คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Friend's IX - A Day... (하루에) - END -
วันนี้อากาศอุ่นจัง...
อุ่น..
จนรู้สึกไม่อยากลืมตาแล้วลุกออกไปไหน..
เปลือกตาบางค่อยๆ ลืมขึ้นปรับสภาพเมื่อแสงแดดยามเช้าสอดส่องเข้ามาภายในตัวห้อง...นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงเมื่อพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครอีกคน
และที่สำคัญ...แขนของเขานั้นกำลังโอบอยู่กับเอวหนาอีกด้วย
ยังไม่ทันตั้งสติได้ใครอีกคนก็เริ่มขยับตัว..ฮยอกแจรีบหลับตาลงทันทีเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้น ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ด้วย
รู้แค่ว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าทงเฮในสภาพแบบนี้..
ริมฝีปากหยักยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงหลับไม่รู้เรื่อง.. ร่างหนาไล้หลังมือไปตามดวงหน้าหวานเบาๆ จนสุดท้ายหยุดที่ริมฝีปากแดงฉ่ำ ทงเฮหลุดขำออกมาเล็กน้อยตอนเห็นคนในอ้อมกอดขมวดคิ้วเมื่อปลายนิ้วเรียวสัมผัสไปตามดวงหน้าหวานจนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปจูบหน้าผากหนักๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อื้อ...!!” มือเรียวดันแผงอกแกร่งออกพลางลืมตาขึ้นมองค้อนคนตรงหน้า ทงเฮเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่กำลังหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะพลิกตัวนอนในท่าสบายๆ
ชายหนุ่มกำลังทำเหมือนไม่ร้อนไม่รู้หนาวพลางเสตามองเจ้าของแผ่นหลังขาวเนียนที่กำลังนั่งจมปุกหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงราวกับคิดอะไรอยู่ พอร่างโปร่งจะลุกจากเตียงเท่านั้นก็โดนมือหนาดึงให้ลงมานอนด้วยกันอีกครั้ง
“.....................” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีกับสถานการณ์แบบนี้... ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนโดนทงเฮเอาแต่ใจเค้าคงถีบแรงๆ ให้สำนึก...แต่ว่าตอนนี้...
“ฮยอกแจ”
ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตากับใบหน้าคมที่กำลังยิ้มให้กับเขา วงแขนกว้างรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นก่อนจะประกบจูบลงบนริมฝีปากบางเบาๆ รอยยิ้มทะเล้นแต่งแต้มบนใบหน้าคนขี้แกล้งแต่ผิดกับใครอีกคนที่กำลังหน้าแดงเห่อเพราะการกระทำของผู้ชายที่ชื่ออีทงเฮคนนี้
“..ม...มึง” ฮยอกแจผลักคนตรงหน้าออกเป็นครั้งที่สองก่อนจะเอี้ยวตัวหลบหากแต่ถูกวงแขนแกร่งรั้งเข้าไปกอดเช่นเดิม ตอนนี้รู้สึกเหมือนหน้าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ยิ่งพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่..
“กูทำไมเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างใบหูเล็กพร้อมกับฝังจมูกลงบนกกหูเบาๆ ร่างโปร่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวหันกลับไปประจันหน้ากับไอ้หมาบ้าที่ทำตัวหื่นใส่เขาแต่เช้า
“...อย่ามาทะลึ่งนะทงเฮ” มองค้อนคนตรงหน้าที่กำลังเลิกคิ้วมองแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ทะลึ่งตรงไหน ก็แค่จูบมอนิ่งคิส” ตอบหน้าตายหากแต่คนได้ฟังกลับรู้สึกงิดแปลกๆ จูบมอนิ่งคิสงั้นเหรอ...เพื่อนที่ไหนเค้าทำกันแบบนี้วะ...
“.....................”
“ไม่ได้เหรอ?”
“.....................”
“ก็กว่าจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้”
นัยน์ตาคมฉายแววตาจริงจัง มือแกร่งกุมมือเรียวขึ้นมาทาบบนแก้มตัวเองไว้พลางหลับตาลง..อยากซึมซับความรู้สึกนี้ไปนานๆ ทงเฮกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้าเมื่อริมฝีปากหยักนั้นพรมจูบลงบนหลังมือเรียวเบาๆ ราวกับเขาเป็นผู้หญิง...
ถึงจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่....แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ...
“เพราะว่าถ้านี่มันเป็นแค่ความฝัน...กูก็ไม่อยากตื่นมาเจอความจริงแล้วล่ะ”
อึ้งกับคำพูดของอีกคน..อีทงเฮทำให้เขารู้สึกร้อนไปทั่วทั้งใบหน้าจนต้องหลุบสายตาลงก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกรวบตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด.. ร่างกายของอีกฝ่ายร้อนผ่าวราวกับคนมีไข้แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นจนไม่กล้าผละตัวหนีไปไหนอีก..
“มีแต่เด็กเท่านั้นแหละ...ที่จะคิดอะไรแบบนั้น...” พูดเบาๆ แต่ก็หลับตาลงรับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้
วงแขนแกร่งที่กำลังกอดเขาเอาไว้..
ริมฝีปากที่กดจูบลงบนหน้าผาก..
ไล่ลงมาถึงปลายจมูก..และจรดลงบนริมฝีปากเขาอย่างนุ่มนวล..
สัมผัสอ่อนโยน..อบอุ่น...ที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับจากอีทงเฮ
และถ้านี่เป็นความฝันจริงๆ แล้วล่ะก็.....
........อีฮยอกแจ
ก็ไม่อยากตื่นมาพบเจอความเป็นจริงแล้วเหมือนกัน......
.
.
เหมือนเดิม..แต่เปลี่ยนไป...
(หัวเราะ)
เราทั้งคู่กำลังเป็นอย่างนั้นสินะ..
เฮนรี่กับอีทึกถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพคนสองคนกำลังเดินเข้ามาในแคนทีนด้วยกันในช่วงบ่าย มือแกร่งสะกิดเข้าที่สีข้างเพื่อนรุ่นพี่เบาๆ ก่อนกระหันไปกระซิบ
“นี่กูตาฝาดไปรึเปล่าวะดูโอ้” ถามในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับชายหนุ่มสองคนที่กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา
“ยิ่งกว่าฝาด” อีทึกตอบพลางมองคนตรงหน้าทั้งคู่...มาด้วยกัน...แต่สีหน้าแม่งคนละอารมณ์เลย
หนึ่งคนยิ้มปากจะฉีกถึงใบหู
อีกหนึ่งทำหน้านิ่งเหมือนขี้ไม่ออกมาหลายวัน
นี่พวกมึงมาด้วยกันจริงๆ เรอะ
“.................” <- เฮนรี่
“.................” <- อีทึก
“.................” <- ฮยอกแจ
“เอ้า..เงียบทำไมวะ” ทงเฮถามพลางหันไปมองหน้าสองดูโอ้...ยังมีหน้ามาถามอีกว่าเงียบทำไม เห็นพวกแม่งสองตัวเดินมาด้วยกันแบบครบสามสิบสองโดยไม่มีคราบเลือดสักหยดติดตัวอีกฝ่ายเลยนี่มันก็แปลกไปนะ..ก่อนหน้านี้เคืองกันจะตายห่า หนังหน้าแทบไม่อยากมอง พูดชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาเป็นไม่ได้ต้องเปลี่ยนบทสนทนาเสียเดี๋ยวนั้น...แล้วนี่มันอะไร...
“ตั้งแต่วันนั้น” <- อีทึก
“ก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า” <- เฮนรี่
“ปล่อยให้พวกกูโดนประชุมตีนที่หลากหลาย” <- อีทึก
“อย่างเลือดเย็น............” <- เฮนรี่
สองดูโอ้พูดเป็นนกแก้วนกขุนทองทำเอาทงเฮรู้สึกคันตีนอย่างบอกไม่ถูก สภาพหน้ามันทั้งคู่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย และเขาเองก็รู้ดีว่าพี่ฮีชอลคงไม่ปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมากไปกว่านั้นแน่ ทงเฮตีหน้าซื่อก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่นิ่งเงียบมานาน
มือหนาเอื้อมไปกุมมือเรียวที่วางอยู่บนหน้าขาเอาไว้ก่อนที่เจ้าของมือจะรีบชักออกแล้วหันมาถลึงตาใส่..ต่อหน้าคนเกือบร้อยยังจะกล้าทำอะไรแบบนี้อีก แม้ว่าคนพวกนั้นจะไม่ได้สนใจเขาทั้งคู่เลยก็เถอะ ถึงจะกลับมาคุยกันได้อีกครั้งแต่ก็ใช่ว่าฮยอกแจจะยอมให้ทงเฮทำเรื่องแบบนี้ได้เสียเมื่อไหร่.. ทงเฮถลึงตากลับพลางดึงมืออีกคนมาประสานกันไว้โดยที่ไม่สนใจเลยว่าฮยอกแจจะเต็มใจหรือเปล่า
ไม่เคยถูกทงเฮกุมมือนานขนาดนี้มาก่อน..
ไม่สิ..จริงๆ แล้วเขากับทงเฮแทบจะไม่เคยจับมือกันโดยตรงเลยด้วยซ้ำ..อย่างมากก็แค่กุมมืออีกฝ่ายวิ่งเข้าห้องสอบหรือไม่ก็กอดคอเดินไปด้วยกันก็เท่านั้น..
มือของเขาทั้งคู่เริ่มชื้นเหงื่อ...แต่ทงเฮก็เลือกที่จะกุมมือฮยอกแจต่อไป...
จนอดคิดไม่ได้ว่า...การจับมือนั้นมันลึกซึ้งเกินกว่าคนที่เป็น “เพื่อน” กันจะมาทำอะไรแบบนี้
“นี่ก็ใกล้สอบแล้ว งานกองท่วมหัว นี่เตือนด้วยความหวังดี ถ้าอยากจบพร้อมกูมึงก็ควรปั่นงานซะนะดูโอ้” เฮนรี่หันไปตบบ่าคนข้างๆ ก่อนจะทำหน้าเซ็งเมื่อไอ้แก่เสือกทำตะเกียบเขาตกลงพื้นอีก ร่างสูงก้มลงไปใต้โต๊ะหวังจะเก็บตะเกียบขึ้นมาก่อนจะหยุดชะงักเมื่อภาพที่เห็นมันชวนอ้าปากค้าง..
ภาพของสองมือกำลังสอดประสานกันใต้โต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เชื่อสายตา...คือแปลกใจตั้งแต่พวกมันเดินมาด้วยกันแล้วไง...แล้วไอ้จับมือกันแบบนี้เพื่อนที่ไหนเค้าทำกันบ้างวะ? ขนาดเขาที่ว่าสนิทกับอีทึกโอกาสที่จะได้จับมือน่ะเหรอ...จะมีก็แค่แท๊กมือกันบ้างตามประสาคนบ้าอยากฮิพฮอพก็เท่านั้นแหละ...แต่มันไม่ใช่ประสานมือกันแบบนี้อ่ะ...มันไม่ใช่...
พอตั้งสติได้แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งตามเดิม..ตาตี่ตามเชื้อชาติจีนหรี่มองจับผิดพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจของเพื่อนทั้งคู่ที่ยังคงปั้นหน้าปั้นตาปกติผิดกับสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่...
อื้อหือ...ซุ่มจับมือกันหน้าตาเฉยสินะครับพวกมึง...
เฮนรี่แกล้งสะกิดตะเกียบเบาๆ จนตกลงไปบนพื้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงบ่นของเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะหากแต่ร่างสูงกลับนั่งนิ่งไม่เอ่ยปากเถียงเหมือนกับทุกครั้ง
“ดูโอ้ มันตกลงฝั่งมึงอ่ะ เก็บให้กูหน่อยได้ป่ะ” เอาศอกสะกิดคนข้างๆ หากแต่สายตานั้นจ้องทงเฮกับฮยอกแจไม่ห่าง
“ก็ไปหยิบอันใหม่มาดิห่า มันตกพื้นไปแล้วจะเก็บขึ้นมาคีบแดกอีกไง?” อีทึกบ่นพร้อมกับชี้ไปที่หน้าร้านขายจาจังมยอนที่เยื้องไปไม่ไกลนัก
“กูจะเอาอันนั้นอ่ะ มึงก้มลงไปหยิบมาให้กูแค่นี้หลังมึงคงไม่เดาะหรอกครับดูโอ้” เฮนรี่บ่นจ๋าเป็นภาษาบ้านเกิดทำเอาคนอายุมากกว่าตัดปัญหาโดยการก้มลงไปเก็บให้
เพราะเวลาไอ้หลัวมันแรพทีไรแม่งฟังไม่เคยจะรู้เรื่อง - -
ก้มลงไปใต้โต๊ะก่อนจะถอนหายใจพรืดอีกครั้งเมื่อถูกไอ้เจ๊กข้างๆ นี่สะกิดไม่หยุด แม่งเป็นส้นตีนอะไรอีกล่ะสัด ว้าวุ่นจริงนะมึงวันนี้
พอหันไปก็เห็นมือเฮนรี่ชี้ไปทางใต้โต๊ะ...นัยย์ตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง...ใบหน้าคมหันไปสบตากับดูโอ้ตาตี่ก่อนจะสื่อสารกันทางสายตา...
‘มึงเห็นอย่างที่กูเห็นใช่ไหม’
‘เออ’
‘มึงคิดเหมือนกูรึเปล่าบีหนึ่ง...’
‘กูก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละบีสอง...’
“เป็นเหี้ยไรกัน...แล้วนี่พวกมึงจะนั่งปั่นงานกันตรงนี้เหรอ” ทงเฮถามเรียกความสนใจจากสองดูโอ้ที่ทำตัวแปลกจนฮยอกแจเริ่มเข้าใจสถานการณ์
“...เปล่า”
“พี่ทึกมันจะไปทำบ้านกู” เฮนรี่ตอบเสียงเบา
ทำตัวไม่ถูกจริงๆ ครับ! ภาพที่เห็นนั่นมันคงสื่อความหมายอื่นไม่ได้อีกแล้ว...เอาตามตรงเลยนะ! คือผู้หญิงเดินผ่านไปมามีจับมือกันมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สิ่งสวยงามกุมมือเดินหัวเราะไปด้วยกันมันโคตรจะฟินนาเร่...แต่นี่...ตัวผู้สองคนที่สนิทกันนักหนาจับมือกัน...เออ...ถึงจะเคยแซวว่าแม่งเป็นผัวเมียกันอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะก้าวล้ำจุดนั้นมาจริงๆ นี่หว่า
เพื่อนผู้ชายที่ไหนมันจะนั่งกุมมือกันวะครับ! ผมไม่เข้าใจ!
“มึงแปลกๆ นะเชี่ยหลัว”
“กูปกติมาก ( ̄(エ) ̄)”
“รึมึงปวดขี้?”
“อ...เออ...มึงรู้ได้ไง” มองอีกคนหวาดๆ จะถามคาดคั้นทำไมให้มากเรื่อง จะให้บอกว่ากูตกใจที่เห็นเพื่อนสองคนแม่งหันมาจั้มบ๊ะกันงั้นเหรอสัด
“ปล่อยมันนั่งบิ๊วไปเถอะ มึงก็ไปหาซื้ออะไรแดกซะสิ เดี๋ยวก็เข้าเรียนแล้ว” เป็นอีทึกที่ปรับสภาพปกติเร็วที่สุด เฮนรี่แหยะปากหันไปมองดูโอ้อย่างเหลือเชื่อ
“ไม่หรอก กูสองคนกินมาแล้ว”
นั่นไง!!! กินมาแล้ว พวกมึงกินอะไรกันสองคนวะ!!!!
“................” <- เฮนรี่ (สติหลุด)
“....เชี่ยหลัวมึงจะแดกต่อไหมเนี่ย?” หันไปมองคนข้างๆ ที่เอาแต่ถือตะเกียบค้างไว้อยู่อย่างนั้น เฮนรี่วางตะเกียบลงกับโต๊ะดังปั๊กก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูงสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนอีกสามคน
“ก...กู...ไม่แดกล่ะ”
“......................” <- อีทึก
“......................” <- ทงเฮ
“......................” <- ฮยอกแจ
“กู...จะไปขี้” เฮนรี่คว้ากระเป๋าเป้หลากสีขึ้นมาสะพายก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากแคนทีน ทั้งที่ห้องน้ำอยู่คนละฝั่ง....อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับท่าทางเซ่อๆ ของมัน
.
.
บางทีคนเราก็ไม่รู้ตัวหรอก
ว่ากำลัง... ‘หึงหวง’ อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว...
กึ่กๆๆ
เสียงฝีเท้าและเสียงแหกปากตะโกนของชายหนุ่มเกือบสิบที่วิ่งอยู่บนพื้นหญ้าในสนามฟุตบอล มือแกร่งวางกระเป๋าลงหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยพร้อมจะลงสนามพลางหันไปมองคนข้างๆ ที่สวมชุดเดียวกัน
“แน่ใจนะว่าจะเล่น” ทงเฮถามพลางนั่งลงข้างๆ ร่างโปร่งที่กำลังสวมถุงเท้าอยู่..ฮยอกแจพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะลุกขึ้นวิ่งย่ำเท้าอยู่กับที่..พอเห็นร่างโปร่งอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นห้ามทันที
“เฮ้ย....ไม่ต้องเล่นหรอก...ป่ะ...กลับบ้านกัน” มือแกร่งจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ หากแต่คนถูกห้ามกลับคิ้วขมวด นึกรำคาญทงเฮที่ทำเหมือนเขาเป็นคนท้องเต็มที
“อะไรของมึงเนี่ย”
“นะ ไม่ต้องเล่นหรอก” สีหน้าอ้อนวอนเรียกร้องความเห็นใจจากคนตรงหน้า ก็เป็นห่วงนี่หว่า เมื่อคืนทำอะไรกันมาก็น่าจะรู้...แล้วยิ่งไปวิ่งในสนามฟุตบอลเกือบชั่วโมงแบบนั้นมันจะไม่ปวดตัวแย่เหรอ
“เฮ้ย! ให้ไวดิ พวกมึงจะเล่นไหมเนี่ย” เฮนรี่วิ่งเหงื่อโชกออกมาจากสนามพร้อมกับหยุดหอบหายใจ
“มันปวดท้อง” <- ทงเฮ
“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” <- ฮยอกแจ
“(-__-)”
“(-__-)+”
“มึงตกลงกันก่อนก็ได้นะกูไม่รีบ...”
“.....................”
“...มึง...ไม่...รู้สึกเจ็บ...เลยเหรอ?” พูดจบก็หน้าหันไปอีกทางเพราะถูกมือเรียวผลักเข้าให้ นี่ดีนะที่ไอ้หลัวมันเดินไปแล้ว ทงเฮหันกลับมาเลิกคิ้วมองกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นดวงหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ
“ไม่ กูไม่ได้เป็นอะไร..” ฮยอกแจเบือนหน้าหลบไปอีกทางก่อนจะรีบใส่ถุงเท้าอีกข้าง
ทงเฮอมยิ้มน้อยๆ ...ทำตัวแบบนี้เดี๋ยวก็เผลอฟัดข้างสนามซะหรอก...
.
.
“อะไรนะ ทีมถอดเสื้อเหรอ”
“เออ ปกติก็เห็นอยู่ทีมนี้ไม่ใช่? กูก็เหลือไว้ให้สองตำแหน่ง ไม่ดีไง๊” เฮนรี่ถามไอ้คนเจ้าปัญหาทื่ยืนทำหน้าไม่พอใจกับทีมที่ได้ เรื่องมากจังนะสัด ทุกทีเห็นรีบถอดเสื้อลงสนามโชว์กล้ามให้เด็กนิเทศน์กรี๊ดกร๊าดเป็นกระจำ แล้วนี่เสือกเป็นโรคชักกระตุกอะไรขึ้นมาอีกล่ะ
สงสัยเพราะทีมกูทำแต้มนำไปก่อนเลยกลัวแพ้สินะ
“ไม่ได้” คำพูดสุดเผด็จการทำเอาเพื่อนครึ่งสนามต้องส่ายหัวพรืด เอาอีกแล้ว...ไอ้เชี่ยทงเฮแม่งเอาอีกแล้ว...
“..................” ฮยอกแจมองคนข้างๆ พลางถอนหายใจ..
ชักไม่แน่ใจว่ามันดีแล้วเหรอที่กลับมาเป็นแบบนี้...
ก็เข้าใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง..แต่มันก็ยังดีกว่าสูญเสียทุกอย่างไป..
ทงเฮกำลังทำให้ทุกอย่างวุ่นวายจนเขารู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่...
“ทงเฮ มึงอย่าเรื่องมากได้ไหม” ร่างโปร่งเอ่ยเสียงเนือยก่อนที่ใครอีกคนจะหันหน้ากลับมามองเขา ฮยอกแจแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ให้ได้รู้กันไปเลยว่าเขาไม่ชอบที่ทงเฮทำแบบนี้
ร่างหนาเดินมาหยุดตรงหน้าเขา..ใกล้..ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ หากแต่ไม่เป็นที่สงสัยในสายตาเพื่อนฝูง
“อยากให้คนพวกนั้น.....เห็นรอยบนตัวมึงรึไง....”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหูจนคนได้ฟังต้องรีบดันแผงอกอีกคนออกทันที นัยน์ตาเรียวจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในวงเพื่อน...
ไอ้บ้าเอ๊ย....
“สัดหลัว”
“ไร”
“ถอดเสื้อ”
“ห๊า!?”
“กูบอกให้ถอดไง ฮยอกแจมึงไปเป็นกองหลังทีมนั้น ส่วนมึงเชี่ยหลัว...ย้ายมาอยู่กับกูแล้วให้เชี่ยทึกเป็นกองหน้าซะ” ทงเฮสั่งอย่างเอาแต่ใจจนคนถูกย้ายตำแหน่งคิ้วขมวด
“พ่อมึงเป็นเซอร์อเล็กซ์ฟอกูสันเหรอสัด” พูดด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ไอ้เหี้ย แม่งอะไรก็กูตลอด ถ้าพ่อมึงไม่เป็นอเล็กซ์ฟอกูสันก็คงเป็นฮิตเลอร์แน่ๆ
“เออ นั่นแหละอนาคตกู”
“แม่ง แล้วมึงให้มือดีจากพระนครอย่างไอ้ฮยอกแจเป็นกองหลังเนี่ยนะ อย่างมันต้องกองหน้าดิ”
“ก็ให้สลับตำแหน่งกันบ้าง มึงไม่รู้อะไรพวกกองหลังแม่งมีแต่โปรทั้งนั้น พวกขี้ตีน ส่วนมากชอบวิ่งโชว์ว่าวอยู่กลางสนาม...รีบถอดเสื้อดิควาย ชักช้าว่ะ” ทงเฮพูดพร้อมกับเดินเข้าไปถอดเสื้อให้กับร่างสูงหน้าตาเฉย คนถูกถอดได้เพียงแค่ยืนเอ๋อให้อีกฝ่ายกระทำ ชีวิตกูแม่งก็เศร้าแบบนี้...
“อย่าวิ่งเยอะนะ” กระซิบข้างหูร่างโปร่งเบาๆ ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้ววิ่งลงสนามไปกับร่างสูง.. ฮยอกแจมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังวิ่งเข้าไปแย่งลูกฟุตบอลกับคนอื่นพร้อมกับยิ้มบางๆ
บางที...ผมก็ควรมองทงเฮใหม่...
.
.
ผมจะรู้ได้ยังไงนะ...
ว่าในตอนนี้...ชีวิตของผมมันมีความสุขอยู่รึเปล่า...
เสื้อผ้าถูกพับเก็บใส่กระเป๋าเป้ทีละชิ้น...นัยน์ตาเรียวกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง...ห้องที่เขาใช้พักพิง ทั้งที่เสื้อผ้ามีเพียงไม่กี่ตัวแต่กลับใช้เวลาเก็บมันนานกว่าที่เคย
พึ่งวางสายจากแม่ไปเมื่อครู่...
‘คยูฮยอน แม่จะไปเยี่ยมพี่อินฮยองกับยองอุน คงไม่กลับบ้านสักสองสามวัน...ลูกกลับมาดูแลพ่อหน่อยได้ไหม?’
‘พี่อินฮยองเค้าเป็นอะไรครับ?’
‘เฮ้อ...พี่แกเค้าก็ป่วยออดๆ แอดๆ อยู่แล้ว...พอคลอดลูกไม่นานก็ทรุดตัวหนัก...ต้องส่งเข้ากลับไปนอนโรงพยาบาลอีกครั้งน่ะสิ...’
‘................’
‘เป็นความผิดของแม่เองแท้ๆ ที่ขอให้ยองอุนมาช่วยงานพ่อแกจนไม่มีเวลาดูแลเมีย...’
‘นานแค่ไหนครับ...ที่เขาจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก’
‘คยูฮยอนอา..แม่ไม่รู้หรอกนะว่าลูกเป็นอะไรทำไมถึงรังเกียจยองอุนนักหนา...แต่ว่า....’
‘ผมถามว่านานแค่ไหน’
‘
.ก็คงเป็นเดือน’
ต่อไปนี้คงไม่ได้มารบกวนซีวอนอีก...และเขาเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะมีชีวิตอยู่แบบปกติได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเกิดพี่อินฮยองหาย...แล้วพี่ยองอุนจะกลับมาอีกรึเปล่า..?
และพอถึงเวลานั้นเขาจะทำยังไง...ส่วนตัวเขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้ซีวอนนัก...เขาก็โตมากแล้วควรแก้ปัญหาด้วยตนเอง...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา...รู้สึกเกรงใจแต่ก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน...
นี่เขากำลังเป็นอะไร?
นิ้วเรียวยาวเกี่ยวห่วงพวงกุญแจรถไว้พลางหมุนรอใครอีกคนที่ยังไม่ออกมาจากห้อง ร่างสูงหรี่เสียงเพลงพลางวางพวงกุญแจลงบนโต๊ะก่อนจะเอนหลังนอนบนโซฟาตัวยาวที่ใช้หลับนอนในทุกๆ คืน
ใช้ชีวิตชายโสดมาตั้งกี่ปี...
พอมีใครสักคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ในตอนแรก...
โซฟาแคบๆ ที่ทำให้เขาต้องปวดหลังทุกวันในตอนนี้กลับรู้สึกชินไปกับมันโดยไม่รู้ตัว
ห้องครัวที่เอาไว้ใช้อุ่นอาหารก็ได้ใช้งานมันอีกครั้ง....หนังสือเมนูต่างๆ ที่เคยเก็บไว้ถูกเอามาเปิดดูในการปรุงอาหารเมื่อมีใครอีกคนมาอยู่ด้วย
“ผมเก็บของเสร็จแล้วครับ”
.
.
ร่างสูงดับเครื่องยนต์ลงเมื่อถึงที่หมาย นัยน์ตาคมหันไปมองคนข้างๆ ที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ลงจากรถ..
ในเมื่อคนที่เคยหวาดกลัวจะไม่อยู่รังควานชีวิตเขาแล้ว..คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปรบกวนชเวซีวอนอีก...แต่พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ แล้วกลับรู้สึกใจหาย..
ทำไมนะ?
“ถึงแล้ว”
“.......................” ร่างโปร่งนั่งนิ่ง ได้ยินในสิ่งที่อาจารย์หนุ่มพูดดี...
“.......................”
“ขอบคุณที่ให้ผมรบกวนตั้งหลายวันนะครับ...”
“ไม่เป็นไร คุณเองก็เป็นลูกศิษย์ของผม”
“ผมคงไม่ได้มารบกวนคุณอีกแล้ว”
“หืม...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” มองใบหน้าเรียวที่กำลังก้มลงมองมือตัวเองที่กำลังประสานกันอยู่บนตัก ไม่รู้เลยว่าคยูฮยอนกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าผมแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้..ผมก็ต้องมารบกวนคุณแบบนี้อยู่เรื่อย...แต่ถ้าผมไม่เริ่มทำอะไรสักอย่างตั้งแต่ตอนนี้..” เสียงเบาหวิวจนคนข้างๆ ลอบถอนหายใจเบาๆ มือแกร่งวางลงบนพวกมาลัยพลางเคาะไปตามจังหวะทำลายความเงียบที่กำลังปกคลุมไปทั่ว..
“..................”
“อีกอย่าง คุณก็มีท่าทีอึดอัดเวลาอยู่กับผม”
ร่างสูงหันกลับไปมองใบหน้าเรียวก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
“หืม..ผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอ? ....อ่า...ไม่รู้สิ...ผมคิดอยู่เสมอว่าคุณคงไม่อยากอยู่กับผมสักเท่าไหร่” อยากจะพูดกลับไปด้วยซ้ำว่าเป็นคยูฮยอนเองไม่ใช่เหรอที่น่าจะคิดอะไรแบบนั้น
“..................”
“..................”
“ผม...ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกครับ”
“อืม...”
สับสน...ความรู้สึกในตอนนี้มันบอกไม่ถูก...ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินลงจากรถไปโดยที่ไม่สนใจจะร่ำลาอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ...แต่ตอนนี้...
“ขอบคุณนะครับ...”
“ไม่เป็นไร”
“.....ครับ”
บรรยากาศอึดอัดแบบนี้...บางทีเขาควรจะชินกับมันได้แล้ว...ความอึดอัด...ความเงียบ...มันเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ชเวซีวอน...แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากให้มันก่อตัวขึ้น
“...................”
นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อมือแกร่งเอื้อมมาลูบหัวเขาเบาๆ ทั้งที่สัมผัสมันอ่อนโยนขนาดนี้..แต่ทำไมกลับรู้สึกหนาวไปถึงหัวใจ..ราวกับเป็นเด็ก..คยูฮยอนปล่อยให้อีกคนลูบหัวอยู่อย่างนั้น ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของร่างสูง...
ควรไปได้แล้ว....กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง....
“อ่านหนังสือด้วยล่ะ อาทิตย์หน้าก็เริ่มสอบแล้ว”
ไม่รู้หรอก....ว่าตอนนี้ซีวอนกำลังแสดงสีหน้ายังไง..
ก็แค่กลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง...โลกที่ไม่เคยมีชเวซีวอนตั้งแต่แรก...
กลับไปเป็นลูกศิษย์ที่จะเจอกับอาจารย์ผู้สอนอาทิตย์ละครั้ง...วันละสามชั่วโมง...
เพราะถ้าเลือกที่จะยืนด้วยขาตัวเองแล้ว...ก็ควรเลิกพึ่งพาคนอื่นสักที....
.
.
ในห้องอาบน้ำที่เงียบสงบ..มีใครคนหนึ่งกำลังชำระล้างร่างกายหลังจากเหล่าเพื่อนฝูงทยอยกันกลับไปหมดแล้ว เพราะบรรยากาศรอบข้างที่เงียบสงบ..มีเพียงแค่เสียงน้ำที่ตกลงบนพื้นกระเบื้องสีขาวเลยทำให้นึกถึงคนๆ หนึ่ง...
ป่านนี้จะอยู่ที่ไหนกันนะ...
หยาดน้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่างผอมบาง...ปล่อยให้หยาดน้ำไหลไปทั่วสรรพางค์...ให้มันชำระล้างความคิดบ้าๆ ให้ออกไปจากหัวเสียที...แค่คนๆ นึงที่อยู่กับเขาตลอดทั้งวันหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว...มันทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ...
“แม่งคงไปหาสาวล่ะมั้ง เพราะเมื่อกี้เห็นเด็กนิเทศเดินผ่านแล้วยิ้มๆ ป่านนี้คงลากเค้าไปแดกในน้ำแล้ว”
“......................”
“จะกลับพร้อมกูป่ะล่ะ เดี๋ยวกูไปส่ง” เฮนรี่ว่าพลางชำเลืองตามองคนข้างๆ ใบหน้าเรียวสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“...ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจะอาบน้ำก่อนน่ะ.. ขอบใจนะ...”
“เออ~ ไม่ต้องไปรอแม่งหรอก รถเมล์ก็มี.. สันดานคนขี้ติดสัตว์เป็นยังไงก็น่าจะรู้...กูไปล่ะ~” พูดพร้อมกับตบบ่าฮยอกแจเบาๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับ ผิวปากเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องอาบน้ำชายไป
“......................”
บางทีก็ไม่เข้าใจ...
ว่าทำไมต้องมาเป็นกังวลด้วยว่าตอนนี้ทงเฮอยู่ไหนทำอะไรอยู่ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเวลาทงเฮจะไปไหน อะไร กับใคร...จะทำอะไรก็ไม่เคยถาม
ก็เพราะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วไง...
ถ้าเป็นเมื่อก่อน...แน่นอนว่าตอนนี้ทงเฮคงรีบกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปรับผู้หญิง..
แต่ถ้าเป็นตอนนี้...เขากลับภาวนาในใจว่าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
เป็นความคิดโง่ๆ ของคนที่ไม่มั่นใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
เรื่องราวระหว่างเขากับทงเฮ ดูภายนอกแล้วก็แค่เพื่อนสนิทที่เคยทะเลาะกันใหญ่โตเรื่องผู้หญิงแล้วกลับมาคุยกันได้อีกครั้ง...สถานภาพคลุมเครือที่ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่?
และเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดอะไรง่ายๆ เพราะระหว่างเขากับทงเฮนั้นมันล้ำเส้นของคำว่า ‘เพื่อน’ มานานแค่ไหนแล้ว ทงเฮอาจจะนึกสนุกกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้...แล้วสักวันหนึ่งพอทงเฮเบื่อ...
อ่า...ถ้าทงเฮเบื่อน่ะเหรอ...
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น อดคิดไม่ได้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึง ไม่รู้ว่าทงเฮจะเล่นกับความรู้สึกของเขาไปถึงเมื่อไหร่...
“จะไม่มีอีทงเฮคนที่คอยทำร้ายจิตใจมึงอีกแล้ว...ไม่มี...”
แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น...
....ประโยคเดียว....ที่เปลี่ยนทุกอย่าง....
“อ๊ะ!” สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงบนหัวไหล่...ใบหน้าเรียวหันกลับไปมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อคนๆ นั้นเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้วงของความคิด...ใบหน้าคมฝังจมูกลงบนซอกคอขาว มือแกร่งเข้าสวมกอดเอวบางก่อนที่ร่างโปร่งพลิกตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับดันแผงอกกว้างเอาไว้พลางมองใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้ม...
ร่างหนาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ดวงหน้าหวานพร้อมกับกดจูบลงบนกลีบปากบางแผ่วเบาโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แผ่นหลังบางถูกดันติดกับผนังกระเบื้องเย็นเฉียบ มือเรียวแปะป่ายไปตามเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกลู่เพราะกระแสน้ำที่ยังคงไหลออกมาจากฝักบัวอย่างต่อเนื่อง มือหนาสอดเข้าไปใต้กลุ่มผมนุ่มให้เผยอรับจูบที่เขามอบให้
ริมฝีปากหนาผละออกอ้อยอิ่งพลางจ้องดวงหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อพร้อมกับอมยิ้ม...นัยน์ตาเรียวเสมองไปข้างนอกประตูที่ยังคงปิดสนิทก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องเขาไม่ห่าง
“ไม่มีใครมาเห็นหรอก ล็อคประตูแล้ว”
“....................” มือเรียวผลักอีกฝ่ายออกขณะที่ยังจ้องใบหน้าทะเล้นอยู่อย่างนั้น ทงเฮยังคงตีหน้ากวนประสาทเขาไม่เลิก จู่ๆ ก็เข้ามารุ่มร่ามเอาแต่ใจ แล้วไหนจะสภาพเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำอีก
“ว๊า...เปียกซะแล้ว” มือหนาเสยผมที่เปียกลู่ขึ้น นัยน์ตาคมทอดมองเรือนร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ตรงหน้า...ใบหน้าเรียวขึ้นสี นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ควรยืนประจันหน้ากับทงเฮ...ร่างโปร่งหันหลังให้อีกฝ่ายในทันที รีบอาบน้ำให้เสร็จเสียก่อนที่ทงเฮจะคิดทำอะไรพิเรนทร์ๆ ดีกว่า
“งั้นก็...” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างใบหูเล็กก่อนมืออุ่นร้อนจะสวมกอดเอวบาง ดวงหน้าหวานนิ่วหน้าพลางเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงเอาไว้เมื่อถูกมือหนาค่อยๆ ลูบไปตามต้นขาเรียว...ไล่ไปจนถึง...
“อาบพร้อมกันเลยดีไหม?” ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจกับปฏิกิริยาตอบรับของคนที่กำลังไร้เรี่ยวแรงจนเขาต้องใช้มืออีกข้างพยุงคนในอ้อมกอดเอาไว้ มือเรียวจับโครงฝักบัวไว้เป็นหลัก ริมฝีปากบางเผยอหอบฮักเมื่อถูกปรนเปรออย่างหนักหน่วง
ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลงบนแผ่นหลังบางในขณะที่ริมฝีปากได้รูปกดจูบไล่ลงไปอย่างช้าๆ...เบาบาง...แต่อ่อนโยน...เสียงครางในลำคอเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ร่างผอมบางถูกพลิกให้หันกลับมา ฝ่ามือหนาโอบประคองเรียวหน้าหวานเอาไว้ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างเร่าร้อน กระหวัดเรียวลิ้นทั่วโพรงปากเล็ก มือเรียวเผลอโอบรอบคออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากของทั้งคู่คลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาเรียวปรือมองคนตรงหน้าเมื่อร่างหนาถอนจูบออกแผ่วเบา
“....................”
“....ขอนะ”
ริมฝีปากบางเผยอรับจุมพิตที่อีกฝ่ายมอบให้...กดจูบซ้ำหนักๆ จนบวมช้ำหากแต่ไม่ได้ขัดขืน...สมองขาวโพลนไปหมด ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจเหมือนกับทุกครั้ง...
ทั้งที่เรื่องราวต่างๆ ยังคงค้างคาใจไม่สิ้นสุด...
.
.
ต่างคนต่างความคิด...
และนั่นเป็นต้นเหตุของความไม่เข้าใจ...
หอสมุดที่เงียบสงบ...นักศึกษาบางคนใช้เวลาอยู่ที่นี่เพื่ออ่านหนังสือ...บ้างก็เข้ามางีบหลับรอเวลาเรียน...แต่มีใครคนหนึ่งกำลังขมวดคิ้วเดินหาหมวดหนังสือที่ต้องใช้ในการปั่นรายงานก่อนสอบ...
F อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม -_-
นิ้วเรียวลากไปตามหนังสือที่วางอยู่บนชั้น...หยัดตัวนั่งลงยองๆ ตรงช่องทางเดินแคบ กวาดสายตามองหาเป้าหมาย...แต่ยิ่งมองเท่าไหร่...ก็ยิ่งตาลายมากเท่านั้น...
ทงเฮหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาเปิดดูอยู่นานกว่าจะได้ตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ หนังสือสามสี่เล่มถูกหอบขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะทิ้งลงบนโต๊ะไม้เสียงดังตึงจนคนรอบข้างเงยหน้าขึ้นมาด่าเขาทางสายตา ร่างหนาหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะโค้งหัวขอโทษขอโพยรอบตัว
นัยน์ตาคมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเป็นพักๆ จนป่านนี้แล้วคนที่นัดไว้ยังคงไม่มาถึง...ไม่รู้ทำอะไรอยู่..เมื่อวานคุยกันซะดิบดีว่าจะมาช่วยเขาหาหนังสือไปทำรายงานที่ค้างไว้เป็นชาติ จริงๆ ก็ไม่คิดจะทำส่งหรอกถ้าไม่โดนดุเสียก่อน...
เมื่อคืนฮยอกแจไม่ยอมให้ค้างด้วย เอาแต่ไล่เขากลับบ้านไม่หยุด พอถามเหตุผลว่าทำไมไม่ยอมให้ค้างก็เอาแต่บอกว่า “เออน่า”
แล้วไอ้ “เออน่า” ของฮยอกแจนี่มันยังไงกันวะ
“กลัวโดนอีกรอบเหรอไง”
“
.พูดบ้าอะไรของมึง”
แค่นั้นแหละ...เขาก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างทันที...ฮยอกแจในตอนนั้นทำหน้านิ่งเฉยขัดกับแก้มสีระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด...ไม่รู้สิ...ชอบนะ...ชอบที่เวลาฮยอกแจเขินแบบนี้
“ก็บ้านกูมันสกปรกนี่ ไม่มีคนทำความสะอาดให้..”
“เรื่องของมึงสิ ถ้ากูตายไป บ้านมึงคงมีแต่กองขยะเต็มไปหมด” ฮยอกแจบ่นพลางสะบัดผ้าออกก่อนจะใส่ไม้แขวนเสื้อ
“ได้ไง ต้องเรียกว่าเรื่องของเราสิ อีกอย่าง...มึงยังตายไม่ได้นะ” เอ่ยเสียงกวนประสาท ร่างโปร่งหันกลับมามองคนที่ยืนพิงประตูระเบียงก่อนจะถอนหายใจ
“แล้วไง”
“บ้านมันรก รกมาก ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว” ยิ้มหน้าปลาจนฮยอกแจพอจะเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของทงเฮขึ้นมาบ้าง
“ก็ได้...พรุ่งนี้หาหนังสือเสร็จแล้วจะกลับไปทำความสะอาดบ้านให้ พอใจรึยัง”
“พอใจที่สุด น่ารักอ่ะ~” น้ำเสียงกวนบาทาบวกกับสีหน้าตอแหลนั่นทำให้ฮยอกแจยั้งเท้าไว้ไม่อยู่ ทงเฮเอี้ยวตัวหลบก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อถูกคนตัวบางวิ่งไล่เตะไม่ยั้ง
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วหุบยิ้มไม่ได้..
ตอนนี้มีความสุข...สุขจนไม่รู้ว่าจะสำลักมันออกมาเมื่อไหร่..
“ขอโทษ รอนานไหม?” ร่างโปร่งรีบนั่งลงฝั่งตรงข้ามทงเฮพลางวางกระเป๋าลงข้างๆ กลิ่นน้ำหอมปนกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ บ่งบอกว่าคนตรงหน้ารีบมาหาเขาแค่ไหน ริมฝีปากหยักยิ้มกว้างเมื่อจ้องมองดวงหน้าหวานที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับหนังสือกองที่วางอยู่ตรงหน้าในทันที
“นานมาก” น้ำเสียงเหมือนดูโกรธหากแต่ใบหน้านั้นยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างหนาที่จู่ๆ ก็หุบยิ้มปั้นหน้านิ่ง
“เมื่อกี้อาจารย์เรียกไปคุยน่ะ นี่หนังสือที่เลือกมาใช่ไหม?” ถามพร้อมกับเปิดดูเนื้อหาด้านในไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า ทงเฮส่งเสียงตอบในลำคอก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้คนที่กำลังไล่เรียวนิ้วไปตามตัวหนังสือบนกระดาษ
“เล่มนี้ใช้ได้นะ แต่ว่าเล่มนี้ไม่ต้องเอาหรอก” พูดทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหนังสือ หากแต่ใครอีกคนกลับไม่ได้สนใจรายระเอียดที่พูดมาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วเล่มนั้นล่ะ” ไม่ได้สนใจหนังสือหรอก เล่มไหนใช้ได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ฮยอกแจจะตัดสินใจ เล่มไหนก็เล่มนั้น ฮยอกแจพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะละสายตาจากหนังสือเมื่อเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมา
“สวัสดีครับ”
“อ้าว...ยูอีเหรอ?” ดวงหน้าหวานยิ้มเมื่อคนในปลายสายติดต่อมาสักทีหลังจากเงียบหายไป ทงเฮถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้...นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะไม้กดดันคนตรงหน้าให้รีบวางสายไปซะ
แต่...
“อ่า...เป็นยังไงบ้าง...เดี๋ยวนะแป๊บนึง...”
ร่างโปร่งลุกขึ้นป้องปากเดินออกไปข้างนอกห้องสมุดโดยที่ไม่สนใจเลยว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น...ทงเฮแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ความรู้สึกในตอนนี้ยิ่งกว่าโดนตบหน้า
สีหน้าตอนรู้ว่ายูอีโทรมานั่นมันคืออะไร?
ดีใจมากเหรอที่เธอติดต่อมา?
แล้วจะลุกไปคุยกันเคยคิดจะบอกกันสักคำบ้างไหม?
แม่งหงุดหงิดโว๊ย!!
หนังสือที่วางกองอยู่บนโต๊ะยังคงเปิดทิ้งไว้อยู่อย่างนั้น ทงเฮไม่ได้สนใจจะค้นหามันต่อไปอีก ก็ช่างหัวแม่ง...ในตอนนี้เขาโมโหเกินกว่าจะทำห่าเหวอะไรทั้งนั้น
ไม่นานนักฮยอกแจก็เดินกลับมา ร่างโปร่งนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาเช่นเดิมหากแต่ใครบางคนกำลังทอดสายตามองออกไปข้างนอกหน้าต่างไม่สนใจการกลับมาของคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หวังว่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่อาจทำให้จิตใจเขาสงบลงได้บ้าง
“เมื่อกี้ยูอีโทรมาน่ะ”
ไม่ได้โง่ เรียกชื่อออกมาชัดเจนขนาดนั้นนั่งกินข้าวอยู่ตึก 18 ยังได้ยิน
“เป็นอะไรไป โกรธกูเหรอ?”
ไม่น่าถาม...
“ทงเฮ ยูอีแค่โทรมาหาเฉยๆ”
มือแกร่งตบโต๊ะลงอย่างแรงจนฮยอกแจสะดุ้งเล็กน้อย...นัยน์ตาคมจ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน ไม่ได้สนใจรอบข้างเลยว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่ๆ ต้องให้ความเคารพ ท่ามกลางสายตาของใครๆ ในระแวกนั้น
“แล้วไง”
“กูกับยูอีไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราก็แค่เพื่อนกัน” ร่างโปร่งลุกขึ้นพยายามใจเย็นและอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ
“เพื่อนเหรอ? เพื่อนประสาอะไรของมึง?” ทงเฮเริ่มขึ้นเสียงจนคนตรงหน้าเงียบ พูดออกมาได้ง่ายๆ นะว่าเป็นเพื่อนกัน....ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นก็รู้ๆ กันอยู่
“ลืมไม่ได้ใช่ไหมล่ะ รักกันมากนี่”
“...............”
คนเรา...พอโมโหแล้วก็เป็นซะอย่างนี้...คำพูดงี่เง่าถูกพ่นออกมาไม่หยุด...
“แล้วกูกับมึงล่ะ...เพื่อนประสาอะไร” ฮยอกแจถามเสียงเรียบ..นัยน์ตาเรียวจ้องอีกฝ่ายแน่วแน่ไม่ไหวติงจนทงเฮต้องเสหลบตาไปทางอื่น
............ตอบไม่ได้
“ที่มาหึงหวงกูแบบนี้.....เราเป็นอะไรกันเหรอ?”
เพื่อน..........?
“.....................”
“
..”
ฮยอกแจหยุดชะงักเมื่อเห็นใครอีกคนยืนอยู่ข้างหลังทงเฮไปไม่ไกลนัก...ร่างหนาหันกลับไปมองผู้มาใหม่ก่อนจะหลุบสายตาลง
คยูฮยอน....
มือเรียวคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากตรงนั้น ทิ้งไว้เพียงความอึดอัดที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ...คยูฮยอนมองตามเพื่อนตัวบางเดินออกจากห้องสมุดไปก่อนจะก้าวมาหยุดตรงหน้าทงเฮ..
บรรยากาศรอบข้างกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
.
.
มัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับความสุข...
จนลืมนึกถึงความทุกข์ที่เคยทับถมอยู่ภายในใจ...
ในช่องทางเดินของชั้นหนังสือที่เงียบสงบ ไม่มีคนเดินเพ่นพล่านเหมือนกับหมวดอื่นๆ เห็นเฮนรี่บอกว่าฮยอกแจมาช่วยทงเฮหาหนังสืออยู่ที่นี่เลยตามมาด้วยความประหลาดใจ...ช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ร่างโปร่งจ้องมองใครอีกคนที่ยืนพิงชั้นหนังสือ สายตาดูว่างเปล่าราวกับคนไม่เหลืออะไรหลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง
“.................”
“.................”
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้...ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างทงเฮกับฮยอกแจเป็นยังไง แต่เพราะว่ารู้ดีถึงไม่พูด ก็คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ว่าฮยอกแจคงโกรธทงเฮได้ไม่นานถึงแม้ว่าทงเฮจะเคยทำเรื่องเลวร้ายสักแค่ไหน...แต่ทงเฮเองก็พิสูจน์ให้ได้เห็นอยู่หลายครั้งว่าแคร์ฮยอกแจไม่น้อยไปกว่ากันเลย...
เพราะที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบและสุดท้ายก็มาสำนึกผิดทีหลังทุกครั้ง...
และคราวนี้คยูฮยอนก็คงไม่ต้องเดาให้ยาก...อีกไม่นานทงเฮก็คงสำนึกผิด
“แล้วที่เป็นอยู่คืออะไร” ประโยคปลายเปิดที่เรียกสติคนที่นั่งเหม่ออยู่ ทงเฮหันมาสบตากับเพื่อนสนิทหากแต่ตอบคำถามไม่ได้...
“ที่มาหึงหวงกูแบบนี้.....เราเป็นอะไรกันเหรอ?”
“มึงกับฮยอกแจน่ะ”
“....................”
“มึงเองก็รู้ดี...ว่าพวกมึงสองคนมันเกินเลยคำว่าเพื่อนกันไปแล้ว...”
“....................”
“....................”
“แล้วไง เพื่อนกับแฟนมันต่างกันตรงไหน?”
ใช่...เพื่อนกับแฟนมันต่างกันตรงไหน...?
ตอนนี้ก็ไม่เคยเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่...ระหว่างเขากับฮยอกแจยอมรับว่ามันไม่เหมือนเดิม...เพราะมันมากกว่าเมื่อก่อน...เขาต้องการฮยอกแจมากกว่าที่เคยเป็น แต่อาการหึงหวงที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้เขาสับสน...
“เป็นเพราะมึงไม่ยอมทำให้สองคำนั้นมันชัดเจนเองต่างหาก” ร่างโปร่งกอดอกพูดเสียงเรียบ
“....................”
“เพื่อนก็คือเพื่อน...แฟนก็คือแฟน...มึงจะเอาสองอย่างนั้นมารวมกันได้ก็ต่อเมื่อสองคนนั้นเป็นคนเดียวกัน...ไม่ใช่ในสถานะที่ยังระบุไม่ได้แบบนี้...”
“....................”
“จะเรียกเพื่อนก็ไม่ได้...จะเรียกแฟนก็ไม่เต็มปาก”
“....................”
“แต่คนเรามันก็แบบนี้แหละ...ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่...ก็ยิ่งมองข้ามความรู้สึกกันมากเท่านั้น”
“....มึงจะพูดอะไร”
“เมื่อก่อนมันเคยเป็นยังไง ตอนนี้จะให้มันมาเปลี่ยนตัวเองเพื่อมึง จะไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเหรอ?”
“กูไม่เคยขอให้มันเปลี่ยนอะไรเพื่อกู”
“แต่มึงกำลังบังคับให้มันทำอย่างนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว...” ร่างโปร่งสวนกลับจนคนตรงหน้าต้องเงียบอีกครั้ง...
"ที่พูดไปก็เพราะว่ากูสงสารมัน...คนอย่างมึงจะกลับไปทำตัวเสเพลเหมือนเมื่อก่อนตอนไหนใครจะรู้...แล้วพอถึงตอนนั้น...มึงจะทำยังไง"
"กูไม่ทำหรอก" ตอบหนักแน่น...มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางทำแบบนั้นแน่
"มึงรับปากง่ายๆ แล้วมั่นใจแค่ไหนว่าจะทำมันได้"
“....................”
"ถ้าเกิดถึงวันนั้นจริงๆ ...มึงกับมันจะมองหน้ากันยังไง คิดไว้บ้างรึเปล่า?"
“....................”
"มันคงเลวร้ายกว่าตอนผู้หญิงคนนั้นอีก"
“....................”
"มึงรักมันเหรอที่ทำแบบนี้....หรือว่าแค่หลง"
"กู.."
"ถ้ากูเป็นมัน กูคงทนมึงไม่ได้หรอก...ทงเฮ"
ร่างโปร่งเดินสวนออกไป เหลือไว้เพียงใครอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...มือหนาเสยผมขึ้นอย่างขัดใจ รู้จักแย่จนยากจะหาคำมาบรรยาย
“แม่งเอ๊ย...”
ที่รู้สึกแบบนั้นน่ะ...ฮยอกแจเป็นอยู่คนเดียวรึไง?
เปลือกตาหนาปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกมาเบาๆ จริงอยู่ที่เขามัวแต่คิดถึงแต่ความสุขจนลืมความทุกข์ที่จะก้าวเข้ามา และเป็นอีกครั้งที่เผลอขึ้นเสียงใส่ฮยอกแจ...
“จะไม่มีอีทงเฮคนที่คอยทำร้ายจิตใจมึงอีกแล้ว...ไม่มี...”
แล้วสุดท้าย...เขาก็เป็นแค่คนโง่...ที่รักษาคำพูดนั้นไว้ไม่ได้...
.
.
“ขอโทษ”
ถ้าพูดมันออกไป...แล้วมันยืดความสัมพันธ์ระหว่างเราได้
ผมก็จะทำ
ร่างโปร่งชะเง้อมองเข้าไปในบ้านสไตล์โมเดิร์นที่มืดสนิทบ่งบอกว่าไม่มีคนอยู่ข้างใน...ตอนนี้ก็เกือบสองทุ่มแล้ว...รถก็ไม่อยู่ ทงเฮคงยังไม่กลับมา...
นิ้วเรียวกดโทรเข้าเบอร์เดิมซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะตัดสายทิ้ง ถ้าเป็นปกติเขาจะปล่อยให้ทงเฮนอยต่อไปจนกว่าจะหายบ้า...แต่คราวนี้เขาเองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน
ที่ถามทงเฮไปแบบนั้น...ถ้าเจอกับตัวเองก็ใช่ว่าเขาจะตอบมันได้...
สีหน้าทงเฮมันยังคงติดตาเขาอยู่...รู้สึกผิดจนทนให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้
เขามันก็เป็นแค่เห็นแก่ตัว...
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘ทงเฮ’
[ ไหนบอกว่าจะให้มาทำความสะอาดให้ไง ไปทำบ้าที่ไหนอยู่ ]
..............
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘ทงเฮ’
[ กูจะรอมึงอีกแค่ครึ่งชั่วโมงนะ...ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ]
ร่างโปร่งนั่งลงฟุตบาธหน้าบ้าน มือเรียวลูบไปตามต้นแขนคลายความหนาวเย็น เสื้อนักศึกษาไม่ได้ช่วยให้ความอุ่นกับเขาเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองพื้นถนนพลางคิดเรื่องต่างๆ นาๆ
ก็แค่ดีใจที่ยูอีติดต่อมา...
ตั้งแต่เธอไปอยู่ที่นั่นก็พึ่งได้คุยกันก็วันนี้ ทงเฮคงเข้าใจผิดคิดว่าเขายังมีเยื่อใยกับยูอีอยู่ แต่ถ้าอธิบายไปคนอย่างทงเฮเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ ซะที่ไหน...
และจนเวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง...
หมอนั่น...ก็ยังไม่กลับมา...
.
.
ให้เวลากับตัวเองและอีกฝ่าย...
เพื่อทบทวนทุกอย่าง...
ขาเรียวหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในขณะที่ร่างผอมบางกำลังงุ่นง่านอยู่กับบาร์น้ำ ร่างโปร่งทอดสายตามองไปรอบๆ หาคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่นี่...แต่กลับมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ขวดเบียร์เย็นถูกวางตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากผ่านช่วงมรสุมหนักไปได้ ลูกค้าชอบกรูเข้ามาพร้อมกันเป็นช่วงเวลาเกือบสี่ทุ่มทำให้เจ้าของร้านหน้าสวยต้องลงมาช่วยบาร์น้ำเพราะรับออเดอร์ไม่ทัน ฮยอกแจโค้งหัวขอบคุณก่อนจะถือขวดเบียร์เอาไว้
“เห็นทำหน้าแบบนี้แล้ว...นึกถึงไอ้หน้าปลาวันนั้นจริงๆ”
“....ครับ?” ฮยอกแจเลิกคิ้วมอง ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนที่ผมหยักศกจะถูกรวบไว้ข้างหลังและนั่นทำให้เห็นดวงหน้าหวานได้ชัดกว่าทุกครั้ง
“เปล่าหรอก...ว่าแต่ไอ้หน้าปลามันหายหัวไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน”
“...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่ามันจะอยู่ที่นี่” ฮยอกแจมองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อทุกอย่างมันสูญเปล่า
ถ้าไม่อยู่ที่นี่...ก็คงเป็นผับในตัวเมือง...
ซึ่งมันก็ไม่ได้มีแค่ที่สองที่ซะด้วย...แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าถ้าตามไปเจอทงเฮแล้วไอ้บ้านั่นมันจะยอมคุยกับเขารึเปล่า...
ที่ทำได้...ก็มีแค่นี้
“ทะเลาะกับมันเหรอไง” ถามพร้อมกับคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก ฮยอกแจส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำถามก่อนจะยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มบ้าง
“เอาน่า...อย่าคิดมากเลย...คนอย่างมันทำตัวเช็คเรตได้ไม่นานหรอก” มือเรียวขยี้หัวคนตรงหน้าเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจก่อนหันกลับเข้าไปง่วนกับบาร์น้ำอีกครั้ง
นัยน์ตาเรียวจ้องมองขวดเบียร์ในมือพลางถอนหายใจอีกครั้ง ไม่ให้คิดมากเหรอ พูดมันก็พูดง่ายหรอก แต่ตราบใดที่คนอย่างอีฮยอกแจยังรู้สึกผิดแบบนี้ จะให้นั่งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ถูก...
นี่ผม....แคร์ทงเฮขนาดนี้เลยเหรอ......
.
.
เย็นวันต่อมา...
ทงเฮสะดุ้งตื่นเมื่อใครอีกคนโยนกระเป๋าเป้ลงบนหัวเขา มือหนาขยี้หัวตัวเองเบาๆ พลางอ้าปากหาว... นัยน์ตาคมปรือมองกองหนังสือและสมุดรายงานที่กระจาดกระจายอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องส่ายหัวไล่ความง่วง...นี่เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่....
“แดกข้าวยัง” เฮนรี่ถามพลางถลกแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นก่อนจะนั่งลงถอดถุงเท้า นัยน์ตาเรียวเล็กหรี่มองไอ้ตัวกาฝากที่เสนอหน้ามาค้างอ้างแรมกับเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็หมั่นไส้แม่ง
ทะเลาะกับไอ้เชี่ยฮยอกแจชัวร์
“ยัง” ตอบสั้นๆ พลางหยิบปากกาขึ้นมาทำรายงานต่อ เฮนรี่ผิวปากพลางลากเก้าอี้อีกตัวไปนั่งข้างๆ ก่อนจะเท้าคางจับผิดคนตรงหน้า
“ไม่หิวไง”
“ไม่”
“ไม่แดกอะไรตั้งแต่เมื่อคืนจนป่านนี้ อยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงเหรอสัด” แขวะแม่งไปหลายๆ ดอก อยากให้มันหันหน้ามาเถียงด้วยครับ แต่แม่งเสือกเฉย
“เออ วันนี้ไอ้ฮยอกแจถามหามึงด้วย”
พูดจบมือแกร่งก็หยุดชะงัก นัยน์ตาคมหันมามองอีกฝ่ายที่ยักคิ้วให้แล้วก็ถอนหายใจ
“ถามทำไม”
“ไม่รู้ กูไม่ได้ถาม อยากรู้ก็โทรถามเอาดิ” ยักคิ้วให้อีกทีก่อนจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ต้องอ้าปากหวอเมื่อถูกมือหนาดึงคอเสื้อเอาไว้ “อ..อะ..โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“บอกมา” จากดึงคอเสื้อเปลี่ยนเป็นล็อคคอ เฮนรี่จับมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะพยักหน้ายอม
“มันก็แค่ถามกูกับพี่ทึกว่าเห็นมึงบ้างไหมก็เท่านั้นเอง...ปล่อยดิแม่ง” ฟาดมือลงบนแขนอีกคนแรงๆ ก่อนจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
นัยน์ตาคมเหม่อลอยพลางเท้าแขนลงบนโต๊ะ...เปลือกตาหนาค่อยๆ ปิดลง...เมื่อนึกถึงใครอีกคนที่เขากำลังจงใจหลบหน้า...
“...เดี๋ยวกูไปเอาข้าวมาให้แดกละกัน” เฮนรี่กระชับคอเสื้อพลางมองคนที่ดูหมดอาลัยตายอยากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะลึกซึ้งกว่าที่เขาจะเข้าใจ ในวันนี้เห็นฮยอกแจนิ่งเงียบทั้งวัน แล้วทงเฮมันก็เป็นแบบนี้อีก เมื่อวานยังเห็นดีๆ กันอยู่เลยนี่หว่า
เสียงประตูห้องปิดลง ร่างหนาซุกหน้าลงกับโต๊ะไม้...นัยน์ตาที่ดูว่างเปล่าทอดมองไปยังแบลคเบอรี่ที่วางอยู่ข้างๆ ยี่สิบเจ็ดสายไม่ได้รับกับสิบสี่ข้อความ...นั่นก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับคนอย่างอีฮยอกแจ...แต่ที่เขายังเงียบอยู่แบบนี้ไม่ใช่เพราะว่ายังโกรธฮยอกแจอยู่หรอก...
ก็แค่อยากให้เวลากับตัวเองและฮยอกแจได้ทบทวนตัวเอง...
ผ่านไปวันเดียว...พึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น...
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ติดต่อฮยอกแจจนกว่าจะถึงวันส่งเดธไลน์นั่นก็คือสามวันข้างหน้า คิดว่าคงไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ทำไมจะทนไม่ไหว ถ้ามันแลกมาซึ่งความชัดเจนระหว่างเราสองคน
เขาก็จะทำ...
คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน...พอเริ่มรู้สึกมากขึ้น...มันก็ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าควรให้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบไหน?
"ที่พูดไปก็เพราะว่ากูสงสารมัน...คนอย่างมึงจะกลับไปทำตัวเสเพลเหมือนเมื่อก่อนตอนไหนใครจะรู้...พอถึงตอนนั้นมึงจะทำยังไง"
พอมาคิดอีกทีเขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง...คนที่เคยรักสนุกเที่ยวผู้หญิงไม่เลือกอย่างเขา...ถ้าจะหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวมันคงเป็นไปได้ยาก ยิ่งคนนิสัยแปรปรวนอย่างเขาแล้วคงไม่ต้องพูดถึง...
เบื่ออะไรได้ง่าย...เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รู้
ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ระหว่างเขากับฮยอกแจไม่ใช่ความรัก?
มันก็คือเซ็กส์เฟรนด์สินะ...
แล้วถ้าเกิดว่าความรู้สึกนี้มันคือความรัก..
คนอย่างอีทงเฮ...ก็จะสัญญากับตัวเอง....
ว่าจะรักอีฮยอกแจให้มากที่สุด...
.
.
วันสอบปลายภาควันสุดท้าย...
มือเรียวรวบกระดาษคำตอบไว้ด้วยกันก่อนจะเก็บปากกาใส่กระเป๋า ในตอนนี้เหลือนักศึกษาอีกไม่กี่คนที่ยังคงนั่งก้มหนาก้มตาทำข้อสอบอยู่ และหนึ่งในนั้นก็เป็นอีทงเฮ... ฮยอกแจมองไปตามแผ่นหลังกว้างที่นั่งเยื้องไปไม่ไกลนัก...ไม่ได้คุยกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว...
ยังคงโกรธเขาอยู่สินะ...
เสียงเก้าอี้เคลื่อนออกเรียกความสนใจจากคนที่กำลังเคร่งเครียดจากข้อสอบให้หันกลับไปมอง นัยน์ตาคมมองตามร่างผอมบางที่เดินถือกระดาษข้อสอบไปส่งก่อนจะหลุบสายตาลงเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาสบตา...
“เหลือเวลาอีกสิบห้านาที” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นสัญญาณเตือน ในหัวของเขามีแต่เรื่องของอีฮยอกแจอยู่เต็มไปหมด อ่านโจทย์ข้อเดิมเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น...ให้ตายเถอะ
.
.
ร่างหนาหยัดตัวลุกขึ้นยืนพลางถือกระดาษข้อสอบไปวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ ทำไม่ได้ ทำข้อสอบไม่ได้เลย...
คยูฮยอนมองตามเพื่อนที่กำลังเดินออกจากห้องสอบอย่างหัวเสียก่อนจะหันไปมองชายร่างสูงที่กำลังนั่งแยกเอกสารอยู่หน้าห้อง...ร่างโปร่งเลือกที่จะอยู่เป็นคนสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นถือกระดาษข้อสอบไปส่ง...
ใบหน้าคมเงยขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน...ร่างสูงวางปากกาลงก่อนจะขยับแว่นกรอบดำเบาๆ
“....................”
“ผมสอบเสร็จวันนี้...”
นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้า มือเรียวประสานกันไว้พลางออกแรงบีบเบาๆ คลายอาการตื่นเต้น...
ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...
ช่วงเวลาก่อนสอบที่ไม่เจอชเวซีวอนเขาก็รู้สึกแปลกๆ ....แปลก...อย่างที่ไม่เคยเป็น...
มันจะเป็นความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่...รู้แค่ว่าเขาอยากเจอหน้า อยากพูดคุยด้วย...ถึงแม้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันแล้วเขาจะเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา...
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโจคยูฮยอนไม่ได้อยากอยู่ใกล้ๆ ชเวซีวอน...
“......ผม” ร่างโปร่งเว้นจังหวะไว้ชั่วครู่ คนที่ตั้งใจฟังอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทีของลูกศิษย์
“ถ้าเกิดคุณพอจะมีเวลา...”
“ผมก็อยาก...ลองทานพาสต้าฝีมือคุณดูสักครั้ง...”
ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะรวบกองเอกสารไว้ด้วยกัน ริมฝีปากหยักยิ้มให้กับคนตรงหน้าก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“นี่เบอร์ผม...ถ้าอยากทานวันไหนก็โทรมานะ”
.
.
ให้เวลา...ตัดสินทุกอย่าง...
ไม่ใช่หรอก...
ผมนี่แหละ...จะเป็นคนตัดสินทุกอย่างเอง
เสียงเพลงเบาๆ คลอไปตามจังหวะ หลังจากสอบเสร็จเป็นต้องดื่ม ฮยอกแจก็ไม่เข้าใจว่าพวกนี้จะอะไรกันนักหนา ทำเป็นอ้างว่าสอบเสร็จแล้วต้องดื่มคลายเครียด ทั้งที่วันปกติมันก็ดื่มตลอด
แก้วสีอำพันในมือเรียวนั้นทำให้เขาสงสัย วันนี้คยูฮยอนมันดื่มเหล้า?
“มึง..กินเหล้าด้วยเหรอ”
“อืม”
“คิดยังไงน่ะ” ฮยอกแจหัวเราะน้อยๆ พลางมองคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ เฮนรี่กับอีทึกเองก็อ้าปากหวอ ตกใจกับภาพที่เห็น ไอ้เชี่ยคยูแม่งแดกเหล้า...ยิ่งเห็นคนที่เคยทำหน้าเหมือนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลายิ้มออกมาง่ายๆ เพียงเพราะถูกถามแล้วก็ยิ่งประหลาดใจ
“มาเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนบ้างจะเป็นอะไรไป” คำตอบทำเอาสองดูโอ้อ้าปากหวอยิ่งกว่าเดิม
“มาเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง” <- อีทึก
“จะเป็นอะไรไป...” <- เฮนรี่
“....อะไรของพวกมึง” ร่างโปร่งกลับเข้าสู่โหมดพระเอกซีรี่ย์เกาหลีอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นทำเอาสองดูโอ้เอียงคอมองเหมือนเด็กออทิสติก
“เปล๊า~” <- อีทึก
“เอ๊อะ~” <-เฮนรี่
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เฮนรี่เริ่มหัวเราะหนักราวกับคนพี้ยามา ใบหน้าขาวบัดนี้แดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า ส่วนอีทึกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่ชงให้คนเมาไม่เลิก คงกะให้หัวทิ่มบ่อกันไปข้าง คยูฮยอนไม่ใช่คนชอบดื่ม เลยหมดไปแค่สองสามแก้ว และตัวเขาเองก็ด้วย
รอยยิ้มหุบลงทันทีหลังจากที่ใครคนหนึ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม อีทงเฮอยู่ในชุดเชิ้ตสีดำพับแขน พอได้ที่แล้วก็คีบน้ำแข็งใส่แก้วไม่พูดไม่จาไม่มองหน้าใคร จนทำให้อดนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนที่มีเรื่องตอนนั้นไม่ได้...
อึดอัด...
“นี่ก็ทำเหมือนคนไม่เคยแดกเหล้า”
“ก็ไม่ได้แดกนานแล้ว” ทงเฮตอบก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวหมดไปเกือบครึ่ง
“เออ มันน่ะ....ไม่ได้แด...แดกนานละ....ไปขอข้าวบ้านกูแดกทุกวันไง เอิ๊กกกกก!!” เฮนรี่หัวเราะก่อนจะเซล้มไปนอนตักดูโอ้เมื่อถูกมือหนาผลักหัวเข้าอย่างแรง
“เอ้าไอ้เหี้ยนี่ก็รังแกคนเมาได้ลง”
“แม่งพูดมากดีนัก”
ฮยอกแจจ้องใบหน้าคมที่มองคาดโทษร่างสูงที่นอนหัวเราะบนตักอีทึก รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง....เพียงแค่รู้ว่าทงเฮอยู่กับเฮนรี่...ไม่ได้ไปไหน
“แม่ง....ชอบลงไม้ลงมือ....ตอนอยู่บ้...บ้านกูนะ....พูดถึงชื่อ...ไอ้ฮยอกแจไม่..ไม่ได้เลยสาด” เฮนรี่ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ทำเอาคนถูกแฉต้องกุมขมับ นี่ถ้าไม่ต่อยให้มันสลบคงหาวิธีหยุดปากมันยากแล้วล่ะ
“ทำไมวะ ฮยอกแจไปทำอะไรให้มึงเหรอ?” อีทึกจงใจถามทงเฮ ประโยคคำถามที่ดูเหมือนไม่มีอะไร... คนถูกพาดพิงได้เพียงแค่นั่งฟังนิ่งๆ มีโอกาสสบตากันเพียงแค่ชั่วครู่ทงเฮก็เบือนหน้าหลบไปอีกแล้ว
“ไม่มีอะไร” ตอบผลัดๆ ไปอย่างนั้น เฮนรี่ปรือตามองคนข้างๆ ก่อนจะผลักหัวทงเฮ นี่ถ้าไม่เมาคงไม่กล้าขนาดนี้ ทงเฮแค่นเสียงหัวเราะพลางหายใจเข้าลึกๆ
แม่งกำลังเมา....ใจเย็นๆ ไว้
ก่อนหน้านี้โดนกวนตีนทุกวัน วันละสามเวลา ไปค้างบ้านมันแทนที่จะหาความสงบได้..เปล่าเลย..ไหนจะลูกชายที่ชอบพูดจากวนตีน จี้จุดให้เขาต้องโมโห ...แถมพ่อแม่มันก็ชอบคุยกันเสียงดังเหลือเกิน.. ก็พอจะเข้าใจนะว่าคนจีนเป็นคนโผงผาง
แต่อยู่ที่นั่น....มันก็ดีกว่าการฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
อีทึกวางแก้วลงก่อนจะหิ้วปีกเฮนรี่ไปอ้วกในห้องน้ำ...พอไม่มีคนนั่งเพ้อแล้วคนสามคนที่นั่งอยู่ก็เอาแต่เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
ทงเฮเองก็เอาแต่ดื่ม...สายตาทอดมองออกไปข้างนอก ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเมา ส่วนคยูฮยอนจู่ๆ ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะเริ่มดึกมากแล้ว...ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทงเฮกับฮยอกแจที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปนาน...นานจนร้านกำลังจะปิด...เสียงเพลงดับลงพร้อมกับคนสองคนที่กอดคอกันออกไป ฮยอกแจมองตามอีทึกที่เดินเซซ้ายเซขวาก่อนจะทิ้งตัวเพื่อนรุ่นน้องลงบนเบาะหลัง ไม่ลืมที่จะเปิดกระจกรถไว้ให้
ใบหน้าเรียวหันกลับไปมองคนที่นั่งคอพับอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ต้องถอนหายใจ ไม่รู้ไปอดอยากมาจากไหนถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้ ฮยอกแจพยุงทงเฮให้ลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก แต่โชคดีหน่อยที่พี่ฮีชอลเข้ามาช่วยพยุง
“เอ้า ขับรถดีๆ ล่ะ...ไม่เมาใช่ไหม?” พี่ฮีชอลถามขณะที่ทิ้งคนเมาเข้าไปในรถ ฮยอกแจเดินไปหยุดอยู่ฝั่งคนขับก่อนจะยิ้มให้ร่างบาง
“ครับ ผมยังไหว”
“ระวังโดนเป่า ช่วงนี้ใกล้สิ้นเดือนแล้ว ตำรวจแม่งชอบหาเงินกับเด็ก” ฮยอกแจหัวเราะกับคำเตือนของรุ่นพี่ ร่างบางจุดบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินกลับเข้าไปในร้าน
มือเรียวปิดประตูพลางมองเจ้าของรถที่นอนหลับอยู่บนเบาะหลังแล้วก็รู้สึกวูบในใจอย่างบอกไม่ถูก...ความรู้สึกเหมือนมันมีช่องว่างระหว่างเราทั้งที่คิดว่าสนิทกันมากที่สุด
.
.
ร่างหนาถูกทิ้งลงบนเตียงพร้อมกับส่งเสียงครางประท้วงในลำคอ ฮยอกแจนั่งลงบนขอบเตียงพลางหอบหายใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้หิ้วปีกทงเฮแบบนี้ ถึงแม้ว่าระยะทางจากโรงจอดรถกับห้องนอนจะไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่นัก..แต่ตัวทงเฮมันก็หนักเกินกว่าที่เขาจะแบกไหว..
นัยน์ตาคู่สวยหันไปมองคนที่หลับอยู่ก็รู้สึกปวดหนึบในใจขึ้นมาอีกครั้ง...
ที่ทงเฮเป็นแบบนี้...ก็เพราะทนเขาไม่ได้แล้วสินะ
ทงเฮเป็นคนเอาแต่ใจแค่ไหนเขารู้ดีที่สุด ทงเฮไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากวุ่นวาย...และที่พูดมานั้นก็เป็นเขา...ที่ขัดใจทงเฮอยู่ตลอด...เพราะเมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว...เมื่อก่อนไม่ว่าฮยอกแจจะขัดใจเขาสักแค่ไหนแต่สุดท้ายคำว่าเบื่อมันก็อยู่ไกลกับคำว่าเพื่อนอยู่มาก..
...อ่า...ไม่รู้สิ...ทำไมถึงได้กลัวไปเสียทุกอย่างแบบนี้นะ...
“อือ.....”
“.................”
นัยน์ตาเรียวจ้องมองคนเมาไม่ได้สติที่กำลังปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกอย่างขัดใจ ฮยอกแจขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนจะช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อออก มือเรียวถูกกระชากให้เข้าหาทำให้เขาล้มทับร่างหนาเต็มๆ
เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้นมองดวงหน้าหวานที่อยู่ไม่ห่าง...มือแกร่งโอบใบหน้าเรียวเอาไว้สบตากันอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะถูกรั้งท้ายทอยลงมาประกบริมฝีปากแผ่วเบา...กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วกาย ลิ้นร้อนกระหวัดหยอกล้อไม่ห่าง..ช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี..
ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาคมเบิกกว้างเมื่อหยาดน้ำตากำลังคลอหน่วงบนหน้าคนที่อยู่เหนือร่างเขา ทงเฮหยัดตัวลุกขึ้นกึ่งนอนกึ่งนั่งพร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกจากดวงหน้าหวานอย่างเบามือ
“ร้องไห้ทำไม”
“ห...ห๊ะ...” มือเรียวปัดป่ายน้ำตาออกลวกๆ ใบหน้ามนถูกช้อนให้เงยขึ้น..และยิ่งเห็นใบหน้าของทงเฮชัดๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“อย่าร้องซิ” เสียงทุ้มนุ่มกับสัมผัสอุ่นๆ บนหน้าผากทำให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาราวกับยกภูเขาออกจากอก...
เพียงแค่เห็นเงาตัวเองอยู่ในม่านตาของอีกฝ่ายเท่านั้น...
“ม..ไม่รู้สิ...ไม่รู้” มือหนาเกลี่ยไรผมออกจากแก้มเนียนเบาๆ จ้องมองดวงหน้าหวานที่ยังคงเปื้อนไปด้วยน้ำตา...
“ขอโทษนะ...”
“.................” ฮยอกแจนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรกลับไป...ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน...แค่คิดว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีทงเฮอีกต่อไปเขาจะต้องทำยังไง...
“ขอโทษที่ทำให้เสียใจอีกแล้ว” นัยน์ตาคมจ้องมองตามนิ้วหัวแม่มือที่กำลังไล้ไปตามกลีบปากสีสดที่เขาชอบ
“ขอโทษ...ที่ไม่เคยทำอะไรให้มันชัดเจน...”
“แล้วก็...” ริมฝีปากหยักชะงักไปครู่หนึ่ง มือหนารั้งท้ายทอยอีกฝ่ายเข้ามาอีกครั้งก่อนจะแตะริมฝีปากลงไปเพียงเบาบาง...นุ่มนวล...อ่อนโยนจนต้องหลับตาลงรับรสจูบของคนตรงหน้า..
ทงเฮผละริมฝีปากออกเล็กน้อยพลางจ้องมองเข้าในนัยน์ดวงตาอีกฝ่าย...ความรู้สึกแบบนี้...สัมผัสแบบนี้....ในตอนนี้แน่ใจแล้ว...
“ขอโทษ...ที่กูรักมึงแบบเพื่อนไม่ได้อีก”
นัยน์ตาเรียวเบิกโพลง...แววตากับประโยคที่ดูจริงจังนั้นทำให้ฮยอกแจพูดไม่ออก...รู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นแรงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีก..ทงเฮกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ จ้องมองราวกับเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทะนุถนอม...
“ตลอดเวลาอาทิตย์หนึ่งที่เราไม่ได้คุยกัน...”
“.......................”
“กูรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า...มัน...ทรมาน...” ทงเฮแค่นเสียงหัวเราะพลางเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา
“.......................”
“ในตอนนี้รู้แล้ว...ว่าถ้าไม่มีมึง...มันเป็นยังไง”
“กูเป็นแค่คนโง่...โง่ที่ชอบคิดอะไรง่ายๆ คิดแค่ว่าได้อยู่ด้วยกันมันก็คงเพียงพอแล้ว...”
“กูมันแย่...ชอบมองข้ามความรู้สึกของมึงอยู่เรื่อย...ทั้งที่เคยรับปากแล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก..”
“แต่...” ริมฝีปากหยักยิ้มบางๆ กระชับมืออีกฝ่ายไว้แน่นยิ่งขึ้น
"มึงรู้ไหม...ว่ากูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่...ที่มันเจ็บจนจะบ้าตอนเห็นมึงเป็นแบบนั้น”
“......................”
"ถึงมันจะยาก...แต่กูกำลังทำมัน
กับมึงคนเดียวนะฮยอกแจ...แค่มึง"
“......................”
“ฮยอกแจ..”
“กูรักมึง”
“......................”
ใบหน้าคมฉาบไปด้วยรอยยิ้มหากแต่น้ำตากลับไหลอาบแก้มไม่หยุด...มือเรียวค่อยๆ เอื้อมขึ้นไปโอบใบหน้าของคนที่เคยเรียกว่า ‘เพื่อนสนิท’ เอาไว้ก่อนจะจูบซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาเหมือนกับที่อีกฝ่ายเคยทำ...มือหนาคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดแนบแน่นพร้อมกับจูบลงบนเรือนผม...
โหยหา...
คิดถึง...
ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง...อีทงเฮก็ยังรักอีฮยอกแจเหมือนเดิม
มือเรียวเอื้อมขึ้นมากอดตอบอีกฝ่ายพลางซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ไม่ใช่แค่ทงเฮที่รู้สึกอย่างนั้น...ฮยอกแจเองก็เช่นกัน...
ในตอนนี้ไม่แคร์อีกแล้วว่าเราทั้งคู่จะอยู่ในสถานะแบบไหน...
ขอแค่ยังมีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ กันในทุกๆ วัน...ก็พอแล้ว
..... แค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ .....
END
Special
นัยน์ตาเรียวจ้องมองคนใต้ร่างที่นอนอมยิ้มทะเล้นเมื่อมือหนาเริ่มรุ่มร่ามสอดเข้ามาในเสื้อของเขา
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” แหกปากเสียงดังลั่นเมื่อถูกฟาดเข้าที่หน้าผากอย่างแรง ร่างหนานิ่วหน้าพลางลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ก่อนจะรีบคว้าร่างโปร่งที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้นเอาไว้
“จะไปไหนอ่ะ”
“กลับบ้านสิ”
“กลับทำไม ไม่ต้องกลับหรอก”
“ไม่กลับได้ไง กูไม่นอนกับหมาบ้าอย่างมึงหรอกนะ” ฮยอกแจว่าพลางสะบัดมือออกหากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เริ่มสงสัยแล้วว่าทงเฮเมาจริงหรือแกล้งกันแน่
“กูเมามากเลยเนี่ยดูสิ” ทำท่าเวียนหัวเหมือนคนจะอาเจียนพลางเอนตัวลงนอนบนเตียง และไม่ลืมที่จะกระชากอีกฝ่ายขึ้นมานอนทับบนร่างตัวเอง
“....................”
“ป่ะ ไปแก้ผ้าแล้วมานอนกัน ^^” ทำท่าจะฟาดกบาลอีกรอบ แต่ทงเฮคว้าข้อมือไว้ได้ทัน ฮยอกแจถลึงตาใส่ไอ้คนแผนสูงที่กำลังยักคิ้วกวนก่อนจะโดนรั้งท้ายทอยลงมาใกล้
“นี่มึงกวนตีนเหรอ...” ฮยอกแจเอ่ยเสียงเย็นเมื่อปลายจมูกของเขาทั้งคู่ชนกัน
“........บอกรักกูก่อนสิ”
ฮยอกแจเม้มริมฝีปากแน่นพลางเสตามองไปทางอื่น....ทำไมนะ....ทั้งที่เคยได้ยินประโยคนี้มานับครั้งไม่ถ้วน....แต่วันนี้กลับรู้สึกเขินจนกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว
“เร็วๆ”
“เออ! กูรักมึง” ตอบส่งๆ ไป คนได้ฟังเลิกคิ้วมองก่อนจะขโมยจูบไปทีนึง ฮยอกแจสะดุ้งเล็กน้อยพลางมองค้อน “อะไรของมึงเนี่ย”
“ก็มึงไม่จริงใจอ่ะ เอาใหม่เลย” พูดเอาแต่ใจจนคนได้ฟังอยากเขกกบาลให้อีกทีถ้าเกิดไม่ถูกจับมือเอาไว้
ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นก่อนที่นัยน์ตาคมจะเบิกโพลงเมื่อถูกร่างโปร่งจุ๊บลงบนริมฝีปากเบาๆ แล้วรีบผละออก
ทงเฮจำไม่ได้แล้วว่าเขินครั้งล่าสุดเมื่อไหร่...อาจจะเป็นตอนที่มีจูบแรกก็ได้...แต่อีฮยอกแจกำลังทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นเพียงเพราะแค่ถูกจุ๊บปากเบาๆ เท่านี้อย่างงั้นเหรอ
“กูจะไม่พูด..อะไรซ้ำๆ...ถ้าหูหนวก...ก็ช่วยไม่ได้...” เอ่ยเสียงแผ่วเมื่อถูกปลายจมูกโด่งสันกดจูบลงบนซอกคอขาว
“ทำไมล่ะ พูดอีกครั้งจะเป็นไรไป...” เสียงแหบพร่าใกล้ใบหูทำเอาคนถูกแกล้งต้องรีบหดคอลง มือแกร่งไล้ไปตามพวงแก้มเนียนพร้อมกับยิ้มบางๆ
“..................”
“
...”
“อือ....กู....ก็รักมึงเหมือนกัน...ทงเฮ”
END
Talk with Writer
จบแล้ว
ตอนต่อไป Special WonKyu > HaeEun
ไม่ต้องค้างนะจ้ะ มี Special (เด็กวอนคยูเรารู้ว่าตัวค้าง)
ความคิดเห็น