คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : intro
On Senseless
การคิดถึงใครบางคน...
บางครั้ง...มันก็มีทั้งความสุขและความทุกข์ควบคู่กันไป
[ DONGHAE’S SIDE ]
ผมเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนใครๆ เป็นเพียงแค่นักศึกษาปีสามคณะวิศวะโง่ๆ ที่เพิ่งผ่านการฝึกงานมาไม่นานนี้เท่านั้น...ฮะๆ เพื่อนผมชอบเรียกผมว่าไอ้โง่น่ะ
โง่...ที่ยังรักคนๆ นั้นอยู่...
ตอนนี้ขาของผมมันหยุดอยู่ที่หน้าหอสมุดอีกแล้ว มันคงน่าขำในสายตาคนอื่นที่ไม่ว่าวันไหนผมก็ต้องเดินมาหยุดอยู่ที่นี่ เพื่อมองไปยังตึกเบื้องหน้าที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนของวันนั้น อีกทั้งมันยังอยู่ห่างกับตึกที่ผมเรียนอยู่ไกลโข แต่เพียงแค่ผมได้เห็นหอสมุด ผมก็ยิ้มออกมาเพราะนึกถึงใครอีกคนที่ชอบเข้าไปอ่านหนังสือนวนิยายข้างใน นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้พูดคุยกับเขา...สักหกเดือนได้ไหม?
หกเดือนแล้วที่ผมกับ ‘โจคยูฮยอน’ ต้องเลิกกันไปเพราะความงี่เง่าของผม...
RRRrrrr!!!
“ฮัลโหล”
( อยู่ไหนแล้ววะ )
“กำลังจะถึงแล้ว มีอะไรหรือไง” ถึงจะคุยโทรศัพท์กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทแต่สายตาของผมยังมองตรงไปข้างหน้า หวังว่าถ้าโชคดีผมคงเห็นคยูฮยอนเดินออกมาจากตึกนั่น และถ้าโชคดีกว่านั้น...เราคงได้สบตากัน แล้วยิ้มทักทายสักนิดบ้างก็ยังดี
ถึงมันจะเป็นไปได้ยากก็เถอะ...
( ตอนนี้แกคงยืนทำหน้าโง่อยู่หน้าหอสมุดล่ะสิ? )
ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อถูกเพื่อนสนิทรู้ทัน ผมก้าวไปข้างหน้าเอื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบทั้งที่สายตายังคงมองหอสมุดที่อยู่เบื้องหน้า
“กำลังจะถึงแล้ว”
( รีบมาเลยนะ ฉันกับฮยอกแจนั่งเรอน้ำอัดลมจนท้องอืดหมดแล้วว่ะ )
.
.
ถ้าผมมีความกล้ามากกว่านี้...
ผมคงจับมือคยูฮยอนเอาไว้แล้วพูดว่า ‘พี่ขอโทษ...ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งนะ’
แต่...ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น
พอเดินไปถึงคณะผมก็มองนาฬิกาข้อมือ อีกนานกว่าจะถึงเวลาเรียน ตอนนี้ฮยอกแจกับซีวอนคงนั่งหัวฟูกับรายงานพรีเซนท์กลุ่มวันนี้ ส่วนผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนักเพราะเตรียมตัวมาล่วงหน้าแล้วไม่เหมือนกับเจ้าพวกนั้นที่ต้องไฟลนตูดเสียก่อนถึงจะกระตือรือร้น ขึ้นบันไดยังไม่ถึงสามขั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินสวนลงมา เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงเวลาเจอเขา ทั้งที่อยากมอง อยากเข้าไปพูดคุย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ดันปอดแหกขึ้นมา
คยูฮยอนหลุบสายตาลงก่อนจะโค้งหัวให้ผมอย่างมีมารยาท มันช่างดูห่างเหินจนผมรู้สึกหวิวที่หน้าอกข้างซ้าย สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็แค่โค้งหัวตอบกลับตามมารยาทที่รุ่นพี่มีให้รุ่นน้องแล้วปล่อยให้อีกคนเดินสวนไป...เหมือนกับทุกครั้ง
อยากจะเรียกชื่อของเขาแล้วหาเรื่องชวนคุยได้อย่างสนิทใจเหมือนเมื่อก่อนแต่ความรู้สึกผิดมันยังคงอัดแน่นอยู่เต็มอก ผมไม่สามารถแกล้งลืมมันแล้วยิ้มต่อหน้าคยูฮยอนได้ผมรู้ดี แต่มันช่างทรมานเหลือเกินกับการที่ต้องผมทนมองคยูฮยอนอยู่ห่างๆ แบบนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย...
‘คยูฮยอน...มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ พี่กับซองมินเขา...’
‘ผมอาจจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่ผมรู้สึกไม่ดีทุกครั้งเวลาเห็นพี่ใกล้ชิดกับพี่ซองมิน เวลาเขาแตะต้องตัวพี่และที่สำคัญคือพี่ไม่คิดที่จะปฏิเสธเขาแบบนั้นผมไม่ชอบเลย พี่รู้ใช่ไหมครับ?’
‘อื้ม...พี่รู้’
‘แต่พี่ก็ยังทำ...’
ผมยังจำสายตาของคยูฮยอนในตอนนั้นได้ สายตาตัดพ้อ เหนื่อยล้า และอยากหยุดกับสถานะที่เป็นอยู่ระหว่างเรา ช่วงหลังเรามักจะทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ เรื่องของซองมิน ไม่สิ...จะเรียกว่าทะเลาะก็คงไม่ถูก ทั้งผมและคยูฮยอนเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครชอบขึ้นเสียงอยู่แล้ว เพราะซองมินที่เรียนอยู่คณะสถาปัตย์เขาชอบผมและเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะอัธยาศัยดี อยากทำอะไรก็ทำ ผมคงผิดที่ปฏิเสธคนอื่นไม่เป็น เวลาโดนกอด โดนหอมแก้มก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ในขณะที่คยูฮยอนยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ผมรู้ว่าคยูฮยอนไม่พอใจ แต่ผมก็ได้แค่บอกกับเขาว่า ‘แค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรหรอก’
แต่นับวันมันก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนั้นที่ผมไปดื่มกันกับเพื่อนๆ เพื่อฉลองวันเกิดให้กับพี่อีทึกและพี่ฮีชอลพอตื่นมาตอนเช้าก็พบว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมนั้นไม่ใช่คยูฮยอนแต่กลับเป็นซองมินแทน ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก...หัวมันหนักอึ้งไหนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาเสื้อผ้าแต่ที่แย่กว่านั้นคือ...คยูฮยอนกำลังยืนมองผมอยู่ที่ปลายเตียงด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย
‘เราเลิกกันเถอะนะครับ...’
‘ต่อไปนี้พี่จะทำอะไรก็ได้...ผมจะไม่วุ่นวายอีก’
‘ผมเหนื่อยแล้ว...’
บางที...คนโง่อย่างผมก็สมควรได้รับบทลงโทษนี้แล้ว...
ผมไม่กล้าแม้แต่จะรั้งคยูฮยอนเอาไว้ ไม่กล้าอธิบายให้เขาฟังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่จริง เพราะเรื่องราวที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบันมันคงทำให้คยูฮยอนเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่จนตัดสินใจขอเลิกกับผม แต่ยังไงก็ตาม...ผมก็ยังยืนยันว่าในวันนี้
อีทงเฮยังคงรักโจคยูฮยอนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
.
.
ถึงผมจะชอบเล่นกับความรู้สึกคนอื่น...
แต่ผมก็ไม่ชอบให้ใครมาทำแบบนี้กับเพื่อนผม โอเคนะ?
[ SIWON’S SIDE ]
มองไปยังใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหมาเหงาเหมือนกับทุกวัน ผมทำได้แค่แค่นหัวเราะในลำคอพลางหันไปยักคิ้วใส่คนข้างๆ อย่างรู้กัน เมื่อกี้ผมเห็นไอ้เด็กที่ชื่อคยูฮยอนเพิ่งเดินไปและคาดว่าทงเฮคงบังเอิญป๊ะหน้ากับหมอนั่นเข้าให้เลยเกิดอาการซึมเป็นหมาเหงาแบบนี้
ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นทงเฮซึมเศร้าเพราะผู้ชายคนเดียว ข่าวฉาวไม่ค่อยดีของเด็กคนนั้นมีเข้าหูผมอยู่ตลอดไม่ได้ขาด ตั้งแต่เลิกกับทงเฮไปก็เห็นว่าเที่ยวเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไปเรื่อย ล่าสุดก็พี่คังอินรุ่นพี่ของผม ไม่รู้ว่าเด็กนั่นมีอะไรน่าพิศวาสถึงได้ลืมกันไม่ลงขนาดนี้
มีดีตรงไหน?
ลีลาบนเตียงสุดยอดหรือไง ใครๆ ถึงได้หลงรักกันนักหนา?
“เลิกทำหน้าแบบนี้สักทีเหอะว่ะ เห็นแกเป็นแบบนี้ทีไรแล้วนอยด์แดกทุกที” ผมว่าพลางจ้องหน้าเพื่อนสนิที่กำลังฝืนยิ้มบางๆ ออกมาราวกับจะบอกกรายๆ ว่าไม่ต้องห่วง มันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก
“ถ้าอึดอัดมากทำไมไม่ลองคุยกับเขาดูล่ะ?” เป็นฮยอกแจที่หาทางออกตันๆ ให้ทงเฮ ผมถอนหายใจพรืดก่อนจะก้มลงอ่านชีทที่ต้องรายงานในบ่ายนี้ ถึงแม้ว่าจะอ่านไปเท่าไหร่มันก็ไม่มีทางเข้าหัว
“เขาคงไม่อยากคุยกับฉันหรอก”
“เพราะแกเอาแต่คิดเองเออเองแบบนี้ไง สุดท้ายก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง” จะให้ผมปลอบใจมันเหรอครับ? ไม่มีทางซะหรอก ผมรำคาญเรื่องนี้ซะเต็มประดา รู้สึกหมั่นหน้าเจ้าเด็กนั่นด้วยซ้ำ เป็นใครมาจากไหนถึงได้ทำเพื่อนผมเสียใจซ้ำๆ ซากๆ อยู่แบบนี้
“ความรู้สึกของคยูฮยอนมาก่อนเสมอ...ส่วนฉันไม่เป็นไรหรอก” ทงเฮยิ้มบางๆ นั่นทำให้ผมหัวเสียขึ้นมายิ่งกว่าเก่า
“โถๆๆ” ฮยอกแจสบถเบาๆ พลางส่ายหน้าเอือม
“ฟังนะ” ผมวางมือจากชีทพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนสนิท ฮยอกแจเห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้แค่หัวเราะกับท่าทีของผม
“เด็กนั่นน่ะขี้อ่อยจะตายไป ล่าสุดรุ่นพี่ของฉันที่เรียนอยู่เอกรัฐศาสตร์ก็หลงหัวปักหัวปำจนโงหัวไม่ขึ้น ตามจีบอยู่ตั้งนาน หมอนั่นก็ทำเหมือนเล่นด้วยแต่สุดท้ายเป็นไง ก็ไม่ยอมคบ”
“คยูฮยอนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกซีวอน” ทงเฮตอบเสียงนิ่งนั่นทำให้ผมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องหน้ามันด้วยความใจเย็น
ผมรู้ครับว่าเวลาเราชอบใครสักคนเนี่ย มันก็อยากจะปกป้องเขาจากขี้ปากคนอื่น แต่คนอย่างโจคยูฮยอนมีอะไรให้น่าปกป้องเหรอครับ คนที่จะเป็นจะตายมีแต่ไอ้ทงเฮคนเดียว ผมยังเห็นไอ้เด็กนั่นยิ้มระรื่นเช็คเรตติ้งอยู่เลย ถามว่าใครโง่กันครับถ้าไม่ใช่เพื่อนผม?
“อยากจะรู้นักว่ามีอะไรดีนักหนาแกกับใครหลายๆ คนถึงได้ตัดใจไม่ได้แบบนี้”
“ใครที่ว่านั่นคือพี่คังอินน่ะเหรอ?” ทงเฮยิ้มขำ
“ชิมชางมินไงที่แกเคยไปแย่งเด็กนั่นมาจากมันน่ะ ฉันได้คุยกับมันตอนไปกินเหล้ากับพวกยุนโฮวันนั้นและมันก็ยังเพ้อถึงโจคยูฮยอนอยู่”
“อ่า...ชางมิน”
“สำนึกผิดเลยล่ะสิ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกถึงมันจะเพ้อถึงเด็กนั่นแต่เมียใหม่มันก็ยังคอยนั่งตบหัวเตือนสติอยู่ข้างๆ ว่ะ” ผมแค่นยิ้ม ส่วนทงเฮกำลังนั่งระลึกชาติเกี่ยวกับไอ้ชางมิน คนที่เคยเป็นคู่แข่งกับมันเมื่อตอนเริ่มจีบโจคยูฮยอน กว่าจะได้มานี่ยากลำบากเหลือเกินนะ
“แกฟังนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันพร้อมกับจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาที่แน่วแน่
“ขนาดไอ้ชางมินมันยังลืมได้ แล้วทำไมแกจะลืมมันไม่ได้วะ?”
พอได้ยินอย่างนั้นทงเฮก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองใครอีกคนที่กำลังยืนอ่านผลคะแนนที่บอร์ดอยู่ไม่ไกลนัก ริมฝีปากหยักยิ้มออกมาบางๆ ทุกครั้งที่มองเด็กนั่นจนผมหงุดหงิด
“แล้วทำไมฉันถึงต้องลืมคนที่ฉันรักด้วยล่ะ...มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องทำแบบนั้น”
ผมหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจออก ฮยอกแจช่วยลูบหลังผมเป็นเชิงปลอบใจทั้งที่มันก็ยังคงขำกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ ได้...มึงรักมันมากใช่ไหม
“ฉันจะแกล้งจีบไอ้เด็กนั่นแล้วทิ้งให้ดู”
“เอาจริงดิ” ฮยอกแจเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ทงเฮมันไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมพูด มันยังคงจ้องมองไปยังเด็กนั่นที่กำลังยิ้ม หัวเราะให้กับเพื่อนอย่างมีความสุข บางทีผมก็ไม่เข้าใจในความโง่ของทงเฮ มันทั้งหล่อ รวย ทำไมต้องแคร์อะไรกับแค่ผู้ชายคนเดียวที่ไม่เห็นค่าของมันด้วย
“เออดิ มันไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นเพื่อนไอ้ทงเฮมัน” ผมหันไปพูดกับฮยอกแจ ตอนที่ทงเฮคบกับเด็กนั่นช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมติดเที่ยวกลางคืนไหนจะฝึกงานคนละที่จนผมไม่ค่อยมีเวลาเจอมัน ทงเฮมันไม่ชอบดื่มเหล้าอย่าหวังว่าจะได้เจอเหง้าหน้ามันตามผับบาร์ ส่วนฮยอกแจผมก็ได้เจอมันบ้างเป็นบางครั้ง
พอผมว่างไอ้ทงเฮมันก็ไม่ว่างไง เอะอะก็คยูฮยอนๆ ตลอด...ติดเจ้าเด็กนั่นยิ่งกว่าอะไรดี แล้วพอได้ยินชื่อเด็กนั่นผมก็พาลหงุดหงิดทุกทีจนหยิบประโยคงี่เง่าขึ้นมาว่า ‘เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนสินะ’ ก็มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องไปทำความรู้จักหรือตีสนิทแฟนของเพื่อนนี่ครับ เอาตรงๆ คือผมอคติกับความฉาวโฉ่ของโจคยูฮยอนที่ได้ยินปากต่อปากมาจากคนอื่นอีกด้วย
“เลวว่ะ ทงเฮเอาไงวะ เล่นมันเลยเปล่า?” ฮยอกแจสะกิดคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนที่อีกฝ่ายจะหลุดขำออกมาราวกับคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
“พอถึงวันนั้นจะหักอกเอาให้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนหมาบ้าเลยคอยดู กล้าดียังไงมาทำเพื่อนฉันเสียใจวะ?” ผมมองทงเฮพร้อมกับขมวดคิ้วจริงจัง ซึ่งเจ้าตัวคงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไรกับประโยคนั้นนัก
“จ้าพ่อคนรูปหล่อ พ่อคาสโนว่าเกาหลีใต้ พ่อแตกในทุกรู” ฮยอกแจแซวนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากผมกับทงเฮได้เป็นอย่างดี
ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเล่นๆ ขำๆ
แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ...
ให้ผมไปยืนดักรอเจ้าเด็กนั่นหน้าหอสมุดในวันนั้น...
.
.
จุดเริ่มต้นของคนโง่ทั้งสาม...
นัยน์ตาเรียวไล่มองไปตามตัวหนังสืออย่างใจจดใจจ่อท่ามกลางความเงียบในห้องสมุดยามเย็น มีเพียงเสียงรองเท้าส้นสูงของบรรณารักษ์และเสียงหน้าหนังสือเปิดไปทีละหน้าตามช่วงเวลาเท่านั้น ใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงซอกชั้นหนังสือพลางมองไปยังใบหน้านิ่งที่เอาแต่สนใจหนังสืออยู่ตามลำพัง
วันนี้เขาว่างมากพอที่จะใช้เวลาศึกษาข้อมูลของอดีตคนรักของเพื่อน พอจะรู้มาบ้างว่าโจคยูฮยอนชอบอ่านนวนิยายสยองขวัญซึ่งมันขัดกับเขาอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะไม่ชอบอ่านนิยายแล้วเขายังเอียนเรื่องผีสางนางไม้อีก มันมีอยู่จริงที่ไหนเรื่องไร้สาระทั้งนั้น แต่ตอนนี้ในมือของเขามีหนังสืออยู่สองเล่มและชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกเล่มไหนดี ถ้าเกิดเลือกเล่มที่โจคยูฮยอนอ่านไปแล้วคงหาเรื่องชวนคุยได้ดีกว่า อย่างน้อยก็เปิดประเด็นสนทนาได้จากคำแนะนำนั่น
จะจีบคนๆ หนึ่งมันก็ไม่ได้ยากอะไรนักหรอก...
แต่การที่ทำให้มันยากขึ้น...มันก็น่าสนใจเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?
ตุ่บ...
นัยน์ตาเรียวเหลือบมองคนที่เพิ่งหยัดตัวนั่งเยื้องฝั่งตรงข้ามเขา ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปของใครคนหนึ่งกำลังขมวดคิ้วพร้อมกับพลิกหนังสือนวนิยายสยองขวัญไปมาก่อนจะเปิดอ่านหน้าแรก คยูฮยอนรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียดื้อๆ เพียงเพราะเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะอ่านนิยายแนวเดียวกับเขาแต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไรออกไป
“ผมรบกวนเวลาอ่านคุณหรือเปล่า?” เป็นร่างสูงที่เอ่ยทักทายก่อนด้วยรอยยิ้มบางๆ คยูฮยอนยิ้มแห้งๆ พลางยกมือขึ้นปฏิเสธ เขาต่างหากที่กำลังรบกวนเวลาของคุณคนนี้
“เปล่าครับเปล่า เชิญตามสบายเลยครับ” คยูฮยอนหันกลับมาสนใจหน้าหนังสือที่อ่านค้างไว้อีกครั้ง
“ขอโทษนะครับ” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพลางมองไปยังใครอีกคนที่ค่อยๆ ขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าหล่อที่มีลักยิ้มนั่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างกับสถานการณ์เมื่อครู่ แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ยังคงเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้สีหน้านิ่งๆ นั่น
“ครับ”
“จะหาว่าผมเสนอหน้าก็ได้นะ แต่ผมเห็นคุณกำลังอ่านนิยายสยองขวัญอยู่ ส่วนผมน่ะชอบดูหนังผี หนังฆาตรกรรมมากเลยล่ะ แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยทำหนังดีๆ ออกมาให้ดูผมก็เลยผันตัวมาลองอ่านนิยายบ้าง เผื่อว่าจะค้นพบตัวเอง” คยูฮยอนยิ้มขำกับคำพูดของคนตรงหน้าก่อนจะมองหนังสือที่อีกฝ่ายหนีบมาด้วยแล้วถือวิสาสะดึงมาดู
“อ่า...ถ้าจะเริ่มอ่าน ผมแนะนำให้คุณลองอ่านเรื่องสั้นดูก่อนก่อนดีกว่าไหมครับ เพราะถ้าคุณไม่ได้รักการอ่านตั้งแต่แรกมันคงยากหน่อยที่คุณจะอ่านเรื่องนั้นจบ” ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งพลางมองดวงหน้าหวานตรงหน้าที่กำลังให้คำแนะนำเขา
ผิดคาด...
เขาคิดว่าโจคยูฮยอนน่าจะให้ท่าเขามากกว่านี้
“ทำไมล่ะครับ?”
“ตอนแรกผมก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือหรอก เพราะทุกครั้งที่ผมฝืนใจอ่านหนังสือเรียนเมื่อไหร่ผมก็จะท้อทุกทีว่าเมื่อไหร่มันจะจบบทสักทีนะ หนังสือเล่มนี้หนาเกินไปหรือเปล่า ไม่อยากอ่านต่อแล้ว พอถึงช่วงใกล้สอบผมก็เอาแต่สนใจอย่างอื่นเพราะไม่อยากอ่านหนังสือ คนๆ หนึ่งก็เลยแนะนำวิธีนี้ให้น่ะครับ”
คนๆ หนึ่งงั้นเหรอ?
“คนๆ หนึ่งที่ว่าคงไม่ใช่พ่อแม่สินะครับ” ซีวอนยิ้ม คำถามนั่นไม่ใช่ถามลอยๆ เขาหวังว่าคยูฮยอนอาจจะหลุดปากพูดออกมาว่าคนๆ นั้นเป็นใคร คยูฮยอนพยักหน้าช้าๆ รอยยิ้มของเขาดูต่างไปจากทีแรก
“คนที่เคยเป็นคนสำคัญของผมน่ะครับ...เขาบอกว่าถ้าไม่ชอบอ่านก็ต้องฝึกเสียก่อน เริ่มต้นที่หนังสือในแบบที่เราชอบ พอได้เริ่มอ่านหนังสือพวกนี้ไม่นานนักผมก็กลายเป็นมนุษย์ติดหนังสือไปเลยล่ะ” คยูฮยอนก้มลงมองหนังสือที่อ่านอยู่ก่อนหน้านี้แล้วดันให้กับร่างสูง
คนที่เคยเป็นคนสำคัญ...
“ลองอ่านเรื่องนี้ดูไหมครับ เป็นเรื่องสั้นสี่เรื่องผมคิดว่าคุณน่าจะชอบมันนะ” คยูฮยอนพูดทั้งที่ไม่มองหน้าเขา สายตาของร่างโปร่งยังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือที่หยิบยื่นให้
“แต่คุณยังอ่านไม่จบเลยไม่ใช่เหรอครับ?”
“ผมอ่านเรื่องนี้จบไปสามรอบแล้วล่ะครับ รอบนี้เป็นรอบที่สี่” คยูฮยอนยิ้มแห้งๆ พร้อมกับชูสี่นิ้วให้คนตรงหน้า ซีวอนลดสีหน้าลงโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ กับคนที่เขาย้ำนักย้ำหนาว่าเกลียดเข้าไส้
น่าแปลก...
ที่เขากำลังรู้สึกในทางบวกกับโจคยูฮยอน
ไม่สิซีวอน...บางทีมันอาจจะเป็นแผนหลอกล่อให้ตายใจของเด็กนี่ก็ได้ จริงอยู่ที่คยูฮยอนไม่ได้ดูให้ท่าอะไรเหมือนกับคนอื่นๆ แต่นี่ก็อาจจะเป็นเคล็ดลับที่เด็ดใจเจ้าพวกนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะใจอ่อนไม่ได้
“ท่าทางคุณจะชอบเรื่องนี้มากนะ”
“มันเป็นเรื่องเศร้าน่ะครับ เรื่องแรกพระเอกโดนนางเอกฆ่าตายเพราะเข้าใจผิด ตอนอ่านครั้งแรกผมนั่งน้ำตาไหลจนคนในหอสมุดมองเลยล่ะ หลังจากนั้นผมเลยเปลี่ยนมานั่งช่วงเย็นแทน อยากร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครเห็น” คยูฮยอนยิ้มขำกับเรื่องราวบ้าๆ ของตัวเองในขณะที่ใครอีกคนยังจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง
ร้องไห้เพราะแค่อ่านนิยายน่ะเหรอ?
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะ ถ้าผมไม่ได้คุยกับคุณวันนี้ผมคงยืมเจ้าเล่มนี่กลับบ้านแน่ๆ” ซีวอนว่าพร้อมกับชูนวนิยายเล่มหนาขึ้นมาให้อีกคนดู คยูฮยอนยิ้มบางๆ ก่อนจะรับมันมาจากมืออีกคน
“งั้นผมจะอ่านเรื่องนี้แทนคุณเอง ถือว่าแลกกันนะครับ” ซีวอนนิ่งไปชั่วขณะ พลางมองคนตรงหน้าที่กำลังเปิดหนังสือเล่มหนา
ผิดคาด...
สิ่งที่เขาตั้งใจไว้มันไม่ใช่แบบนี้ ตอนแรกกะจะเข้ามาตีสนิท แนะนำตัว แล้วก็ชวนกินข้าว แต่พอเป็นแบบนี้แล้วเขาจะชวนยังไงล่ะ?
RRRrrrr!!
“ฮัลโหลว่าไงจงอุน”
“อ้อได้สิ ฉันยังอยู่ในมหาลัย เข้ามาเอาที่คณะได้เลย”
“โอเค ฉันจะรอหน้าคณะนะ”
ร่างโปร่งวางสายก่อนจะรวบหนังสือไว้เป็นกองเดียวกัน ตอนนี้ซีวอนรู้แล้วว่าคนที่ถือไพ่เหนือกว่านั้นไม่ใช่เขาอีกต่อไป คยูฮยอนยิ้มให้ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน
“ผมต้องไปแล้วล่ะ อ่านให้สนุกนะครับ”
“อ่า...”
คุณ...ชื่ออะไรครับ?
นั่นคือประโยคที่ติดอยู่กับปากแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ ร่างสูงได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังบางที่เดินไปหยุดหน้าเคาน์เตอร์แล้วจัดแจงเรื่องยืมหนังสือกับบรรณารักษ์...รู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้อารมณ์เหมือนถูกหักอกไม่มีผิด จะว่าเด็กนั่นเล่นตัวเหรอ...ก็ไม่น่าจะใช่ ร่างสูงถอนหายใจกับความผิดพลาดในวันนี้ก่อนจะจ้องมองหนังสือเล่มบางที่อยู่ตรงหน้า
“เหอะ...ฉันต้องอ่านไอ้นี่ใช่ไหม”
ถ้าไม่อ่านก็เข้าไม่ถึงความติสม์ของเด็กนั่นอีก นี่เหรอคนที่อีทงเฮรักนักรักหนา อยากรู้จริงๆ ว่าตอนคบกันมันเอาเวลาไหนไปสวีทกันวะ นั่งอ่านหนังสือนวนิยายสยองขวัญด้วยกันแล้วแลกจูบไรงี้เหรอ น่าขนลุกเป็นบ้า
แต่ยังไงก็เถอะ...
มันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นนะโจคยูฮยอน...
ความคิดเห็น