คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 :: At Last [END]
Chapter 12
At Last
“นายอยากทำอะไร?” อีทงเฮหยุดกึกเมื่อได้ยินผมถามแบบนี้ขณะที่เราเดินออกมาจากห้องของคุณคิบอมแล้ว
“ทำ? ต้องทำอะไรด้วยเหรอครับ?”
“หรือว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ จนถึงตีหนึ่งยี่สิบห้า” เขาหัวเราะแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
“ครับ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปแบบนั้นแหละ”
“...”
“มานั่งนี่สิครับ” เขาเรียกให้ผมไปนั่งข้าง ๆ ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย เอาเถอะ...อะไรที่ผมทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจนัก ผมก็จะพยายามทำให้มันจบ ๆ ไป มือหนาโอบไหล่ผมให้ขยับเข้าไปนั่งชิดแล้วจูบขมับผมเบา ๆ
“ทำไมที่รักไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
“...” ผมหันไปมองเขาเล็กน้อย นั่นสินะ ข้อตกลงของการเป็นคนรักนั่นหมายความว่าผมต้องมีปฏิกิริยาตอบรับหลังจากโดนสัมผัสสิ
ผมฝืนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอื้อมไปวางมือไว้บนหน้าขาอีทงเฮ ผมได้ยินเสียงหัวเราะพอใจของเขา แค่สัมผัสตัวผมยังไม่อยากทำแล้วถ้าเกิดเขาให้ผมทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แล้วผมจะทำยังไง
“เคยมีแฟนหรือเปล่าครับ?” ผมหันไปมองเขาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“งั้นแสดงว่าผมก็เป็นแฟนคนแรกของที่รักน่ะสิ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือลงมากุมมือของผมเอาไว้
“หมอคยูฮยอนเป็นแฟนคนแรกของนายเหรอ?”
“...” คำถามนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอีทงเฮจางหายไป สายตาของเขาดูเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ การฆ่าคนตายมันไม่ใช่ทางออกหรอกนะ” ผมสอดประสานมือเขาไว้แน่นขึ้นเพื่อให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง อีทงเฮต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเขาคงฆ่าคนไปเรื่อย ๆ โดยไม่สิ้นสุดแบบนี้
“ถ้าการฆ่าคนไม่ใช่ทางออก แล้วทำไมคุณถึงพยายามฆ่าตัวตายล่ะครับ?” เขาหันมาถามผมด้วยแววตาเฉยชา คำถามนี้ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะราวกับเหวี่ยงบูมเมอแรงออกไปแล้วกลับมาโดนหน้าตัวเอง
“ผมกับคุณก็เหมือนกัน”
“...”
“เราสองคน...ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีกแล้ว”
“...”
นั่นสินะ...
ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าชีวิตมันไร้ค่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จูงใจให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก อีทงเฮก็คงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่วิธีการบรรเทาความเศร้าของเขามันไม่เหมือนผม
ผมเลือกที่จะตายไปคนเดียว แต่เขากลับเลือกที่จะดูคนอื่นตายไปทีละคน...
“ไปแต่งตัวสิครับ ผมมีที่ ๆ อยากพาคุณไป”
.
.
ปัง...
ผมปิดประตูรถแล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งดอกทานตะวันที่กว้างขวางไปจนสุดสายตา แสงแดดช่วงสาย ๆ ทำให้ดอกไม้สีเหลืองเบ่งบานอย่างสวยงาม ลมอ่อน ๆ ที่พัดแผ่วทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายในรอบหลายวัน ผมหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูรถออกมา อีทงเฮไม่ได้รู้สึกสดชื่นอย่างที่ควรแต่เขากลับมีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนคนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
“นายรู้จักสถานที่แบบนี้ได้ยังไง” อีทงเฮหันมามองผมที่กำลังเดินออกไปข้างหน้า เขาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วยิ้มบาง ๆ
“ความฝัน”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ” ผมแค่นหัวเราะแล้วหันไปมองทุ่งดอกทานตะวันอีกครั้ง
“แล้วชอบหรือเปล่า?”
“...”
“หืม?” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“อืม มันก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านหลังนั้น”
“ฮะ ๆ เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้นะ” เขาเดินไปเปิดประตูหลังแล้วค้นกระเป๋าก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล้องโพลารอยด์
แช่ะ!
“นี่?” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ถ่ายรูปโดยไม่ให้ผมตั้งตัว อีทงเฮมองยิ้ม ๆ ก่อนจะดึงรูปออกมาสะบัดเบา ๆ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วยื่นรูปเมื่อครู่ให้ดู
“นายควรจะให้เวลาฉันตั้งหลักยิ้มก่อนนะ” ผมมองค้อนแต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน
“ผมไม่อยากให้คุณฝืนยิ้ม รูปนี้แหละที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณที่สุด” เขายังคงมองรูปอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่หันกลับไปมองทุ่งดอกทานตะวันเบื้องหน้าเท่านั้น
“ก็ดีเหมือนกัน”
‘เพราะฉันก็ไม่ได้อยากยิ้มให้คนโรคจิตอย่างนายนักหรอก’
โชคดีที่ผมห้ามปากตัวเองไว้ได้ทัน ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกยินดีกับการแสร้งทำเป็นรักแต่ผมก็ไม่ควรทำผิดสัญญากับเขาก่อน อีทงเฮเก็บรูปไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาหลับตาลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ
“ถ้านายทำตัวปกติใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป นายอาจจะไม่ทุกข์แบบนี้ก็ได้นะ”
“...”
“จริง ๆ แล้วนายคงไม่ได้อยากฆ่าใครหรอกใช่ไหม?”
“...” อีทงเฮเงียบ เขาไม่แม้แต่จะหันมามองผมเลยสักนิด
“ถ้านายรักหมอคยูฮยอนจริง ทำไมไม่ปล่อยให้เขาไปมีชีวิตที่ดีล่ะ”
“...”
“ความรักมันคือการที่เราจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขแม้ว่าวันนั้นเขาจะไม่มีเราแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“คุณไม่เคยมีความรัก คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะมันเป็นยังไง”
“ใช่ ฉันไม่มีทางรู้ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดจากความสูญเสียมันก็คงเจ็บไม่ต่างกันนักหรอก”
“...”
“ถ้านายทำใจได้จริง ๆ นายคงปล่อยให้หมอคยูฮยอนตายไปแล้ว แต่นายยังให้หมอจงอุนมารักษาเขา”
“...”
“เพราะนายทำใจไม่ได้ที่จะเห็นคนรักตายใช่ไหมล่ะ...”
“ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างที่พูดก็คงดี” น้ำเสียงของเขาดูสิ้นหวังหมดคราบคนที่ผมเรียกว่าไอ้โรคจิต บางทีคนที่น่าสงสารที่สุดอาจจะไม่ใช่ผม หมอคยูฮยอน คุณคิบอม หรือหมอจงอุน แต่กลับเป็นอีทงเฮต่างหาก
ต้องทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความเศร้าในใจ สร้างเกาะกำบังให้ตัวเองแบบนี้...
ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังอีทงเฮพร้อมกับสวมกอดตรงช่วงเอว ซบหน้าลงกับไหล่กว้างแล้วหลับตาลง ผมหวังว่าสิ่งที่ผมทำอยู่จะช่วยบรรเทาความเศร้าออกไปจากเขาได้บ้าง อีทงเฮยืนนิ่งเฉย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำสีหน้ายังไงอยู่ จะร้องไห้หรือเปล่า หรือจะยิ้มออกมาเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ
“ผมคงน่าสมเพชมากสินะ”
“...”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ผมแค่ขอให้คุณทำเป็นรัก ไม่ได้ขอให้เวทนาผมแบบนี้”
“นายแยกแยะออกด้วยหรือไงว่าอะไรที่เรียกว่ารักกับเวทนา” ผมถามทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับบ่าของเขา
“รู้สิ...เพราะผมเจอแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว”
“...”
“แต่ช่างเถอะครับ...” เขาแกะมือผมออกแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ถ้าเพิ่มคุณไปอีกคน...ก็คงไม่เป็นไรหรอก”
“...”
อีทงเฮเดินกลับไปสตาร์ทรถเป็นสัญญาณเตือนให้ผมรีบร่ำลาความสวยงามในที่แห่งนี้ทั้งที่เราเพิ่งมาถึงกันได้ไม่นาน เขาไม่ได้มองผมแต่กลับเท้าแขนไว้ตรงประตูรถแล้วทอดสายตาออกไปข้างนอก ผมถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับอาการของเขาดี
.
.
15.40 น.
“เมื่อกี้คุณซีวอนเอาของมาให้ผมเลยเอาไปวางไว้ในห้องของคุณแล้ว”
“ขอบคุณครับ” อีทงเฮพูดกับหมอจงอุนหลังจากที่เรากลับมาถึงบ้าน ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยความเศร้านั่นไปจนเขาหายเข้าไปในห้อง
ผมนั่งลงบนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ตลอดทางที่กลับมาเขาไม่พูดกับผมเลยสักคำนั่นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคำขอของเขามันแตกต่างจากเดิมตรงไหน ผมคิดว่าเขาจะขอให้ผมแสดงความรักเช่นกอด จูบ หรือมีเซ็กส์ด้วยแต่นี่เขากลับไม่ร้องขออะไรนอกจากให้ผมอยู่กับเขาเฉย ๆ เท่านั้น
“ชเวซีวอนไม่ได้เข้าไปยุ่งกับคุณคิบอมใช่ไหมครับหมอ?” ผมถามคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ผมนั่งอยู่
“...”
“ใช่ไหมครับ?”
“...” หมอจงอุนไม่ตอบ ผมรู้สึกใจไม่ดีเลยรีบเข้าไปดูในห้องนั้นแล้วก็พบสภาพคุณคิบอมที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ผมตกใจมากเลยรีบเข้าไปประคองให้เขาลุกขึ้นนั่ง
“คุณคิบอม!”
“แค่ก ๆ ”
“คุณ...” ผมอยากจะถามเขาว่าเป็นอะไรมากไหมแต่นั่นคงเป็นคำถามที่โง่จนเกินไป สภาพเดิมของเขาก็นับว่าแย่แล้วตอนนี้ยิ่งแย่กว่าเดิมเพราะถูกทำร้ายซ้ำ
ผมว่าคนที่ควรจะได้รับการบำบัดรักษามากที่สุดควรเป็นชเวซีวอน!!
“ถ้ามีโอกาส...ก็รีบหาทางหนีนะครับ...”
“ทำไมคุณพูดแบบนี้?”
“คนโรคจิตอย่างพวกมัน...ไว้ใจไม่ได้หรอก...”
“...”
“วันนี้มันอาจจะแค่ทรมานให้เจ็บปวดทางร่างกาย แต่วันหน้า...”
“คุณไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวผมจะเรียกหมอจง...”
“ไม่ต้อง...” คุณคิบอมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ “ปล่อยผมไว้อย่างนี้เถอะ”
“ไม่ครับ”
“ไอ้เลวนั่นมันบอกผมหมดแล้วว่าคุณโดนอีทงเฮทำอะไรบ้าง...” ผมชะงักเมื่อได้ยินคุณคิบอมพูด
“...”
“ถ้าคุณมาหาผมแบบนี้ผมกลัวว่าคุณจะถูกมันทำอะไรอีก...”
“ชเวซีวอนบอกอะไรคุณ?”
“ออกไป...”
“เขา...”
“ผมบอกให้ออกไป”
“คุณคิบอม...”
“ออกไปสักที!!!”
ผมสะดุ้งเมื่อถูกตะคอกใส่หน้า หัวใจของผมเต้นแผ่วลงราวกับมีใครเอามีดมากรีดมัน คุณคิบอมกัดฟันแน่น แล้วเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
“ผมก็แค่...เป็นห่วงคุณ”
“...”
“ผมขอโทษครับ...” ผมโค้งหัวให้แม้ว่าคุณคิบอมจะมองไม่เห็น น้ำตาอุ่น ๆ หยดลงบนพื้นไม้จนผมต้องเช็ดมันออกจากแก้มลวก ๆ แล้วเดินออกมาจากห้องนั้น
ไม่เป็นไร...ถ้าอีทงเฮรักษาสัญญาจริง ๆ ทุกอย่างก็จะจบภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้...
ผมเห็นหมอจงอุนยังคงยืนอยู่ที่เดิม บางทีผมก็สงสัยว่าวัน ๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้างนอกจากดูแลหมอคยูฮยอน เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับได้ยินเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทั้งหมด
“อีทงเฮยังไม่ออกมาอีกเหรอครับ?”
“ครับ” เขาตอบ ผมพยักหน้าช้า ๆ แล้วมองไปยังประตูห้องที่มีหมอคยูฮยอนอยู่ข้างใน ตอนนี้ผมควรจะเดินไปหาอีทงเฮหรือว่าแค่อยู่เฉย ๆ รอให้เขามาหากันนะ
‘เมื่อกี้คุณซีวอนเอาของมาให้ผมเลยเอาไปวางไว้ในห้องของคุณแล้ว’
ประโยคนี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นจนผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอน ผมเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ แล้วก็พบว่าอีทงเฮนอนอยู่บนเตียง พอเห็นอย่างนั้นผมเลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปให้เบาเสียงที่สุดเพราะไม่อยากให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา
“...” ผมมองซ้ายขวาหา ‘ของ’ ที่ชเวซีวอนเอามาให้อีทงเฮ ผมเริ่มกังวลว่ามันจะเป็นสิ่งไม่ดี แน่ล่ะ...คนโรคจิตคงไม่เอากิฟวอยเชอร์มาฝากกันแน่ ๆ
“หาอะไรอยู่?”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง ผมเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองอีทงเฮที่นอนนิ่ง ๆ มองผมตาละห้อยอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าคนเมาง่วงสุด ๆ
“หา...กล่องพยาบาล”
“...”
“ฉันเจ็บแผลน่ะ” ผมชูข้อมือให้ดูแล้วอีทงเฮก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องพยาบาลมาวางไว้บนเตียง เขากวักมือเรียกให้ผมไปนั่งและผมก็ไม่ได้ขัดอะไร
“ถ้าคุณมีแฟนแล้วเขาทำร้ายคุณแบบนี้คุณยังจะรักเขาอยู่ไหม?” เขาถามขณะตั้งใจแกะผ้าก็อชให้ผมอย่างเบามือ
“คิดยังไงถึงถามคนที่ไม่เคยมีความรักอย่างฉัน”
“...นั่นสินะ” เขายิ้มบาง ๆ แล้วแตะเบตาดีนลงบนแผลผมเบา ๆ พร้อมกับเป่าให้
“แต่ฉันคิดว่าถ้าเกิดรักไปแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นยังไงฉันก็รักอยู่ดี”
“...”
“แต่คนรักกัน อยู่กันด้วยความเข้าใจมันก็คงดีกว่าอยู่กันแบบลงไม้ลงมือ ฉันพูดถูกไหม?” ผมพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเขา อีทงเฮไม่ตอบคำถาม เขาพยักหน้าน้อย ๆ นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้
“แล้วคุณชอบคนแบบไหน”
“...” คำถามนี้เป็นคำถามเดียวกับที่ซองมินเคยถามผมเมื่อนานมาแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยคิดหาคำตอบได้สักที
“อย่างคิมคิบอมเหรอ?”
“ทำไมนายถึงเอาแต่พูดว่าฉันชอบคุณคิบอมนะ”
“ผมรู้สึกอย่างนั้น”
“ความรู้สึกของนายมันไม่ต่างอะไรจากการคิดไปเองเลยสักนิด”
“ไม่รู้สิ...ผมรู้สึกว่าบางครั้งก็เซนส์ดีเกินไป” เขาพันผ้าก็อชให้ผมทบสุดท้ายแล้วเดินเอากล่องพยาบาลไปเก็บ
“หมายความว่ายังไง?” ผมมองหน้าคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง อีทงเฮชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักผม
“ผมรู้สึกได้ ทุกครั้งที่ถูกนอกใจ”
“...”
“ครั้งแรกผมก็คิดว่าคงคิดมากไปเอง มันคงไม่มีอะไร แต่สุดท้ายเป็นไง ต้องจับได้คาหนังคาเขาถึงจะยอมรับ” เขาหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่หลับตาอยู่
“งั้นแสดงว่าครั้งนี้เซนส์นายพลาดแล้วล่ะ”
“...”
อีทงเฮเงยหน้าขึ้นมองผม เขายิ้มบาง ๆ แล้วยันตัวขึ้นมาเล็กน้อยจนใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิด ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ผมถึงได้หลับตาลง...เพื่อให้เขาจูบ
.
.
ความรักเหมือนกับยาพิษ
กึก กึก กึก...
“ตื่นได้แล้ว”
“...”
“ที่รักครับ...ตื่นเถอะ”
“...”
ผมลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นใบหน้าของใครอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม แสงสว่างจากโคมไฟอีกทั้งความมืดที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นเป็นสัญญาณบอกช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี อีทงเฮบีบจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้
นั่นเขา...ใส่ชุดเจ้าบ่าวอยู่?
“เร็วเข้าครับ ใกล้จะถึงเวลาแล้วนะ” อีทงเฮพูดพร้อมกับวางชุดทักซิโด้สีขาวไว้บนเตียง ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“นายไปเอาชุดนี้มาจากไหน?”
“ฝากซีวอนซื้อน่ะ” สีหน้าของอีทงเฮดูมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดทักซิโด้สีขาวที่มีกั๊กตัวในสีแดงและของผมเองก็เช่นกันกำลังยืนกระชับเสื้ออยู่หน้ากระจกพร้อมกับรอยยิ้ม ผมหันไปมองนาฬิกาแล้วก็พบว่าตอนนี้...
23.40 น.
ที่เขาทำแบบนี้เขาคงไม่ได้หมายความว่า...
ผมลุกขึ้นยืนในสภาพงง ๆ แล้วอีทงเฮก็เดินเอาผ้าขนหนูมาให้ ผมควรจะดีใจที่เวลามันใกล้เข้าถึงความจริงเต็มทีแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกกลัวแปลก ๆ
กลัว...ว่าอีทงเฮจะมีแผนอะไรบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึง...
ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนัก ผมไม่จำเป็นต้องทำตัวสำอางดูดีอะไรมากมายเพราะคงไม่มีใครมาเห็นผมในสภาพแบบนี้ ผมมองตัวเองในกระจกแล้วก็มองภาพตรงหน้า ภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น
ผมในชุดแต่งงานงั้นเหรอ?
“เสร็จหรือยังครับ?” คำถามมาพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบกอดผมจากข้างหลัง อีทงเฮเอาคางเกยไหล่ผมพร้อมกับมองกระจก สีหน้าของเขาดูมีความสุขเหลือเกิน
“เราจะแต่งงานกันเหรอ?”
“ครับ แต่ขอโทษนะที่วันนี้มีแขกมาร่วมงานแค่คนเดียว” เขายิ้มบาง ๆ แล้วหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“...”
แขกที่มาร่วมงานเพียงคนเดียวที่เขาพูดถึงนั่นทำให้ผมกลัวจริง ๆ ผมคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าคนนั้นจะเป็นใคร คุณคิบอมเหรอ ชเวซีวอน หมอจงอุน ศพของซองมิน หรือว่าแม่ของผม?
“ไปกันเถอะครับ เราสายกันมากแล้ว”
.
.
ผมถูกจูงมือออกจากข้างนอก ผมคิดว่าเขาจะพาผมไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นโบสถ์ที่อยู่ในระแวกนี้ หรืออาจจะเป็นสุสาน หุบเขา แต่ผมเดาผิดทั้งหมด อีทงเฮพาผมเข้าไปในห้องของหมอคยูฮยอน ห้องที่มีเพียงแค่เสียงเครื่องช่วยหายใจกับแสงไฟสลัว ๆ ตรงหัวเตียงเท่านั้น
“...”
ผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาเพียงแค่เห็นสีหน้าของอีทงเฮที่เปลี่ยนไป ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ อีก มีเพียงแค่สายตาแห่งความเคียดแค้นขณะมองหน้าหมอคยูฮยอนที่นอนอยู่ตรงนั้น
01.10 น.
“เรา...จะทำพิธีแต่งงานกันในนี้เหรอ?” ผมพูดทำลายความเงียบขึ้นมาแต่เขากลับไม่ตอบคำถาม
“ทงเฮ?” ผมกระตุกมือที่ประสานกันอยู่เพื่อเรียกสติเขาให้กลับมา
“คุณคิดยังไงกับคนที่ผิดสัญญา?” เขาถามขึ้นมาทั้งที่ไม่หันมามองหน้าผม สายตาของเขายังคงจดจ้องไปที่ใครอีกคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“...”
“คิดยังไง...กับคนที่เคยบอกว่าจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต จะรักคุณเพียงคนเดียว จะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหน”
“...”
“ก็แค่ลมปาก...” เขาพูดพลางแค่นหัวเราะ
“เวลาผ่านไปอะไรก็เปลี่ยน นายควรรับความจริงให้ได้นะ”
“รับคำโกหกหลอกลวงน่ะเหรอ?” เขาเบนสายตาหันมาทางผมเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือผมออกแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เตียง
“นายไม่คิดบ้างเหรอว่าความผิดมันอาจจะอยู่ที่นาย” ประโยคนี้ทำเขาหันควับกลับมามองผมในทันที แววตาแบบนั้น...
“ผมผิดตรงไหน? อ้อ...คงผิดที่ผมเป็นคนซื่อสัตย์ให้เขาหลอกสินะ”
“คนที่เข้ากันไม่ได้ จะแยกกันไปคนละทางมันก็ถูกแล้วนี่”
“คนไม่เคยมีความรักอย่างคุณอย่าทำมาเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย”
“แล้วคนที่มีความรักอยู่เต็มหัวใจแบบนายน่ะรู้มากนักหรือไง? นายมันก็ดีแต่โทษคนอื่น โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง”
“...”
“ให้เรื่องมันจบสักทีเถอะ อย่าทำร้ายใครอีกเลย”
“...”
“ปล่อยเขาไปเถอะนะ”
ผมพูดด้วยความอ่อนใจ ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขาหยุดเพราะในตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงอีทงเฮคนเดิม คนที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างถ้าเขาไม่พอใจ
เขาหันกลับมามองพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมรู้สึกยังไงในตอนนี้ ขนแขนผมลุกซู่ไปหมด หัวใจผมเต็มเร็วแรงเพราะความหวาดกลัวเหมือนกับครั้งแรกที่ผมสบตากับเขา
มือหนาหยิบมีดพกเล่มเล็กขึ้นมานั่นทำให้ผมตกใจมากกับสิ่งที่เห็น เขากำมันไว้แน่นแล้วผินหน้าหันไปทางหมอคยูฮยอนที่นอนไม่ได้สติอยู่
ไม่นะ...อย่าทำอย่างนั้น!!!
“อย่า!!!”
ผมรีบเข้าไปรั้งมือที่กำลังจะแทงหมอคยูฮยอนเอาไว้ได้ทัน เรายื้อกันไปยื้อกันมาอยู่อย่างนั้นจนร่างผมโดนเหวี่ยงไปติดผนังด้านข้าง อีทงเฮมองผมด้วยสายตาอาฆาตราวกับเกลียดผมจนอยากฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น เสียงกัดฟันกรอดที่ลอดไรฟันออกมานั่นทำให้รู้ว่าเขากำลังโกรธมากแค่ไหนที่ผมทำแบบนี้
“อยากตายแทนเขามากนักใช่ไหมห๊า?!”
ปลายมีดเปลี่ยนเป้าหมายจากหมอคยูฮยอนมาที่ผม ตอนนี้อีทงเฮคงไม่คิดที่จะเก็บผมไว้ดูเล่นอีกต่อไป บางทีเวลาตีหนึ่งยี่สิบห้าอาจจะเป็นเวลาตายของผมที่เขากำหนดเอาไว้ก็ได้ อีทงเฮกดแรงลงมาเพื่อที่จะให้มีดปักลงบนอกผมในขณะที่ผมเองก็ยื้อเอาไว้สุดความสามารถ
“นายเคยคิดจะฆ่าหมอคยูฮยอนให้ตาย...แต่นายช่วยเขาเอาไว้เพื่อที่จะมาฆ่าเขาเอาตอนนี้น่ะเหรอ?!” ผมตะคอกใส่คนตรงหน้า หยาดเหงื่อค่อย ๆ ไหลจากขมับของผมลงมา แรงของอีทงเฮเยอะมากจนผมกลัวว่าจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน
“ใช่! ผมจะฆ่าเขา! แล้วก็จะฆ่าทุกคนที่ทำให้ผมเจ็บปวด!”
“หยุดสักทีเถอะ! ก่อนที่นาย...จะไม่เหลือใคร...บนโลกใบนี้!”
“หยุดเหรอ?! หึ!”
“อ่ะ...!!” ผมนิ่วหน้าเจ็บเมื่อปลายมีดฝังลงบนอกผมอย่างช้า ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทุกอณูจนผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยื้อสู้อีกต่อไป
“อึ่ก...” ผมค่อย ๆ ปล่อยข้อมือเขาแล้วให้ปลายมีดคมเล่มนั้นฝังลึกลงมา สีหน้าของอีทงเฮดูสะใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เสียงหัวเราะในลำคอนั่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงทุกคนที่ผมรัก...
นี่ผม...กำลังจะตายใช่ไหม?
วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองลอยอยู่บนอากาศ ผมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด หรือว่าผมกลายเป็นวิญญาณไปแล้วนะ? ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพแรกที่เห็นนั้นมันช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน...
สีหน้าของอีทงเฮที่เคยยิ้มเยาะด้วยความสะใจนั้นไม่มีอีกแล้ว...ตอนนี้มีเพียงแค่สีหน้าของความเจ็บปวดขณะมองผมเท่านั้น...ถ้าผมตายแล้วจริง ๆ ทำไมอีทงเฮถึงได้ทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ?
“...”
“ฮยอกแจ...”
แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจนั่นไม่ใช่ความตาย...แต่มันคือมีดที่ปักอยู่ตรงช่วงอกของอีทงเฮต่างหาก และที่สำคัญ...คนที่จับปลายมีดนั้นคือ...
ผมเอง...
“คุณ...”
“!!!”
“เคยรักผม...บ้างไหม?”
คำถามที่มาพร้อมกับสีหน้าของความเจ็บปวด...เป็นไปได้ยังไง? เมื่อกี้คนที่ถูกแทงมันเป็นผมไม่ใช่เหรอ? ผมชักมือกลับแล้วก้มลงมองอกตัวเองแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ไม่มีคราบเลือด ไม่มีรอยแผลอะไรทั้งนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองอีทงเฮที่ยืนกุมมีดที่ปักอยู่บนอกของเขา...เลือดสีแดงสดตัดกับชุดทักซิโด้สีขาวค่อย ๆ ซึมออกมาอย่างช้า ๆ
ผมสั่นไปหมด...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น...
“ฉัน...”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะเคยคิดหาทางเอาคืนอยู่บ่อยครั้ง ผมยังคงช็อคอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบเป็นบ้านั่นก็คือร่างที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้กลับไม่ใช่หมอคยูฮยอน...
แต่มันคือ...อีทงเฮ...
“...!!!”
ผมยกมือขึ้นป้องปากแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยังคงยืนอยู่ในสภาพทุลักทุเล สายตาของเขาที่มองผมมันยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด...
“อ๊ะ!” อีทงเฮเซล้มเข้ามาจนผมแทบรับเอาไว้ไม่ทัน ผมประคองเขาไว้แต่ตัวเขาหนักจนเราทั้งคู่แทบล้มลงไป
01.25 น.
“...”
ทุกอย่างภายในห้องค่อย ๆ เปลี่ยนไปราวกับย้อนเวลา จากผนังสีขาวที่ว่างเปล่ากลับมีรูปมากมายผุดขึ้นมา...ทั้งรูปของผมกับรูปของอีทงเฮ...รูปของเราสองคนแปะตามผนังอยู่เต็มไปหมด
“ฉันขอโทษ...”
เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ใกล้ ๆ หู ศัพท์นามที่เปลี่ยนไปและคำขอโทษที่เต็มไปด้วยความสงสัย ผมยังคงประมวลผลเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ถูก มันเกิดอะไรขึ้น...ผมกำลังฝันอยู่ใช่ไหม?
ใครก็ได้...ปลุกผมขึ้นมาที...
“ยกโทษ...ให้ฉันด้วย...”
“...”
“ฉันรักนายนะ...ฮยอกแจ...”
ภาพต่าง ๆ ค่อย ๆ ฉายเข้ามาในหัวผมอย่างกับฟิล์มหนังที่กำลังเล่นย้อนอดีต ภาพของผมกับอีทงเฮตั้งแต่แรกเจอแต่มันกลับไม่ใช่ที่โรงพยาบาล ภาพที่ผมเคยใช้เวลาอยู่กับเขา ภาพของอีทงเฮที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันมาจากไหน...
“ม่ายยย!!!!!!!!!!”
.
.
หมอหนุ่มในชุดกาวน์ยืนมองใครอีกคนที่ยืนอยู่หน้าคนไข้ก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกับภาพที่เห็นจนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบตำรวจเดินมาหยุดข้าง ๆ เขา
“ทำไมเขาถึงไม่เชื่อฟังที่ผมพูดบ้างนะ ผมบอกว่ารอให้อาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยมา”
“แล้วคุณล่ะครับหมวดซีวอน มาที่นี่ทำไม?” คุณหมอหน้าตายหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังปั้นหน้าไม่รู้เรื่อง มือแกร่งชี้แฟ้มเอกสารแล้วชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องคนไข้
“ผมมาทำงานสิครับ คิดว่าผมมาตามจีบหมอหรือไง?” น้ำเสียงทะเล้นไม่ได้ทำให้คุณหมอหนุ่มเขินเลยสักนิด
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่เห็นหมวดขยันมาที่โรงพยาบาลบ้าทุกวัน ผมเลยสงสัยว่าแอบชอบคนไข้ที่นี่หรือเปล่า”
“อ้าว...ขยันก็ผิด หมอที่นี่ใจร้ายทุกคนเลยหรือเปล่านะ~” ร่างสูงพูดลอย ๆ หากแต่คนข้าง ๆ กลับไม่สนใจ
“แค่กับบางคนเท่านั้นแหละครับ”
“ว่าแต่อีทงเฮมาที่นี่ทุกวันเลยเหรอ?”
“ครับ เขามักจะมายืนมองคนรักของเขาอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ” ร่างโปร่งมองไปยังชายหนุ่มร่างหนาในสภาพบาดเจ็บที่ช่วงเอว ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะเห็นผู้ชายคนนั้นยิ้ม...
“แล้วอาการของอีฮยอกแจเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้อยู่ในสภาวะสร้างภาพหลอนเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่เคยทำไป สร้างเรื่องขึ้นมาเองทั้งที่เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น มองทุกอย่างผิดไปจากความเป็นจริงอย่างเช่นงูเหลือมแผ่แม่เบี้ยได้ มีคนกำลังตามฆ่า มีคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา”
“ผมได้คุยกับอีทงเฮมาบ้าง...เขาบอกว่าอีฮยอกแจเป็นคนไม่ปกติมาตั้งนานแล้ว...เอ่อ...ผมจะใช้คำว่าโรคจิตอ่อน ๆ ได้ไหมนะ?” ร่างสูงทำหน้าคิด
“ถ้าภาษาคนทั่วไปพูดก็คงอย่างนั้นครับ”
“ว่าแต่หมอทานมื้อเที่ยงหรือยัง?”
“...” ร่างโปร่งเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มขำอยู่ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินหนีออกมาทั้งอย่างนั้นทิ้งไว้แค่เพียงนายตำรวจหนุ่มที่ยิ้มเก้อ
“เฮ้ หมอคยูฮยอนครับ รอผมก่อน!”
.
.
นัยน์ตาคมทอดมองไปยังห้องคนไข้ผ่านกระจกบานเล็กตรงประตู ภาพตรงหน้ามันบีบหัวใจเขาเสียเหลือเกิน...บีบ...จนน้ำตาของลูกผู้ชายมันไหลออกมาทุกครั้งที่เห็น
‘สวัสดี ฉันชื่อทงเฮนะ’
‘...’
‘นายชื่ออะไรอ่ะ เราอยู่สายรหัสเดียวกันด้วยนะ บังเอิญจริง ๆ ’
‘...’
‘ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ อารมณ์ไม่ดีเหรอ?’
เปลือกตาหนาปิดลงพร้อมกับน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาอาบแก้ม ภาพของอีฮยอกแจคนรักของเขากำลังคุ้มคลั่งเสียสติภายในห้องคนไข้โดยที่มีบุรุษพยาบาลคอยห้ามเอาไว้นั้นทำให้เขาโทษตัวเอง
‘ทงเฮ...นายรักฉันหรือเปล่า’
‘รักสิ นายถามอีกกี่ครั้งฉันก็จะตอบแบบนี้’
“ม่ายยยย!!!!”
มือหนาทาบลงบนประตูที่เย็นยะเยือก...เขาอยากเข้าไปกอดปลอบร่างบางเอาไว้แน่น ๆ แล้วพูดว่าขอโทษซ้ำ ๆ ถึงแม้ว่ารอยแผลที่ช่วงท้องของเขาจะเป็นฝีมือของฮยอกแจก็ตาม
มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด...
ความผิดของอีทงเฮ...ที่นอกใจอีฮยอกแจ...
ร่างที่ซูบผอมค่อย ๆ เอนลงนอนกับเตียงคนไข้เมื่อยาสลบออกฤทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลลงจากหางตาจนเปื้อนหมอนสีขาว ข้อมือเล็กทั้งสองข้างที่เขาเคยพรมจูบอย่างทะนุถนอมตอนนี้ถูกมัดไว้กับเชือกหนังที่ติดอยู่กับเหล็ก
“ฮยอกแจ...”
ความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลของเขามันคงสู้ความเจ็บปวดในใจของฮยอกแจไม่ได้เลยสักนิด มือหนากำหมัดแน่นพลางหลับตาลงให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม
เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น...มันเป็นความผิดของเขาเองที่คิดอะไรง่าย ๆ
“คุณอีทงเฮคะ คุณหมอคยูฮยอนเชิญทางนี้หน่อยค่ะ”
.
.
ในสนามกว้างที่มีคนไข้อยู่เต็มไปหมด บ้างก็นั่งอยู่บนม้านั่งทำท่าขับแท็กซี่ บ้างก็วิ่งไล่จับผีเสื้อหากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจใครไปกว่าคน ๆ หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง
เขายืนรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสวมหน้ากาก smile ไว้แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายร่างผอมบางที่อยู่ในชุดคนไข้ ร่างหนาหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ พลางทอดสายตาออกไปข้างหน้า ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งครู่จนกระทั่งร่างบางรู้ตัวว่ามีคนนั่งด้วย อีทงเฮหันไปมองคนที่กำลังฉายแววตาสงสัย แววตาคู่นั้นที่เขาคิดว่าสวยที่สุดในโลกแต่บัดนี้กลับดูล่องลอย
“คุณเป็นใคร...”
“...”
“อย่าเข้าใกล้ผมนะ...”
“...”
“อีทงเฮจะฆ่าทุกคนที่อยู่ใกล้ผม...เพราะงั้น...หนีไป...”
ประโยคนี้ทำให้คนที่อยู่ภายใต้หน้ากากน้ำตาไหลอีกครั้ง ดวงหน้าหวานที่ซีดเผือดเบือนหลบไปอีกทางก่อนจะขยับหนีไปจนชิดม้านั่งอีกฝั่ง
“ผมไม่อยากให้ใครตายอีกแล้ว...ไม่อยาก...ไม่อยาก...”
“...”
“ไม่อยาก...”
ร่างบางพูดซ้ำอยู่อย่างนั้นหากแต่ใครอีกคนกลับขยับเข้าไปใกล้ มือเล็กยกขึ้นบังราวกับกลัวว่าจะถูกทำร้าย ทงเฮจับข้อมืออีกคนไว้เบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเลื่อนไปกุมเอาไว้ ฮยอกแจมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดกลัวแม้ว่าร่างหนาจะเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มเขาอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะ...”
“...ฮึก”
“ถ้าฉันจะต้องตายเพราะนาย...มันก็ไม่เป็นไร”
“ฮือ...”
ไม่ใช่แค่ฮยอกแจที่สะอื้นจนตัวโยน คนที่อยู่ภายใต้หน้ากากยิ้มก็เช่นกัน ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองร่างที่กำลังสั่นเทาเพราะความกลัวให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแม้ว่าเขาจะยังบาดเจ็บอยู่...
“ผมว่าคุณเลิกตามคดีนี้ได้แล้วมั้งครับหมวดซีวอน” หมอหนุ่มพูดขณะที่เขายืนมองทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ
“อืม...” ร่างสูงใช้ความคิด จากรูปการแล้วดูเหมือนเขาจะเอาผิดอีฮยอกแจในตอนนี้ไม่ได้ คงต้องรอให้อาการดีขึ้นจนพูดจารู้เรื่องเสียก่อน อีกอย่างอีทงเฮไม่ได้ต้องการฟ้องร้องให้เป็นเรื่องราว
“ผมไม่คิดเลย ว่าความรักมันจะทำให้คนเราคิดฆ่าคนได้” ร่างสูงพูด
“คนเราไม่เหมือนกันนี่ครับ เราไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับเขา เราคงไม่รู้ว่าอีฮยอกแจรู้สึกยังไงและเจออะไรมาบ้าง” หมอคยูฮยอนถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองคนสองคนที่กำลังกอดกันแน่น
อีทงเฮสวมหน้ากากยอมเป็นคนอื่นต่อหน้าคนรักเพราะชื่อ ‘อีทงเฮ’ ในมโนความคิดของอีกคนนั้นกลายเป็นไอ้โรคจิตใจโหดที่ฮยอกแจกลัวเข้าไส้ไปแล้ว เขาได้แต่ภาวนาว่าคนรักของเขาจะหายจากอาการนี้ในเร็ววัน พอถึงวันนั้นเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง...ทุกอย่าง...เพื่ออีฮยอกแจคนเดียว
“ฮือ...อย่าทำเขา...”
“อย่าร้องนะ...ฉันอยู่นี่แล้ว...จะไม่มีใครมาทำร้ายนายอีก...ไม่มี”
“อย่า...”
“ฉันขอโทษ...”
อะไรก็ตามถ้ามันชดเชยความผิดพลาดในอดีตได้...
อีทงเฮก็จะทำ...
THE END
TALK
ฉันต้องโดนตบแน่ ๆ ที่เขียนให้จบแบบนี้ 555
พอดีเราไม่มีความรู้อะไรมากมาย อะไรที่ผิดพลาดไปก็ขอโทษด้วย
เฮ้อ เหนื่อยเนอะ วิ่งมาทั้งเรื่องเลย
แต่เดี๋ยวมีสเปต่อนะคะ แต่ไม่รู้จะกี่ตอน อาจจะ 2 ตอนแหละมั้ง
เดี๋ยวจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทำให้ฮยอกแจคิดที่จะฆ่าทงเฮแบบนี้
ความคิดเห็น