คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
INTRO
บางทีสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด...อาจจะไม่ใช่ความตายก็ได้
“ทานข้าวให้หมดนะครับคุณลุง”
“ไม่เอาแล้วคุณหมอ ผมเบื่อ”
“อ่า...อย่างนั้นก็ได้ครับ” คุณหมอหนุ่มนั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าชายวัยหกสิบกว่า ๆ พร้อมกับแบมือออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่ทันทีที่ชายแก่เห็นบางอย่างในมือนั้นเขาก็ทำหน้าเหยเกขึ้นมาทันที
“ยาอีกแล้วเหรอหมอ? ผมไม่กินไม่ได้เหรอ ผมเกลียดมัน”
“หมอก็เกลียดมันเหมือนกันครับ ขมก็ขม ถ้ามันไม่มีประโยชน์หมอคงโยนมันทิ้งลงขยะไปแล้ว” คุณหมอพยายามพูดจูงใจคนไข้ที่กำลังดื้อดึงไม่ยอมทำให้ภารกิจนี้ลุล่วงไปได้ง่าย ๆ ผมนั่งมองเขาทั้งคู่ท่ามกลางสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาเป็นระยะ รอบข้างมีคนไข้และพยาบาลสาวที่ประกบอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่รู้ว่าทำไม...ผมถึงต้องสนใจคุณหมอคนนั้นด้วย
“แต่ถ้าคุณลุงทานยาติดต่อกันตามที่หมอจ่ายให้ คุณลุงก็จะได้กลับบ้านไปอยู่กับลูกหลานเร็วขึ้นนะครับ...แต่ถ้าคุณลุงไม่อยากทานก็ไม่เป็นไร ผมโยนทิ้งดีกว่า...” ประโยคนี้ทำให้ชายแก่ตาเป็นประกายขึ้นมา มือเหี่ยวย่นรีบคว้ายาจากมือคุณหมอหนุ่มมาใส่ปากพร้อมกระดกน้ำตาม ผมเลิกคิ้วมองงง ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
คนแก่ก็อย่างนี้สินะ สิ่งสำคัญที่สุดในบั้นปลายของชีวิตจะมีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวอีก ผมก้มลงมองมือตัวเองที่ประสานกันไว้บนตักแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นชุดคนไข้สีฟ้าหลวมโครกที่ตัวเองใส่พร้อมกับผ้าก๊อชสีขาวที่พันอยู่รอบข้อมือ ข้างในนั้นมันคงมีรอยบาดแผลฉกรรจ์ที่ผมชอบกรีดมันเพื่อระบายความเครียด แต่คราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง หลังจากที่ผมลงมือทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นผมหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงคนไข้แล้ว พอถามพยาบาลพวกเขาก็บอกแค่ว่าเดี๋ยวแม่จะมารับ...แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
บางทีมผมอาจจะต้องรอแม่ถึงชาติหน้า เพราะคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของแม่เท่าที่ผมจำได้ก็ประมาณสามเดือน ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ตอนเป็นเด็กผมมักจะน้อยใจอยู่บ่อย ๆ ที่แม่เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ผมชินแล้วเหรอ? ผมก็คงตอบว่าใช่
“คุณหมอโจทั้งหล่อทั้งใจดีเนอะเธอ” ผมได้ยินเสียงคนไข้ที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้ากระซิบกระซาบกัน อ่อ...พวกเธอคงกำลังพูดถึงคุณหมอคนนั้นอยู่
ผมเองก็คิดเหมือนกับพวกเธอนั่นแหละ คนอะไรจะเพอร์เฟ็คเสียขนาดนั้น ทั้งหล่อทั้งใจดี ผมคิดว่าชีวิตเขาคงสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เกิด ผมมองตามคุณหมอหนุ่มในชุดกาวน์ไปจนลับสายตา ผมไม่ได้รู้สึกถูกใจอะไรเขาหรอกนะอย่าเข้าใจผิดล่ะ ผมก็แค่หาที่วางสายตาในช่วงเวลาที่น่าเบื่อแบบนี้ก็เท่านั้น
“คุณอีฮยอกแจคะ ได้เวลาพักผ่อนแล้วค่ะ” ผมหันไปมองพยาบาลสาวที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เธอเข้ามาทำท่าจะช่วยพยุงแต่ผมยกมือปรามไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินเองได้”
.
.
คนที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย...เขาจะกลัวความตายได้ยังไง?
พรึ่บ...
ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับหอบหายใจหนัก ภาพที่ฉายในม่านตาของผมคือเพดานสีเทาที่เกิดขึ้นเพราะแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางด้านใน ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจมันกำลังเต้นแรงแค่ไหนหลังจากหลุดพ้นออกมาจากฝันร้ายนั่น ผมจำไม่ได้...จำไม่ได้แล้วว่าฝันอะไร จำไม่ได้ว่าความน่ากลัวนั่นมาจากไหน ต้นเหตุมาจากอะไร แต่ที่รู้ ๆ คือผมกลัวจนแทบหยุดหายใจ ผมได้แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรื่องก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
ผมพยายามนึกว่าผมฝันอะไรแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมล้มเลิกความตั้งใจแล้วลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำแล้วกรอกปากทีเดียวหมดไปครึ่งขวด ยืนหอบหายใจอยู่ตรงนั้นเพียงครู่เดียวก็เดินไปเปิดไฟประตูห้องน้ำ เข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอ่างล้างมือแล้วกวักน้ำใส่หน้าสามสี่ทีแล้วถลกคอเสื้อขึ้นมาซับน้ำออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะมองสภาพตัวเองในกระจก
เหมือนลูกหมาถูกทิ้งไม่มีผิด...
ไม่มีใครสนใจว่าแกจะเป็นตายร้ายดียังไงหรอกนะอีฮยอกแจ...
คนรอบข้างมักจะมองว่าผมเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ผมสามารถผ่านมันไปได้ง่าย ๆ ถ้าเทียบกับคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วใครจะรู้ว่าผมน่ะอ่อนแอมากแค่ไหน? ว่าผมโหยหาความอบอุ่นและชีวิตที่ราบรื่นเหมือนกับคนอื่นมากสักเท่าไหร่?
ผมมองหน้าตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายพลางถอนหายใจก่อนจะเดินออกมาจากห้องคนไข้พิเศษที่แม่อุตส่าห์เจียดเงินมาจ่ายให้ผมค้างคืนทั้งที่มันแพงมาก แต่ก็นะ...ถ้าไม่มีประกันจ่ายให้ย้อนหลังแม่ก็คงถีบให้ผมไปนอนกับพวกคนไข้ขี้โรคในห้องรวมแล้วล่ะ
ผมเดินมาตามทางเปลี่ยวที่มีไฟเปิดอยู่เป็นจุด ๆ บรรยากาศเหมือนกับในหนังผีไม่มีผิด กลิ่นสาปของโรงพยาบาล ความเงียบในเวลาค่ำคืน ไม่มีพยาบาลหรือคนไข้เดินป้วนเปี้ยนไปมาให้ลายตาเหมือนกับตอนกลางวัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ ผมไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากสักเท่าไหร่
ผมเดินขึ้นบันไดทางหนีไฟมาจนถึงชั้นดาดฟ้า ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมเดินขึ้นมาบนนี้ คุณคงคิดว่าผมจะหาเรื่องโดดตึกตายล่ะสิ? ฮ่า ๆ ผมไม่ปฏิเสธหรอก บางทีผมอาจจะเดินเหม่อไปหยุดยืนอยู่ริมรั้วแล้วปล่อยให้ร่างตกลงมาเละบนพื้นหรือผมอาจจะแค่นั่งตากลมเล่น ๆ พอง่วงค่อยกลับไปนอนต่อก็ได้
กริ๊ง~ กริ๊ง~
“อ...อย่า...”
“...” ผมหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงปริศนาดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระดิ่งในเวลาดึกสงัดแบบนี้ ผมหันไปรอบ ๆ ข้างเพื่อมองหาต้นเสียง และที่ทำให้ผมต้องตกใจนั่นก็คือ...
คุณหมอโจคนนั้น...
“อย่าทำแบบนี้เลย...ปล่อยผมไปเถอะ...” น้ำเสียงสั่นเครือที่วิงวอนขอชีวิตจากคนที่ยืนกอดเขาจากข้างหลังที่มีมีดเล่มขนาดเหมาะมืออยู่ในมือของใครอีกคน...
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้คุณหมอโจกำลังแค่นยิ้มแม้ว่าใครอีกคนจะร้องขอชีวิตทั้งน้ำตา ถึงคุณหมอโจจะตัวสูงกว่าผู้ชายคนนั้นแต่เขากลับไม่สามารถต่อกรได้เพราะมีดที่จ่ออยู่ตรงกลางอกพร้อมกับมือหนาอีกข้างที่โอบกอดเขาไว้จากข้างหลัง
ใบหน้าหล่อเอาคางเกยไหล่คุณหมอโจเอาไว้ทั้งที่ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น คุณว่ามันไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอ? สีหน้าเขาดูเหมือนคนโรคจิตไม่มีผิด! ผมกลัวจนก้าวขาไม่ออก ถ้าเขาหันมาเห็นตอนนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจเอามีดเล่มนั้นมาแทงอกผมแทนคุณหมอโจก็ได้...
“ทำไมล่ะ...” เสียงแหบพร่าของผู้ชายคนนั้นกระซิบที่ข้างหูคุณหมอโจ น้ำเสียงของเขาช่างเยือกเย็นเสียเหลือเกิน
“ในเมื่อคุณไม่รักผมแล้ว...มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่ใช่เหรอ?”
ประโยคนี้ทำเอาผมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคุณหมอโจกำลังรู้สึกยังไงในตอนนี้
“วางมีดลงแล้วเรามาคุยกันดีกว่านะครับ...”
“คุณมีสิทธิ์ขออะไรจากผมด้วยหรือไง? ในเมื่อผมเคยให้โอกาสแล้วแต่คุณกลับเลือกที่จะทิ้งมันไปเอง”
“เรารักกันไม่ใช่เหรอ...” คุณหมอโจเอ่ยทั้งน้ำตา หากแต่ใครอีกคนกลับแค่นหัวเราะออกมาราวกับว่าคำพูดนั้นมันน่าตลกเสียเต็มประดา ชายหนุ่มร่างหนากระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะใช้จังหวะนั้นกดปลายมีดแหลมลงไปกลางอกนั่นจนเลือดสีแดงสดไหลออกมาเลอะเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด...
ไม่มีเสียงร้องของคุณหมอโจสักแอะเดียว...ผมยกมือขึ้นป้องปากทั้งที่อยากจะแหกปากลั่นขอความช่วยเหลือ ขาของผมมันถอยหลังไปทีละก้าวโดยไม่รู้ตัว และในชั่ววินาทีนั้นเองที่คุณหมอโจเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าเจ็บปวด...ราวกับ...จะขอความช่วยเหลือจากผม...
“...!!!”
“อึ่ก!!” มีดแหลมทั้งเล่มแทงเข้าไปจนสุดในคราเดียวหากแต่คนใจมารกลับไม่หยุดแค่นั้น...มือหนาจับด้ามมีดพร้อมกับบิดวนมันไปอย่างช้า ๆ เพื่อเพิ่มความเจ็บปวดให้คุณหมอโจยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“คุณน่ะ...”
“...อึ่ก!”
“อยู่แค่ในความทรงจำของผมก็พอแล้ว” ชายหนุ่มร่างหนาพูดเสียงเรียบก่อนที่ร่างของคุณหมอโจจะทรุดลงไปกองกับพื้น...ผมมองคุณหมอโจที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับตัวแล้วก็แทบเป็นบ้า นั่นเขาตายแล้วเหรอ? ไม่จริงใช่ไหม?
“...ค...คุณหมอ...” ผมอุทานเบา ๆ ผมจะทำยังไงดี?!!
ยังไม่ทันคิดอะไรออกผู้ชายคนนั้นก็หันหน้ามามองผมด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา ใบหน้าเรียบเฉยนั่นจู่ ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างกับคนโรคจิต
“หึหึหึ...” เสียงหัวเราะของเขาเหมือนปีศาจร้ายที่หลุดออกมาจากขุมนรก เขาก้มลงไปดึงมีดออกมาจากอกคุณหมอโจก่อนจะแลบลิ้นเลียคราบเลือดจนถึงปลายมีด ผมสั่นไปหมด สั่นจนแทบก้าวขาไม่ออกจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาผมถึงได้ตัดสินใจวิ่งหนีลงบันไดด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
“ช่วยด้วย!!!”
ผมตะโกนร้องสุดเสียงขอความช่วยเหลือหวังว่าจะมีใครสักคนที่จะช่วยผมให้พ้นจากภัยอันตรายนี้ได้ ขาผมหมดแรงเพราะความกลัว มันล้าจนผมแทบเสียหลักตกบันไดแต่ดีที่ว่าผมคว้าราวจับไว้ได้ทัน
กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งกำลังตามหลอกหลอนมาเรื่อย ๆ ผมเอี้ยวหน้าหันไปมองไอ้ฆาตรกรใจโหดนั่น เขาเดินตามมาอย่างไม่รีบร้อนราวกับคิดว่าผมคงไม่มีปัญญาหนีพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ ตอนนี้ผมวิ่งลงมาถึงทางเดินแล้ว อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล แต่พอผมหันกลับไปอีกครั้งผู้ชายคนนั้นก็ตามหลังผมมาติด ๆ แล้ว เขาไม่ได้ค่อย ๆ เดินอย่างใจเย็นเหมือนในทีแรก
ผมดันประตูห้องคนไข้พิเศษที่อยู่รอบข้าง แต่ไม่มีห้องไหนเลยที่ผมจะเข้าไปได้ ผมยังคงวิ่งดิ้นรนเอาชีวิตรอดต่อไป เพราะถ้าผมหยุดวิ่งเมื่อไหร่ มีดที่เพิ่งแทงอกคุณหมอเล่มนั้นคงมาเสียบที่กลางหลังผมแน่...
“ช่วยด้วย!!! มีคนจะฆ่าผม!!! ได้โปรด ใครก็ได้ ช่วยผมที!!!” จู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมกลัวตายงั้นเหรอ? ฮะฮะ น่าตลกจริง ๆ ว่าไหมครับ?
ทั้งที่ผมเคยคิดที่จะตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้ก็แค่มีคนมาช่วยสงเคราะห์ให้หลังจากที่ลงมือเองแล้วไม่สำเร็จ แล้วทำไมผมถึงไม่ยอมให้เขาปลิดลมหายใจไปซะเลยล่ะ?
เพราะผมมันไม่ได้อยากตายจริง ๆ ใช่ไหม?
ผมวิ่งมาจนถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย ไม่จริงน่า...นี่โรงพยาบาลนะไม่ใช่สุสาน มันต้องมีคนอยู่แถวนี้บ้างสักคนสิ! แต่ผมจะมาใช้เวลาครุ่นคิดกับเรื่องนี้ไม่ได้ ผมรีบผลักประตูออกไปข้างนอกแล้ววิ่งออกไปในสวนหญ้าสีเขียวที่อยู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดและสายลมหนาวตอนกลางดึก...
ผมเห็นพุ่มไม้สูงระดับเอวอยู่ระแวกนั้นเลยคิดว่ามันน่าจะเป็นที่หลบภัยชั่วคราวให้ผมได้ ผมหันไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้งแล้วก็พบว่าเขาเพิ่งเดินออกจากประตูมาผมเลยหมอบลงแล้วค่อย ๆ คลานไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้นั่น...
ชายหนุ่มร่างหนายืนหยุดอยู่กับที่อยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อย ๆ กวาดสายตาไปทางซ้าย...ก่อนจะค่อย ๆ กวาดสายตาไปทางขวา...ผมได้แต่พึมพำขอความเห็นใจจากพระเจ้าให้ท่านช่วยผมอีกสักครั้งหนึ่ง หลังจากช่วยให้ผมรอดตายมาได้นับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้ว...ผมสัญญาว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตายอีก...ผมสัญญา...
ความคิดที่จะขอพรจากพระเจ้านั้นได้หายไปเมื่อจู่ ๆ สายตานั้นก็มองมาตรงพุ่มไม้ที่ผมหลบอยู่...รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับขาทั้งสองข้างของเขาที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ...เสียงผิวปากเป็นทำนองบ่งบอกถึงความสุนทรีของไอ้ฆาตรกรนั่นทำให้ผมกลัวจนฉี่แทบราด ผมกำหญ้าไว้แน่นจนมันหลุดออกมาเต็มกำมือ ถ้าเศษดินในมือผมทำให้มันเจ็บจนเสียหลักได้ ผมก็จะปาใส่หน้ามัน...แต่มันคงไม่ได้ผล
อีฮยอกแจ แกจะรอให้ไอ้เลวนั่นมาฆ่าแกหรือไงห๊ะ?!
ผมหันซ้ายหันขวาก่อนจะเห็นช่องทางเล็ก ๆ ข้างรั้วที่คงเป็นรูที่เอาไว้ให้หมาลอดออก ผมหันไปมองไอ้ฆาตรกรนั่นผ่านช่องพุ่มไม้อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจคลานไปตรงช่องแคบ ๆ ปากของผมสั่นไม่หยุด ผมไม่สามารถตั้งสติได้เลย ผมคลานมันออกมาอย่างร้อนรน และดูเหมือนว่าผมจะติด!!
“เวรเอ๊ย!!”
“~~ ~~”
เสียงผิวปากดังเข้ามาใกล้เต็มทีแล้ว แต่สะโพกผมดันติดกับรูนรกนี่ ผมพลิกตัวหงายขึ้นพร้อมกับโน้มตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วใช้มือดันกำแพงเพื่อให้สะโพกของผมหลุดออกมาให้ได้
อีกนิดเดียวฮยอกแจ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!!!
“!!!”
ได้แล้ว!!
ผมยิ้มพร้อมกับใช้มือยันพื้นเพื่อที่จะเอาขาออกมาจากช่องทางนั้น แต่พระเจ้าอาจจะยังอยากทำโทษผมอยู่...ท่านถึงได้...
หมั่บ!!
“!!!”
ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ก้มลงมามองจากช่องทางแคบ ๆ นั่นพร้อมกับมือหนาที่คว้าข้อเท้าผมเอาไว้ รอยยิ้มราวกับคนโรคจิตกำลังทำให้ผมแทบหยุดหายใจเพราะความกลัวขึ้นสมอง เสี้ยววินาทีหนึ่งผมคิดไปเองว่าเขาอาจจะเอามีดตัดขาผมอย่างเลือดเย็น หรือไม่ก็เอาปลายมีดแหลม ๆ นั่นทิ่มขาผมจนทะลุเสียบลงกับพื้นเพื่อไม่ให้ผมหนีไปไหนก็ได้
“รีบไปไหนเหรอ?”
เป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับผม...ดวงตาคู่นั้นมันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ได้เพียงแค่พยายามสะบัดขาเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการนี้เท่านั้นถึงมันจะไม่เป็นผลเลยก็ตาม
“ไปหาที่เงียบ ๆ นั่งคุยกันก่อนดีกว่าไหม?”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ออกแรงเสียด้วยซ้ำแต่ผมกลับสะบัดขาออกไม่ได้เลย ผมส่ายหน้ารัวเป็นคำตอบ ใครจะไปอยากคุยกับฆาตรกรใจโหดอย่างมันผมคนหนึ่งล่ะไม่!
“ไม่เอาน่า...อย่าดื้อสิแมวน้อย...” พูดจบเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งใส่อะไรบางอย่างลงบนข้อเท้าผมจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเย็นของโลหะและเสียงของกระดิ่ง...ผมถึงได้รู้ว่ามันคือกำไลข้อเท้า...
“เมี๊ยว ๆ ...คลานกลับมานี่เร็วครับคนดี” เขาเอื้อมมือออกมาจากรูนั้น ผมเอนหลังถอยออกไปจนเขาออกแรงบีบข้อเท้าผมแรงขึ้น
“อ...โอ๊ยยย!!!!”
“เจ็บใช่ไหม? ถ้าเจ็บก็อย่าดื้อสิ”
“ค...คุณ...อย่าทำอะไรผมเลยนะ...ผมจะทำเหมือนไม่เห็นอะไร ผมจะลืมทุกอย่าง ผมสาบาน...” ผมพูดเสียงสั่นเหมือนกับคุณหมอโจตอนร้องขอชีวิต มันช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน ผมไม่เคยคิดเลยว่าครั้งหนึ่งจะต้องมาอ้อนวอนขอชีวิตกับใครแบบนี้
“ไม่เห็นงั้นเหรอ?”
“อ...อื้อ...”
“ไม่เห็นอะไรเหรอครับ?” เขายิ้ม
“ไม่เห็น...คุณ.....คุณ...ฆ่า...คุณหมอ...โอ๊ยยย!!!” ผมหวีดร้องดังลั่นเพราะเขาเอาปลายมีดทิ่มลงที่หน้าขาผม...ผมไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน แต่มันก็เจ็บมากพอที่จะทำให้ผมร้องไห้ออกมาได้เหมือนกัน
“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกผมว่าคุณไม่เห็นไม่ใช่เหรอ?”
“ผม...ผมไม่เห็น...ไม่เห็นอะไร...ทั้งนั้น...” ผมสะอื้นจนพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง ได้โปรดเถอะ ถึงมันจะดึกมากแล้ว แต่ใครก็ได้...ช่วยผ่านมาทางนี้สักคนทีเถอะ...
“อย่าร้องไห้สิ...ผมทำตัวไม่ถูกแล้วนะ” ไอ้ฆาตรกรพูดด้วยน้ำเสียงติดทะเล้น ผมอยากสะบัดขาออกเหมือนในทีแรกถ้าไม่มีมีดปักขาผมอยู่ตอนนี้
“จะเอายังไง!!!” ผมตะคอกไปทั้งที่เสียงแหบพร่า เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
“ผมบอกให้คลานกลับมาไงครับแมวน้อยของผม”
“ผมไม่ใช่ของ ๆ นาย เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ!!” จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ผมกลัวตายมาก...แต่ในเมื่อคำอ้อนวอนของผมไม่ได้ผล...มันก็ไม่จำเป็นแล้วที่ผมจะต้องพูดดี ๆ กับฆาตรกรอย่างมัน...
“ชื่ออะไรครับ?” เขายิ้มราวกับเอ็นดูผมซะมากมาย ผมหอบหายใจหนักพลางจ้องเขาด้วยความอาฆาตแค้น
“...”
“อยากรู้จักชื่อผมไหม?”
“...” อยากรู้สิ...เพราะถ้าผมหนีไปได้ ผมจะลากคอมันเข้าตารางแน่ผมขอสาบาน!!
“ผมน่ะ...”
“ชื่ออีทงเฮนะครับ”
ผม...
จะไม่มีวันลืมชื่อนี้ไปจนวันตาย...
“แล้วคุณล่ะชื่ออะไร?”
“...”
“น่า...ดีกันนะครับ” พอเห็นผมไม่ยอมตอบอะไรกลับไปไอ้เลวนี่ก็เลยอ้อล้อกลับมา
ดีกัน? มันคิดว่าผมกับมันสนิทกันมาแต่ชาติปางไหนเหรอ?
“ไม่ชอบให้ผมใช้กำลังใช่ไหม?” เขายิ้มแล้วดึงมีดออกโดยไม่ให้ผมตั้งตัว ผมได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด จะร้องก็ร้องไม่ออก...ไอ้สารเลวเอ๊ย!!
“มาเร็ว ๆ ครับ เข้ามานั่งคุยกันข้างในนะ” เขายื่นมือออกมาอีกครั้งทั้งที่มืออีกข้างยังคงจับข้อเท้าผมเอาไว้อยู่ แต่คราวนี้ผมกลับนึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
“...” ผมมองหวาด ๆ ก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า เขาพยักหน้ายิ้ม ๆ พร้อมกับจับมือผมเอาไว้ และนั่นเป็นจังหวะที่ผมจับมือเขามากัดเต็มแรงจนเขาแหกปากร้องดังลั่น
“อ๊ากกก!!!”
ไอ้เลวอีทงเฮนั่นปล่อยข้อเท้าผมออกเพราะความเจ็บที่ผมจัดให้ ผมถือโอกาสอันมีค่านี้ลากขาที่เลือดกำลังไหลออกมาเต็มขากางเกงคนไข้จนหลุดรอดออกมาจากรูนั้นได้ก่อนจะพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วกะเผก ๆ หนีไปก่อนที่มันจะตามผมมา
ความเจ็บที่ขามันแล่นขึ้นมาสั่งการให้สมองผมรีบประมวลทางเอาชีวิตรอด ผมคิดหาทางหนีโดยมุ่งหน้าไปที่ถนนใหญ่ในยามค่ำคืนจนกระทั่งเจอแท็กซี่คันหนึ่งขับผ่านมาพอดี ผมเลยวิ่งไปขวางทางไว้เพื่อให้รถจอดแล้ววิ่งขึ้นไปนั่งข้างคนขับในทันที
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวจริง ๆ ทันทีที่ประตูปิดลงเสียงทุบกระจกรถฝั่งที่ผมนั่งก็ดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของไอ้ฆาตรกรนั่น
“รีบออกรถเลยครับ!!” ผมหันไปบอกแท็กซี่ที่ทำหน้าตระหนกอยู่ข้าง ๆ เขาก็คงตกใจไอ้เลวนั่นไม่ต่างจากผมนักหรอก
“ป...ไปไหนครับ?” โชเฟอร์ตัวเล็กถามผมเสียงสั่นเมื่อเห็นมีดที่อยู่ในมือมัน...ผมได้ยินเสียงเขาลอดเข้ามาเพียงเบา ๆ เท่านั้นแต่ก็พอจับใจความได้ว่า...
“คุณหนีผมไม่พ้นหรอก!!! เพราะต่อให้คุณนอนตายอยู่ในหลุมฝังศพ...ผมก็จะตามหาคุณจนเจอ!!!..................อีฮยอกแจ!!!”
To be continued
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk With Me
เหนื่อยป่ะ
คนเขียนก็เหนื่อย
ฟิคบ้าไรวะเนี่ย โอย ฉันกลัวพี่ทงเงย์
#ฟิคสนองนีสที่ช่วยกันคิดกับ @Yokkyelf
เป็นยังไงบ้างคะ ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันไหม ไม่เคยเขียนฟิคหลอนแบบนี้เลย
ตอนหน้าจะยังมีคนอ่านอยู่ไหมคะ ขอเสียงเป็นกำลังใจหน่อย กร๊ากๆๆๆๆ
ความคิดเห็น