คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
-INTRO-
ว่าด้วยเรื่องสิ่งที่เรียกว่า ‘ซอมบี้’ ที่เราเคยดูกันในซีรี่ย์หรือหนังฟอร์มยักษ์ในตำนานทั้งหลายแหล่
แต่ถ้าถามว่าผมเคยดูหนังพวกนี้ไหม ผมก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไม่เคยพลาดสักภาคครับ
ต้นเหตุมันมาจากเพื่อนของผมที่คลั่งใคล้หนังและเกมแนวนี้เสียยิ่งกว่าอะไร
ชนิดที่ว่าเวลายืนเยี่ยวด้วยกันแม่งก็หันมาถามผมว่า
‘เฮ้ยไอ้จืด ถ้าสมมติซอมบี้บุกกรุงเทพจริง ๆ มึงว่าจะเป็นยังไงวะ?’
‘เฮ้ยไอ้จืด มึงดูบรรยากาศตอนนี้ดิ กูนึกว่าแรคคูนซิตี้’
‘เฮ้ยไอ้จืด มึงว่าซอมบี้...$E%&%^IY%HWET#E%^’
คำก็ไอ้จืด สองคำก็ไอ้จืด...
เออครับ นั่นน่ะชื่อผมเองแหละ ไม่ใช่ฉายาหรือนามแฝงใด ๆ ทั้งสิ้น
ผมกับ ‘ไอ้ฮวย’ เพื่อนสนิทอีกคนที่ชื่อเต็มแม่งโคตรอลังการงานสร้าง ตอนที่ได้ยินชื่อมันครั้งแรก ผมถามว่ามันมีชื่อเต็มไหม หรือว่าแค่ชื่อฮวยสั้น ๆ มันตอบว่ามี ผมเลยนึกในใจละแม่งต้องเป็นเต้าฮวยแน่ ๆ แต่คำตอบของมันทำคดีพลิกครับ ชื่อเต็มของมันคือ ‘ฮวยบ่อข่วย’ มันให้เหตุผลมาว่าพ่อกับแม่มันชอบหนังจีนเรื่องเซียวฮื่อยี้ก็เลยตั้งชื่อให้แบบนั้น
ผมกับไอ้ฮวยเคยปรึกษากันว่าถ้าเจอพ่อแม่ ‘ไอ้จุ๊บ’ ในวันประชุมผู้ปกครองเมื่อไหร่ วันนั้นผมจะจับเข่าพ่อมันแล้วบอกว่า...
‘พ่อครับ พาไอ้เหี้ยจุ๊บไปวัดถ้ำกระบอกที แม่งเล่นเกมจนสมงสมองไปหมดละ’
นอกจากพวกซีรี่ย์ไตรภาคอย่างเดอะวอร์คกิ้งเดธ หนังฟอร์มยักษ์อย่างเรสสิเดนท์อีวิลมันก็ยังบ้าเกมด้วยไงครับ แนวยิงซอมบี้ ยิงนู่นยิงนี่สารพัด...แต่ยังไงซะ...ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้ออยู่ดี
กึ่ก!!!
เฮือกกก!!!
“เฮ้ยอีติ๋ม เชี่ยจืดฟื้นแล้ว”
ผมอ้าปากโกยอากาศเข้าปอดพร้อมกับมองใบหน้าของคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม ซ้ายมือคือไอ้จุ๊บที่กำลังทำหน้าโง่อยู่ ส่วนอีกคนคือ ‘ติ๋ม’ หรือที่ใคร ๆ ชอบเรียกว่า ‘อีติ๋ม’ มันเป็นคนหน้าหวานตัวเล็ก ๆ ที่ดัจริตเป็นทอม ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยได้รับการช่วยเหลือจากทั้งสองคน ผมยังดูอึน ๆ กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“เป็นไงบ้างวะ สมองเสื่อมยัง” ไอ้จุ๊บถามพลางตบหัวผมเบา ๆ
“เสื่อมเหี้ยไรล่ะ แล้ว...?” ผมหันไปมองรอบ ๆ ข้างแล้วก็พบว่าที่นี่คือห้องน้ำหญิง
“โหยมึงเอ๊ย เมื่อกี้โคตรนาทีชีวิตอ่ะสัด” ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหน้าผาก พอลูบ ๆ ดูแล้วก็พบว่ามีสะเก็ดคราบเลือดที่แห้งกรังติดออกมาด้วย
“กูนี่ปากสั่นเลยตอนเห็นมึงกลิ้งขลุก ๆ ลงมาจากบันได แม่งกี่ขั้นวะติ๋ม ห้าขั้นป่ะ? เออนั่นแหละ ถ้าไม่ได้อีติ๋มมาช่วยนะป่านนี้มึงคงกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว” ไอ้จุ๊บว่าพร้อมกับมองหน้าอีทอมหน้าหวานที่นั่งชันเข่าแมน ๆ อยู่ข้างผม
“ซอมบี้?” ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิท ในหัวผมกำลังประมวลผลว่าเพื่อนของผมมันกำลังเล่นมุขหรืออะไร
“เออดิ ใครจะไปรู้ว่าครูอ้วนแม่งจะเป็นซอมบี้วะ”
ผมพยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็พอจะจำได้ลาง ๆ ว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาพักเบรกในคาบคณิตศาสตร์ที่ผมเกลียดที่สุดในโลก ผมกับไอ้จุ๊บเดินลงมาข้างล่างว่าจะไปหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย แต่พอรู้ตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่มาพร้อมกับรุ่นพี่ม.หกที่แย่งกันวิ่งลงบันไดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ครูอ้วนที่สอนพละป่ะวะ?”
“เออ ปกติแกก็แดกอย่างกับห่าลงอยู่ละ พอเป็นซอมบี้นี่นางทำกูสะพรึงคูณห้า”
ยังไงผมก็ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้อยู่ดี ซอมบี้ห่าอะไรของมันจะเพ้อเจ้อเกินไปไหม นี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่เกมหรือหนังแนวสยองขวัญ ผมหันไปมองอีติ๋มหวังจะขอความเห็นจากมัน แต่สายตาที่มองมานั่นทำให้ผมเปลี่ยนใจ
ยังไงผมก็คิดว่าอีทอมเตี้ยนี่ชอบทำหน้ากวนตีนใส่ผม -_-
จริงอยู่ที่ผมอคติกับทอม แต่ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับว่ามันกำลังกวนตีนผมอยู่อ่ะ
“อะไรของมึง มองหน้ากูแล้วถอนหายใจแบบนั้น”
“เปล่า แล้วมึงมาทำอะไรที่นี่” ผมถามกลับ อีติ๋มเลิกคิ้วมองผมเหวี่ยง ๆ แล้วผมก็เพิ่งสำเหนียกได้ว่าที่ผมรอดชีวิตมาจากดงตีนนั่นได้ก็เพราะไอ้จุ๊บกับอีนี่ - -
“อ๋อ โทษ ๆ กูลืมไป”
“ไม่เชื่อที่กูพูดอ่ะดิ” ไอ้จุ๊บแค่นหัวเราะ ผมยักไหล่แล้วลุกขึ้นปัดกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินเบา ๆ พลางหันไปมองกระจกตรงหน้าอ่างล้างมือ หันซ้ายนิด ๆ หันขวาหน่อย ๆ โอเค...หน้าผมไม่มีรอยแผลอะไรนอกจากที่หน้าผากนั่น
“กูก็อยากเชื่อหรอกนะ แต่อะไรที่ออกมาจากปากมึงนี่กูไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ว่ะ” ผมหัวเราะแล้วเดินออกไปเปิดประตู ทันทีที่เปิดออกผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อภาพตรงหน้าของผมคืออีนุ้ยหัวหน้าห้องผมที่กำลังแดกตับไตไส้พุงเด็กม.ต้นอย่างเอร็ดอร่อย
เลือดสีแดงสดกระจายไปตามพื้นทางเดินอีกทั้งกระเซ็นใส่ผนังสีขาวสร้างความสะพรึงให้ผมอีกสิบเท่า ริมฝีปากที่มีแต่คราบเลือดกำลังขบดึงไส้ยาว ๆ ให้ขาดออกจากกัน ลิ้นที่ไม่คิดว่าจะยาวได้ขนาดนั้นกำลังตวัดเอาไส้เข้าปาก สภาพอีนุ้ยเหมือนคนไม่ได้แดกห่าอะไรมาเป็นเดือน ๆ ผมยังคงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นแต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของผมก็เซติดประตูเมื่อไอ้จุ๊บกับอีติ๋มแทรกตัวออกไปถีบอีนุ้ยติดผนังพร้อมกับเอาไม้ถูพื้นฟาดไม่ยั้ง
“อีติ๋ม แทงหัวมันเร็ว!”
“แทงเหี้ยไรล่ะ ไม้ถูพื้นนะไม่ใช่หอกบวกสิบไอ้สัด!” เสียงหวาน ๆ ที่เถียงกลับนั่นไม่ได้เข้ากับประโยคหยาบคายนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเบะปากเหมือนจะอ้วกกับภาพที่เห็นทันทีที่ตั้งสติได้
“งั้นมึงเอามานี่!” ไอ้จุ๊บยื่นมือไปขอไม้ถูพื้นจากอีติ๋มมาก่อนจะทำท่ายึกยักเมื่ออีนุ้ยกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับคำรามเสียงดังด้วยความโทสะ
แต่ร่างอ้วนเตี้ยนั่นก็ล้มลงไปกับพื้นอีกครั้งเมื่อถูกพีเอสจูเนียร์สีดำถีบเข้าตรงสีข้าง ผมคิดว่ารองเท้าของอีติ๋มน่าจะสักเบอร์สามสิบเจ็ด ผมทำหน้าเหวอเมื่อเห็นอีติ๋มถกกระโปรงขึ้นแล้วเข้าไปซ้ำอีนุ้ยไม่ยั้งตีนโดยไม่แคร์เลยว่าขาขาว ๆ ของมันจะทำรายเบ้าตาผู้ชายอย่างผมบ้างไหม ส่วนไอ้เชี่ยจุ๊บก็เอาไม้ถูพื้นทุ้งหน้าอีนุ้ยจนเละตุ้มเป๊ะไม่มีชิ้นดี
“พอแล้วไอ้จุ๊บ กูว่ามันตายแล้วล่ะ” อีติ๋มพูด พวกเราสามคนยืนหอบหายใจหนัก...คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ พวกเราสามคนจริง ๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เข้าไปร่วมประชุมตีนอีนุ้ยด้วยก็ตาม ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหนื่อยเหมือนคนกำลังจะตายแบบนี้เพียงแค่เห็นสองคนนั้นมันรุมฆ่าเพื่อนร่วมห้อง มันอาจจะเป็นเพราะผมลุ้นมากเกินไป
“ไง” ไอ้จุ๊บหันมายักคิ้วให้ผม
“อื้อหือ...เท่ห์ตายล่ะไอ้สัด ถ้าไม่ติดว่ากูเอามือถือไว้ในห้องนะกูจะอัดคลิปให้ดูเลยว่าหนังหน้าและท่าทางตอนมึงเอาไม้ถูพื้นจิ้มอีนุ้ยแม่งตลกชิบหาย”
“คนเรามันต้องมีครั้งแรกเสมอครับเพื่อน แต่ก็ยังดีกว่าพวกตุ๊ดที่เอาแต่ยืนมองแล้วให้ทอมตัวเตี้ย ๆ ออกมาลุยตีนแทนป่ะ -.-” ไอ้จุ๊บพูด ผมรู้สึกเดือดทันทีที่ได้ยินคำสบประมาทแบบนั้น ด่าพ่อด่าแม่ผมไม่โกรธครับ มาว่าผมเป็นตุ๊ดนี่มันวอนหาที่ตายชัด ๆ
ผมกัดฟันกรอดแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ มองซ้ายมองขวาก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างเข้า ผมถอนหายใจเนือย ๆ แล้วเอาถังน้ำสีดำติดมือออกมาด้วย ทันทีที่สองคนนั้นเห็นอาวุธชีวะภาพในมือผม พวกมันก็หัวเราะกันออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“55555555555555555555555555555”
“55555555555555555555555555555”
“ขำเชี่ยไร”
“มึงเอาไปตีบวกให้มันหน่อยดิ เผื่อจะเพิ่มดาเมจให้มัน” อีติ๋มพูด
“ตีธาตุสว่างด้วยนะมึง ซอมบี้แม่งแพ้ธาตุสว่าง ไอ้เหี้ยเอ๊ย เด็กแถวบ้านกูยังคิดไม่ได้เท่ามึงเลยไอ้จืด เอาถังมาฆ่าซอมบี้นี่เอาหัวแม่ตีนคิดเหรอครับเพื่อน”
“งั้นมึงบอกกูหน่อยว่าอะไรในนั้นมันใช้ได้บ้าง ไอ้ห่า ห้องน้ำหญิงนะเว้ยไม่ใช่สถานีตำรวจภูธร” ผมแถข้าง ๆ คู ๆ เพราะไม่อยากให้อีติ๋มที่เป็นชะนี(แต่ตัว)หัวเราะเยาะ ถึงมันจะเป็นทอมแต่ยังไงมันก็เป็นผู้หญิงป่ะครับ
“ฝาชักโครกไงมึง เคยดูกัปตันอเมริกาเปล่า” ไอ้จุ๊บทำท่าชูแขนขึ้นมาบังหน้า
“เอาไว้ให้พ่อมึงใช้แล้วกันนะ” ผมพูดแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ยังเดินไม่ไปถึงไหนก็ต้องหยุดกึกแล้วหันหน้าไปมองพวกมันสองคน
“เดี๋ยวนะ...” ผมขมวดคิ้ว “ถ้าบอกว่าซอมบี้บุก มันก็ต้องไม่ได้มีแค่ครูอ้วนกับอีนุ้ยที่เป็นซอมบี้แน่ ๆ ”
“แล้ว?”
“แล้วถ้ามีเยอะกว่านี้ แล้วพ่อแม่กูล่ะ?” ผมเริ่มเสียสติเมื่อจู่ ๆ สมองแม่งก็จันไรจินตนาการไปถึงฉากที่พ่อแม่ผมโดนซอมบี้แดกจนคอแหว่งไปครึ่ง ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบากก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อไอ้จุ๊บวางมือลงบนไหล่ผม
“พ่อแม่มึงไปมาเลกลับเมื่อรืนป่ะได้ข่าว”
“.................”
“ไอ้สัด” ไอ้จุ๊บด่าปิดท้ายเรียกสติให้ผมกลับคืนมา
เออว่ะ...พ่อแม่ผมไปฮันนีมูนรอบสองตั้งแต่เมื่อวานก่อนนี่หว่า -_-
“เออ แล้วพ่อแม่พวกมึงสองคนอ่ะ ไอ้เหี้ยฮวยด้วย...เดี๋ยว! น้องจิ้นของกูอีก!” ผมเริ่มระลึกชาติถึงคนสำคัญและยิ่งกว่านั้นคือ ‘น้องเวอร์จิ้น’ แฟนสาวของผมที่เพิ่งคบกันได้เดือนกว่า ๆ
“ไม่ต้องห่วง พ่อแม่กูชอบดู The Walking Dead ส่วนไอ้ฮวยป่านนี้คงยังไม่ตื่น ล่าสุดกูตื่นมาอาบน้ำตอนหกโมงยังเห็นมันตีฮอนอยู่เลย” ไอ้จุ๊บพูดอย่างไม่ยี่หระ ผมได้แค่ทำหน้าอึนกับคำตอบของมัน มึงไม่ได้นึกห่วงบุพการีมึงเลยใช่ไหม
“แล้วมึงอ่ะ”
“แม่กูตายนานละ ส่วนพ่อกู...” อีติ๋มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมองผ่านหลังผมไป ผมกับไอ้จุ๊บหันไปมองก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อเห็นฝูงซอมบี้กำลังวิ่งไล่บี้เด็กม.ปลายคนหนึ่งเหมือนติ่งเกาหลีเห็นโอป้า
“เชี่ย งานเข้าแล้วพวกมึง” ผมดันหลังไอ้จุ๊บกับอีติ๋มให้รีบวิ่งออกจากตรงนั้น พวกเราวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนอย่างไม่คิดชีวิต เพราะวิ่งไปตรงไหนก็เจอพวกซอมบี้ยืนหัวโด่กันอยู่เป็นจุด ๆ
----------------------------------------
เราทั้งสามยืนโกยอากาศเข้าปอดพร้อมกับยกมือบังแสงแดดที่กำลังแผดเผา ผมมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่มีไฟลุกโชนตามคันรถที่บุบเบี้ยวเพราะแรงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อีกทั้งฝูงซอมบี้ที่กำลังร่วมปาร์ตี้แดกเนื้อคนที่ร่างกายโผล่ออกมาจากประตูรถครึ่งหนึ่ง บนถนนที่ก่อนหน้านี้ก็แออัดอยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์โกลาหลก็ยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าความสว่างมันคงทำให้ผมปลอดภัยจากพวกผีสางได้ แต่ตอนนี้ผมว่ามันคงเอาไปใช้กับพวกซอมบี้เหลือขอในนั้นไม่ได้ว่ะ
“เอาไงต่อวะ” อีติ๋มถาม
“ให้เอาไงล่ะ โทรศัพท์กูก็อยู่ในกระเป๋า ถ้าจะให้กลับไปเอาตอนนี้ก็จะเสี่ยงตายเกินไปป่ะ”
“กูมีมือถือ มึงอยากโทรหาใครอ่ะ” อีติ๋มยื่นโน้ตสองให้ ผมรับมันมาถือไว้แล้วจ้องมองสมาร์ทโฟนในมืออยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นกลับไป
“กูจำเบอร์พ่อแม่ไม่ได้”
“.................”
“.................”
“อะไร พวกมึงมองกูแบบนั้นหมายความว่าไงวะ กูมีมือถือไว้เมมเบอร์อยู่แล้ว กูก็เลยไม่จำเป็นต้องจำ”
“ไอ้สัดอ้าง” ไอ้จุ๊บหรี่ตามองผมอย่างเคือง ๆ
“แต่เบอร์พ่อแม่ก็น่าจะจำ ๆ ไว้บ้างป่ะวะ” อีติ๋มเสริม
“เออ! ยังไงพ่อแม่กูก็ยังไม่กลับไทยวันนี้หรอก เดี๋ยวกูกลับไปหาเบอร์โทรที่บ้านก็ได้โอเคไหมห่า” ผมกระแทกแดกดันกลับไปแต่ไอ้จุ๊บก็ยังส่งสายตาอ้อนตีนอยู่อย่างนั้น
“แล้วมึงจะเอายังไงต่ออีติ๋ม ตะกี้เห็นพูดค้างเอาไว้ สรุปพ่อมึงอยู่ไหน” ไอ้จุ๊บถาม
“พ่อกูเป็นตำรวจ อยู่ สน.บางซื่อ”
“เยดเข้...พ่อเป็นตำรวจด้วย เท่ห์สัด...” ไอ้จุ๊บตาเป็นประกาย
“โทรหาพ่อมึงสิ พ่อมึงเป็นตำรวจ ให้เขามาช่วยพวกเราออกไปจากที่นี่”
“เออ ๆ ” อีติ๋มพูดแล้วกดโทรหาพ่อ ผมกับไอ้จุ๊บยืนลุ้นระหว่างที่มันกำลังรอสาย แต่รอเท่าไหร่...พ่อมันก็ไม่กดรับสายสักที
“ไงวะ?”
“พ่อกูไม่รับสายอ่ะ”
“โอ๊ยยยย~~~ ความหวังที่จะเอาปืนมาวิ่งบู๊ยิงซอมบี้ของกูพังทลายแล้วไอ้เยดแม่” ไอ้จุ๊บทึ้งหัวตัวเอง
“ก็สมควรหรอก ตำรวจอะไรจะมาว่างนั่งรับสายตอนเกิดเหตุการณ์แบบนี้วะ” ผมพูด
หลังจากนั่นพวกเราทั้งสามคนก็ยืนใบ้แดก ความรู้สึกเหมือนพวกเราสามคนมีบอลลูนสีขาวพร้อมกับตัวหนังสือ ‘...’ อยู่บนหัว ผมขมวดคิ้วพลางใช้ความคิดจะเอายังไงกับเหตุการณ์นี้ดี จะกลับบ้านไปหาเบอร์พ่อแม่ตอนนี้ดีไหม? หรือจะออกไปขอความช่วยเหลือดี? แต่นาทีนี้จะมีใครช่วยเหลือผมได้อีก จากสภาพคงติดเชื้อกันเป็นทอด ๆ เหมือนในหนังกันหมดแล้ว
“บ้านกูมีปืน”
เป็นประโยคที่ทำให้คนสิ้นหวังอย่างผมตาเป็นประกายขึ้นมาได้ในเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมทิ้งถังสีดำลงพื้นอย่างไม่ใยดีแล้วเข้าไปมเข้าไปกุมไหล่คนตัวเล็กพร้อมกับเขย่าเบา ๆ
“บ้านมึงอยู่ไหนติ๋ม บ้านมึงอยู่ไหน”
“โอ๊ย! มึงจะมาเขย่าตัวกูทำซากอ้อยอะไรเนี่ย” อีติ๋มผลักอกผมอกแล้วจัดเผ้าผมที่เสียทรงไปเล็กน้อยให้เข้าที่
โท๊ะ...แค่นี้ทำมีน้ำโห
“มีกี่กระบอกวะ แบ่งให้กูกระบอกนึงนะ กูเซียนเกม Shooting ระดับพระนครนี่พูดเลย” ไอ้จุ๊บคุยอวดอย่างภาคภูมิ
“มีกระบอกเดียวดิ บ้านนะไม่ใช่คลังแสงค่ายทหาร จะให้พ่อกูเก็บ AK47 ไว้ใต้หมอนเหรอ”
“อ้าวไม่แน่ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ มึงหันไปดูรอบ ๆ ข้างตอนนี้สิ แท่นแท๊น~” ไอ้จุ๊บว่าพร้อมกับอ้าแขนออกกว้างรับความจันไรที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ
“จะไปเลยไหมล่ะ แต่คงเดินไกลหน่อยนะ บ้านกูอยู่เลยอนุไปอีก”
“ห๊า! เดินไปอนุ?”
“เออ หรือมึงจะยืนรอรถเมล์สาย 29 ล่ะ” อีติ๋มเลิกคิ้วมอง นาทีนี้อย่าว่าแต่รถเมล์เลยครับ วินมอเตอร์ไซค์ที่ประจำอยู่หน้าโรงเรียนผมตอนนี้ก็ไปยืนดึงโตกอยู่กลางถนนละ
“ให้เดินมันก็จะเกินไปป่ะ ขาลากกันพอดี ไม่ต้องตายห่าเพราะซอมบี้ละกูว่าเหนื่อยตายแทน” ไอ้จุ๊บบ่นอุบอิบ
“แล้วมึงจะไปยังไงถ้าไม่เดินไป มึงขับรถเป็นเหรอ?” ผมถาม
“ไม่เป็น มึงล่ะ” มันถามผมกลับ
“พ่อกูบอกว่ายังไม่ถึงเวลา เขาจะสอนให้ตอนกูขึ้นมหาลัย”
“สัด” มันสบถอย่างเหลืออด ผมสามคนยืนง่อยแดกกันอีกครั้ง
“ไหน ๆ ก็ต้องไปทางอนุสาวรีย์อยู่ละ...พวกมึงพากูแวะไปหาน้องจิ้นหน่อยดิวะ น้องเขาไม่สบาย ถ้าจิ้นยังไม่ตายกูได้จะพาน้องเขาหนีไปด้วยกัน” ผมพูดกับพวกมันทั้งคู่ แต่ดูเหมือนสายตาไอ้จุ๊บจะด่าผมอยู่กราย ๆ
“อะไรของมึง”
“เปล๊า ไปก็ไปดิ ทางผ่านพอดีไม่ใช่ไง?” ไอ้จุ๊บยักไหล่ ผมหรี่ตามองมันก่อนจะหันกลับไปมองอีติ๋มที่ทำหน้าเฉย ๆ
-TBC-
TALK
เป็นไงมั่งคะ พอไปรอดไหม ถ้าชอบหรือไม่ชอบยังไงก็วิจารณ์ ติชมอะไรกันมาได้นะค๊า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ถ้ามีคนสนใจมาก แรงบันดาลใจก็จะมา แล้วก็จะอัพอย่างต่อเนื่องค่ะ #จริง ๆ นะ
ความคิดเห็น