว้างมีนักศึกษาแค่ไม่กี่คน วันนี้เขาตั้งใจมาดักรอคยูฮยอนกะว่าถ้าเด็กนั่นมาจะได้เห็นเขานั่งอ่านนิยายบ้าๆ นี่อยู่ ยังไงก็ตาม วันนี้ต้องหาเรื่องไปส่งเด็กนั่นที่บ้านให้ได้
จริงอยู่ที่เขาชอบอะไรที่มันยากและไม่อยากเร่งรีบอะไรนัก แต่ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจคยูฮยอนยังไม่คืบหน้าไปไหนแบบนี้ก็น่าเบื่อตายชัก ช่วงที่บอกว่าไม่เร่งรีบคือช่วงเวลาของการเล่นกับความรู้สึกอีกฝ่ายต่างหากล่ะ
กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องหลุบสายตาลงจดจ้องกับตัวหนังสือทันทีเมื่อใครอีกคนเดินเข้ามาในหอสมุด นับถอยหลังในใจอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปเลือกหนังสือแล้วก็ป๊ะหน้ากับโจคยูฮยอนเข้า แสร้งทำสีหน้าตกใจก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาเพื่อหลอมละลายคนตรงหน้าซะ สร้างความบังเอิญให้เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องยากตรงไหน ก็แค่วางแผนไว้แล้วทำตามก็เท่านั้น
“อ้าว...คุณ?”
“อะ...สวัสดีครับ” คยูฮยอนโค้งหัวให้เขาน้อยๆ ทั้งที่กอดกระเป๋าเป้ไว้แนบอก ทั้งคู่ยืนยิ้มแห้งๆ ให้กันและกันอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา จริงๆ แล้วเขาจะรุกไปเลยก็ได้แต่การกดดันให้อีกฝ่ายพูดไม่ออกมันก็สนุกดี
“บังเอิญจังเลยนะที่ได้เจอคุณที่นี่อีก”
“ผมมาที่นี่เกือบทุกวันน่ะครับ ถ้าวันไหนมีงานเยอะก็ไม่ได้มาหรอก” ร่างสูงนึกขำในใจ สุดท้ายก็ให้ท่าเขาจนได้สินะ ที่บอกแบบนั้นเพราะจะให้เขารู้ล่ะสิว่าโจคยูฮยอนจะมาวันไหนไม่มาวันไหนบ้าง
“ผมชเวซีวอน ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ยื่นมือออกมาหวังจะสานความสัมพันธ์ คยูฮยอนมองมือคนตรงหน้า ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมไปจับเพียงหลวมๆ
“โจคยูฮยอนครับ”
“คยูฮยอนเรียนปีไหนแล้ว ถ้าให้เดา...คุณน่าจะอยู่ปีหนึ่งแน่ๆ” แกล้งโง่คือสิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองฉลาดซะเต็มประดา ที่เหลือก็รอแค่หัวเราะเยาะเวลาโจคยูฮยอนพูดจาอวดฉลาดก็เท่านั้น คนรอบข้างเขามักจะเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นเขาถึงมีความสุขเวลาแกล้งโง่อยู่บ่อยๆ
“เปล่าครับ ผมอยู่ปีสองน่ะ” คยูฮยอนปฏิเสธด้วยสีหน้าปกติ ซึ่งทำให้ซีวอนผิดหวังนิดหน่อย อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่น่าจะหัวเราะเขินแล้วบอกว่า ‘ผมหน้าอ่อนขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย จริงๆ แล้วผมอยู่ปีสองต่างหาก’ อะไรทำนองนั้นสิ
“แล้วคุณล่ะครับ”
“ไม่ลองเดาดูหน่อยเหรอ?” ร่างสูงอมยิ้มพลางมองคนข้างหน้าที่ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเต้นกับรอยยิ้มเขาสักนิด คยูฮยอนหลุบสายตาลงก่อนจะช้อนตามองอีกฝ่าย
“ผมคงเดาไม่ถูกหรอกครับ”
“น่า...แค่เดาเล่นๆ เอง” แค่ตอบสั่วๆ มามันจะไปยากอะไรวะ ทำไมต้องลีลาด้วย
“ปี...สาม” คยูฮยอนตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก ร่างสูงยืนกอดอกพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ก็เดาถูกนี่”
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณน่าจะอยู่ปีสี่ แต่ช่วงนี้รุ่นพี่ปีสี่น่าจะยุ่งอยู่กับงานจบการศึกษาเพราะฉะนั้นคงไม่มีเวลามาที่นี่ทุกวันได้แน่ๆ ผมก็เลยคิดว่าคุณน่าจะอยู่สักปีสามน่ะครับ”
อ่า...เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาแฮะ...สังเกตสิ่งรอบข้างและสิ่งที่เขาเป็นอยู่ด้วย...แบบนี้จะเรียกว่าเข้าแก๊บได้หรือเปล่า? แต่ประโยคนั้นเหมือนจะหลอกด่าเขากรายๆ ว่าว่างจัดได้ถึงขนาดมีเวลามาเดินทอดน่องในห้องสมุดยังไงก็ไม่รู้สิ?
“เดาเก่งใช้ได้เลยนะ...ว่าแต่ผมเป็นพี่คุณอีกเหรอเนี่ย?”
“ผมควรเรียกคุณว่าพี่แล้วล่ะครับ” คยูฮยอนยิ้มบางๆ
“ไปนั่งกับพี่ไหม นั่งอ่านคนเดียวเหงาจะแย่” ซีวอนถือสิทธิ์เรียกแทนตัวเองว่าพี่โดยไม่ถามความสมัครใจของอีกฝ่าย ก็ช่างปะไร ตอนนี้เขาเริ่มเบื่อกับเกมนี้เข้าแล้วสิ โจคยูฮยอนสุดที่รักของอีทงเฮนี่น่าเบื่อกว่าที่คิด
“พี่อ่านจะจบแล้วเหรอครับ?” คยูฮยอนถามเมื่อเห็นที่คั่นหน้าหนังสือเล่มนั้นอยู่ช่วงท้ายเล่ม ซีวอนพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับประสานมือลงบนโต๊ะ
“สนุกอย่างที่นายบอกจริงๆ ด้วยล่ะ” พอได้ยินอย่างนั้นคยูฮยอนก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ อย่างน้อยเขาก็ทำให้คนๆ หนึ่งชอบนิยายแนวนี้ได้เพราะเขา ร่างสูงหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น...ทั้งที่ก่อนหน้านี้กำลังรู้สึกว่าคยูฮยอนน่าเบื่อแท้ๆ
รอยยิ้มแบบนั้นน่ะเหรอที่เปลี่ยนอารมณ์เขาได้?
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ซีวอนสามารถคุยกับคยูฮยอนเรื่องนวนิยายห่วยแตกนี่ได้อย่างออกรสถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อ่านมันมาก็เถอะ จากที่ทงเฮเล่าให้ฟังมันก็พอทำให้เขาจับต้นชนปลายได้ถูกจนเอามาคุยกับคนตรงหน้าได้ คยูฮยอนหัวเราะบ่อยขึ้นและดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างเขาทั้งคู่จะลดลงทีละนิดๆ
“มืดแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านนะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ขับรถดีๆ นะ” คยูฮยอนโค้งหัวให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินแทรกตัวออกมาจากตรงนั้น ร่างสูงอ้าปากค้างได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังคยูฮยอนอีกแล้ว ทำไมวะ? ทั้งที่คิดว่าคุยกันถูกคอแล้วยังลีลาอะไรอีก เห็นเขาเล่นด้วยเลยได้ใจหรือไงกัน?
ร่างสูงขยับปากบ่นก่อนจะเดินไปขึ้นรถ พอขับออกมาก็เห็นใครอีกคนกำลังเดินไปตามฟุตปาธท่ามกลางความมืด เสาไฟฟ้าแถวนั้นก็ใช่ว่าจะให้ความสว่างไปทั่วทั้งมหาลัยเสียเมื่อไหร่ ร่างสูงชะลอรถลงพร้อมกับมองคยูฮยอนผ่านกระจกมองหลัง หยิ่งดีนักก็เดินกลับเองแล้วกัน
พอหันกลับไปมองอีกครั้งก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่อยู่ในพิกัดสายตาก่อนหน้านี้นั้นหายตัวไปแล้ว เหยียบเบรกพร้อมกับเปิดประตูรถออกพลางมองหาใครอีกคนท่ามกลางความมืดที่มีแสงสว่างจากต้นเสาเยื้องหน้าคณะมนุษย์ศาสตร์เพียงน้อยนิด ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ตรงที่คยูฮยอนหายตัวไปเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองสวนหย่อมในคณะมนุษย์ศาสตร์ เผยให้เห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่
ซีวอนถอนหายใจเบาๆ กับความติสม์ของเจ้าเด็กบ้านี่ ไอ้เขาก็นึกว่าจะโดนพวกเด็กศิลปกรรมที่อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามลากไปทำอะไรซะอีก ถึงจะไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับคยูฮยอนแต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะปล่อยให้คนๆ หนึ่งเป็นอะไรไปต่อหน้าได้ขนาดนั้นนะ?
“เมี๊ยว...” เสียงครางแผ่วเหมือนแมวใกล้ตายเรียกสติคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ให้กลับสู่ปัจจุบัน ร่างสูงชะเง้อหน้ามองต้นเหตุแต่ก็ยังคงเห็นแค่แผ่นหลังของใครอีกคนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะทุกอย่าง ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายก่อนที่คยูฮยอนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“พี่ซีวอน?”
“ไง ที่ไม่ยอมให้พี่ไปส่งเพราะนี่เองเหรอ?” ร่างสูงถามพร้อมกับหยัดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าที่ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบก่อนจะมองคยูฮยอนที่กำลังสนใจกับลูกแมวตัวเล็กในลังกระดาษ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคยูฮยอนจะแถอะไร ‘ผมเล่นตัวครับ อยากเช็คเรต’ อะไรทำนองนั้น
“มันคงถูกเจ้าของเอามาทิ้ง น่าจะเป็นคนที่อยู่บ้านระแวกนี้” คยูฮยอนพูดทั้งที่ไม่เงยหน้ามองเขาเลย นัยน์ตาเรียวคู่นั้นจ้องมองสัตว์ตัวน้อยที่กำลังร้องหาสวรรค์วิมานอะไรบางอย่างซึ่งเขาก็นึกรำคาญเต็มที แต่ประเด็นคือเขาอยากรู้ว่าทำไมโจคยูฮยอนถึงไม่ยอมให้เขาไปส่งที่บ้าน ไม่ได้อยากรู้เลยว่าเจ้าแมวตัวนี้มันมาจากไหน
“มันยังไม่หย่านมแม่เลยด้วยซ้ำ มีแผลด้วย...” คยูฮยอนงึมงำอยู่คนเดียวจนซีวอนทอดสายตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาหน่ายๆ
โอเคครับพ่อพระของสัตว์โลก จิตใจงดงามเหลือเกินนะ?
“พี่ยังไม่กลับอีกเหรอครับ?” เป็นคำถามตามปกติทั่วไปแต่คนฟังอย่างซีวอนกลับคิดไปเองว่าอีกฝ่ายกำลังไล่เขาอยู่ ร่างสูงทำหน้านิ่งก่อนจะยักไหล่น้อยๆ
“บ้านพี่ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ขับรถกลับดึกๆ มันอันตรายนะ” พูดจบก็เปิดกระเป๋าออกแล้วเอาผ้าขนหนูผืนบางมาห่มให้ลูกแมวที่กำลังสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บ พอได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด...เจ้าเด็กนี่ร้ายจริงๆ เดี๋ยวทำให้เฟล เดี๋ยวทำให้รู้สึกดี ถ้าไม่ติดว่าอคติโจคยูฮยอนคงกลายเป็นคนดีในสายตาเขาไปแล้ว
“ผมไปแล้วนะครับ” พูดพร้อมกับยกลังกระดาษขึ้นด้วย ซีวอนหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายงงๆ
“จะพาแมวตัวนี้ไปด้วยงั้นเหรอ?”
“ครับ...ผมจะพามันไปหาหมอ ถ้าปล่อยไว้ตรงนี้มันคงตายแน่”
“พอรักษาเสร็จแล้วยังไงต่อ จะเอามันไปเลี้ยงหรือไง” จากน้ำเสียงละมุนอ่อนโยนเมื่อก่อนหน้านี้มันค่อยๆ จางหายไปทีละนิดอย่างลืมตัวหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกถึงมัน พอได้ยินอย่างนั้นคยูฮยอนก็งุดหน้าลงมองลูกแมวในลังกระดาษ
“หอผมเลี้ยงสัตว์ไม่ได้...”
“นั่นไง”
“ทำไงดีนะ...” ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้อนตามองอีกฝ่าย จู่ๆ ร่างสูงก็ใจเต้นแรงขึ้นมากับสีหน้าหงอยๆ แบบนั้น
ไม่ได้! แกจะมามองเจ้าเด็กนี่น่ารักไม่ได้นะเว้ยซีวอน!
“เอางี้ เอามันไปที่รถพี่ เดี๋ยวเราจะพามันไปหาหมอกัน” ซีวอนยื่นข้อเสนอ วิญญาณพ่อพระเข้าสิงเหรอ...เปล่าหรอก ก็แค่อยากยืดเวลาอยู่กับเจ้าเด็กนี่ไปนานๆ เผื่อจะมีอะไรคืบหน้าบ้างก็เท่านั้น คยูฮยอนดูชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะเม้มริมฝีปาก
“มันจะรบกวนพี่หรือเปล่าครับ”
“รบกวนอะไรกัน เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนสักหน่อย หรือนายคิดแบบนั้นล่ะ?” เป็นประโยคกดดันลอยๆ ที่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมได้ คยูฮยอนส่ายหน้าปฏิเสธ เขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด
“ถ้ามันไม่ลำบาก...”
“ไม่ลำบากหรอก มา...พี่ช่วย” พูดพร้อมกับแย่งกล่องลังกระดาษไปถือให้แล้วเดินดุ่มๆ กลับไปที่รถปล่อยใครอีกคนให้ยืนมองเก้ออยู่ตรงนั้น คยูฮยอนรีบวิ่งตามมาประชิดร่างสูงพร้อมกับมองลูกแมวน้อยในลังกระดาษด้วยความเป็นห่วงจนซีวอนหลุดยิ้มออกมา
.
.
“ใช้ทิชชู่เปียกทำความสะอาดตัวแล้วก็ห้ามเอานมซี้ซั้วให้มันดื่มเดี๋ยวจะท้องเสีย” มองลูกแมวที่หลับปุ๋ยในลังกระดาษแล้วก็ใช้ทิชชู่เปียกที่แวะซื้อในมินิมาร์ทมาเช็ดตัวให้จากคำแนะนำที่สัตวแพทย์บอกมา ซีวอนมองคนตรงหน้าแล้วเบะปากเล็กน้อย ไอ้แมวนี่จะตายห่าอยู่แล้วยังเลือกกินอีก
“ต่อไปก็เรื่องที่อยู่...”
“หอนายเลี้ยงสัตว์ไม่ได้นี่” ตัดใจทิ้งมันไปเถอะ เขาเริ่มเซ็งหลังจากเสียค่ารักษาไปหลายตังค์แล้วแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด
“งั้นผมคงต้องหาที่อยู่ให้มันชั่วคราวเสียก่อน” คยูฮยอนพูดพร้อมกับชะเง้อหน้ามองไปรอบๆ ตอนนี้เขาทั้งคู่นั่งอยู่หน้าคณะมนุษย์ศาสตร์ที่คยูฮยอนเรียนอยู่ สุดท้ายก็กลับมานั่งติดแหงกที่มหาลัยจนได้สิ
“เอาไว้ใต้บันไดนั่นไหม?” ซีวอนชี้ทางสว่างให้อีกฝ่าย คยูฮยอนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าเกิดมันตื่นมาแล้วส่งเสียงร้อง แม่บ้านคงเอามันไปทิ้งแน่เลยครับ” คยูฮยอนพูด
“งั้นก็หลังตึกนี่เป็นไง มันน่าจะมีหลังคากันฝนให้บ้างนะ” ช่วงนี้ก็เป็นหน้าฝน ถ้าเกิดแมวตัวนี้ตายห่าขึ้นมาเขาคงได้เห็นเจ้าเด็กนี่ซึมเศร้าเหงาหงอยอีก เพราะฉะนั้นควรทำตัวเป็นพ่อพระไปจนถึงที่สุดถึงแม้ว่าใจเขาจะค้านกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็ตาม
“งั้นลองไปดูก็ได้ครับ”
พูดจบก็เดินไปที่หลังตึกแล้วก็พบบันไดทางขึ้นห้องเก็บของที่ถูกปิดตายมานานแล้ว ตรงนั้นมันมีหลังคาพอจะกันฝนให้เจ้าลูกแมวนี้ได้บ้าง คยูฮยอนวางกล่องลังลงและได้รับความช่วยเหลือจากร่างสูงที่ยืนส่องไฟมือถืออยู่ห่างๆ
“พรุ่งนี้ฉันจะรีบมาแต่เช้า อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ” คยูฮยอนพูดกับลูกแมวตัวนั้นด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันก็ยังคงทำให้ร่างสูงถอดอคติไปไม่ได้อยู่ดี ยังไงคยูฮยอนก็ยังดูเหมือนสร้างภาพอยู่ในทุกอริยบท
“มันคงอยากพักผ่อนแล้ว เรากลับกันเถอะ”
“ครับ” คยูฮยอนกำลังจะหยัดตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาตรงหน้า ร่างโปร่งมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แล้วลุกขึ้นตามแรงดึง...
.
.
“จริงๆ พี่ไม่ต้องเดินมาส่งผมก็ได้นะครับ หอผมอยู่แค่นี้เอง” ร่างโปร่งพูดขณะที่เขาทั้งคู่กำลังเดินออกจากประตูหลังมหาลัย ซีวอนยิ้มให้ก่อนจะถือวิสาสะขยี้หัวอีกคนเบาๆ คยูฮยอนมองคนข้างๆ ที่ยังคงยิ้มให้เขาแล้วจู่ๆ ก็ต้องงุดหน้าลง
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้มันคืออะไรแต่อาการใจเต้นแปลกๆ แบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กับคนโจคยูฮยอน...นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับใครสักคนแบบนี้ คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเจอหน้ากันเพียงแค่สองวันแต่กลับทำให้เขารู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาด
มันนานแค่ไหนแล้ว...
“หออยู่ตรงนี้เองเหรอ?”
“ครับ” คยูฮยอนยิ้มก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
“เพราะงั้นนายถึงไม่ยอมให้พี่มาส่งใช่ไหม?”
“ก็หอผมอยู่แค่นี้เอง อีกอย่างประตูหลังมันแคบรถของพี่คงออกมาไม่ได้ นอกจากจะอ้อมไปประตูอีกฝั่งซึ่งมันคงเปลืองน้ำมันเปล่าๆ ผมเกรงใจน่ะครับเราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเอง” ร่างสูงลดสีหน้าลงเมื่อได้ยินคำตอบที่รอฟังมาตั้งแต่หัวค่ำ เหตุผลที่เขาเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ขัดกันกับที่คยูฮยอนบอกอย่างสิ้นเชิง นี่หรือเหตุผลที่ไม่ยอมให้เขามาส่ง?
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” คยูฮยอนยิ้มแห้งๆ ซึ่งมันคงดูตลกในสายตาซีวอนหากแต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ชั่ววูบหนึ่งอคติที่มีอยู่มันกลับหายไปเสียดื้อๆ เพียงแค่ได้ยินคำพูดไม่กี่คำ ร่างโปร่งไม่รู้จะทำสีหน้ายังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี
“ราตรีสวัสดิ์นะ”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์นะ” คยูฮยอนโค้งหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆ พลางเอี้ยวตัวหันหน้าเข้าหาหอพัก ชำเลืองตามองใครอีกคนที่กำลังเดินจากไปแล้วก็ต้องหันหน้าหลบทันทีเมื่อร่างสูงหันกลับมา ซีวอนหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของเด็กนั่น
พอเดินกลับเข้าไปในมหาลัยความรู้สึกเซ็งก็เข้ามาแทนที่ ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะระลึกชาติถึงพิกัดรถที่จอดอยู่...ตึกมนุษย์ศาสตร์ไกลจากตรงนี้น่าดู ตอนขามายังไม่รู้สึกว่ามันไกลเพราะมีคยูฮยอนเดินคุยอยู่เป็นเพื่อนตลอดทั้งทาง พอขากลับนี่แทบอยากจะโทรเรียกเพื่อนให้ขับรถมารับ ไม่ได้เวอร์...แต่คนอย่างชเวซีวอนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
การที่ตามจีบเด็กนั่นก็ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป กลับกันแล้วมันยิ่งดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของคยูฮยอนตอนเขิน ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานแผนการคงสำเร็จแน่...
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น...
เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในคณะก่อนจะอ้อมไปที่หลังตึก ในมือมีขวดนมเล็กๆ ที่ซื้อมาจากร้านขายอาหารสัตว์และผ้าขนหนูเพื่อใช้สำหรับปูที่นอนให้ลูกแมวน้อยในลังกระดาษ เย็นนี้กะว่าจะแวะไปซื้อของเล่นสักสองสามชิ้นแล้วก็ที่นอนใหม่ให้ลูกแมวน้อยเพราะถ้าอยู่ในลังกระดาษต่อไปก็กลัวว่าจะโดนยุงกัดเอา แต่พอขาเรียวเดินไปถึงก็ต้องหยุดชะงักเมื่อกล่องลังที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้มัน...
หายไปแล้ว...
“................”
ชะเง้อหน้ามองหาคิดว่าบางทีแม่บ้านอาจจะมาเห็นเข้าแล้วลากกล่องลังกระดาษไปไว้ที่อื่น แต่เดินวนหากี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่เห็นวี่แววของลูกแมวเลย คยูฮยอนเริ่มใจไม่ดีจนต้องวิ่งไปหยุดอยู่หน้าถังขยะข้างตึกที่มีนักศึกษานั่งรวมกลุ่มกันอยู่แถวๆ นั้น เขาทำท่าจะค้นมันเผื่อว่าจะเจอเจ้าตัวเล็กอยู่ข้างใน เขาไม่แคร์สายตาคนอื่นที่กำลังมองอยู่ ไม่แคร์ว่าจะถูกมองแบบไหน แต่ยังไม่ทันล้วงมือเข้าไปก็ต้องชะงักเมื่อถูกใครอีกคนคว้าข้อมือไว้
“จะทำอะไรน่ะ?”
“ผม...”
“หืม?”
“ลูกแมวหายไปแล้วครับ...ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ...ก็เลยคิดว่าอาจจะมีคนใจร้ายเอามันมาทิ้ง...” สีหน้าคยูฮยอนดูตระหนกและหวาดกลัว หยาดเหงื่อบนใบหน้านั้นทำให้ใครอีกคนรู้ได้ว่าร่างโปร่งเหน็ดเหนื่อยกับการตามหาลูกแมวตัวนั้นแค่ไหน
“ไม่มีใครเอามันไปทิ้งหรอก”
“.................”
“พี่เอามันกลับไปดูแลที่บ้านแล้ว” ร่างสูงระบายยิ้มให้กับคนตรงหน้า นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงก่อนจะกระพริบตาปริบๆ
“พี่...เอามันกลับไปเลี้ยงเหรอครับ...”
“อื้ม แต่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงได้นานสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้ามันแข็งแรงแล้วเราประกาศหาเจ้าของให้มันดีไหม?” ร่างสูงโน้มใบหน้าลงไปใกล้อีกคน คยูฮยอนพยักหน้ารัวๆ นั่นทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา
“ขอบคุณพี่มากเลยนะครับ!” คยูฮยอนโค้งหัวให้อีกฝ่ายเต็มองศาจนคนรอบข้างมองเป็นตาเดียวกัน ร่างสูงหันไปมองรอบๆ ก่อนจะยิ้มขำกับท่าทางคนตรงหน้า เจ้าเด็กนี่มัน...
น่ารัก...?
“เหงื่อออกหมดแล้ว” ร่างสูงขำคนตรงหน้าที่ยืนเหงื่อตกอยู่แล้วก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะซับเหงื่อให้อีกคนเบาๆ คยูฮยอน หลับตาลงทำท่าเหมือนจะแกะมืออีกคนออกแต่สุดท้ายก็ได้แค่ยืนนิ่งๆ ให้ร่างสูงซับเหงื่อให้
“ผ้าเช็ดหน้าของพี่สกปรกหมดแล้ว...เดี๋ยวผมเอาไปซักแล้วจะเอามาคืนให้นะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เอามาคืนพี่ด้วยนะ” ซีวอนพูดแล้วเดินถอยหลังไปและไม่ลืมที่จะยักคิ้วทะเล้นใส่คนที่ยืนมองอยู่ตรงนั้น
“อ้อ! ถ้ามันดีขึ้นแล้วพี่จะพามันมาเล่นด้วยโอเคนะ!?” ตะโกนบอกอีกฝ่ายทั้งที่ยังเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ คยูฮยอนพยักหน้ารัวๆ แล้วยิ้มกว้าง
ดีจัง...ที่พี่ซีวอนรับลูกแมวตัวนั้นไปดูแล...
.
.
“แมวใครวะ?” ร่างบางเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังนั่งลูบหัวลูกแมวตัวเล็กบนตักหลังจากให้นมมันไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทงเฮยิ้มบางๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฮยอกแจที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมของเขา
“ซีวอนเอามาฝากเลี้ยงชั่วคราวน่ะ มันน่ารักใช่ไหม?”
“ห๊ะ? อย่างไอ้ซีวอนอ่ะนะเอาแมวมาฝากแก? คนอย่างมันมีอะไรให้ฝากนอกจากเมียเก็บวะ?” ฮยอกแจว่าพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างหนาที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ไม่รู้สิ บางทีลูกแมวตัวนี้อาจจะดูน่าสงสารในสายตาคนอย่างมันก็ได้” พูดจบก็มองหน้าอีกคนก่อนจะหัวเราะพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ตั้งชื่อว่าอะไรดีนะ?”
“ทิงกี้วิงกี้ ดิฟซี่ ลาล่า แอ่น โพ~”
“เพ้อเจ้อ” ทงเฮส่ายหัวหน่ายๆ แล้วเอามือดันหน้าคนที่ทำปากจู๋อยู่ออกไป ฮยอกแจหัวเราะก่อนจะย้ายมานั่งข้างๆ ทงเฮ
“แล้วทำไมมันไม่เอาไปเลี้ยงเองวะ บ้านมันมีขี้ข้าไม่ใช่เหรอ”
“เห็นบอกว่าแม่มันเป็นภูมิแพ้น่ะ”
“โหย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคนอย่างมันสนใจสิ่งรอบข้างด้วย”
“ยังไง?”
“คือคนอย่างมันไม่น่ารู้อ่ะว่าแม่มันเป็นโรคอะไรบ้าง” พูดจบก็ระเบิดหัวเราออกมา ทงเฮได้ยินอย่างนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ จริงอย่างที่ฮยอกแจบอก เขาเองก็แทบไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างซีวอนจะเป็นแบบนั้น
“อะไรของมัน เก็บภาระมาให้คนอื่นเลี้ยง” ฮยอกแจบ่นอุบอิบในขณะที่อีกคนยังคงสนใจอยู่กับลูกแมวตัวเล็กบนตัก
“แต่มันก็น่ารักดีนะ...”
“อืม”
“ส่วนชื่อ...” ริมฝีปากหยักยิ้มบางๆ เมื่อมองไปยังลูกแมวที่หลับอยู่...จู่ๆ ภาพของใครอีกคนที่เคยนอนหลับบนตักเขาก็ผุดขึ้นมาในหัว... ใบหน้าขาวกับแพรขนตายาวที่ปิดสนิท เส้นผมสีน้ำตาลไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป...
คิดถึงอีกแล้ว...
“ถ้าซีวอนไม่เอาคืนไป ตอนนั้นฉันถึงจะตั้งชื่อให้มัน...”
.
.
ซ่า...
ร่างสูงผิวปากขณะฟังเพลงอยู่กับฮยอกแจด้วยการแชร์หูฟังคนละข้าง ฮยอกแจโยกหัวพร้อมกับขยับมือเต้นตามเพลงในแบบที่ชอบก่อนที่ใครอีกคนจะเดินเข้ามาในห้องแล้วหุบร่มลง
“เยด พระเอกเค้าต้องพกร่มนะเว้ยซีวอน” ฮยอกแจแซวทงเฮที่กำลังเดินมานั่งข้างๆ เขา พอได้ยินอย่างนั้นเลยผลักหัวคนทะเล้นไปทีหนึ่ง
“พอดีว่าเป็นตัวโกงชีวิตไม่เคยโดนฝนเพราะมีรถว่ะ ฮ่าๆ” ซีวอนว่าพร้อมกับหัวเราะพอใจ ผู้ชายพกร่มมันดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ มันไม่แมนอ่ะครับ
“มีรถแล้วพกร่มก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“โอ๊ะ...ลืมไปว่าน้องคยูฮยอนเขาไม่ชอบให้พี่ทงเฮเปียกฝน~” ฮยอกแจแซวอีกครั้งก่อนจะหน้าหันไปอีกทางเพราะโดนผลักหัวซ้ำสอง เสียงหัวเราะร่าจากร่างบางไม่ได้ทำให้ทงเฮโกรธเคืองเลยสักนิด มันก็จริงอย่างที่ฮยอกแจบอก...
ที่พกร่ม...เพราะคยูฮยอนไม่ชอบให้เขาเปียกฝน
ซีวอนหุบยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเพื่อนสนิท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทงเฮก็ยังคงนึกถึงคยูฮยอนอยู่เสมอสินะ แทบลืมไปเลยว่าที่เขาหาเหตุผลเอาชนะใจคยูฮยอนเพราะอะไร เพราะอยากเอาคืนให้ทงเฮไม่ใช่หรือไงแต่หลายครั้งเลยล่ะ...หลายครั้งแล้วที่เขาเกือบรู้สึกดีกับคยูฮยอน
“ทำไมวะ เปียกฝนแล้วจะเป็นไรไป?” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยถามออกไปสั่วๆ
“คยูฮยอนไม่ชอบฝนน่ะ”
“ฉันก็ไม่ชอบเหอะว่ะ เฉอะแฉะ แต่ถ้าตกตอนนอนนี่สวรรค์เลยล่ะ” ฮยอกแจพูดขึ้น
“ฝนมันทำให้เขาเหงา เวลาเปียกฝนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่มันทำให้รู้สึกเหงายิ่งกว่าเดิมอีก” ทงเฮทอดสายตาออกไปข้างหน้านั่นทำให้ร่างสูงทบทวนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา ทงเฮมันจำรายระเอียดของเจ้าเด็กนั่นได้แทบทุกอย่างจริงๆ
“แล้วแกเคยเปียกฝนให้เขาเห็นไหม?”
“เคยอยู่ไม่กี่ครั้ง แล้วก็โดนดุ” ทงเฮหัวเราะ
“ทำไมต้องดุด้วยวะ ใครจะอยากเปียกฝนถูกป่ะ?” ซีวอนถามด้วยความไม่เข้าใจ เด็กนั่นนี่ยังไงนะ เอาแต่ใจจริงๆ
“เขากลัวฉันจะไม่สบาย”
“หลังจากนั้นแกก็เลยพกร่มมาตลอดสินะ” ฮยอกแจถามจบทงเฮก็ยิ้มออกมาเป็นคำตอบ เป็นอีกครั้ง...ที่ทงเฮยิ้มเวลานึกถึงเรื่องเก่าๆ ระหว่างเขากับคยูฮยอน...
.
.
ซ่า...
นัยน์ตาเรียวละสายตาจากหนังสือแล้วทอดสายตาออกไปข้างนอกหน้าต่าง ฝนตกอีกแล้ว...เขาไม่ชอบอากาศแบบนี้เลย มันทั้งเหงาแล้วก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดี แม้ว่าเขาจะพกร่มติดกระเป๋าอยู่ตลอดแต่ถึงอย่างนั้นโจคยูฮยอนก็เลือกที่จะกลับหอตอนฝนหยุดทุกครั้ง ไม่ชอบเวลาเดินท่ามกลางสายฝน ไม่ชอบเลย...
เปลี่ยนความสนใจกลับมาอยู่ที่หนังสือเล่มหนา เปิดอ่านไปยังไม่เท่าไหร่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนแต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากหยักก็ยังยิ้มให้เขาอยู่หากแต่ลักยิ้มบนใบหน้านั่นไม่ได้ทำให้คยูฮยอนรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้กำหนดคืนหนังสือ แล้วอาจารย์ดันปล่อยช้าพี่กลัวห้องสมุดจะปิดเสียก่อนเลยมีสภาพแบบนี้” หัวเราะพร้อมกับเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋าหนังราคาแพงที่เปียกน้ำ แต่หนังสือที่อยู่ข้างในกลับอยู่ในสภาพดีเพราะห่อด้วยเสื้อโปโลสีขาวประจำมหาลัย
“ทำไมถึงเปียกขนาดนี้ล่ะครับ พี่น่าจะรอให้ฝนหยุดก่อนนะ”
“กว่าฝนจะหยุดหอสมุดก็ปิดก่อนพอดี ดูสิ” ทอดสายตาออกไปข้างนอกพลางมองสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาโดยไม่มีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ คยูฮยอนเห็นอย่างนั้นเลยรูดซิบกระเป๋าออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าของร่างสูงออกมาแล้วยัดใส่มือแกร่ง
“ผมซักให้แล้ว” พูดจบก็ล้วงกระเป๋าอีกครั้ง ซีวอนก้มลงมองมือตัวเองที่มีผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่ถูกรีดอย่างเป็นระเบียบแล้วยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่กำลังง่วนอยู่กับกระเป๋าอีกครั้ง
“หลับตาหน่อยครับ” จ้องมองใบหน้าหล่อที่กำลังฉายแววตาสงสัยก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขามักจะพกติดกระเป๋าตลอดเวลาขึ้นมาซับหน้าให้อีกคน นัยน์ตาคมจ้องมองดวงหน้าหวานนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายซับหยาดน้ำฝนออกให้โดยที่ไม่พูดอะไร
คยูฮยอนจงใจไม่สบตากับอีกฝ่ายถึงแม้จะรู้ดีว่าร่างสูงกำลังจ้องเขาอยู่ ตอนนี้ห้องสมุดนั้นเงียบสงบ...เงียบมากจนได้ยินเพียงแค่เสียงปากกาของบรรณารักษ์เท่านั้น
“พี่ต้องซักมาคืนนายไหม?”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หงุดหงิดอะไรอยู่หรือไง” เอ่ยถามทั้งที่อีกฝ่ายยังคงซับหน้าให้เขาอยู่ คยูฮยอนส่ายหน้าเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา
“คราวหลังอย่าตากฝนมาอีกได้ไหมครับ”
“หืม?”
‘ฝนมันทำให้เขาเหงา เวลาเปียกฝนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่มันทำให้รู้สึกเหงายิ่งกว่าเดิมอีก’
“วันนี้ผมต้องช่วยบรรณารักษ์เช็คหนังสือ พอถึงตอนนั้นฝนก็คงหยุดแล้วยังไงก็...” ร่างโปร่งเว้นช่วงไว้ครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงค้นกระเป๋าอีกครั้งแล้วหยิบร่มสีเทาออกมา
“เอาไปใช้นะครับ”
“ทำไมล่ะ ยังไงพี่ก็เปียกอยู่แล้วไม่ต้องใช้มันหรอก” ร่างสูงยิ้มขำก่อนจะเลิกคิ้วมองเมื่อถูกอีกฝ่ายยัดร่มใส่มืออีกข้าง
“ถ้าไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงของในกระเป๋าก็ได้ครับ หนังสือเรียน ของมีค่า ไหนจะมือถือของพี่ถ้าพังไปแล้วกว่าจะส่งซ่อมคงทำให้เสียเวลาน่าดูเลย” คยูฮยอนหยิบยกเหตุผลสารพัดขึ้นมาจนเขาเลี่ยงไม่ได้
“พูดถึงมือถือ พี่ก็ยังไม่มีเบอร์นายเลย”
“................” คยูฮยอนยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไร ป่านนี้คงคิดไปแล้วสิว่าเขาเป็นไอ้ม่อที่กำลังขอเบอร์เขาอยู่
“ถ้าเกิดมีธุระอะไรพี่จะได้โทรหานายไง อย่างเช่นวันนี้ถ้ามีเบอร์นายพี่คงโทรถามแล้วว่าหอสมุดปิดหรือยัง แล้วพี่ก็จะไม่เปียกแบบนี้~” พูดพร้อมกับอ้าแขนให้อีกคนดูสภาพตัวเองเผยให้เห็นเสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกลู่แนบกับหน้าท้องเป็นมัดกล้าม คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้น...ก็เอามือถือมาสิครับ”
ได้ผล...
การลงทุนเปียกฝนวันนี้ไม่ไร้ค่าจริงๆ
ล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเขย่าสองสามครั้งเป็นเชิงติดตลกแล้วยื่นให้อีกฝ่าย คยูฮยอนรับมาแล้วกดเบอร์ตัวเองแล้วยื่นคืนให้ร่างสูง
“ผมว่าพี่รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะครับ เปียกฝนแล้วมาอยู่ในห้องแอร์แบบนี้เดี๋ยวไม่สบายเอา” คยูฮยอนพูดพร้อมกับเอาหนังสือของอีกฝ่ายมาถือให้ ซีวอนมองตามร่างโปร่งที่กำลังเอาไปคืนบรรณารักษ์แล้วก็เลิกคิ้วมอง
กลัวเขาไม่สบายหรือว่าอยากไล่ให้กลับไปกันแน่นะ
แต่น่าแปลก...ที่ความคิดเขากลับเบนไปทางข้อแรกมากกว่า...
“เดี๋ยวผมจะเอาไปเก็บที่ชั้นหนังสือทีเดียวแล้วกันนะครับ” พูดกับบรรณารักษ์สาวแล้วหันกลับมามองร่างสูงที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
“ผมทำพื้นห้องสมุดเลอะไปหมดแล้ว ผมจะโดนปรับป่ะครับ?” ซีวอนยื่นหน้าไปถามบรรณารักษ์ที่กำลังทำหน้านิ่งใส่เขาแล้วก็หัวเราะกวนประสาท
“พี่น่ะกลับไปได้แล้วครับ” คยูฮยอนดันไหล่คนขี้แกล้งออกไปก่อนที่บรรณารักษ์สาวหน้าโหดจะแผ่ออร่าอำมหิตมากไปกว่านี้ ซีวอนหัวเราะร่วน ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าตึกจนถึงตอนนี้ฝนก็ยังคงตกหนักและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดในเร็วๆ นี้
“ร่มครับ” พูดย้ำอีกครั้งเมื่อร่างสูงไม่มีทีท่าว่าจะกางมันออกมาใช้ ซีวอนเหล่ตามองคนข้างๆ แล้วก็กางร่มออกอีกทั้งยังทำหน้ากวนใส่เขา
“ไม่คืนนะ?”
“ก็ได้ครับ ถ้าพี่จะไม่ตากฝนอีก” ซีวอนเลิกคิ้วมองกับประโยคที่ขัดกับที่คิดไว้ ร่างสูงกางร่มเดินออกไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก็เอี้ยวตัวหันกลับมามองใครอีกคนที่ยังคงยืนมองเขาอยู่ตรงนั้น
ริมฝีปากหยักยิ้มทะเล้นจนคยูฮยอนขมวดคิ้วมอง ได้ยินเพียงแค่เสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างหนัก มือแกร่งข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นป้องปากตัวเองก่อนจะตะโกนกลับไปหาใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“งั้นพรุ่งนี้พี่เอาร่มมาคืนนายดีกว่า!”
“...................”
“พี่ไม่เอาร่มของนายไปฟรีๆ หรอกนะ พี่จะยืม-คืนๆ แบบนี้ไปจนกว่าจะหมดหน้าฝนเลยล่ะ!”
พูดจบก็เผยลักยิ้มให้อีกคนได้เห็น คยูฮยอนหน้าขึ้นสีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้หากแต่อีกฝ่ายคงไม่เห็นมันเพราะกระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก มือเรียวบีบหนังสือที่ถือติดมาด้วยหวังว่ามันจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ไปได้บ้าง...
ฝนที่เทลงมาอย่างหนัก...นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดีกับมัน
“อ...อย่าลืมทานยาดักไว้ด้วยนะครับ...” ตะโกนกลับไปก่อนที่ร่างสูงโบกมือให้ด้วยท่าทางทะเล้นเช่นเคย ริมฝีปากอิ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ หัวใจที่เคยปิดตายมานานกลับเต้นแรงได้อย่างน่าประหลาด...
เพียงเพราะคนๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงแค่ไม่กี่วัน...
TALK
ตอน 1 มาละ...เราไม่รู้ว่าคนจะชอบอ่านแนวนี้มั้ย แต่อาจจะมีบางคนบอกว่า 'วอนกับเฮน่าจะสลับคาแร็คเตอร์กันนะ' แต่เราเบื่อวอนแสนดีแล้ว วอนเรื่องนี้เลวและชุ่ยมาก คือแพทเทิร์นการเขียนฟิคของเรามันมีอยู่ไม่กี่อย่าง ซีวอนจะแสนดีทุกเรื่องถูกป่ะ 555 แล้วพี่ทงจะแบ๊ดๆ แล้ววินทุกเรื่อง อยากลองเปลี่ยนดูบ้าง ลองมาอึดอัดในรูปแบบนี้ที่ต่างไปจากแฟนเก่าดูนะคะ ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่า ดูเหมือนว่าเราจะห่างอะไรที่มันดราม่าไปนานมากเหมือนกันเนาะ
ความคิดเห็น