คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 : โลกของฉัน โลกของนาย
Chapter 1
โลกของฉัน โลกของนาย
คุณเคยได้ยินเรื่อง ‘โลกคู่ขนาน’ ไหมครับ?
ผมก็ไม่รู้อะไรมากมายนัก แต่ก็พอรู้มาบ้างว่ามันคือจักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมๆ กันกับจักรวาลที่เราอยู่ในตอนนี้ ในโลกที่ผมมีชีวิตอยู่ขณะเดียวกันก็มีผมอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งมีโลกคู่ขนานนับไม่ถ้วนนั่นมันก็หมายความว่ามันยังมีคนหน้าตาเหมือนผม ชื่อเดียวกับผมอยู่อีกเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งผมก็ยังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่าโลกคู่ขนานกับเดจาวูนี่มันเหมือนกันหรือเปล่า จนถึงกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้...
“ฮ่าๆ จริงเหรอ?”
“เออ”
“โถ...คยูฮยอนเพื่อนรักผู้น่าสงสาร ถูกให้ความหวังมาตลอดสองเดือนแต่สุดท้ายเขาก็มีเมียแล้วสินะ”
“สองเดือนป้าแกดิ ห้าเดือนเต็มๆ เถอะ” ผมเอาเท้ายันเก้าอี้ซองมินจนมันล้มตกลงไปแต่ถามว่าผมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมันไหม ผมก็จะตอบตอนนี้เลยว่าไม่
พูดเรื่องนี้ทีไรแล้วน้ำตาจะไหล มันจุกจนพูดไม่ออกทุกทีที่นึกถึง ความรู้สึกเหมือนถูกผู้ชายคนนั้นจูงมือขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วชี้ให้ดูดาวสวยๆ บนนั้นก่อนจะถีบผมให้ตกลงไปข้างล่าง...ใช่ ผมกำลังหมายถึงผู้ชายคนนั้นแหละ...คนที่ชื่อ ‘ชเวซีวอน’
“เอาน่า ก็ฉันเตือนแกตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่ซีวอนเขาเจ้าชู้แต่แกก็ไม่ฟังไง ยังมีหน้ามาเถียงอีกว่าเขาชอบแกจริงๆ ทำแบบนี้กับแกคนเดียว” ซองมินตั้งเก้าอี้ใหม่แล้วนั่งลงข้างๆ ผมอีกครั้ง ผมโคตรเซ็งทุกทีที่ได้ยินชื่อของชเวซีวอน ถึงแม้ว่าในใจผมตอนนี้จะยังคงปักใจชอบเขาโคตรๆ ก็ตาม
“ก็พี่เขาพูดแบบนี้ จะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นเหรอวะ”
“คำพูดใครๆ ก็พูดได้เว้ยเพื่อน แต่แกต้องมีเซนส์เรื่องแบบนี้ด้วย หรือเรียกอีกอย่างว่าควรใช้สมองบ้างอะไรบ้างไม่ใช่ว่าสักแต่จะก้มหน้าก้มตาชอบเขาอย่างเดียว” อย่างที่ซองมินมันพูดก็ถูก แต่ยังไงผมก็ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เมื่อวานก่อนเขายังบอกว่าคิดถึง ขอให้ผมฝันดีก่อนนอนอยู่เลย แล้วนี่มันอะไร
“ช่างมันเถอะ ต่อไปก็อย่าพูดถึงผู้ชายคนนั้นอีกก็พอ” ผมทำหน้าเซ็ง
“แล้วนี่ต้องไปทำงานพิเศษกี่โมง”
“ไม่ไปละ จะทำงานหลังขดหลังแข็งไปเพื่ออะไรอีก” ทั้งที่ตั้งใจว่าจะซื้อนาฬิกาสักเรือนให้เป็นของขวัญวันเกิดในอาทิตย์หน้า ใจจริงก็อยากจะลองเสี่ยงตายโกหกพ่อดูสักครั้งว่าต้องเอาเงินไปจ่ายค่าชมรมแต่พอนึกถึงความโหดของพ่อแล้วก็ต้องคิดใหม่ ยอมเก็บเงินเองดีกว่า
“ก็ดี แล้วถ้าพี่ซีวอนโทรหา แกจะทำยังไงวะ”
“ฉันจะไม่มีวันรับสายเขาแน่”
.
.
ตัดภาพมาอีกที...
( คยูฮยอนอ่า...ทำไมเพิ่งรับสายพี่ตอนนี้ล่ะครับคนดี )
“อ๋อ...เมื่อกี้ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จน่ะ...”
( ถึงว่าล่ะ กลิ่นหอมลอยมาถึงนี่เลย~ )
“ไม่ต้องเลย...” น้ำเสียงเง้างอนของผมถูกส่งไปที่คนปลายสาย ตอนนี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาแล้วเรื่องราวที่ทำให้ปวดหัวมันก็หายไปหมดเลยครับ ผมนี่มันใจง่ายแท้
( คิดถึงพี่ไหม )
“คิดถึง...”
( มากแค่ไหนหื้ม ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยซิ )
“พี่บอกผมมาก่อนสิว่าพี่คิดถึงผมมากแค่ไหน”
เป็นอย่างนี้มาตลอดห้าเดือน สเตตัสผมกับพี่ซีวอนมันไม่เคยชัดเจนเลย พอผมถามว่าเขาชอบผมไหมเขาก็บอกว่าชอบ แต่พอผมถามว่าเราเป็นอะไรกันเขาก็บอกว่าผมเป็นคนพิเศษที่สุดสำหรับเขา ซึ่งนั่นมันทำให้ผมรู้ว่าเขาคงไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นต่ออีกก็เลยปล่อยให้มันเลยตามเลย
( คิดถึง...โอ๊ะ! )
( คิดถึงมากพอที่จะกล้าแอบโทรหาคนอื่นไงล่ะ ปล่อยเลยนะซีวอน!! ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าโทรหาคนอื่นอีก นี่มันรายที่เท่าไหร่แล้วห๊า!! )
( ไม่เอาน่าพี่ฮีชอล ไม่งอแงนะครับคนดี )
น้ำเสียงขุ่นเคืองมาพร้อมกับเอฟเฟ็กเสียงการต่อสู้ ผมได้ยินมันดังตุบตับลอดเข้ามาในสายจนต้องผละมือถือออกจากหู เสียงผู้ชายคนนั้นผมจำได้ดีครับ เขาคือคนที่พี่ซีวอนบอกว่าเป็นประธานปีสี่ชื่อคิมฮีชอล เห็นพี่ซีวอนบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่ชื่อฮีชอลนี่ชอบวุ่นวายกับชีวิตเขาแต่ใครจะรู้ว่าที่วุ่นวายก็เพราะ...
แม่งเป็นผัวเมียกันไงครับ -_-
อย่างกะละคร
ผมกดวางสายแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง ห้องใต้หลังคาที่ผมขอให้พ่อตกแต่งสไตล์ฝรั่ง ถึงมันจะแคบแต่มันก็คือพื้นที่ส่วนตัวที่ผมชอบ มันสามารถทำให้ผมมองเห็นดาวสวยๆ ตอนกลางคืนได้ ผมเป็นเพียงแค่เด็กม.ปลาย ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อยากเป็นคนพิเศษของผู้ชายคนนั้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขามีดีอะไรนักหนาผมถึงได้ปักใจรักเขาจนตัดใจไม่ได้แบบนี้
“ผมคิดว่าเราสองคนจะเป็นแบบนี้ซะอีก” ผมพูดกับตัวเองพร้อมกับมองรูปภาพที่เพิ่งวาดเสร็จเมื่อครู่ มันคือรูปผมกับพี่ซีวอนที่ยืนจับมือกันอยู่อย่างมีความสุข
ซองมินเพื่อนสนิทของผมมันเคยบอกว่าผมเหมือนสาวน้อยแรกแย้มที่เพิ่งหัดมีความรัก ถ้าจะถูกมันก็แค่ข้อหลังนั่นแหละครับ ผมเพิ่งเคยมีความรักจริงๆ เด็กอายุสิบแปดที่เตรียมเอนท์อย่างผมก็เพิ่งจะเจอคนที่ทำให้ใจเต้นแรงเมื่อห้าเดือนที่แล้ว ชเวซีวอนรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วสามปี เราเจอกันครั้งแรกก็วันงานกีฬาสี วันที่เขามาเยี่ยมโรงเรียนแล้วซองมินมันก็ยุให้ผมเข้าไปจีบ ที่ยิ่งกว่านั้นคือผมบ้าจี้ทำตามที่มันพูด
พี่ซีวอนเป็นคนปากหวาน ยิ้มเก่ง ผมคิดว่าคงมีคนชอบเขามากมายแต่ที่สำคัญคือเขาเลือกที่จะสละเวลาส่วนตัวมาคุยกับผม ถึงแม้จะได้ยินใครหลายคนๆ นินทาว่าพี่ซีวอนโคตรจะบรมโคตรของความเจ้าชู้ก็ตามแต่ผมก็ไม่เคยเชื่อจนกระทั่งเจอกับตัวเองนี่แหละ
“คยูฮยอน”
“ครับพ่อ?” ผมขานตอบเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
“พ่อเพิ่งได้หนังสือเล่มใหม่มา คิดว่ามันคงดีสำหรับแก” พ่อวางหนังสือกฏหมายเล่มเท่าผืนเตียงลงบนมือผมก่อนจะตบบ่าเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นทำหน้าอึนแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไปมากนัก
ใช่แล้วล่ะครับ พ่ออยากให้ผมเรียนกฎหมาย อยากให้ผมเป็นทนายความหรือผู้พิพากษา...
“ขอบคุณครับพ่อ”
“อย่านอนดึกนักล่ะ สมองของแกควรพักผ่อนก่อนสี่ทุ่มนะ” พูดจบก็ปิดประตูลง เมื่อกี้ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อ ซึ่งผมรู้ดีว่านั่นเป็นรอยยิ้มแห่งความหวัง พ่อคาดหวังในตัวผมทุกอย่าง อยากให้ผมทำตามความฝันของพ่อ
ผมเดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้วโยนหนังสือบ้านั่นลงบนพื้น ถึงจะรังเกียจมันแต่ยังไงซะผมก็ต้องลากคอตัวเองเดินไปหยิบมันมาอ่านอยู่ดี อ้อ...หมายถึงตอนที่ผมพร้อมแล้วน่ะนะ
ผมชักจะอิจฉาเพื่อนๆ ที่พ่อแม่มันตามใจให้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ต้องจัดตารางชีวิตให้มันเพอร์เฟคเหมือนที่พ่อผมกำลังเป็นอยู่แบบนี้
อยากกินอะไรก็กิน อยากนอนตอนไหนก็นอน
อยากเรียนอะไรก็เรียน อยากกลับบ้านดึกแค่ไหนก็ได้
และที่สำคัญ...ผมอยากมีความรักในแบบที่ทำให้หัวใจเต้นแรงดูสักครั้งในชีวิต
ฮ่าๆ ผมก็แค่อยากลองใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการบ้างก็เท่านั้นเองแหละน่า
.
.
แต่ก...แต่ก...แต่ก...
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!
ผมขมวดคิ้วแล้วควานหานาฬิกาปลุกแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ พอลืมตาขึ้นผมก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเพดานห้องมันสีแปลกๆ สถานที่ๆ ผมอยู่มันช่างไม่คุ้นตาเอาซะเลย ลุกขึ้นนั่งแล้วก้มลงมองตัวเองในตอนนี้ก็ต้องอ้าปากค้าง...ก็นี่มันไม่ใช่เตียงที่บ้านผมนี่ครับ มันคือเตียงคนไข้ต่างหาก!! แล้วยิ่งกว่านั้นคือพอผมหันไปมองข้างๆ ก็พบว่ามีถุงน้ำเกลือที่เชื่อมต่อยาวมาถึงหลังมือของผมที่มีเข็มน้ำเกลือเสียบอยู่
เฮ้ย!!
“ขอโทษค่ะคุณคยูฮยอน! พอดีเมื่อกี้ระบบรวนเลยทำให้สัญญาณไฟไหม้ดังน่ะค่ะ...เอ๊ะ! คุณไปเอาชุดนี่มาจากไหนคะ?” พยาบาลสาวสองคนกรูเข้ามาหาผม คนหนึ่งกำลังเช็คอะไรบางอย่างที่ถุงน้ำเกลือนั่น ส่วนอีกคนเข้ามาประคบประหงมผมใหญ่ เดี๋ยวนะ...ครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้คือผมเขวี้ยงหนังสือกฏหมายทิ้งแล้วนอนไม่ใช่เหรอ?
“เดี๋ยวครับคุณพยาบาล ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” ผมถามคนที่กำลังจะเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้ผม แต่เธอกลับหันไปมองหน้าพยาบาลสาวอีกคนก่อนจะหันมามองผมอีกครั้ง
“นั่นน่ะสิ หรือว่าพี่ชายเขาจะเปลี่ยนให้?”
“พ่อผมล่ะ พ่อผมไปไหน”
“คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณท่านเพิ่งกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วเองค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะเดี๋ยวสักพักพี่ชายคุณก็กลับมาแล้ว”
“เห็นบอกว่าจะกลับไปอาบน้ำน่ะค่ะ”
คุณพ่อ...คุณแม่...พี่ชาย?
“ผมมีพี่ชายที่ไหนกันเล่า แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมานอนแหง่กอยู่ที่นี่ได้” ผมถามต่อ เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มันสร้างคำถามและเครื่องหมายเควชชั่นมาร์คขึ้นมาในหัวผมมากมาย แม่แยกทางกับพ่อตั้งนานแล้วไหนจะเกลียดขี้หน้ากันยิ่งกว่าอะไรดี ข้าวหม้อเดียวกันยังไม่แตะแล้วเรื่องอะไรท่านจะยอมกลับพร้อมกัน ตลกละ
แล้วพี่ชายที่พูดถึงเนี่ย...เท่าที่จำได้ผมเป็นลูกคนเดียวนะ ถ้าจะพูดถึงญาติก็มีแค่พี่สาวกับน้องชายที่เป็นลูกของอาเท่านั้นแหละ
“ตามหมอดีไหม”
“นั่นน่ะสิ”
“ตามมาทำไม ผมปกติดีนะไม่เชื่อดูเลย” พูดจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนโชว์ศักยภาพให้ดูแต่พยาบาลสาวทั้งคู่ก็ถ่อหน้าเข้ามาประคองให้ผมนั่งลงกับเตียงเช่นเดิม
“อย่าขยับสิคะ คุณเพิ่งผ่าตัดหัวใจเสร็จมาไม่นานนี้เองนะ”
ห๊ะ -_-
“ผ่าตัด!? เมื่อไหร่?” ผมเลิกคิ้วมอง พยาบาลสาวหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง ดูท่าเธอจะงงไม่ต่างจากผมในตอนนี้
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ”
“คุณหลับมาตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งออกแรงเลยนะคะ ถ้าต้องการอะไรให้กดกริ่งเรียกพยาบาลตรงปุ่มบนหัวเตียงแทนจะดีกว่า”
“บ้าแล้วคุณ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมยังวิ่งไล่เตะหมาแถวบ้านอยู่เลย...นี่คุณพยาบาล คุณสองคนน่ะเข้าผิดห้องแล้วหรือเปล่า...” ผมถามต่อ บางทีอาจจะมีคนป่วยระยะสุดท้ายอยู่ห้องข้างๆ ผมก็ได้
“ไม่ผิดหรอกค่ะ คุณโจคยูฮยอนผู้ป่วยโรคหัวใจ”
“ห๊ะ โรคหัวใจ?”
“ใช่แล้วค่ะ...เธอช่วยไปตามคุณหมอหน่อยสิโบราแล้วก็เอาชุดคนไข้มาเปลี่ยนให้คุณคยูฮยอนด้วยนะ” เธอบอกพยาบาลคนนั้นแล้วหันมามองชุดนอนสีเขียวของผม
“อื้ม” พยาบาลสาวพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินออกจากห้องคนไข้ไป ผมขมวดคิ้วแล้วหันไปมองรอบๆ ตัวเผื่อจะจำอะไรได้บ้าง เพราะชื่อที่เธอเรียกมันก็เป็นชื่อของผมนี่...
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ?”
“จำได้สิ ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนะคุณ แต่ผมแค่ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็เท่านั้น?”
“ก็คุณเพิ่งผ่าตัดเสร็จ ไม่ต้องกลัวนะคะคุณคยูฮยอน บางทีที่เป็นอยู่มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงแต่เชื่อเถอะว่าคุณหมอฮีชอลจะช่วยคุณได้แน่นอน”
ห๊ะ! หมอชื่อไรนะ!
“หมอ...ฮีชอล?”
“ใช่ค่ะ คุณหมอที่ดูแลเคสของคุณมาตั้งแต่แรกไงคะ พอจะนึกออกไหม?” ใบหน้าหวานๆ ของเธอกับรอยยิ้มสวยนั่นเหมือนกำลังส่งมาเพื่อให้ผมผ่อนคลาย แต่ขอโทษนะครับคุณพยาบาล ผมรู้สึกงงเต็กยิ่งกว่าเดิมอีก
“คงไม่ใช่คิมฮีชอลหรอกมั้ง” พึมพำกับตัวเองแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะคิมฮีชอลแฟนของพี่ซีวอนนั่นเป็นแค่นักศึกษาปีสี่เองนี่นะ
“ใช่แล้วล่ะค่ะ”
( ̄(エ) ̄)
เดี๋ยว...แล้วคิมฮีชอลจะมาเป็นหมอประจำตัวผมได้ไง นี่ผมกำลังฝันไปใช่ไหม ฝันไปแน่ๆ (ตบหน้าตัวเองแรงๆ)
“อย่าทำร้ายตัวเองสิคะคุณคยูฮยอน ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น คุณอย่ากลัวไปเลยนะคะ T[]T”
“ฮึ่ย!! ตื่นเดี๋ยวนี้นะไอ้ฝันเฮงซวย” ถ้าชื่อนี้จะตามมาหลอกหลอนกันถึงในฝันขนาดนี้แล้วล่ะก็ ไม่มาพร้อมกับพี่ซีวอนเลยล่ะเวรเอ๊ย!!
“คุณคยูฮยอนสงบสติอารมณ์ก่อนนะคะแล้วฉันจะรีบกลับมา...โบรา!!! เร็วเข้าสิ” พูดจบพยาบาลสาววิ่งออกนอกประตูไป ตอนนี้ผมเริ่มสงบสติตามที่เธอพูด เพราะถ้าเป็นฝันจริงผมคงไม่เจ็บแสบเหง้าหน้าขนาดนี้
พอสงบลงแล้วผมก็กวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้งเผื่อว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ เพราะมันไม่มีทางที่ผมจะเป็นอะไรแล้วมานอนแหง่กในโรงพยาบาลโดยที่ไม่รู้ตัวแน่
‘อย่าขยับสิคะ คุณเพิ่งผ่าตัดหัวใจเสร็จมาไม่นานนี้เองนะ’
ว่าแล้วก็ถลกเสื้อขึ้นดู ถ้าเกิดผมผ่าตัดหัวใจจริงๆ มันก็ต้องมีรอยเย็บอยู่ถูกป่ะครับ แต่มันก็ไม่มีไง มีแต่รอยยุงกัดกับหน้าท้องแฟบๆ พร้อมเสียงท้องร้องเท่านั้น ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนกะว่าจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำแต่ก็ต้องกระตุกเมื่อหันไปเห็นเสาน้ำเกลือที่เชื่อมโยงอยู่กับเข็มที่หลังมือผม
“โอ๊ยยย!!!” ผมกระชากมันออกมาก่อนจะหวีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมออกมาจากหลังมือนั่นทำให้ผมสำเหนียกตัวเองได้ว่าควรรีบเข้าไปล้างมือในห้องน้ำซะ
ซ่า...
มองคราบเลือดสีจางๆ ที่ติดอยู่ขอบอ่างล้างมือแล้วก็ใช้นิ้วถูๆ ออก ผมเงยขึ้นมองหน้ากระจกก่อนจะดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าลวกๆ พลิกซ้ายพลิกขวาแล้วทุกอย่างก็เหมือนปกตินะ...แต่ทำไมพยาบาลสองคนนั้นถึงพูดเป็นตุเป็นตะขนาดนั้น
หรือว่าผมจะถูกพวกไอ้ซองมินแกล้งโดยการจัดฉากขึ้นมา...
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
“เฮ้ย!!” ผมผงะถอยหลัง เมื่อเห็นเงาจางๆ ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างผม แล้วที่สำคัญคือไอ้หมอนี่ดันหน้าตาเหมือนผมด้วยแต่ที่แตกต่างก็คือเขาอยู่ในชุดคนไข้
“สิ่งที่นายอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือตะโกนจนสุดเสียงเพื่อเรียกใครสักคนให้มาช่วย แต่ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่ามันเปล่าประโยชน์” เขาพูดกับผมพร้อมกับสีหน้านิ่งๆ นั่น
“...ก...แกเป็นใครวะ?”
“ฉันเป็นนาย...ส่วนนายก็เป็นฉัน”
“ตลกละ ดูละครมากไปป่ะ รีบพูดความจริงมาดีกว่าคือไม่ได้มีเวลาว่างฟังเรื่องเพ้อเจ้อทั้งวันไง” ผมถอยหลังไปจนติดกับประตูห้องน้ำแต่หมอนั่นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม คนที่หน้าเหมือนผม...
“โจคยูฮยอน”
“อะไร”
“มีเพียงนายคนเดียวที่มองเห็นฉันตอนนี้”
“อู้ว...ฟังดูพิเศษจริงๆ นายเป็นผีป่ะ ขอหวยหน่อยดิ” ผมหัวเราะแล้วแบมือมาตรงหน้า หมอนั่นถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยายามจะวางมือลงบนมือผมแต่มันก็ทะลุลงมา
“......................”
“นี่มันคือเรื่องจริง”
“......................”
ผมซ่าไม่ออกก็ต่อเมื่อเห็นกับตาว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน และต่อให้ผมคิดว่าซองมินกำลังแกล้งผมอยู่แต่สิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่ซองมินมันคงไม่สามารถที่จะเมคขึ้นมาได้สมจริงขนาดนี้แน่
“มันอาจจะฟังดูตลก แต่มันเกิดความผิดพลาดบางอย่างที่ทำให้เราต้องสลับตัวกันระหว่างโลกของนายกับโลกของฉัน”
“สลับตัว...โลกของนายกับโลกของฉันงั้นเหรอ?” ผมขมวดคิ้วแล้วพยายามทำความเข้าใจ
“ใช่...นายเคยได้ยินเรื่องโลกคู่ขนานหรือเปล่า”
“ไม่อ่ะ มันคืออะไร” ผมขมวดคิ้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน
“มันคืออีกโลกที่นายไม่รู้จัก จักรวาลที่มีอะไรเหมือนกัน อีกโลกหนึ่ง...คนที่หน้าตาเหมือนเราอาจจะทำงานเป็นวิศวะกร คนพิการ หรือผู้ชายที่กำลังจะแต่งงาน มีเราอีกเป็นร้อยเป็นพันคนในโลกคู่ขนาน”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ตอนนี้ร่างของฉันอยู่ในโลกของนาย ห้องนอนของนาย แต่ฉันไปที่นั่นไม่ได้”
“....................”
“ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาอธิบายให้นายฟัง เขากำลังจะมาถึงแล้ว...ยังไงก็ช่วยแกล้งสวมรอยเป็นฉันหน่อยได้ไหม?”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย” ผมหรี่ตามองเขา หมอนั่นลดสีหน้าลงก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“เพราะฉันกำลังจะตาย...ในอีกไม่ช้านี้”
.
.
ผมเปิดประตูออกไปข้างนอกแล้วก็พบพยาบาลสาวยืนซุบซิบนินทาอยู่ตรงนั้น ผมพยายามเดินเข้าไปใกล้โดยที่ไม่ให้พวกเธอรู้ตัว
“ฉันได้ยินมาเหมือนกันว่าคนไข้ที่ชื่อโจคยูฮยอนเขาค่อนข้างสติไม่ดีนะ”
“เขามีเซนส์หรอกย่ะ ครั้งสุดท้ายที่เขามาตรวจอาการนะ ฉันเห็นกับตาเลยว่าเขาท้วงว่ายัยจินฮเยท้อง”
“จริงเหรอ?”
“ใช่ ตอนนั้นยัยจินฮเยยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองท้องเลยตัดสินใจไปตรวจแล้วก็ใช่จริงๆ”
“ให้ตายเถอะ บังเอิญหรือเปล่า?”
“คำว่ามีเซนส์กับบ้านี่มีเส้นบางๆ คั่นอยู่นะยะ ฮ่าๆ”
“ก่อนเขาจะผ่าตัด ฉันแอบไปได้ยินผู้ช่วยคุยกันว่าคนไข้คยูฮยอนบอกว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป เขาอาจจะไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีก”
“หืม เพราะเขาจะตายน่ะสิ ฮ่าๆ”
“ยัยปากเสีย เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก”
“ที่ยิ่งกว่านั้นคือ เขาบอกว่าจะมีคนๆ หนึ่งมาแทนเขาด้วย ฟังแล้วน่าขนลุกชะมัด”
ผมอึ้งแล้วก็เริ่มโมโหกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่แต่คำพูดคำนินทาของพยาบาลสาวพวกนั้นก็ทำให้ผมอารมณ์เสียได้อยู่ดี หน้าที่ของพวกเธอไม่ใช่แค่ดูแลคนป่วยหรอกเหรอ
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องคนไข้พร้อมกับหยิบหมอนมาฟาดๆ กับเตียงเหล็กจนนุ่นแตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าวิญญาณนั่นกำลังยืนมองผมอยู่ด้วยสายตาระอา
“พวกเธอพูดถูกแล้วล่ะ”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่นายเป็นบ้าน่ะเหรอ”
“คงอย่างนั้น...” เขายิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองตรงประตู และนั่นทำให้ผมหันไปมองตาม แล้วก็พบว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจนั่นคือ...
“พี่ซีวอน...”
“คยูฮยอน!” เขาทิ้งของในมือทั้งหมดแล้วรีบเข้ามาประคองผมจนหมอนที่หลุดลุ่ยในมือตกลงไปบนพื้นเหลือเพียงแค่นุ่นสีขาวที่ลอยอยู่บนอากาศ
ผมจ้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา คนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม
“ลุกขึ้นมาทำไม เรายังไม่หายดีนะ” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั่นทำให้ผมค่อยๆ เอี้ยวหน้าหันไปมองวิญญาณที่ยืนดูผมอยู่ตรงปลายเตียง ผมไม่เข้าใจ แต่หมอนั่นก็เอาแต่ยิ้ม...
“ไปเอาชุดนี้มาจากไหน อีกตั้งหลายอาทิตย์กว่าเราจะออกจากโรงพยาบาลได้นะ” เขาพูดพร้อมกับปัดไรผมออกจากแก้มผมเบาๆ
“ผม...”
“พี่ได้ยินพยาบาลบอกว่านายฟื้นแล้ว แต่ไม่คิดว่านายจะมีแรงพอที่จะพังข้าวของได้ถึงขนาดนี้” เขายิ้มบางๆ พร้อมกับไล้หลังมือลงบนแก้มผม
ผมพูดอะไรไม่ออก นี่มันไม่ใช่พี่ซีวอนคนที่ผมชอบ เขาละมุนและเอาใจใส่ผมจนเกินไป พอผมหันไปมองหน้าวิญญาณนั่นอีกครั้งผมถึงได้เข้าใจ...
ว่านี่มันไม่ใช่โลกของผม...
“พี่ชาย...” ผมเอ่ยเรียกเบาๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว หรือว่าพี่ซีวอนในโลกนี้จะเป็นพี่ชายของหมอนั่น?
“จะประชดพี่เหรอไงเรา?” เขาเลิกคิ้วมองแล้วขยี้หัวผมเบาๆ
“ก็...” ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากวิญญาณนั่น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยืนมองผมอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองหาเขาแต่ก็ไม่เจอ ผมก้มลงมองมือตัวเองที่พี่ซีวอนกำลังกุมเอาไว้แล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง
ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ในหัวของผมมีแต่คำพูดของเจ้านั่นที่บอกให้ผมแกล้งแสดงเป็นเขาทั้งที่ผมก็เริ่มจะเครียดแล้วว่าจะต้องเอายังไงกับชีวิตต่อไปในเมื่อตอนนี้ผมยังหาทางกลับโลกตัวเองไม่ได้เลย
เราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก พี่ซีวอน(ในโลกนี้)เอาแต่มองหน้าผมราวกับจะจดจำรายระเอียดทั้งหมดเอาไว้ซึ่งมันต่างจากพี่ซีวอนโลกของผมอย่างสิ้นเชิง...ผู้ชายคนนั้นมีแต่จะส่งสายตาหวานเยิ้มกับคำพูดที่ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนโกหกเท่านั้น
เขาเชยคางผมขึ้นก่อนจะกดจูบลงที่ริมฝีปากของผม นั่นสร้างความตกใจให้ผมมากแต่ผมกลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะผลักเขาออก...มันอาจจะเป็นความต้องการเบื้องลึกของจิตใจผมก็ได้ ที่อยากจะให้พี่ซีวอนจูบผมสักครั้ง ผมหลับตาลงแล้วจูบตอบอย่างคะเขิน ผมเริ่มสับสนกับคำพูดของพยาบาลสาวคนนั้นกับคำว่า ‘พี่ชาย’
“พี่คิดถึงนาย...ขอบคุณนะที่ตื่นขึ้นมาตามสัญญา...”
สัญญา...?
“พี่จะไม่ไปจากนายอีกแล้ว เราจะอยู่ด้วยกัน พี่จะดูแลนายไปตลอดชีวิต”
“.......................”
ถึงจะเป็นคนละคนพูด...แต่น่าแปลก...ที่มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขได้ถึงขนาดนี้
“เพราะอะไรเหรอครับ...” ผมผละตัวออกแล้วจ้องหน้าเขา ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่พี่ซีวอนเห็นนั่นไม่ใช่ตัวผม มันคือโจคยูฮยอนอีกคนต่างหาก เขายิ้มบางๆ พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วเอาหน้าผากชนกัน
“เพราะว่าเรารักกันยังไงล่ะ”
TALK
เปิดเรื่องใหม่จนได้ สืบเนื่องจากเขียนแต่ดราม่าแล้วนอยแดกตามพี่ทง (onsenseless)
งงล่ะสิ งงเนื้อเรื่องป่ะคุณ
มันอาจจะงงๆ บ้างแต่เราจะค่อยๆ อธิบายให้มันเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะ
มันแฟนตาซีนิดๆ ไร้ซึ่งความเป็นไปได้หน่อยๆ ไม่รู้ว่าจะชอบกันมั้ย -.-
ความคิดเห็น