คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10 :: Embrace
Chapter 10
Embrace
ปัง...
ทันทีที่เสียงประตูห้องปิดลงร่างบางก็ทรุดหมดสติในอ้อมกอดร่างหนา อีทงเฮประคองร่างอีกคนเอาไว้แนบอกพลางจ้องดวงหน้าหวานที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา เขาจับข้อมือเล็กที่เต็มไปด้วยคราบเลือดขึ้นมาดูก่อนจะอุ้มร่างที่หมดสติไปนอนพักบนเตียงที่เต็มไปด้วยเลือด
“...”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนมองร่างผอมบางที่ยังคงน้ำตาไหลออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วคว้าโทรศัพท์บ้านขึ้นมากดโทรออก
“เข้ามาในห้องผมตอนนี้เลยครับหมอจงอุน”
.
.
หลายครั้งที่ผมอยากจมอยู่กับความฝัน
เพราะมันสวยงามเกินกว่าที่จะตื่นมาพบกับความเป็นจริง
และครั้งนี้ก็เช่นกัน...
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ปลอดภัยแล้วครับ เป็นเพราะเสียเลือดมากและไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน คงไม่แปลกถ้าจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น...แต่ผมว่าคุณอย่าทำแบบนี้อีกดีกว่า ถ้าเกิดผมมาช้ากว่านี้เขาคงเลือดไหลไม่หยุดจนตายแน่ ๆ ”
ผมได้ยินเสียง...ใครกำลังคุยกัน...
“เรื่องนั้นผมรู้ แต่คุณก็มาทันนี่ครับ จะพูดไปให้ได้อะไรขึ้นมา?”
“หยุดเถอะคุณทงเฮ...คุณมาไกลเกินไปแล้ว”
“มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะต้องมาสั่งสอนผม ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เชิญ”
“แล้วผู้ชายคนนั้น...”
“หืม?”
“ผู้ชายคนที่คุณซีวอนเพิ่งพามา...ผมเข้าไปทำแผลให้เขาได้หรือเปล่า?”
“นี่คุณหมอจงอุนครับ”
“ผมรู้ว่าคุณจะเอาเรื่องครอบครัวมาขู่ผมอีก แต่เขาบาดเจ็บมาก แค่ให้ผมเข้าไปห้ามเลือดให้ก็พอ”
“...”
“แล้วผมจะกลับไปอยู่ห้องคยูฮยอนเหมือนเดิม”
“ใจบุญเสียจริงนะ...”
ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นแม้ว่าจะตื่นเต็มตาแล้ว ผมแกล้งหลับแล้วฟังเขาคุยกันจนกระทั่งเสียงประตูปิดลง เสียงฝีเท้าเดินกลับเข้ามาภายในห้องนั่นทำให้ผมรู้ว่าอีทงเฮไม่ได้ไปกับคุณหมอคนนั้น
จากบทสนทนาที่คุยกัน...แสดงว่าคุณคิบอมยังไม่ตายใช่ไหม?
‘แล้วผมจะกลับไปอยู่ห้องคยูฮยอนเหมือนเดิม’
ประโยคนี้ทำให้ผมพอจะจับต้นชนปลายได้บ้าง ถ้าเดาไม่ผิดที่ ๆ ผมอยู่ในตอนนี้คงเป็นบ้านหลังที่ผมเคยแอบปีนเข้ามา ถ้างั้นแสดงว่าหมอคยูฮยอนต้องอยู่อีกห้องนึงภายในบ้านหลังนี้แน่
ถึงจะแกล้งหลับแต่ผมก็ปรือตาหรี่ตามองแล้วก็พบว่าอีทงเฮได้เดินมานั่งข้าง ๆ เตียง ผมเห็นแผ่นหลังกว้างอยู่ตรงหน้า ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขากำลังดูอ้างว้าง โดดเดี่ยวกันนะ?
“...”
ผมมั่นใจว่านั่นคือเสียงถอนหายใจ มันทำให้ผมประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่คนอย่างอีทงเฮจะรู้สึกคิดไม่ตกกับอะไรสักอย่างจนต้องลอบถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ
ผมคิดมาตลอดว่าคนโรคจิตอย่างเขาคงไม่เคยรู้สึกกังวลเรื่องใด ๆ ในโลกนี้หรอก แต่พอเห็นแบบนี้แล้วเห็นทีผมต้องคิดใหม่ ผมว่าคนอย่างอีทงเฮคงมีอะไรในใจมากจนทำให้เขาเสียสติกลายเป็นคนโรคจิต ฆาตรกรฆ่าคนตายแบบนี้
ผมยังคงนอนนิ่งแม้ว่าเขาจะเอี้ยวหน้าหันกลับมามองทางนี้ มือหนาเอื้อมมาลูบหัวผมเบา ๆ ราวกับกลัวว่าผมจะตื่นจากการหลับใหลเพราะสัมผัสนั่น
“หลับนานไปแล้วนะครับ”
เสียงกระซิบมาก่อนปลายจมูกที่กดลงตรงแก้มผม เตียงนุ่มยวบลงตามแรงกดทับเมื่อเขาแทรกตัวเข้ามาในผ้าห่มที่ผมนอนอยู่ก่อนจะสอดแขนเข้ามาใต้คอเพื่อประคองให้ผมนอนทับแขนเขาแทนหมอน ผมยังคงแกล้งหลับต่อและไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา ผมไม่รู้ว่าอีทงเฮจะกลายเป็นคนละคนหรือเปล่าถ้าผมลืมตาขึ้น
ร่างของผมถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ นั่น กลิ่นหอมที่ตัวเขาทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดอย่างที่ควรจะเป็น ผมคิดว่าอีทงเฮคงเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จสรรพตอนที่ผมหมดสติไป
ผมแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอดนั่นเพราะถูกกดหัวให้ซบลงกับแผงอกแกร่ง ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงที่กลางศีรษะผมก่อนจะกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอีทงเฮถึงแสดงออกทางร่างกายกับผมแบบนี้ทั้งที่เราก็ไม่ใช่คนรักกัน วูบหนึ่งผมคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนโรคจิต เขาถึงไม่สนว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร
เพราะบางทีเขาอาจจะเห็นผมเป็นตัวแทนของหมอคยูฮยอนก็ได้
“...”
ความคิดของผมหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่กำลังกอดผมอยู่ ไม่จริงน่ะ...คนอย่างอีทงเฮน่ะเหรอจะร้องไห้?
เสียงสะอื้นเบา ๆ นั่นทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวคงพยายามกลั้นมันไว้เต็มที ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกแต่ก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีทงเฮทำไมเขาถึงได้ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ ร่างของผมถูกกอดแน่นยิ่งขึ้นราวกับว่าเขาต้องการที่พักพิง
“อย่าทิ้งผมไป...”
“...”
“ทั้งชีวิตผมไม่เหลือใครแล้ว...นอกจากคุณ...”
“...”
ยอมรับว่าประโยคนี้ทำให้หัวใจผมหล่นวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประโยคร้องขอนั่นที่ผมไม่รู้ว่าเขาอยากสื่อถึงใครระหว่างผมหรือหมอคยูฮยอน อีทงเฮตัวสั่นไม่หยุด ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาอุ่น ๆ ที่หยดลงบนหน้าผากตัวเอง ผมควรรู้สึกสมเพชเวทนาและสมน้ำหน้าด้วยซ้ำที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ทำไม...ผมถึงกลับเอื้อมมือไปกอดตอบเขาพร้อมกับลูบหลังปลอบใจ...
ทำไมล่ะฮยอกแจ?
ทำไมถึงต้องสงสาร เห็นใจ คนโรคจิตที่ทำร้ายคนที่นายรักแบบนี้ด้วย?
“...”
อีทงเฮคงรู้ว่าผมตื่นอยู่แต่เขากลับไม่คิดที่จะผละตัวออกแล้วตบหน้าผมอย่างที่ควรจะเป็น หนำซ้ำเขายังกอดผมแน่นยิ่งขึ้น ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ผมได้เจออีทงเฮเขาเจออะไรมาก่อนมันถึงได้ทำให้เขาเป็นคนจิตไม่ปกติทำลายทุกอย่างแบบนี้ หรือเพราะโดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนต้องการความรักความอบอุ่นใช่ไหม? แม้แต่คนโรคจิตอย่างอีทงเฮที่ผมเคยคิดว่าเขาเลือดเย็น ไร้ความรู้สึกถึงได้มีอาการแบบนี้
อะไร...ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้กันนะ?
.
.
เวลาผ่านไปนาน ผมคิดว่ามันน่าจะราว ๆ ชั่วโมงเศษ ๆ คนที่เคยกอดผมตัวสั่นนั้นหลับไปแล้ว ตอนนี้ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างเป็นจังหวะเท่านั้น นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นไปหาอะไรมาใช้เป็นอาวุธเพื่อฆ่าเขาให้นอนตายจมกองเลือดตรงนี้แน่
แต่ผม...
ผมค่อย ๆ แกะมือที่พาดเอวผมออกโดยไม่ให้คนหลับอยู่รู้ตัว ผมลุกขึ้นนั่งให้เบาเสียงที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ผมยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ข้างแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งสิบห้านาที ความคิดในหัวผมมันตีกันไปหมด เหมือนมีคนหลายคนคอยกระซิบข้างหูผมให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
‘นายเห็นเก้าอี้ไม้ตัวนั้นไหม? เดินไปเอามันมาแล้วฟาดไอ้เลวที่นอนอยู่ตรงนั้นซะ’
‘อย่าเสี่ยงดีกว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้วเกิดอีทงเฮไม่ตายล่ะ? ทางที่ดีนายควรชิงหนีเอาตัวรอดออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้ นายไม่อยากรู้เหรอว่าตอนนี้อีซองมินเพื่อนของนายเป็นอยู่ยังไง?’
‘ถ้านายหนีไป แล้วคุณคิบอมล่ะ? เขาช่วยนายจนต้องมาตกที่นั่งลำบาก ถ้ากล้าหนีเอาตัวรอดคนเดียวก็เชิญเลย’
“...”
ผมกัดริมฝีปากล่างพลางกำหมัดแน่น ใจหนึ่งผมก็นึกโกรธอีทงเฮที่ทำร้ายร่างกายผมสารพัด อีกทั้งยังคิดฆ่าคนที่ผมรักทุกคนอย่างทารุณอีก แค่นี้มันก็เป็นเหตุผลที่จะให้ผมฆ่าเขาได้แล้ว แต่ทำไมผมต้องชั่งใจเพียงเพราะแค่อ้อมกอดแห่งความกลัวกับน้ำตานั่นด้วย?!
ตึก ตึก...
เสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นไม้ที่กำลังผ่านหน้าห้องไปเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี ผมค่อย ๆ เดินถอยหลังไปทีละก้าวและหมุนลูกบิดออกไปช้า ๆ แล้วก็พบกับแสงสว่างจากโคมไฟตรงห้องนั่งเล่น ผมหันกลับไปมองอีทงเฮอีกครั้งคราวนี้ผมเริ่มกลัวขึ้นมาแปลก ๆ ทั้งที่ปกติเขาจะขังผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน และพอเขาปล่อยให้ผมเดินเหินได้อย่างสะดวกก็เป็นอย่างที่เคยเห็น...เขาจะมีแผนอะไรอยู่หรือเปล่านะ?
แต่ยังไงก็ตาม ผมก็ยังเลือกที่จะออกไปข้างนอกแทนที่จะให้อีทงเฮนอนกอดนิ่ง ๆ ไปจนกว่าเขาจะตื่น ถึงแม้ว่าภาพเลือดบนที่นอนและกลิ่นคาวเหล่านั้นจะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้ผมไม่ควรทำแบบนี้ก็ตาม
ผมเดินออกไปหยุดยืนอยู่ตรงห้องนั่งเล่นและพบหมอจงอุนที่นั่งดื่มบรั่นดีอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง เขาเงยหน้ามองผมขณะที่กำลังจะกระดกแก้วขึ้นดื่ม
“...”
“...”
เราสองคนต่างไม่พูดอะไร ได้เพียงแค่ใช้สายตาสื่อความหมายเท่านั้น ผมคิดว่าหมอจงอุนคงรู้เรื่องทุกอย่างดีแล้ว ผมเห็นสายตาเขาที่มองผ่านไปข้างหลังผมราวกับกลัวว่าอีทงเฮจะโผล่มาเห็นในเวลานี้
“คุณควรกลับไปนอนพักผ่อนนะครับ” เขาพูดเสียงเรียบพลางวางแก้วบรั่นดีลงบนโต๊ะไม้หรูข้าง ๆ
“บนเตียงเดียวกับไอ้โรคจิตนั่นน่ะเหรอ?”
“...”
“ทำไมคุณถึงช่วยคนพรรค์นั้น?”
“...”
“เพราะเขาขู่ว่าจะทำร้ายคนในครอบครัวของคุณเหรอ?”
“แล้วเหตุผลนั่นมันไม่พอที่จะทำให้ผมทำแบบนี้เหรอครับ?”
“ทำไมคุณไม่...” เพียงแค่นึกถึงเรื่องตำรวจคำพูดทุกอย่างก็ถูกกลืนลงคอไปหมด ผมเม้มริมฝีปากก่อนจะมองหน้าเขาอีกครั้ง
“ทำไมคุณถึงทำกับหมอคยูฮยอนได้ลง?”
“ผมมีทางเลือกไหม? ถ้ามี...คุณก็บอกมาสิว่าผมควรทำยังไง?” เขามองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ใบหน้าได้รูปนั่นมีรอยฟกช้ำตรงมุมปากที่ผมคิดว่าอีทงเฮคงเป็นคนทำ
“ผมพยายามช่วยคยูฮยอน...จนผมต้องเป็นแบบนี้” หมอจงอุนพูดพร้อมกับหันหน้าอีกข้างให้เห็น ผมเดินถอยหลังไปสองก้าวเมื่อพบว่าแก้มข้างขวาของเขามีรอยบาดแผลยาวขนาดราว ๆ สามนิ้ว ดูแล้วคงเป็นแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
“...” ผมหันหลังกลับไปดูว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ถึงอีทงเฮจะหลับแล้วแต่ผมก็เชื่อใจไม่ได้ว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นมากลางดึก
“คุณกลับเข้าไปเถอะ ผมไม่อยากเดือดร้อนเพราะความดื้อรั้นของคุณ”
“ไม่ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะได้คำตอบจากคุณ”
“...อยากรู้อะไรจากปากผมงั้นเหรอ?”
“บอกผมสิ ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
“...”
“ทำไมอีทงเฮถึงทำกับหมอคยูฮยอนได้ถึงขนาดนั้น ทำไมเขาถึงต้องตามไล่ล่าผมแล้วฆ่าคนรอบตัวผมทีละคนแบบนี้?!”
“...” หมอจงอุนได้เพียงแค่มองหน้าผมที่กำลังใส่อารมณ์จนยากที่จะคุมอยู่ เขาผินหน้าไปอีกทางแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“ผมรู้จักกับคยูฮยอนมาหลายปี” เขาคว้าแก้วบรั่นดีขึ้นมาถือเอาไว้ในมือพลางหลุบสายตาลงมองพื้นพรมสีเข้ม “เขาเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ มันคงไม่แปลกถ้าจะมีคนมารุมรักเขา”
“...”
“ทงเฮเป็นคนรักของคยูฮยอน ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นโรคจิตอ่อน ๆ เขาเป็นคนไข้ของหมอคนหนึ่งที่เป็นรุ่นพี่ของคยูฮยอน”
“หมอจองซูใช่ไหม?”
หมอจงอุนพยักหน้า
“เขารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น ผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่มากกว่าหมอกับคนไข้น่าจะสักราว ๆ สองปีได้ ช่วงแรก ๆ คยูฮยอนบอกกับผมว่าเขาจะพยายามรักษาโรคนี้ให้กับทงเฮโดยการให้ความรัก ความอบอุ่นเพราะทงเฮเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครมาตั้งแต่จำความได้ อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาจนกระทั่งออกมาเผชิญโลกภายนอกด้วยตัวเองตามลำพัง”
“…”
“คนที่ไม่เคยได้รับความรักมาก่อน มันคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะหึงหวงในสิ่งที่คิดว่าเป็นของตัว...”
“...”
“แต่นานวันไปทงเฮก็ทำเรื่องน่ากลัวมากขึ้นเมื่อเขาเริ่มทำร้ายตัวเอง และนั่นทำให้คยูฮยอนกลัวที่จะอยู่ข้าง ๆ เขา”
“...”
“มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หมอคนหนึ่งที่เข้ามาให้คำปรึกษากับคยูฮยอน จนกระทั่งเขาเผลอมีใจให้กับหมอคนนั้นโดยไม่ตั้งใจ”
ผมยืนนิ่งขณะฟังเรื่องราวจากปากหมอจงอุน ทุกอย่างมันเหมือนจิ๊กซอที่รอชิ้นส่วนมาเติมเต็ม หมอจงอุนกระดกบรั่นดีจนหมดแก้วแล้วกลืนมันลงคอ
“ศพหมอคนนั้นก็ฝังอยู่ที่หลังบ้านหลังนี้นี่เอง...ข้างนอกนั่นน่ะ”
“...” หมอจงอุนชี้ไปทางด้านข้าง
“คุณคงรู้นะว่าหมอคนนั้นตายเพราะอะไร?”
“...”
“แล้วที่คุณต้องมาตกนรกทั้งเป็นแบบนี้ มันก็ไม่มีที่มาที่ไปอะไรมากมายหรอก”
“...”
“ที่เขาต้องการคือให้คุณอยู่ข้าง ๆ ในวันที่ไม่เหลือใคร เขาแค่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ตามลำพังก็เท่านั้น”
“แม้ว่าผมจะไม่เต็มใจน่ะเหรอ?”
“...ครับ”
“...”
เราทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง ผมคิดตามกับสิ่งที่หมอจงอุนพูดแล้วก็นึกได้ว่าควรถามถึงใครอีกคน
“แล้ว...คุณคิบอม...” ผมถามออกไปทั้งที่กลัวคำตอบ ผมไม่รู้ว่าหมอจงอุนได้เข้าไปช่วยเขาอย่างที่เคยขออีทงเฮไว้หรือไม่
“ถ้าคุณไม่กลัวถูกทงเฮร้าย คุณตำรวจก็อยู่ในห้องนั้น” คุณจงอุนชี้ไปข้างหลัง ผมหันไปมองบานประตูไม้อยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมา
“คิดดูดี ๆ นะ ว่าถ้าทงเฮรู้ว่าคุณเข้าไปหาตำรวจคนนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“...”
“ถ้าอยากเสี่ยงก็ลองดู”
ผมยืนใช้ความคิดอยู่ตรงนั้น คำเตือนของหมอจงอุนทำให้ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเกิดผมเข้าไปหาคุณคิบอม อาจจะไม่ใช่แค่ผมที่ถูกทำร้ายก็ได้...
แต่ผม...ก็อยากเข้าไปดูว่าคุณคิบอมเป็นยังไงบ้าง...
“ขอบคุณที่เตือนผมด้วยความหวังดีนะครับ” ผมโค้งหัวขอบคุณคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น หมอจงอุนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาแค่หันไปสนใจกับบรั่นดีที่เพิ่งเทลงแก้วเมื่อครู่เท่านั้น ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องคุณคิบอมพลางเอื้อมมือไปวางไว้กับลูกบิด
“แต่อย่าคิดที่จะพาเขาหนีล่ะ”
“...”
“เพราะต่อให้คุณหนีไปไกลแค่ไหน คุณก็หลบหนีความจริงไม่ได้อยู่ดี”
แอ๊ด...
ผมเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ ข้างในมืดและรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ผมคลำผนังที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็เจอสวิทซ์ไฟ แสงสีส้มอ่อน ๆ สว่างขึ้นจนมองเห็นใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นในสภาพถูกมัดและตาของเขาที่ถูกผ้าดำคาดเอาไว้
รอยฟกช้ำที่อยู่บนใบหน้า อีกทั้งรอยแผลตามแขนนั่นทำให้ผมต้องยกมือป้องปาก ผมเข้าไปนั่งลงตรงหน้าคุณคิบอมแล้วถอดผ้าคาดตาออกให้ทันที
“คุณ...?” คุณคิบอมเรียกผมด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ผมเม้มปากแน่น น้ำตาไหลออกมาเมื่อเห็นสภาพเขาเป็นแบบนี้
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง...?” เขาถามขณะมองผมที่กำลังพยายามจะแกะเชือกให้เขา
“แล้วอีทงเฮไปไหน ทำไม..?”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยครับ” ผมยังคงพยายามต่อไปแม้ว่าเชือกที่รัดตัวคุณคิบอมมันจะแน่นสักแค่ไหน
“ถ้าช่วยผม...คุณก็ต้องเจ็บตัวอีก...”
“ผมไม่เป็นไร” ผมพูดทั้งน้ำตา ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเพราะความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา
“ไม่เป็นไรได้ยังไง...ข้อมือคุณน่ะ...” เขาพูดพร้อมกับจ้องมาที่ข้อมือผมที่มีผ้าก็อชสีขาวพันเอาไว้
“...”
“เจ็บมากใช่ไหม?”
“...” ผมชะงักมือพลางช้อนตามองคนตรงหน้าที่มองผมด้วยแววตาอ่อนโยน
“ยังมีแผลที่อื่นอีกหรือเปล่าครับ?” เขาถามอีกครั้งเมื่อไม่ได้คำตอบจากปากผม
“ไม่มีครับ...” ผมหลุบสายตาลงแล้วพยายามแกะเชือกให้เขาต่อ
“ก็ดีแล้ว...”
“ผม...” ผมเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับคุณคิบอมอีกครั้ง “ขอโทษนะครับ...ที่ไม่เชื่อใจคุณ” คุณคิบอมหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ มันอาจจะเป็นเพราะผมที่ทำตัวไม่น่าไว้ใจเอง”
“ไม่ครับ...ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมปัดมือปฏิเสธเมื่อเขากำลังเข้าใจผิด
“ผมก็โง่หลงคิดว่าชเวซีวอนเป็นคนดีมาเป็นปี ๆ ” เขายิ้มราวกับปลงในเรื่องที่เกิดขึ้น
“คุณไม่โง่หรอก คุณก็แค่ไว้ใจคน ๆ หนึ่งมากก็เท่านั้น”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ...แต่ผมดีใจนะ”
“ดีใจ?” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มบาง ๆ
“ผมดีใจ...ที่ได้เจอคุณอีกครั้งครับฮยอกแจ”
แอ๊ด...
“คัท! ตัดไปโฆษณาได้”
ผมหันหลังกลับไปมองตามต้นเสียงแล้วก็พบว่าอีทงเฮเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ผมเบิกตากว้าง รีบลนลานนั่งขวางคุณคิบอมเอาไว้
“โอ้โห...นอกจากจะไม่รีบเข้ามาแก้ตัวแล้วยังจะปกป้องกันอีกด้วย” อีทงเฮแค่นยิ้มมองผมที่อ้าแขนออกกว้าง
“ถ้าจะทำอะไรก็ทำฉันคนเดียว คุณคิบอมเขาเจ็บมามากพอแล้ว”
“ที่รักรู้ได้ยังไงครับว่าเขาเจ็บมามากพอแล้ว?”
“...”
“เฮ้ นายน่ะ ยังไหวหรือเปล่า?” เขาตะโกนถามคนที่นั่งอยู่ข้างหลังผม
“หรือว่าหงอจนต้องให้ผู้ชายตัวบาง ๆ อย่างนั้นมาออกหน้ารับแทน?” อีทงเฮทำหน้ากวนประสาทนั่นทำให้คุณคิบอมเลือดขึ้นหน้า
“!!!” เขาพยายามสะบัดตัวออกจากเชือกเส้นใหญ่ผมเลยห้ามเอาไว้
“แค่นี้มีโมโห...” อีทงเฮพึมพำเบา ๆ ก่อนจะกะเทาะบุหรี่ออกมาจากซองเพื่อจุดสูบแล้วเดินไปนอนบนโซฟาตรงมุมห้อง ผมสำรวจดูตามตัวเขาว่ามีอาวุธติดมือมาไหม แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เลยถลกเสื้อขึ้นให้ผมเห็นปืนที่เหน็บอยู่ตรงหัวกางเกง
“เมื่อกี้ยังนอนกอดผมอยู่ดี ๆ เผลอแป๊ปเดียวแอบหนีมาหาชายชู้ซะแล้ว”
“...” ตอนนี้ผมถึงได้รู้ว่าพลาดที่เผลอใจอ่อนกอดปลอบไอ้เลวนี่ไป เขาแค่นหัวเราะแล้วพ่นควันบุหรี่ให้ลอยฟุ้งไปบนอากาศ
“อ้อ! ลืมบอกไปเลย” อีทงเฮดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วชี้นิ้วมาที่คุณคิบอม
“หมวดซีวอนที่เคารพลางานให้คุณแล้วนะครับ”
“...”
“เอ...ลางานหรือว่าลาออกให้นะผมชักไม่แน่ใจ แต่ผมว่าน่าจะลาออกให้ซะมากกว่า” เขายิ้มกว้าง ดูสะใจกับเรื่องที่เพิ่งพูดไป
“แก...” คุณคิบอมขบกรามแน่น ผมได้เพียงแค่วางมือไว้บนหน้าขาเพื่อเตือนให้เขาอย่าใจร้อนพูดอะไรให้อีทงเฮไม่พอใจออกไป
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าขี้เกียจหางานใหม่ผมจ้างคุณได้นะ” อีทงเฮพูดต่อ
“...”
“มาเป็นหมาบ้านผมสิครับ ผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีเลยล่ะ...”
เขากระตุกยิ้มมุมปาก คุณคิบอมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากเชือกอีกครั้ง ผมคิดว่าคราวนี้คงทำให้เขาโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว
“หยุดนะอีทงเฮ!”
“ที่รักตะคอกผมทำไม~ ผมกำลังคุยกับคุณอดีตตำรวจหน้าใหม่อยู่นะ”
“ฉันจะกลับห้อง พอใจแล้วใช่ไหม?!”
“พอใจเหรอครับ?”
“...”
“ผมเผลอหน่อยไม่ได้รีบแอบมาพลอดรักกันลับหลังผมเชียว”
“...”
“ทำไมเหรอครับ ชายชู้เขาทำได้ถึงใจที่รักมากเลยเหรอ?” น้ำเสียงเหน็บแนมทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผมกำหมัดแน่นแล้วลุกขึ้นยืน
“ฉันจะกลับห้อง”
“โอเค อาบน้ำให้ตัวหอม ๆ ด้วยนะครับ ผมจะได้กลับไปนอนกอดต่อ” เขาพูดพร้อมกับโบกมือให้
“ก็ตามมาสิ” อีทงเฮเลิกคิ้วมองเมื่อไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากปากคนอย่างผม
“มาช่วยฉันอาบน้ำ...” ประโยคนี้ช่างกระดากปากผมเสียเหลือเกิน ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าคุณคิบอมในตอนนี้ แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าเขาอยู่ในสีหน้าแบบไหน
“คุณฮยอกแจ?!”
“โอ๊ะโอ...”
“...”
“ก็นะ...ในเมื่อที่รักขอมามีหรือผมจะปฏิเสธ” อีทงเฮขยี้ก้นบุหรี่แล้วลุกขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับโอบเอวเอาไว้ เขาหันไปมองคนที่นั่งทำหน้าเจ็บใจอยู่บนพื้นแล้วก็ยิ้มกว้าง
“แต่ถ้าคุณสนใจอาชีพนั้นก็บอกผมได้นะ ไว้ผมจะซื้อปลอกคอสวย ๆ มาให้ใส่ แต่ตอนนี้ผมคงอยู่เล่นกับคุณไม่ได้...เพราะเดี๋ยวผมต้อง...” เขาพูดพร้อมกับมองร่างกายผมด้วยสายตาโลมเลีย ผมหลุบตาลงไม่แม้แต่จะหันไปมองคุณคิบอมสักนิด...
เพราะถ้าผมไม่หาวิธีพาอีทงเฮกลับไปด้วย คุณคิบอมคงถูกทรมานอีกแน่...
เพราะฉะนั้นผมถึงได้...
“ไปกันเถอะครับ...ผมอยากช่วยที่รักอาบน้ำจะแย่แล้ว”
…To be continued...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk
คิบอมเป็นพระเอก พี่ทงมันเป็นตัวโกงนี่หว่า กรั่กๆๆๆ
ความคิดเห็น