คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : - Special 3 :: Reason
Special 3
Reason
“…”
“หลังจากนั้นไม่นาน ความพยายามของผมก็สำเร็จ ผมตื้อฮยอกแจจนเราได้เป็นแฟนกัน เพื่อนหลายคนที่ทั้งสนิทและไม่สนิทต่างเข้ามาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ‘นายกำลังพนันอยู่กับใครใช่ไหม ลงไปเท่าไหร่ ฉันจะได้ลงด้วย’ ไม่มีใครเชื่อว่าที่ผมคบกับฮยอกแจเป็นเพราะความรัก พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกที่เกิดจากการพนัน ซึ่งผมคิดว่าความคิดแบบนั้นมันงี่เง่าสิ้นดี” ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ
“ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน” คุณหมอหนุ่มพูดหลังจากที่เขานั่งฟังเรื่องของอีฮยอกแจมาพักใหญ่ ๆ น้ำเปล่าในแก้วใบใสยังคงอยู่ในระดับเดิม อีทงเฮไม่ได้ดื่มมันเลยสักอึกเดียว
“เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เพื่อน ๆ ในกลุ่มรับเรื่องนี้ไม่ได้ พวกเธอไม่พอใจถ้าเกิดฮยอกแจจะต้องเข้ามาอยู่ในกลุ่มด้วย ผมเลยตัดปัญหาโดยการห่างจากพวกเธอออกมาแล้วเข้าหาเพื่อนผู้ชายด้วยกันเอง แน่นอนครับว่าพวกผู้ชายเขาไม่คิดอะไรมากมายอยู่แล้ว เราสองคนไม่มีปัญหาเรื่องงานกลุ่มอีก แต่ถึงอย่างนั้นฮยอกแจก็ยังไม่ค่อยคุยกับคนอื่นอยู่ดี ผมก็เป็นห่วงเขาเลยไม่ค่อยได้ไปไหนกับเพื่อนคนอื่น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เพื่อนมาบอกผมนั่นแหละครับ”
‘รู้ไหมว่าตอนนี้คนอื่นมองนายยังไง พวกเขาเห็นนายเป็นคนโลกแคบเหมือนอีฮยอกแจแล้วนะ’
“แล้วคุณคิดยังไงกับคำพูดของคนอื่นครับ?”
“ฮ่า ๆ ไม่รู้สิครับ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนั้นฮยอกแจสำคัญที่สุด”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“...”
ความเงียบเข้าครอบคลุม ไม่มีเสียงพูดของอีทงเฮหลุดออกมาจากปากอีก เขาหลุบสายตาลงราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ในอดีตที่ผ่านมา หมอหนุ่มมองคนตรงหน้าผ่านเลนส์แว่นทั้งที่มีปากกาอยู่ในมือ
“ผมเป็นคนรักที่แย่ เรื่องที่ควรรู้แต่ผมกลับไม่รู้”
“...”
“ผมควรจะเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด แต่ผม...”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
“พาผมไปหาฮยอกแจได้ไหมครับหมอ...ผมอยากเจอเขา” ทงเฮเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ร่างโปร่งยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
ทั้งคู่เดินออกมาข้างนอก คยูฮยอนชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเดินไปข้างหน้าทั้งที่ยังกุมแผลตรงช่วงท้องไว้อยู่ อาการของอีทงเฮยังไม่ได้ขึ้นนักแต่เขาก็ยังมาที่นี่ทุกวันแทนที่จะหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
“คุณดรอปเรียนไว้นานแค่ไหน”
“ทั้งเทอมครับ” เขาหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “หรือไม่ก็จนกว่าฮยอกแจจะหายเป็นปกติ”
“...”
เขาเข้าใจทั้งทงเฮและฮยอกแจ ถึงจะเคยมีความรักแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็พอจะเข้าใจว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความรักมันเป็นยังไง
“ผมว่าคุณน่าจะกลับไปเรียนต่อหลังจากแผลหายนะครับ ส่วนทางนี้ผมจะดูแลคุณฮยอกแจเอง”
“...ไม่ครับ” ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าห้องคนไข้พิเศษ พอมองเข้าไปข้างในก็พบชายหนุ่มร่างผอมบางที่กำลังนั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง “ถ้าผมกลับไปเรียนต่อตอนนี้ ตอนที่ฮยอกแจหายดีแล้วเขาจะเรียนกับใครล่ะ” ร่างหนาพูดพร้อมกับเอาหน้ากากยิ้มขึ้นมาใส่
“...”
“ผมอยากให้เวลาของเราเดินไปพร้อม ๆ กันครับ”
.
.
ครืด...
“...”
ร่างบางผินหน้าหันไปมองใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา ดวงตาเหม่อลอยจ้องมองหน้ากากยิ้มอย่างไม่ละสายตา คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันพลางเอียงคอมองเล็กน้อย
“คุณหน้ากากมาอีกแล้ว”
“...ไง”
“วันนี้มาช้า” ร่างบางยิ้มครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง
“หืม...ผมก็มาเวลาเดิมนะ ไม่เชื่อดูนาฬิกาสิ” ทงเฮชี้ไปยังผนังห้องที่ว่างเปล่า ฮยอกแจพยักหน้าตามแล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ
“จริงด้วย”
“ทำไมเหรอ? หรือว่าคุณรอผมอยู่?” ใบหน้าหล่อยิ้มบาง ๆ แม้ว่าฮยอกแจจะมองไม่เห็น รอยยิ้มเศร้า ๆ ของเขาตอนมองคนรักที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน...
“ก็...” ร่างบางเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง... “ก็คุณคิบอมเพิ่งออกไปเมื่อกี้”
“คุณคิบอมเหรอ?” ร่างหนาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองหมอคยูฮยอนที่เดินเข้ามาทางด้านในพร้อมกับผ้าปิดปาก ถ้าเขาไม่ใส่มันเข้ามาฮยอกแจคงโหวกเหวกโวยวายหาว่าเขาคือหมอคยูฮยอนที่ถูกอีทงเฮแทงตายแน่ ๆ
“อื้อ คุณคิบอมมาช่วยผมออกไปจากอีทงเฮ ไอ้สารเลวนั่น”
“...”
“...” ทงเฮหันไปมองหน้าคยูฮยอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนปล่อยให้ร่างบางนั่งกอดเข่าพึมพำอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวผมมานะ”
“ถ้ามาเร็ว ๆ ก็จะได้แนะนำให้รู้จัก คุณคิบอมใจดีมาก ๆ เลย”
“อื้ม” ทงเฮยิ้มแล้วเดินออกมาจากห้องพร้อมกับคยูฮยอน เขาดึงหน้ากากยิ้มออกแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“คุณคิบอมที่คุณฮยอกแจพูดถึงนั่นเขาเป็นใครเหรอครับ?” ทงเฮขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ผมกำลังจะถามคุณอยู่พอดีว่าคุณคิบอมนั่นเป็นใคร ทำไมเขามาเยี่ยมฮยอกแจได้” ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดจนกระทั่งพยาบาลสาวเดินผ่านมาพร้อมกับแฟ้มในมือ
“อ้อ คุณพยาบาลครับ!” คยูฮยอนเดินเข้าไปหาพยาบาลสาวที่ดูแลฮยอกแจ เธอหยุดยืนแล้วหันหน้ามา
“เมื่อก่อนหน้านี้มีผู้ชายที่ชื่อคิบอมมาเยี่ยมอีฮยอกแจหรือเปล่า?”
“เอ๋? ไม่มีนะคะ” เธอยิ้มแห้ง ๆ แล้วหันไปมองหน้าทงเฮ “แต่ถ้าชื่อนั้น ฉันได้ยินคุณฮยอกแจพูดถึงมาได้หลายวันแล้วล่ะค่ะ เอ๊ะไม่สิ...”
“...”
“ต้องบอกว่านั่งคุยกับคุณคิบอมที่ไร้ตัวตนสิถึงจะถูก...”
.
.
ย้อนไปถึงตอนนั้น...วันที่เรายังรักกันอยู่...
นับว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ฮยอกแจยอมเปิดใจให้เขา ยิ้ม...และหัวเราะมากขึ้น ถึงแม้ว่าร่างบางจะดูซึมเศร้าทุกครั้งเวลาฟ้ามืดที่ต้องแยกตัวกลับบ้านไป แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งเขาถูกใครคนหนึ่งทำร้ายหลังจากเดินไปเปิดประตูห้อง
ผลั่วะ!!
“เปิดประตูช้านะครับคุณชายชู้?” น้ำเสียงเย้ยหยันมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองฮยอกแจที่นอนเปลือยร่างอยู่บนเตียง ภาพที่เห็นทำให้รอยยิ้มบนหน้าเลือนหายไปแต่กลับมีอารมณ์โทสะเข้ามาแทนที่
“อ่า...จับได้คาหนังคาเขาเลยสินะ” ร่างสูงใหญ่ก้มลงไปบีบคอคนที่นอนอยู่บนพื้นหลังจากโดนชกจนเลือดซึมออกทางจมูก เขามึนหัวไปหมด ทงเฮขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าถึงภาพมันจะเลือนลางแต่ก็พอจำได้ว่าเขาคือพ่อเลี้ยงที่ฮยอกแจเคยเล่าให้ฟัง
“ปล่อยเขานะ!” ฮยอกแจใส่เสื้อผ้าแล้วรีบลนลานเข้ามาผลักร่างสูงออกแต่กลับไม่เป็นผลหนำซ้ำยังถูกตบจนหน้าคว่ำอีก
“ฮยอกแจ!”
“อ...อย่าทำเขา” ร่างบางร้องไห้ก่อนจะเข้ามาจับแขนแกร่งเอาไว้เพื่อห้ามให้หยุด
“ปกป้องกันเหลือเกิน แกนี่มันร่านได้ใครนะฮยอกแจ”
“เป็นแค่พ่อเลี้ยง มีสิทธิ์อะไรมาข่มเหงคนอื่นแบบนี้?! อึ่ก!!!” ทงเฮหน้าหันไปอีกข้างเมื่อถูกชกอย่างแรง ฮยอกแจเข้าไปช่วยประคองร่างคนรักขึ้นมาทั้งน้ำตา เขารู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้ทงเฮต้องเจ็บแบบนี้ เลือดสีสดไหลออกทางจมูกและกลั้วอยู่เต็มปาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้
“ไอ้หมอนี่มันปากเก่งจริง ๆ ท่าทางมันคงถึงใจมากสินะแกถึงได้ถ่อหน้ามาหามันถึงที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน” ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปลากเก้าอี้มาวางไว้ตรงหน้าทงเฮก่อนจะเตะฮยอกแจให้ออกจากตรงนั้นอย่างไม่ปราณี
“เกะกะ”
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!” ทงเฮรวบรวมแรงทั้งหมดพุ่งเข้าที่เอวหนาจนชนกับผนังอย่างแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้ร่างสูงได้เพียงน้อยนิด นัยน์ตาคมก้มลงมองอีกฝ่ายแล้วเหยียดยิ้ม
“ตัวเท่าลูกหมา ริอาจจะสู้กับฉันงั้นเหรอ?” มือแกร่งจิกหัวคนตรงหน้าขึ้นมาโขกกับซีเมนต์ซ้ำ ๆ จนเลือดติดผนัง
“อึ่ก...”
“ร้องไห้สิ...อ้อนวอนขอความเมตตาจากฉัน แล้วพูดให้ชัดเจนว่าแกจะไม่ยุ่งกับฮยอกแจอีก” ร่างสูงก้มหน้ามองอีกฝ่ายที่สติเลือนราง ทงเฮถุยน้ำลายที่มีแต่เลือดใส่หน้าอีกฝ่ายพลางหอบหายใจหนัก
“ถ้าจะให้ฉันร้องขอความเมตตาจากคนโรคจิตอย่างแก...ฉันยอมก้มหัวให้หมาซะยังดีกว่า”
“ทงเฮ...อย่า...” ร่างบางรีบห้ามเมื่อได้ยินคนรักกำลังพูดยั่วโมโหพ่อเลี้ยงของเขา ชายร่างสูงใหญ่กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะลากทงเฮไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเอาเชือกที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมามัดตัวเขาไว้
“จะทำอะไรน่ะ?!”
“จะสั่งสอนให้รู้ว่ามันกำลังเล่นอยู่กับใคร”
“อึ่ก!”
เหมือนหัวใจจะแหลกสลายเมื่อเห็นทงเฮถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น พอรู้ตัวอีกทีผู้ชายใจโหดคนนั้นก็เดินมาทางนี้...และลากเขาออกมาจากห้องนั้นอย่างทารุณ
“ทงเฮ!!”
.
.
ตุ่บ!
“อึ่ก!” ร่างบางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเมื่อร่างของเขาถูกเหวี่ยงเข้าไปข้างในบ้านจนกระแทกกับเหลี่ยมโต๊ะอย่างแรงจนจุก คนใจโหดที่ตัวเปียกโชกเพราะฝนจากข้างนอกบิดตัวไปมาจนเกิดเสียงกระดูกลั่นก่อนจะมองร่างตรงหน้าที่กำลังทรุดลงกับพื้น
“ทีอย่างนี้ล่ะสำออยเชียวนะ”
“...”
“ไหนบอกฉันมาซิ ว่าแกจะไม่ไปเจอหน้ามันอีก”
“...” ร่างบางกุมท้อง พยายามคลานหนีเงื้อมมือของคนโรคจิตที่ทรมานเขามาหลายปี น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้ม ความกลัวมันย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้งแต่คราวนี้เขากลับเป็นห่วงทงเฮมากกว่าตัวเอง
“จะหนีไปไหน?” ร่างบางถูกจับให้นอนหงายกับพื้นแล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ช่วงคอก่อนที่เสียงกระดิ่งจะตามมา
กริ๊ง...กริ๊ง...
“ค...คุณใส่อะไรให้ผม เอาออกไปนะ!”
“เป็นไง ชอบปลอกคอที่ฉันซื้อให้ไหมล่ะ?” พยายามแกะปลอกคอออกแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเสื้อที่ใส่อยู่กำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ จากคนหื่นกระหายที่ขึ้นคร่อมทับร่างของเขาเอาไว้ ฮยอกแจตัวสั่น พยายามปัดป่ายมือหยาบกร้านนั้นออกไปอย่างรังเกียจจนกระทั่งถูกตบจนหน้าหันไปอีกข้าง
“ทำอย่างกับไม่เคย” มือใหญ่บีบกรามคนใต้ร่างให้หันกลับมา ร่างบางปรือตามอง เขาหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้แล้ว
“เมื่อกี้แกคงร่อนบนตัวไอ้หมอนั่นจนหมดแรงแล้วสินะ ถึงได้อ่อนปวกเปียกขนาดนี้”
“ผมจะบอกแม่...”
“หืม?” ร่างสูงกระตุกยิ้ม เขานึกสมเพชกับประโยคนั้นอยู่ลึก ๆ
“ผมจะบอกแม่...ว่าคุณ...ทำอะไรกับผมบ้าง...”
“คิดว่านังโง่นั่นจะเชื่อแกหรือไง?”
“...”
“แกกับนังนั่นก็โง่พอ ๆ กันนั่นแหละ...สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน” พูดจบก็จิกหัวร่างบางให้ลุกขึ้นพาดลงกับโต๊ะอาหารกลางห้องที่มีขวดเหล้าและกับแกล้มวางเรียงกันอยู่
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!!
กางเกงนักศึกษาถูกปลดออกอย่างง่ายดายพร้อมกับส่วนที่น่าขยะแขยงที่แทรกเข้ามาทางด้านหลังอย่างไม่ปราณี ร่างบางหลับตาแน่นนิ้วจิกลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงครูดแสบหู ร่างของเขาถูกกระแทกกับโต๊ะซ้ำ ๆ ประสานกับเสียงกระดิ่งที่ดังหลอกหลอน มันเป็นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ...ที่อีฮยอกแจต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของคนโรคจิตอย่างมัน
วูบหนึ่งนัยน์ตาเรียวผินไปเห็นขวดเหล้าที่อยู่ใกล้มือ...เขาเอื้อมไปจับมันเอาไว้ให้แน่นก่อนจะหันไปฟาดเข้าที่กลางหัวอีกฝ่ายจนขวดแตกกระจาย
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
ได้ผล...ร่างของไอ้โรคจิตนั่นล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับกุมขมับที่เลือดโชกเอาไว้ ร่างบางวางขวดลงบนโต๊ะแล้วรีบดึงกางเกงขึ้นใส่ลวก ๆ ทั้งที่ขาก็แทบจะไม่มีแรง มือเรียวหยิบขวดปากฉลามขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เหมือนมีอะไรดลใจให้เขาอย่าหยุดแค่นี้...
และทำบางอย่าง...ที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว...
“ก...แก...” ร่างสูงพยายามลืมตาขึ้นมองไอ้เด็กอวดดีที่ถือขวดปากฉลามไว้ในมือ มันกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้กับเขา ถ้าจับได้เมื่อไหร่เขาจะทรมานเอาชนิดที่ว่าไม่ให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย!
“แกไปเอาความกล้ามาจากไหนหะ?”
“...”
“ถ้าแกไม่วางมันลง ฉันจะตามไปฆ่าไอ้เด็กคนนั้นแน่ ฮ่า ๆ ๆ !”
ร่างบางเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินคำขู่ของอีกฝ่าย ฮยอกแจคิดว่ามันจะไม่บ้าไปหน่อยเหรอที่ไอ้เลวนี่กำลังหัวเราะในสถานการณ์แบบนี้ มือเรียวสั่นเครือทั้งที่ยังชี้ขวดปากฉลามไปตรงหน้า จะทำยังไงดี เขาไม่อยากพบเจอฝันร้ายแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
‘ฆ่ามันซะสิฮยอกแจ...’
‘คนแบบมันน่ะอยู่ไปก็รกโลก...ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี...’
‘ถ้ามันตายไป แกก็จะได้มีชีวิตใหม่ไงล่ะ...ชีวิต...ที่ไม่ต้องทนอยู่กับความหวาดกลัวอีก’
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!”
ร่างสูงหวีดร้องดังลั่นเมื่อฮยอกแจขึ้นคร่อมทับร่างเขาแล้วใช้ขวดปากฉลามแทงอกซ้ำ ๆ จนเลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วพื้นห้องและเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ยของร่างบาง เขาไม่ได้นึกถึงผลที่จะตามมา ในหัวมันคิดอยู่แค่อย่างเดียวว่าต้องฆ่าไอ้เลวนี่ให้ตาย ๆ ไปซะ
“ตายซะ! ...ตาย...ตาย!!” สองมือยังคงรัวทิ่มแทงปากฉลามลงไปบนแผงอกไม่หยุด ไม่มีเสียงหวีดร้องของไอ้สารเลวนี่ให้ได้ยินอีก...หลังจากนั้นมีเพียงแค่เสียงสายฝนที่โหมตกหนักลงมาเท่านั้น ริมฝีปากบางสั่นเครือพอ ๆ กับมือทั้งสองข้างที่โชกเลือด...ร่างผอมบางเซถอยหลังพร้อมกับปล่อยอาวุธในมือลงขณะมองร่างไร้วิญญาณที่จมกองเลือดอยู่ตรงนั้น หยาดน้ำตาใสยังคงไหลอาบแก้ม ต่อไปจะไม่มีใครทำร้ายเขาอีกแล้ว...แต่ในตอนนี้...
อีฮยอกแจกลายเป็นฆาตรกรฆ่าคนตายโดยเจตนาไปแล้ว...
“...”
ร่างบางนั่งตัวสั่น ขาเรียวค่อย ๆ งอเข้าหาตัว สองมือเรียวทึ้งหัวตัวเองพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก ขยะแขยง รังเกียจ กลัว...ทุกความรู้สึกมันปะปนกันไปหมด ความกลัวและความสับสนสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปเปิดประตูบ้านแล้วรีบหนีออกไป สายฝนและกระแสลมแรงพัดเข้ามาราวกับไล่ให้เขากลับไปจัดการเรื่องเมื่อครู่ให้จบ...อีฮยอกแจไม่มีทางหนีไปไหนรอดถ้าเกิดทิ้งศพนั่นไว้ข้างในนั้น
เปรี้ยง!
เสียงฝ่าร้องเตือนสติให้ร่างบางกัดฟันแน่นแล้วเดินเข้าไปดูสภาพศพอีกครั้ง เขาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานแล้วตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วรื้อผ้าปูที่นอนออกมาเพื่อพันตัวศพเอาไว้ ทุกการขยับ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแต่สั่นเครือเพราะความกลัว อีฮยอกแจไม่ใช่คนใจแข็งเลยสักนิด นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยที่เขาฆ่าคนตายไปทั้งคนแต่ถ้าหากไม่ทำแบบนี้เขาก็คงถูกจับเข้าคุกข้อหาฆ่าคนตายแน่
ยังไงก็ตาม...
ถ้าอีฮยอกแจจะต้องถูกจับมันก็ต้องไม่ใช่ตอนนี้...
ร่างบางรวมรวมความกล้าแล้วพันตัวศพไว้แน่น ๆ ก่อนจะไปค้นหาเชือกในห้องเก็บของ กลิ่นเหม็นสาบของห้องนี้ทำให้แทบอาเจียนออกมา ร่างบางยกมือขึ้นปิดจมูกก่อนจะเจอเชือกที่ต้องการห้อยอยู่ทางด้านข้าง ฮยอกแจเดินกลับมาที่เดิมพลางมองศพที่ถูกมัดด้วยมุมของผ้าปูเตียง เขาก้มลงใช้เชือกสอดเข้าไปใต้ร่างนั้นพร้อมกับมัดมันอย่างแน่นหนาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
เปรี๊ยง!!!
เสียงฟ้าผ่าคราวนี้ทำเอาร่างบางผวาสุดตัว เขาหันไปมองรอบข้างแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง เขาฆ่าคนตาย...เขาฆ่าคนตาย...ราวกับมีเสียงใครสักคนพูดกรอกหูอยู่อย่างนี้ แต่พอนึกถึงใครอีกคนที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ในหอพักแล้วอีฮยอกแจก็ต้องสลัดความกลัวทั้งหมดทิ้งไป เขาควรจะรีบจัดการกับศพนี้แล้วไปช่วยทงเฮ
หลังจากมัดศพเสร็จเรียบร้อยร่างบางก็กลับเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องใช้เวลาหานานเมื่อพลั่วที่ต้องการนั้นวางอยู่ใกล้ ๆ ประตู เขาหยิบมันมาถือไว้แล้วเดินออกประตูหลังบ้านไป ข้างนอกคือลานกว้างที่แม่เขาเคยตั้งใจว่าจะสร้างเป็นลานจอดรถ หรือไม่ก็จะต่อเติมขยายบ้านตรงนี้หากมีเงินมากเพียงพอ แต่ในความคิดของฮยอกแจมันก็เป็นเพียงแค่สุสานที่ใช้ฝังศพหมาทุกตัวที่เขารักเท่านั้นแหละ
สองมือกำพลั่วไว้แน่นขณะเดินออกไปตรงลานกว้างท่ามกลางสายฝน ถือว่าโชคดีที่บ้านของเขาอยู่ท้ายตรอกที่เป็นทางตันเลยไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาในเวลานี้ได้ พลั่วสีเงินปักลงพื้นดินที่เปียกไปด้วยน้ำฝนได้อย่างง่ายดาย
ใช้เวลานานพอสมควรกับการขุดหลุม ร่างบางปีนขึ้นมาจากหลุมอย่างทุลักทุเลจนเสื้อผ้าเปียกโคลนดินไปหมด เขารีบกลับเข้าไปในบ้านแล้วลากศพนั่นออกมาอย่างยากลำบากเพราะไอ้สารเลวมันตัวใหญ่กว่าเขามาก แต่มันก็ไม่ได้ลำบากจนถีบลงไปในหลุมไม่ได้
“...”
ร่างบางยืนมองศพที่ถูกมัดด้วยผ้าปูที่นอน เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีใครเข้ามาเห็นก่อนจะประสานมือไว้แนบอกแล้วหลับตา...
“ลูกขอสารภาพบาปต่อพระเจ้า...ว่าลูกได้ทำบาปมากมาย ลูกเป็นคนบาปดังนั้นขอพระแม่มารีย์ผู้ทรงเป็นพรหมจารีเสมอ ขอทูตสวรรค์และนักบุญทั้งหลายช่วยวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อตัวลูกด้วยเทอญ...”
เปลือกตาบางลืมขึ้นก่อนจะคว้าพลั่วสีเงินขึ้นมาตักดินลงใส่ลงไปในหลุมฝังศพ เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ผ้าปูที่นอนจนกระทั่งกองดินถมขึ้นมาจนมิด...ร่างบางลูบน้ำฝนออกจากใบหน้าพลางกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ...ไม่มีเวลาโทษตัวเองแล้วฮยอกแจ ตอนนี้นายควรจะรีบไปช่วยทงเฮนะ...ต้องรีบไป...
ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำความสะอาดเลือดที่เลอะอยู่บนพื้น เขาเอาเสื้อที่ถูกฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ มาเช็ดตามพื้นและสำรวจทุกอย่างก่อนจะเอากับแกล้มที่อยู่บนโต๊ะไปทิ้งให้หมด ใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานนักร่างบางก็ถือร่มออกมาหนึ่งคัน กางออกแล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปขึ้นแท็กซี่หน้าปากซอย
นัยน์ตาเรียวเหม่อลอยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ในหัวเขามีแต่ฉากฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้น น้ำตาอุ่นไหลออกมาอีกครั้งจนคนขับแท็กซี่แอบชำเลืองมองผ่านกระจกมองหลังด้วยความเป็นห่วง
.
.
ปัง!
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง ร่างบางลนลานเข้ามาในห้องพร้อมกับเข้าไปหาใครอีกคนที่นั่งคอพับอยู่บนเก้าอี้ เปลือกตาหนาลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา พอเห็นอย่างนั้นฮยอกแจก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักแล้วรีบแก้เชือกให้ทงเฮ
“ฮยอกแจ...นายมาที่นี่ได้ยังไง...?”
“ไม่ต้องถามอะไรแล้ว...นายเจ็บอยู่นะ” ร่างบางพูดทั้งน้ำตาขณะพยายามช่วยคนตรงหน้า แต่เพียงแค่เชือกคลายออกร่างทั้งร่างก็ร่วงลงไปบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะก่อนหน้านี้ถูกซ้อมอย่างหนัก ฮยอกแจเข้าไปประคองทงเฮขึ้นมา ใบหน้าคมซบลงที่แผงอกบางหายใจรวยรินจนแทบไม่มีแรงจะพูดอะไร
“เขาทำ...อะไรนาย...”
“...” ร่างบางเงียบเมื่อได้ยินอีกคนถามแบบนั้น
“เขาทำร้ายนายอีกใช่ไหม...” ทงเฮเงยขึ้นสบตากับคนรักก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปลูบแก้มเนียนที่ขึ้นริ้วแดงเพราะถูกตบ “เจ็บมากหรือเปล่า...”
“ไม่หรอก...นายน่ะเจ็บกว่าฉันตั้งเยอะ” ฮยอกแจฝืนยิ้ม ไม่กล้าแตะมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายเพราะกลัวทงเฮจะเจ็บเพราะเขา
“แล้วนั่น...อะไรอยู่ที่คอของนายน่ะ?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันพลางจ้องมองอะไรบางอย่างที่อยู่รอบคอร่างบาง ฮยอกแจจับปลอกคอนั่นแล้วเม้มริมฝีปากแน่น
“อย่าบอกนะว่าเขาใส่มันให้นาย?” ฮยอกแจเบือนหน้าไปอีกทาง เขาไม่ได้ตอบคำถามนั่น
“นั่นมันปลอกคอหมานะ? บ้าเอ๊ย นี่เขาทำแบบนี้กับนายได้ยังไง?”
“...”
“มาสิ เดี๋ยวฉันจะแกะออกให้” ร่างหนาพูดพร้อมกับเข้าไปแกะปลอกคอให้ เขาหายใจฟึดฟัดอย่างหัวเสียเมื่อพยายามเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก
“...”
“ให้ตายเถอะ...มันแกะไม่ได้ สงสัยต้องหาอะไรมาตัดออกแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร ไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้นายต้องพักผ่อนนะ”
“...” ทงเฮขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า ดวงตาคู่สวยที่น้ำตาคลอหน่วงกับรอยยิ้มฝืน ๆ นั่นทำให้เขารู้สึกสงสารจับใจ ร่างหนาดึงคนรักเข้ามากอดไว้แน่น ๆ พอเห็นอย่างนั้นฮยอกแจก็น้ำตาไหลออกมาเพียงแค่ได้รับอ้อมกอดอุ่น ๆ จากคนตรงหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามเข้มแข็งมาตลอดแท้ ๆ
‘ทงเฮ...ฉันฆ่าคนตาย...’
ถ้าพูดแบบนี้ออกไป...ทงเฮจะยังกอดเขาไว้แน่น ๆ แบบนี้อยู่หรือเปล่า?
“ฉันขอโทษ...”
“ขอโทษทำไม...มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย” ร่างหนาใช้นิ้วหัวแม่มือไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าหวานเบา ๆ พร้อมกับยิ้มให้
“มันเป็นความผิดของฉัน...ทั้งหมดเลย” ร่างบางสะอื้นพลางกุมมือหนาที่กำลังลูบแก้มเขาอยู่ ถ้าเขาไม่มายุ่งกับทงเฮ...ไอ้เลวนั่นก็คงไม่ทำร้ายทงเฮแบบนี้
“ไม่เอาแล้ว อย่าโทษตัวเองสิ”
“ขอโทษ...”
“ฮยอกแจ...อย่าร้อง” ทงเฮดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดแล้วก็ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายของเขาสะบักสะบอมจนแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ ยิ่งเห็นฮยอกแจมีร่องรอยแบบนั้นเขาก็ยิ่งโทษตัวเองที่ปกป้องคนรักไว้ไม่ได้
“เดี๋ยวฉันทำแผลให้นะ” ฮยอกแจปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วประคองร่างอีกคนไปนอนพัก ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกเมื่อเห็นคนรักนอนหมดสภาพบนเตียง ใบหน้าที่มีคราบเลือดเกาะกรังนั่นทำให้เขารู้สึกอยากเจ็บแทนเหลือเกิน เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วเทน้ำใส่กะละมังใบเล็กมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนขนาดเหมาะมือแล้วตรงกลับเข้าไปในห้องนอน
“ทำอะไรน่ะ?” ฮยอกแจถามเมื่อเห็นทงเฮกำลังค้นอะไรบางอย่างอยู่ในกล่องเหล็กเก่า ๆ
“หาคีมน่ะ มานี่สิ” ใบหน้าที่บวมช้ำยิ้มบาง ๆ พลางกวักมือเรียกคนรัก ฮยอกแจวางกะละมังไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าทงเฮ
แกร่ก...
“ออกแล้ว” รอยยิ้มละมุนที่มาพร้อมกับปลอกคอที่หักครึ่งเพราะถูกคีมหนีบ “นายน่ะ...ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครทั้งนั้น” ใบหน้าหล่อโน้มลงมาใกล้จนหน้าผากชนกัน ร่างบางหลับตาลงพร้อมกับพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา
“นายมีของพวกนี้ได้ยังไง”
“ถึงฉันจะเรียนบริหาร แต่ก็สนใจเรื่องอิเล็กอยู่เหมือนกันแหละน่า” ฮยอกแจหัวเราะกับคำตอบนั่นก่อนจะบิดน้ำพอหมาด ๆ แล้วซับแผลบนใบหน้าคมอย่างเบามือ คิ้วหนาขมวดมุ่น ซี๊ดปากเพราะความเจ็บ
“อ...โอ๊ย!”
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวทำแผลเสร็จแล้วฉันจะทำโจ๊กร้อน ๆ ให้กินนะ”
“ไม่เอาล่ะ ฉันไม่หิว”
“กินหน่อยเถอะ นายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็น เดี๋ยวก็ทรุดลงกว่าเดิมหรอก” ทงเฮมองคนรักที่บ่นทั้งที่น้ำตาคลออยู่ มือหนาเอื้อมไปกุมมือเรียวเอาไว้แล้วหลับตาลง
“ก็ได้...ถ้างั้นขอเป็นโจ๊กเหลว ๆ ใส่หัวหอมกับหมูสับเยอะ ๆ แล้วกัน”
.
.
หลายวันต่อมา...
“เฮ้อ อาทิตย์นี้งานเยอะมาก กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็เล่นเอาปวดหลังเลย” เสียงบ่นอุบอิบดังเข้ามาจากห้องโถงทำให้ร่างบางละจากหนังสือแล้วเดินออกไปต้อนรับผู้มาใหม่ที่มักจะกลับมาช่วงสุดสัปดาห์ ไม่มีรอยยิ้มของความดีใจแม้ว่านาน ๆ ทีจะได้เจอกันครั้งหนึ่ง เพราะเจอกันทีไร ถ้าแม่ไม่ถูกไอ้สารเลวนั่นรีดไถเงิน ก็คงถูกทำร้ายร่างกายต่อหน้าเขา
“ไอ้ขอทานนั่นไปไหนแล้วล่ะ?” ผู้เป็นแม่ถามหาใครอีกคนที่หายหัวไปอย่างน่าประหลาดทั้งที่ปกติต้องเห็นนั่งเชิดคอสูบบุหรี่ส่งกลิ่นเหม็นในห้องนั่งเล่นเหมือนคนไร้หัวคิด ฮยอกแจผวาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคน ๆ นั้น...คนที่เขาเพิ่งฆ่าตายเมื่อไม่กี่วันก่อน
“สงสัยคงไปบ่อนอีกแล้วล่ะสิ...มันคิดว่าฉันหาเงินมาได้ง่าย ๆ หรือไงนะ? วัน ๆ ดีแต่เกาะผู้หญิงกิน ไอ้แมงดาเอ๊ย!” เสียงก่นด่าดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอารมณ์โทสะแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่ ฮยอกแจรู้สึกแย่เหมือนกับทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้ แม่เดินหัวฟัดหัวเสียเดินออกไปหน้าบ้าน ร่างบางเดินตามไปหยุดที่หน้าประตูก่อนจะเห็นแม่กำลังยืนคุยอยู่กับคุณป้าบ้านที่อยู่ใกล้กัน
“เป็นอะไรหน้ามุ่ยเชียวเธอ”
“ก็จะอะไรซะอีกล่ะ กลับมาฉันก็ต้องอารมณ์เสียเพราะผัวตัวดีมันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้”
“ผัวเธอน่ะเหรอ? ฉันไม่เห็นมาหลายวันแล้วนะ” คุณป้าขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงผู้ชายขี้เมาที่ชอบมองเธอด้วยสายตาหื่น ๆ อยู่เป็นประจำ
“คงหนีไปเข้าบ่อนล่ะมั้ง นึกแล้วก็อารมณ์เสีย เอาแต่เล่นการพนันกินเหล้าเมายา งานการไม่คิดจะทำ ไม่ให้เรียกแมงดากับขอทานแล้วจะเรียกว่าอะไรอีก”
“แล้วจะไม่ไปตามหาเขาหน่อยเหรอ ยังไงก็ผัวเมียกัน”
“โอ๊ย ฉันไม่ไปตามมันหรอกย่ะ ให้มันถูกคนในบ่อนเป่าหัวตายไปเลยจะได้หมดทุกข์ฉันสักที เธอรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยมากแค่ไหนที่ต้องหาเงินมาให้มันใช้แต่ละเดือน ไหนจะค่าเทอมค่ากินค่าอยู่ลูกอีก”
“โธ่ ฉันกับคุณนายปาร์คก็คุยกันอยู่ว่าทำไมเธอถึงได้ยอมเขาซะขนาดนั้น ผัวเมียกันแทนที่จะช่วยกันทำมาหากิน”
“มันเคยดีจ๊ะ แต่นั่นก็นานมาแล้ว ช่างมันเถอะ ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี รกโลก”
“แหม...ตอนโมโหก็พูดอย่างนี้ พอเขากลับมาจะไม่วิ่งไปกอดอ้อนหรอกเหรอ?”
“ไม่มีทาง!”
เสียงบทสนทนาของทั้งคู่นั้นฮยอกแจได้ยินชัดเต็มสองหู...ตอนนี้ความหวาดกลัวก็ยังไม่จางหายไปทั้งที่ไอ้สารเลวนั่นตายไปแล้ว ร่างบางนอนหลับไม่เต็มอิ่มสักคืน หวาดระแวงว่าตำรวจจะเข้ามากุมตัวเขาไปโรงพักข้อหาฆ่าคนตาย...แต่อาจจะเป็นโชคของเขาล่ะมั้งที่ไอ้เลวนั่นเป็นเพียงแค่ขยะสังคมที่ไม่น่าจดจำใครเขาถึงไม่ตามหา ร่างบางเอี้ยวตัวหันหลังกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาใส่เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นก่อนจะเดินออกมาข้างนอกแล้วก็พบว่าแม่กลับมานั่งดูทีวีอยู่โซฟาแล้ว
“จะไปไหนน่ะ?”
“ไปอยู่กับเพื่อน”
“ทำไมต้องไปอยู่กับเพื่อน บ้านแกไม่มีหรือไง?”
“ผมมีโปรเจคที่ต้องทำ เลยไม่อยากกลับดึก ๆ มันอันตราย”
“โอ๊ย ใครจะมาทำอะไรแกเหรอ? ถ้าแกไม่อยู่แล้วใครจะหาข้าวหาน้ำให้ไอ้ขอทานนั่นกิน?”
“มันเป็นปัญหาของผมเหรอครับ”
“นี่แกย้อนฉันเหรอ?”
“ผมเปล่า”
“เออ! อยากไปไหนก็ไป ไปกันให้หมดทั้งผัวทั้งลูก! บ้านหลังนี้ก็ขายมันทิ้งไปเลย!” ฮยอกแจมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ไหนแต่ไรแม่เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่เคยรับฟังเหตุผลอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ด่าก็ไล่เขาออกจากบ้าน
“งั้นผมไปนะ”
.
.
ก๊อก ๆ
ร่างหนาขมวดคิ้วพลางปรือตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องในวันหยุด เขาเดินอิดโรยไปเปิดประตูให้แล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือฮยอกแจ ร่างบางยิ้มตอบก่อนจะโผเข้ากอดทงเฮไว้แน่นจนอีกฝ่ายเซถอยหลังไปเล็กน้อย
“โอ๊ย...เบา ๆ หน่อยสิ ฉันยังเจ็บแผลอยู่นะ” ฮยอกแจรีบผละตัวออกทันทีแล้วสำรวจร่างกายอีกฝ่าย
“ขอโทษนะ เจ็บตรงไหนเหรอ?”
“ตรงนี้...” คนทะเล้นพูดพร้อมกับทำปากจู๋ ฮยอกแจลดสีหน้าลงแล้วตบปากคนรักเบา ๆ ทงสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อแกล้งคนตรงหน้าสำเร็จ
“อะไรเล่า ที่มาหาแต่เช้านี่เพราะคิดถึงจนทนไม่ไหวสินะ”
“เปล่าสักหน่อย”
“แล้ว...” ร่างบางก้มลงมองกระเป๋าเดินทางที่ลากมาด้วยแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนยิ้ม ๆ ทงเฮเบิกตาโพลง มองฮยอกแจตาปริบ ๆ แล้วอ้าปากหวอ
“อย่าบอกนะ?”
“อ่า...ฉัน”
“นายหนีออกจากบ้านเหรอ?!” ทงเฮทำตาโตพลางชี้หน้าอีกฝ่าย
“คือฉันคุยกับแม่เรื่องผู้ชายคนนั้นแล้ว แม่ก็เลยให้ฉันออกมาอยู่หอได้น่ะ...ฉันก็เลย...” ร่างบางโกหกคำโต แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนตรงหน้ายิ้มออกมาได้
“นายจะมาอยู่กับฉันเหรอ?”
“...ได้ไหม?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ต้องได้อยู่แล้วสิ” ทงเฮยิ้มกว้าง เขาดีใจที่ได้ยินฮยอกแจพูดแบบนั้นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยชวนให้ฮยอกแจมาอยู่ด้วยกันแต่ก็ถูกปฏิเสธ เหตุผลเพราะที่บ้านไม่อนุญาต
“ว่าแต่...” ร่างหนาลดสีหน้าลงพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย “พ่อเลี้ยงนายจะไม่มาตามกลับอีกเหรอ?”
“...”
“เอาดี ๆ นะฮยอกแจ ฉันไม่อยากให้นายถูกทำร้ายต่อหน้าฉันอีก” ทงเฮพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไอ้เขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก จะให้ถูกซ้อมแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นฮยอกแจ เขายอมไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่มีแล้ว” ฮยอกแจยิ้มบาง ๆ “จะไม่มีใครมาทำร้ายฉันกับนายอีก”
“แน่ใจนะ?” ฮยอกแจยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหงึก พอเห็นร่างบางยืนยันแบบนั้นแล้วเขาก็ยิ้มออกมาได้
“ดีใจจัง ในที่สุดเราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะฮยอกแจ”
…To be continued...
ความคิดเห็น