ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] HAEEUN | "Illusion Secret" หลอกหลอนรัก

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 :: At Last [END]

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 56


     

     

     



     

    Chapter 12

    At Last

     

     

     

     

    นายอยากทำอะไร? อีทงเฮหยุดกึกเมื่อได้ยินผมถามแบบนี้ขณะที่เราเดินออกมาจากห้องของคุณคิบอมแล้ว

    ทำ? ต้องทำอะไรด้วยเหรอครับ?

    หรือว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ จนถึงตีหนึ่งยี่สิบห้า เขาหัวเราะแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

    ครับ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปแบบนั้นแหละ

    ...

    มานั่งนี่สิครับเขาเรียกให้ผมไปนั่งข้าง ๆ ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย เอาเถอะ...อะไรที่ผมทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจนัก ผมก็จะพยายามทำให้มันจบ ๆ ไป มือหนาโอบไหล่ผมให้ขยับเข้าไปนั่งชิดแล้วจูบขมับผมเบา ๆ

    ทำไมที่รักไม่พูดอะไรเลยล่ะ

    ... ผมหันไปมองเขาเล็กน้อย นั่นสินะ ข้อตกลงของการเป็นคนรักนั่นหมายความว่าผมต้องมีปฏิกิริยาตอบรับหลังจากโดนสัมผัสสิ

    ผมฝืนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอื้อมไปวางมือไว้บนหน้าขาอีทงเฮ ผมได้ยินเสียงหัวเราะพอใจของเขา แค่สัมผัสตัวผมยังไม่อยากทำแล้วถ้าเกิดเขาให้ผมทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แล้วผมจะทำยังไง

    เคยมีแฟนหรือเปล่าครับ? ผมหันไปมองเขาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    งั้นแสดงว่าผมก็เป็นแฟนคนแรกของที่รักน่ะสิ เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือลงมากุมมือของผมเอาไว้

    หมอคยูฮยอนเป็นแฟนคนแรกของนายเหรอ?

    ... คำถามนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอีทงเฮจางหายไป สายตาของเขาดูเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

    ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ การฆ่าคนตายมันไม่ใช่ทางออกหรอกนะ ผมสอดประสานมือเขาไว้แน่นขึ้นเพื่อให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง อีทงเฮต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเขาคงฆ่าคนไปเรื่อย ๆ โดยไม่สิ้นสุดแบบนี้

    ถ้าการฆ่าคนไม่ใช่ทางออก แล้วทำไมคุณถึงพยายามฆ่าตัวตายล่ะครับ? เขาหันมาถามผมด้วยแววตาเฉยชา คำถามนี้ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะราวกับเหวี่ยงบูมเมอแรงออกไปแล้วกลับมาโดนหน้าตัวเอง

    ผมกับคุณก็เหมือนกัน

    ...

    เราสองคน...ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีกแล้ว

    ...

     

     

    นั่นสินะ...

     

     

    ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าชีวิตมันไร้ค่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จูงใจให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก อีทงเฮก็คงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่วิธีการบรรเทาความเศร้าของเขามันไม่เหมือนผม

     

     

     

    ผมเลือกที่จะตายไปคนเดียว แต่เขากลับเลือกที่จะดูคนอื่นตายไปทีละคน...

     

     

     

    ไปแต่งตัวสิครับ ผมมีที่ ๆ อยากพาคุณไป

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    ปัง...

    ผมปิดประตูรถแล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งดอกทานตะวันที่กว้างขวางไปจนสุดสายตา แสงแดดช่วงสาย ๆ ทำให้ดอกไม้สีเหลืองเบ่งบานอย่างสวยงาม ลมอ่อน ๆ ที่พัดแผ่วทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายในรอบหลายวัน ผมหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูรถออกมา อีทงเฮไม่ได้รู้สึกสดชื่นอย่างที่ควรแต่เขากลับมีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนคนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

    นายรู้จักสถานที่แบบนี้ได้ยังไงอีทงเฮหันมามองผมที่กำลังเดินออกไปข้างหน้า เขาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วยิ้มบาง ๆ

    ความฝัน

    ขอบคุณสำหรับคำตอบ ผมแค่นหัวเราะแล้วหันไปมองทุ่งดอกทานตะวันอีกครั้ง

    แล้วชอบหรือเปล่า?

    ...

    หืม? เขาถามย้ำอีกครั้ง

    อืม มันก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านหลังนั้น

    ฮะ ๆ เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้นะ เขาเดินไปเปิดประตูหลังแล้วค้นกระเป๋าก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล้องโพลารอยด์

     

     

    แช่ะ!

     

     

    นี่? ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ถ่ายรูปโดยไม่ให้ผมตั้งตัว อีทงเฮมองยิ้ม ๆ ก่อนจะดึงรูปออกมาสะบัดเบา ๆ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วยื่นรูปเมื่อครู่ให้ดู

    นายควรจะให้เวลาฉันตั้งหลักยิ้มก่อนนะ ผมมองค้อนแต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน

    ผมไม่อยากให้คุณฝืนยิ้ม รูปนี้แหละที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณที่สุด เขายังคงมองรูปอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่หันกลับไปมองทุ่งดอกทานตะวันเบื้องหน้าเท่านั้น

    ก็ดีเหมือนกัน

     

     

    เพราะฉันก็ไม่ได้อยากยิ้มให้คนโรคจิตอย่างนายนักหรอก

     

     

    โชคดีที่ผมห้ามปากตัวเองไว้ได้ทัน ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกยินดีกับการแสร้งทำเป็นรักแต่ผมก็ไม่ควรทำผิดสัญญากับเขาก่อน อีทงเฮเก็บรูปไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาหลับตาลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ

    ถ้านายทำตัวปกติใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป นายอาจจะไม่ทุกข์แบบนี้ก็ได้นะ

    ...

    จริง ๆ แล้วนายคงไม่ได้อยากฆ่าใครหรอกใช่ไหม?

    ... อีทงเฮเงียบ เขาไม่แม้แต่จะหันมามองผมเลยสักนิด

    ถ้านายรักหมอคยูฮยอนจริง ทำไมไม่ปล่อยให้เขาไปมีชีวิตที่ดีล่ะ

    ...

    ความรักมันคือการที่เราจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขแม้ว่าวันนั้นเขาจะไม่มีเราแล้วไม่ใช่เหรอ?

    คุณไม่เคยมีความรัก คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะมันเป็นยังไง

    ใช่ ฉันไม่มีทางรู้ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดจากความสูญเสียมันก็คงเจ็บไม่ต่างกันนักหรอก

    “...”

    ถ้านายทำใจได้จริง ๆ นายคงปล่อยให้หมอคยูฮยอนตายไปแล้ว แต่นายยังให้หมอจงอุนมารักษาเขา

    ...

    เพราะนายทำใจไม่ได้ที่จะเห็นคนรักตายใช่ไหมล่ะ...

    ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างที่พูดก็คงดี น้ำเสียงของเขาดูสิ้นหวังหมดคราบคนที่ผมเรียกว่าไอ้โรคจิต บางทีคนที่น่าสงสารที่สุดอาจจะไม่ใช่ผม หมอคยูฮยอน คุณคิบอม หรือหมอจงอุน แต่กลับเป็นอีทงเฮต่างหาก

     

     

    ต้องทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความเศร้าในใจ สร้างเกาะกำบังให้ตัวเองแบบนี้...

     

     

    ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังอีทงเฮพร้อมกับสวมกอดตรงช่วงเอว ซบหน้าลงกับไหล่กว้างแล้วหลับตาลง ผมหวังว่าสิ่งที่ผมทำอยู่จะช่วยบรรเทาความเศร้าออกไปจากเขาได้บ้าง อีทงเฮยืนนิ่งเฉย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำสีหน้ายังไงอยู่ จะร้องไห้หรือเปล่า หรือจะยิ้มออกมาเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ

    ผมคงน่าสมเพชมากสินะ

    ...

    ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ผมแค่ขอให้คุณทำเป็นรัก ไม่ได้ขอให้เวทนาผมแบบนี้

    นายแยกแยะออกด้วยหรือไงว่าอะไรที่เรียกว่ารักกับเวทนา ผมถามทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับบ่าของเขา

    รู้สิ...เพราะผมเจอแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว

    ...

    แต่ช่างเถอะครับ... เขาแกะมือผมออกแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเจ็บปวด

    ถ้าเพิ่มคุณไปอีกคน...ก็คงไม่เป็นไรหรอก

    ...

    อีทงเฮเดินกลับไปสตาร์ทรถเป็นสัญญาณเตือนให้ผมรีบร่ำลาความสวยงามในที่แห่งนี้ทั้งที่เราเพิ่งมาถึงกันได้ไม่นาน เขาไม่ได้มองผมแต่กลับเท้าแขนไว้ตรงประตูรถแล้วทอดสายตาออกไปข้างนอก ผมถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับอาการของเขาดี

     

     

    .

    .

     

     

     

    15.40 น.

     

    เมื่อกี้คุณซีวอนเอาของมาให้ผมเลยเอาไปวางไว้ในห้องของคุณแล้ว

    ขอบคุณครับ อีทงเฮพูดกับหมอจงอุนหลังจากที่เรากลับมาถึงบ้าน ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยความเศร้านั่นไปจนเขาหายเข้าไปในห้อง

    ผมนั่งลงบนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ตลอดทางที่กลับมาเขาไม่พูดกับผมเลยสักคำนั่นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคำขอของเขามันแตกต่างจากเดิมตรงไหน ผมคิดว่าเขาจะขอให้ผมแสดงความรักเช่นกอด จูบ หรือมีเซ็กส์ด้วยแต่นี่เขากลับไม่ร้องขออะไรนอกจากให้ผมอยู่กับเขาเฉย ๆ เท่านั้น

    ชเวซีวอนไม่ได้เข้าไปยุ่งกับคุณคิบอมใช่ไหมครับหมอ? ผมถามคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ผมนั่งอยู่

    ...

    ใช่ไหมครับ?

    ... หมอจงอุนไม่ตอบ ผมรู้สึกใจไม่ดีเลยรีบเข้าไปดูในห้องนั้นแล้วก็พบสภาพคุณคิบอมที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ผมตกใจมากเลยรีบเข้าไปประคองให้เขาลุกขึ้นนั่ง

    คุณคิบอม!”

    แค่ก ๆ

    คุณ... ผมอยากจะถามเขาว่าเป็นอะไรมากไหมแต่นั่นคงเป็นคำถามที่โง่จนเกินไป สภาพเดิมของเขาก็นับว่าแย่แล้วตอนนี้ยิ่งแย่กว่าเดิมเพราะถูกทำร้ายซ้ำ

     

     

    ผมว่าคนที่ควรจะได้รับการบำบัดรักษามากที่สุดควรเป็นชเวซีวอน!!

     

     

    ถ้ามีโอกาส...ก็รีบหาทางหนีนะครับ...

    ทำไมคุณพูดแบบนี้?

    คนโรคจิตอย่างพวกมัน...ไว้ใจไม่ได้หรอก...

    ...

    วันนี้มันอาจจะแค่ทรมานให้เจ็บปวดทางร่างกาย แต่วันหน้า...

    คุณไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวผมจะเรียกหมอจง...

    ไม่ต้อง... คุณคิบอมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอปล่อยผมไว้อย่างนี้เถอะ

    ไม่ครับ

    ไอ้เลวนั่นมันบอกผมหมดแล้วว่าคุณโดนอีทงเฮทำอะไรบ้าง... ผมชะงักเมื่อได้ยินคุณคิบอมพูด

    ...

    ถ้าคุณมาหาผมแบบนี้ผมกลัวว่าคุณจะถูกมันทำอะไรอีก...

    ชเวซีวอนบอกอะไรคุณ?

    ออกไป...

    เขา...

    ผมบอกให้ออกไป

    คุณคิบอม...

    ออกไปสักที!!!”

    ผมสะดุ้งเมื่อถูกตะคอกใส่หน้า หัวใจของผมเต้นแผ่วลงราวกับมีใครเอามีดมากรีดมัน คุณคิบอมกัดฟันแน่น แล้วเบือนหน้าหลบไปอีกทาง

    ผมก็แค่...เป็นห่วงคุณ

    ...

    ผมขอโทษครับ... ผมโค้งหัวให้แม้ว่าคุณคิบอมจะมองไม่เห็น น้ำตาอุ่น ๆ หยดลงบนพื้นไม้จนผมต้องเช็ดมันออกจากแก้มลวก ๆ แล้วเดินออกมาจากห้องนั้น

     

    ไม่เป็นไร...ถ้าอีทงเฮรักษาสัญญาจริง ๆ ทุกอย่างก็จะจบภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้...

     

    ผมเห็นหมอจงอุนยังคงยืนอยู่ที่เดิม บางทีผมก็สงสัยว่าวัน ๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้างนอกจากดูแลหมอคยูฮยอน เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับได้ยินเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทั้งหมด

    อีทงเฮยังไม่ออกมาอีกเหรอครับ?

    ครับ เขาตอบ ผมพยักหน้าช้า ๆ แล้วมองไปยังประตูห้องที่มีหมอคยูฮยอนอยู่ข้างใน ตอนนี้ผมควรจะเดินไปหาอีทงเฮหรือว่าแค่อยู่เฉย ๆ รอให้เขามาหากันนะ

     

     

    เมื่อกี้คุณซีวอนเอาของมาให้ผมเลยเอาไปวางไว้ในห้องของคุณแล้ว

     

     

    ประโยคนี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นจนผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอน ผมเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ แล้วก็พบว่าอีทงเฮนอนอยู่บนเตียง พอเห็นอย่างนั้นผมเลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปให้เบาเสียงที่สุดเพราะไม่อยากให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา

    ... ผมมองซ้ายขวาหาของ ที่ชเวซีวอนเอามาให้อีทงเฮ ผมเริ่มกังวลว่ามันจะเป็นสิ่งไม่ดี แน่ล่ะ...คนโรคจิตคงไม่เอากิฟวอยเชอร์มาฝากกันแน่ ๆ

    หาอะไรอยู่?

    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง ผมเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองอีทงเฮที่นอนนิ่ง ๆ มองผมตาละห้อยอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าคนเมาง่วงสุด ๆ

    หา...กล่องพยาบาล

    ...

    ฉันเจ็บแผลน่ะ ผมชูข้อมือให้ดูแล้วอีทงเฮก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องพยาบาลมาวางไว้บนเตียง เขากวักมือเรียกให้ผมไปนั่งและผมก็ไม่ได้ขัดอะไร

    ถ้าคุณมีแฟนแล้วเขาทำร้ายคุณแบบนี้คุณยังจะรักเขาอยู่ไหม? เขาถามขณะตั้งใจแกะผ้าก็อชให้ผมอย่างเบามือ

     คิดยังไงถึงถามคนที่ไม่เคยมีความรักอย่างฉัน

    ...นั่นสินะ เขายิ้มบาง ๆ แล้วแตะเบตาดีนลงบนแผลผมเบา ๆ พร้อมกับเป่าให้

    แต่ฉันคิดว่าถ้าเกิดรักไปแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นยังไงฉันก็รักอยู่ดี

    ...

    แต่คนรักกัน อยู่กันด้วยความเข้าใจมันก็คงดีกว่าอยู่กันแบบลงไม้ลงมือ ฉันพูดถูกไหม?ผมพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเขา อีทงเฮไม่ตอบคำถาม เขาพยักหน้าน้อย ๆ นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้

    แล้วคุณชอบคนแบบไหน

    ... คำถามนี้เป็นคำถามเดียวกับที่ซองมินเคยถามผมเมื่อนานมาแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยคิดหาคำตอบได้สักที

    อย่างคิมคิบอมเหรอ?

    ทำไมนายถึงเอาแต่พูดว่าฉันชอบคุณคิบอมนะ

    ผมรู้สึกอย่างนั้น

    ความรู้สึกของนายมันไม่ต่างอะไรจากการคิดไปเองเลยสักนิด

    ไม่รู้สิ...ผมรู้สึกว่าบางครั้งก็เซนส์ดีเกินไป เขาพันผ้าก็อชให้ผมทบสุดท้ายแล้วเดินเอากล่องพยาบาลไปเก็บ

    หมายความว่ายังไง? ผมมองหน้าคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง อีทงเฮชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักผม

     

     

    ผมรู้สึกได้ ทุกครั้งที่ถูกนอกใจ

     

     

    ...

    ครั้งแรกผมก็คิดว่าคงคิดมากไปเอง มันคงไม่มีอะไร แต่สุดท้ายเป็นไง ต้องจับได้คาหนังคาเขาถึงจะยอมรับ เขาหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่หลับตาอยู่

    งั้นแสดงว่าครั้งนี้เซนส์นายพลาดแล้วล่ะ

    ...

    อีทงเฮเงยหน้าขึ้นมองผม เขายิ้มบาง ๆ แล้วยันตัวขึ้นมาเล็กน้อยจนใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิด ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ผมถึงได้หลับตาลง...เพื่อให้เขาจูบ

     

     

    .

    .

     

     

    ความรักเหมือนกับยาพิษ

     

     

    กึก กึก กึก...

     

    ตื่นได้แล้ว

    ...

    ที่รักครับ...ตื่นเถอะ

    ...

    ผมลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นใบหน้าของใครอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม แสงสว่างจากโคมไฟอีกทั้งความมืดที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นเป็นสัญญาณบอกช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี อีทงเฮบีบจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้

     

     

    นั่นเขา...ใส่ชุดเจ้าบ่าวอยู่?

     

     

    เร็วเข้าครับ ใกล้จะถึงเวลาแล้วนะ อีทงเฮพูดพร้อมกับวางชุดทักซิโด้สีขาวไว้บนเตียง ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

    นายไปเอาชุดนี้มาจากไหน?

    ฝากซีวอนซื้อน่ะ สีหน้าของอีทงเฮดูมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดทักซิโด้สีขาวที่มีกั๊กตัวในสีแดงและของผมเองก็เช่นกันกำลังยืนกระชับเสื้ออยู่หน้ากระจกพร้อมกับรอยยิ้ม ผมหันไปมองนาฬิกาแล้วก็พบว่าตอนนี้...

     

     

     

    23.40 น.

     

     

     

    ที่เขาทำแบบนี้เขาคงไม่ได้หมายความว่า...

     

     

    ผมลุกขึ้นยืนในสภาพงง ๆ แล้วอีทงเฮก็เดินเอาผ้าขนหนูมาให้ ผมควรจะดีใจที่เวลามันใกล้เข้าถึงความจริงเต็มทีแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกกลัวแปลก ๆ

     

    กลัว...ว่าอีทงเฮจะมีแผนอะไรบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึง...

     

    ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนัก ผมไม่จำเป็นต้องทำตัวสำอางดูดีอะไรมากมายเพราะคงไม่มีใครมาเห็นผมในสภาพแบบนี้ ผมมองตัวเองในกระจกแล้วก็มองภาพตรงหน้า ภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น

     

     

    ผมในชุดแต่งงานงั้นเหรอ?

     

     

    เสร็จหรือยังครับ? คำถามมาพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบกอดผมจากข้างหลัง อีทงเฮเอาคางเกยไหล่ผมพร้อมกับมองกระจก สีหน้าของเขาดูมีความสุขเหลือเกิน

    เราจะแต่งงานกันเหรอ?

    ครับ แต่ขอโทษนะที่วันนี้มีแขกมาร่วมงานแค่คนเดียว เขายิ้มบาง ๆ แล้วหอมแก้มผมฟอดใหญ่

    ...

    แขกที่มาร่วมงานเพียงคนเดียวที่เขาพูดถึงนั่นทำให้ผมกลัวจริง ๆ ผมคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าคนนั้นจะเป็นใคร คุณคิบอมเหรอ ชเวซีวอน หมอจงอุน ศพของซองมิน หรือว่าแม่ของผม?

     

     

    ไปกันเถอะครับ เราสายกันมากแล้ว

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    ผมถูกจูงมือออกจากข้างนอก ผมคิดว่าเขาจะพาผมไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นโบสถ์ที่อยู่ในระแวกนี้ หรืออาจจะเป็นสุสาน หุบเขา แต่ผมเดาผิดทั้งหมด อีทงเฮพาผมเข้าไปในห้องของหมอคยูฮยอน ห้องที่มีเพียงแค่เสียงเครื่องช่วยหายใจกับแสงไฟสลัว ๆ ตรงหัวเตียงเท่านั้น

    ...

    ผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาเพียงแค่เห็นสีหน้าของอีทงเฮที่เปลี่ยนไป ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ อีก มีเพียงแค่สายตาแห่งความเคียดแค้นขณะมองหน้าหมอคยูฮยอนที่นอนอยู่ตรงนั้น

     

     

    01.10 น.

     

     

    เรา...จะทำพิธีแต่งงานกันในนี้เหรอ? ผมพูดทำลายความเงียบขึ้นมาแต่เขากลับไม่ตอบคำถาม

    ทงเฮ? ผมกระตุกมือที่ประสานกันอยู่เพื่อเรียกสติเขาให้กลับมา

    คุณคิดยังไงกับคนที่ผิดสัญญา? เขาถามขึ้นมาทั้งที่ไม่หันมามองหน้าผม สายตาของเขายังคงจดจ้องไปที่ใครอีกคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

    ...

    คิดยังไง...กับคนที่เคยบอกว่าจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต จะรักคุณเพียงคนเดียว จะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหน

    ...

    ก็แค่ลมปาก... เขาพูดพลางแค่นหัวเราะ

    เวลาผ่านไปอะไรก็เปลี่ยน นายควรรับความจริงให้ได้นะ

    รับคำโกหกหลอกลวงน่ะเหรอ? เขาเบนสายตาหันมาทางผมเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือผมออกแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เตียง

    นายไม่คิดบ้างเหรอว่าความผิดมันอาจจะอยู่ที่นาย ประโยคนี้ทำเขาหันควับกลับมามองผมในทันที แววตาแบบนั้น...

    ผมผิดตรงไหน? อ้อ...คงผิดที่ผมเป็นคนซื่อสัตย์ให้เขาหลอกสินะ

    คนที่เข้ากันไม่ได้ จะแยกกันไปคนละทางมันก็ถูกแล้วนี่

    คนไม่เคยมีความรักอย่างคุณอย่าทำมาเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย

    แล้วคนที่มีความรักอยู่เต็มหัวใจแบบนายน่ะรู้มากนักหรือไง? นายมันก็ดีแต่โทษคนอื่น โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง

    ...

    ให้เรื่องมันจบสักทีเถอะ อย่าทำร้ายใครอีกเลย

    ...

    ปล่อยเขาไปเถอะนะ

    ผมพูดด้วยความอ่อนใจ ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขาหยุดเพราะในตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงอีทงเฮคนเดิม คนที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างถ้าเขาไม่พอใจ

    เขาหันกลับมามองพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมรู้สึกยังไงในตอนนี้ ขนแขนผมลุกซู่ไปหมด หัวใจผมเต็มเร็วแรงเพราะความหวาดกลัวเหมือนกับครั้งแรกที่ผมสบตากับเขา

    มือหนาหยิบมีดพกเล่มเล็กขึ้นมานั่นทำให้ผมตกใจมากกับสิ่งที่เห็น เขากำมันไว้แน่นแล้วผินหน้าหันไปทางหมอคยูฮยอนที่นอนไม่ได้สติอยู่

     

     

    ไม่นะ...อย่าทำอย่างนั้น!!!

     

     

     

    อย่า!!!”

     

    ผมรีบเข้าไปรั้งมือที่กำลังจะแทงหมอคยูฮยอนเอาไว้ได้ทัน เรายื้อกันไปยื้อกันมาอยู่อย่างนั้นจนร่างผมโดนเหวี่ยงไปติดผนังด้านข้าง อีทงเฮมองผมด้วยสายตาอาฆาตราวกับเกลียดผมจนอยากฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น เสียงกัดฟันกรอดที่ลอดไรฟันออกมานั่นทำให้รู้ว่าเขากำลังโกรธมากแค่ไหนที่ผมทำแบบนี้

    อยากตายแทนเขามากนักใช่ไหมห๊า?!”

    ปลายมีดเปลี่ยนเป้าหมายจากหมอคยูฮยอนมาที่ผม ตอนนี้อีทงเฮคงไม่คิดที่จะเก็บผมไว้ดูเล่นอีกต่อไป บางทีเวลาตีหนึ่งยี่สิบห้าอาจจะเป็นเวลาตายของผมที่เขากำหนดเอาไว้ก็ได้ อีทงเฮกดแรงลงมาเพื่อที่จะให้มีดปักลงบนอกผมในขณะที่ผมเองก็ยื้อเอาไว้สุดความสามารถ

    นายเคยคิดจะฆ่าหมอคยูฮยอนให้ตาย...แต่นายช่วยเขาเอาไว้เพื่อที่จะมาฆ่าเขาเอาตอนนี้น่ะเหรอ?!” ผมตะคอกใส่คนตรงหน้า หยาดเหงื่อค่อย ๆ ไหลจากขมับของผมลงมา แรงของอีทงเฮเยอะมากจนผมกลัวว่าจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน

    ใช่! ผมจะฆ่าเขา! แล้วก็จะฆ่าทุกคนที่ทำให้ผมเจ็บปวด!”

    หยุดสักทีเถอะ! ก่อนที่นาย...จะไม่เหลือใคร...บนโลกใบนี้!”

    หยุดเหรอ?! หึ!”

    อ่ะ...!!”  ผมนิ่วหน้าเจ็บเมื่อปลายมีดฝังลงบนอกผมอย่างช้า ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทุกอณูจนผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยื้อสู้อีกต่อไป

    อึ่ก... ผมค่อย ๆ ปล่อยข้อมือเขาแล้วให้ปลายมีดคมเล่มนั้นฝังลึกลงมา สีหน้าของอีทงเฮดูสะใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เสียงหัวเราะในลำคอนั่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงทุกคนที่ผมรัก...

     

     

     

    นี่ผม...กำลังจะตายใช่ไหม?

     

     

     

    วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองลอยอยู่บนอากาศ ผมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด หรือว่าผมกลายเป็นวิญญาณไปแล้วนะ? ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพแรกที่เห็นนั้นมันช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน...

    สีหน้าของอีทงเฮที่เคยยิ้มเยาะด้วยความสะใจนั้นไม่มีอีกแล้ว...ตอนนี้มีเพียงแค่สีหน้าของความเจ็บปวดขณะมองผมเท่านั้น...ถ้าผมตายแล้วจริง ๆ ทำไมอีทงเฮถึงได้ทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ?

    ...

    ฮยอกแจ...

    แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจนั่นไม่ใช่ความตาย...แต่มันคือมีดที่ปักอยู่ตรงช่วงอกของอีทงเฮต่างหาก และที่สำคัญ...คนที่จับปลายมีดนั้นคือ...

     

     

     

    ผมเอง...

     

     

     

    คุณ...

    “!!!”

    เคยรักผม...บ้างไหม?

     

     

    คำถามที่มาพร้อมกับสีหน้าของความเจ็บปวด...เป็นไปได้ยังไง? เมื่อกี้คนที่ถูกแทงมันเป็นผมไม่ใช่เหรอ? ผมชักมือกลับแล้วก้มลงมองอกตัวเองแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ไม่มีคราบเลือด ไม่มีรอยแผลอะไรทั้งนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองอีทงเฮที่ยืนกุมมีดที่ปักอยู่บนอกของเขา...เลือดสีแดงสดตัดกับชุดทักซิโด้สีขาวค่อย ๆ ซึมออกมาอย่างช้า ๆ

     

     

    ผมสั่นไปหมด...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น...

     

     

    ฉัน...

    ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะเคยคิดหาทางเอาคืนอยู่บ่อยครั้ง ผมยังคงช็อคอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบเป็นบ้านั่นก็คือร่างที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้กลับไม่ใช่หมอคยูฮยอน...

     

     

     

    แต่มันคือ...อีทงเฮ...

     

     

     

    ...!!!”

    ผมยกมือขึ้นป้องปากแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยังคงยืนอยู่ในสภาพทุลักทุเล สายตาของเขาที่มองผมมันยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด...

    อ๊ะ!” อีทงเฮเซล้มเข้ามาจนผมแทบรับเอาไว้ไม่ทัน ผมประคองเขาไว้แต่ตัวเขาหนักจนเราทั้งคู่แทบล้มลงไป

     

     

     

    01.25 น.

     

     

     

    ...

    ทุกอย่างภายในห้องค่อย ๆ เปลี่ยนไปราวกับย้อนเวลา จากผนังสีขาวที่ว่างเปล่ากลับมีรูปมากมายผุดขึ้นมา...ทั้งรูปของผมกับรูปของอีทงเฮ...รูปของเราสองคนแปะตามผนังอยู่เต็มไปหมด

    ฉันขอโทษ...

    เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ใกล้ ๆ หู ศัพท์นามที่เปลี่ยนไปและคำขอโทษที่เต็มไปด้วยความสงสัย ผมยังคงประมวลผลเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ถูก มันเกิดอะไรขึ้น...ผมกำลังฝันอยู่ใช่ไหม?

     

     

     

    ใครก็ได้...ปลุกผมขึ้นมาที...

     

     

     

    ยกโทษ...ให้ฉันด้วย...

    ...

     

     

     

    ฉันรักนายนะ...ฮยอกแจ...

     

     

     

     

     

     

    ภาพต่าง ๆ ค่อย ๆ ฉายเข้ามาในหัวผมอย่างกับฟิล์มหนังที่กำลังเล่นย้อนอดีต ภาพของผมกับอีทงเฮตั้งแต่แรกเจอแต่มันกลับไม่ใช่ที่โรงพยาบาล ภาพที่ผมเคยใช้เวลาอยู่กับเขา ภาพของอีทงเฮที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันมาจากไหน...

     

     

     

     

    ม่ายยย!!!!!!!!!!”

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

     

     

    หมอหนุ่มในชุดกาวน์ยืนมองใครอีกคนที่ยืนอยู่หน้าคนไข้ก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกับภาพที่เห็นจนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบตำรวจเดินมาหยุดข้าง ๆ เขา

    ทำไมเขาถึงไม่เชื่อฟังที่ผมพูดบ้างนะ ผมบอกว่ารอให้อาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยมา

    แล้วคุณล่ะครับหมวดซีวอน มาที่นี่ทำไม?คุณหมอหน้าตายหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังปั้นหน้าไม่รู้เรื่อง มือแกร่งชี้แฟ้มเอกสารแล้วชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องคนไข้

    ผมมาทำงานสิครับ คิดว่าผมมาตามจีบหมอหรือไง? น้ำเสียงทะเล้นไม่ได้ทำให้คุณหมอหนุ่มเขินเลยสักนิด

    ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่เห็นหมวดขยันมาที่โรงพยาบาลบ้าทุกวัน ผมเลยสงสัยว่าแอบชอบคนไข้ที่นี่หรือเปล่า

    อ้าว...ขยันก็ผิด หมอที่นี่ใจร้ายทุกคนเลยหรือเปล่านะ~” ร่างสูงพูดลอย ๆ หากแต่คนข้าง ๆ กลับไม่สนใจ

    แค่กับบางคนเท่านั้นแหละครับ

    ว่าแต่อีทงเฮมาที่นี่ทุกวันเลยเหรอ?

    ครับ เขามักจะมายืนมองคนรักของเขาอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ร่างโปร่งมองไปยังชายหนุ่มร่างหนาในสภาพบาดเจ็บที่ช่วงเอว ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะเห็นผู้ชายคนนั้นยิ้ม...

    แล้วอาการของอีฮยอกแจเป็นยังไงบ้างครับ

    คนไข้อยู่ในสภาวะสร้างภาพหลอนเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่เคยทำไป สร้างเรื่องขึ้นมาเองทั้งที่เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น มองทุกอย่างผิดไปจากความเป็นจริงอย่างเช่นงูเหลือมแผ่แม่เบี้ยได้ มีคนกำลังตามฆ่า มีคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา

    ผมได้คุยกับอีทงเฮมาบ้าง...เขาบอกว่าอีฮยอกแจเป็นคนไม่ปกติมาตั้งนานแล้ว...เอ่อ...ผมจะใช้คำว่าโรคจิตอ่อน ๆ ได้ไหมนะ? ร่างสูงทำหน้าคิด

    ถ้าภาษาคนทั่วไปพูดก็คงอย่างนั้นครับ

    ว่าแต่หมอทานมื้อเที่ยงหรือยัง?

    ... ร่างโปร่งเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มขำอยู่ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินหนีออกมาทั้งอย่างนั้นทิ้งไว้แค่เพียงนายตำรวจหนุ่มที่ยิ้มเก้อ

     

     

     

    เฮ้ หมอคยูฮยอนครับ รอผมก่อน!”

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    นัยน์ตาคมทอดมองไปยังห้องคนไข้ผ่านกระจกบานเล็กตรงประตู ภาพตรงหน้ามันบีบหัวใจเขาเสียเหลือเกิน...บีบ...จนน้ำตาของลูกผู้ชายมันไหลออกมาทุกครั้งที่เห็น

     

    สวัสดี ฉันชื่อทงเฮนะ

    ...

    นายชื่ออะไรอ่ะ เราอยู่สายรหัสเดียวกันด้วยนะ บังเอิญจริง ๆ

    ...

    ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ อารมณ์ไม่ดีเหรอ?

     

     

    เปลือกตาหนาปิดลงพร้อมกับน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาอาบแก้ม ภาพของอีฮยอกแจคนรักของเขากำลังคุ้มคลั่งเสียสติภายในห้องคนไข้โดยที่มีบุรุษพยาบาลคอยห้ามเอาไว้นั้นทำให้เขาโทษตัวเอง

     

     

    ทงเฮ...นายรักฉันหรือเปล่า

    รักสิ นายถามอีกกี่ครั้งฉันก็จะตอบแบบนี้

     

     

     

    ม่ายยยย!!!!”

     

    มือหนาทาบลงบนประตูที่เย็นยะเยือก...เขาอยากเข้าไปกอดปลอบร่างบางเอาไว้แน่น ๆ แล้วพูดว่าขอโทษซ้ำ ๆ ถึงแม้ว่ารอยแผลที่ช่วงท้องของเขาจะเป็นฝีมือของฮยอกแจก็ตาม

     

     

    มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด...

    ความผิดของอีทงเฮ...ที่นอกใจอีฮยอกแจ...

     

     

    ร่างที่ซูบผอมค่อย ๆ เอนลงนอนกับเตียงคนไข้เมื่อยาสลบออกฤทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลลงจากหางตาจนเปื้อนหมอนสีขาว ข้อมือเล็กทั้งสองข้างที่เขาเคยพรมจูบอย่างทะนุถนอมตอนนี้ถูกมัดไว้กับเชือกหนังที่ติดอยู่กับเหล็ก

    ฮยอกแจ...

    ความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลของเขามันคงสู้ความเจ็บปวดในใจของฮยอกแจไม่ได้เลยสักนิด มือหนากำหมัดแน่นพลางหลับตาลงให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม

    เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น...มันเป็นความผิดของเขาเองที่คิดอะไรง่าย ๆ

     

     

    คุณอีทงเฮคะ คุณหมอคยูฮยอนเชิญทางนี้หน่อยค่ะ

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    ในสนามกว้างที่มีคนไข้อยู่เต็มไปหมด บ้างก็นั่งอยู่บนม้านั่งทำท่าขับแท็กซี่ บ้างก็วิ่งไล่จับผีเสื้อหากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจใครไปกว่าคน ๆ หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง

    เขายืนรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสวมหน้ากาก smile ไว้แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายร่างผอมบางที่อยู่ในชุดคนไข้ ร่างหนาหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ พลางทอดสายตาออกไปข้างหน้า ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งครู่จนกระทั่งร่างบางรู้ตัวว่ามีคนนั่งด้วย อีทงเฮหันไปมองคนที่กำลังฉายแววตาสงสัย แววตาคู่นั้นที่เขาคิดว่าสวยที่สุดในโลกแต่บัดนี้กลับดูล่องลอย

    คุณเป็นใคร...

    ...

    อย่าเข้าใกล้ผมนะ...

    ...

    อีทงเฮจะฆ่าทุกคนที่อยู่ใกล้ผม...เพราะงั้น...หนีไป...

    ประโยคนี้ทำให้คนที่อยู่ภายใต้หน้ากากน้ำตาไหลอีกครั้ง ดวงหน้าหวานที่ซีดเผือดเบือนหลบไปอีกทางก่อนจะขยับหนีไปจนชิดม้านั่งอีกฝั่ง

    ผมไม่อยากให้ใครตายอีกแล้ว...ไม่อยาก...ไม่อยาก...

    ...

    ไม่อยาก...

    ร่างบางพูดซ้ำอยู่อย่างนั้นหากแต่ใครอีกคนกลับขยับเข้าไปใกล้ มือเล็กยกขึ้นบังราวกับกลัวว่าจะถูกทำร้าย ทงเฮจับข้อมืออีกคนไว้เบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเลื่อนไปกุมเอาไว้ ฮยอกแจมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดกลัวแม้ว่าร่างหนาจะเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มเขาอย่างอ่อนโยน

    ไม่เป็นไรนะ...

    ...ฮึก

     

     

    ถ้าฉันจะต้องตายเพราะนาย...มันก็ไม่เป็นไร

     

     

    ฮือ...

    ไม่ใช่แค่ฮยอกแจที่สะอื้นจนตัวโยน คนที่อยู่ภายใต้หน้ากากยิ้มก็เช่นกัน ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองร่างที่กำลังสั่นเทาเพราะความกลัวให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแม้ว่าเขาจะยังบาดเจ็บอยู่...

     

    ผมว่าคุณเลิกตามคดีนี้ได้แล้วมั้งครับหมวดซีวอนหมอหนุ่มพูดขณะที่เขายืนมองทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ

    อืม... ร่างสูงใช้ความคิด จากรูปการแล้วดูเหมือนเขาจะเอาผิดอีฮยอกแจในตอนนี้ไม่ได้ คงต้องรอให้อาการดีขึ้นจนพูดจารู้เรื่องเสียก่อน อีกอย่างอีทงเฮไม่ได้ต้องการฟ้องร้องให้เป็นเรื่องราว

    ผมไม่คิดเลย ว่าความรักมันจะทำให้คนเราคิดฆ่าคนได้ ร่างสูงพูด

    คนเราไม่เหมือนกันนี่ครับ เราไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับเขา เราคงไม่รู้ว่าอีฮยอกแจรู้สึกยังไงและเจออะไรมาบ้างหมอคยูฮยอนถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองคนสองคนที่กำลังกอดกันแน่น

     

    อีทงเฮสวมหน้ากากยอมเป็นคนอื่นต่อหน้าคนรักเพราะชื่อ อีทงเฮในมโนความคิดของอีกคนนั้นกลายเป็นไอ้โรคจิตใจโหดที่ฮยอกแจกลัวเข้าไส้ไปแล้ว เขาได้แต่ภาวนาว่าคนรักของเขาจะหายจากอาการนี้ในเร็ววัน พอถึงวันนั้นเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง...ทุกอย่าง...เพื่ออีฮยอกแจคนเดียว

     

     

    ฮือ...อย่าทำเขา...

    อย่าร้องนะ...ฉันอยู่นี่แล้ว...จะไม่มีใครมาทำร้ายนายอีก...ไม่มี

    อย่า...

    ฉันขอโทษ...

     

     

     

     

    อะไรก็ตามถ้ามันชดเชยความผิดพลาดในอดีตได้...

    อีทงเฮก็จะทำ...

     


     

     



     


    THE END




     

     

     

     

     

     

     

    TALK

    ฉันต้องโดนตบแน่ ๆ ที่เขียนให้จบแบบนี้ 555

    พอดีเราไม่มีความรู้อะไรมากมาย อะไรที่ผิดพลาดไปก็ขอโทษด้วย

    เฮ้อ เหนื่อยเนอะ วิ่งมาทั้งเรื่องเลย

     

    แต่เดี๋ยวมีสเปต่อนะคะ แต่ไม่รู้จะกี่ตอน อาจจะ 2 ตอนแหละมั้ง

    เดี๋ยวจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทำให้ฮยอกแจคิดที่จะฆ่าทงเฮแบบนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×