คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : PART 7 : Trouble
Chapter 7
Trouble
“พ่อนายทำงานอะไรถึงได้เสี้ยมสอนให้ลูกชายแฮ็คระบบไปทั่วแบบนี้ รู้ไหมว่ามันผิดกฎหมาย เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ” ดร.จงอุนถามเด็กหนุ่มที่กำลังตั้งอกตั้งใจแฮ็คเข้าระบบทำเนียบขาวทั้งที่ปากยังคาบช็อคโกแลตอยู่
“พ่อก็บอกผมเหมือนกันแหละน่าว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ดี แต่พ่อบอกให้ผมหัดไว้บ้างเพราะบางทีในอนาคตผมอาจจะได้ใช้มัน...เห็นไหมล่ะ แล้วผมก็ได้ใช้มันจริงๆ และเท่าที่รู้พ่อผมทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อทำงานกับบริษัทไหน ผมเคยถามนะว่าพ่อทำงานเกี่ยวกับอะไรแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบสักที บางครั้งก็มีพวกผู้ชายสูทดำมาหาพ่อที่บ้านด้วยล่ะคนพวกนั้นนั่งรถแวนสีดำดูเท่เป็นบ้า” คยูฮยอนหันมายักคิ้วให้กับคนรอบข้าง
“ผู้ชายสูทดำงั้นเหรอ?”
“เรื่องที่พวกคุณควรเป็นกังวลมันไม่ใช่เรื่องนิสัยเสียของผมหรอกน่า ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเจาะระบบเข้าไปได้ไหม เพราะอย่างที่บอกว่าผมไม่เคยเจาะเข้าไปลึกอะไรขนาดนั้น”
“งั้นคุณอยู่ที่นี่”
“ไม่ได้...” จองซูแย้งขึ้นมาขณะที่ซีวอนกำลังพูดกับ ดร.จงอุน ร่างสูงหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด
“ดร.จงอุนต้องไปกับผม”
“..................”
“ยังไง จะยังไง” คยูฮยอนละสายตาจากมอนิเตอร์แล้วหันกลับไปมองคนสามคนที่ยังตกลงกันไม่ได้ มือแกร่งดันหน้าเด็กหนุ่มให้หันกลับไปที่เดิมเป็นเชิงบอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว -_-
“เขาต้องเป็นคนปลดรหัสประตูทางเข้า ซึ่งไม่มีใครในนี้ทำแทนเขาได้”
“แต่มิซไซน์กำลังจะลงกรุงโซลในอีกสองชั่วโมงข้างหน้านี้นะคุณ”
“ผมรู้ เพราะงั้นผมจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด...แต่ถ้าคุณให้ ดร.จงอุนแฮคระบบอยู่ที่นี่น้องชายผมก็ต้องตาย”
“...................”
“ได้โปรดเถอะ...เขาคือสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ผมเหลืออยู่” จองซูพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ซีวอนจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของคนตรงหน้าที่ฉายแววสิ้นหวัง
“จริงอย่างที่จองซูพูด...เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วเพราะการที่จะเข้าไปในแลปชั้นยี่สิบเอ็ดได้ก็ต้องใช้การแสกนนิ้วมือของนักวิทยาศาสตร์ที่นี่” ดร.จงอุนพูดพลางเม้มริมฝีปาก
“งั้นผมจะไปด้วย”
“คุณอยู่ที่นี่ดีกว่า ทีมของคุณก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ไปๆ มาๆ แบบนี้เดี๋ยวได้คลาดกันอีก”
“แต่คุณเพิ่งบอกว่าข้างบนนั่นมีสัตว์ประหลาดสารพัดชนิด แต่คุณก็จะไปกันแค่สองคนอย่างนั้นเหรอ?”
“ไปหลายคนก็ตายหลายคน ถ้าผมกับจองซูไม่กลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า...พวกคุณก็ออกเดินทางกันได้เลย” ดร.จงอุนเดินไปเปิดล็อคเกอร์พร้อมกับถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำเข้าไปแทน กระชับเสื้อแล้วเหน็บปืนพกไว้ข้างหลังโดยที่ไม่ลืมที่จะหยิบยื่นสายสะพายปืนพร้อมกระสุนให้จองซูด้วย
“คุณต้องใช้มัน” ซีวอนวางวิทยุสื่อสารกับมีดพกลงบนมือจองซู ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าพร้อมกับโค้งหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
“ผมติดต่อกับทีมทางคอมพิวเตอร์ได้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็วอมาหาผม”
“ขอบคุณครับ”
“ส่วนมีด...ผมคิดว่ามันจำเป็นมากถ้าเกิดคุณอยู่ในระยะประชิดกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น มันเป็นของชิ้นแรกที่ผมได้รับหลังจากบรรจุเข้าหน่วยสตาร์...หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคุณบ้าง” ซีวอนยิ้มบางๆ พร้อมกับวางมือลงบนไหล่นายตำรวจตรงหน้า
“เราต้องวางแผนกันก่อนออกไป”
“งั้นก็ว่ามาเลย” จองซูพูดขณะที่เขากำลังเหน็บมีดพกไว้กับสนับขา
คยูฮยอนมองคนสามคนที่กำลังสุมหัวกันอยู่แล้วก็สงสัย ห้องแลปแบบนี้ทำไมถึงมีอาวุธครบมือแบบนั้น อย่างกับ ดร.จงอุนรู้ว่าเขาต้องได้ใช้มันสักวัน นึกอะไรเพลินๆ แล้วหันกลับไปมองคนๆ หนึ่งที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแล้วก็หวาดเสียวขึ้นมาเสียดื้อๆ ถ้าเกิดหมอนั่นลุกขึ้นมากัดคอเขาตอนเผลอจะเป็นยังไง ถ้าเกิดพลาดท่าตายโง่ๆ ทั้งที่หนีมาไกลได้ขนาดนี้ก็จะเกินไปนะ
ชำเลืองมองอีกคนที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงเหล็กแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็ผุดขึ้นมาในหัว...โคลนนิ่งที่ว่าจะพูดภาษาคนรู้เรื่องไหม ต้องกินข้าว ต้องหลับนอนเหมือนคนหรือเปล่า?
“ก่อนที่จะไปขึ้นลิฟท์ เราต้องผ่านทางเดินที่มีศพของนักวิทยาศาสตร์ที่เดินเร่ร่อนอยู่...ถ้าเกิดเราโผล่เข้าไปพวกมันคงแห่วิ่งมาต้อนรับแน่ๆ”
“ต้องกำจัดมันทีละตัวงั้นเหรอ?” ซีวอนถาม
“มันมีเยอะแค่ไหน”
“ยาวไปจนถึงหน้าประตูลิฟท์เลยล่ะ มันคงกินเวลาไปเยอะถ้าเกิดเราคิดที่จะฆ่ามันทีละตัว แถมยังเปลืองกระสุนอีกด้วย”
“ก็พกไปเยอะๆ สิลุง” คยูฮยอนพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะโค้งหัวขอโทษเมื่อถูกสายตาดุๆ จากซีวอนเข้าให้
“กระสุนแม็กนึงไม่ใช่เบาๆ พกไปน้อยเท่าไหร่ได้ยิ่งดี...เพราะถ้าพกไปเยอะมันก็ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก” ซีวอนพูดนั่นทำให้ ดร.จงอุนค่อยๆ พยักหน้าเข้าใจ
“เพราะงั้นเราควรหาวิธีเข้าไปในลิฟท์ให้ได้โดยที่ไม่ต้องฆ่าพวกมันสินะ...” จองซูพูดพร้อมกับหลุบสายตาลงแล้วครุ่นคิดหาทาง
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่นี่มีทางเดินแค่ทางเดียวนะคุณ ไม่มีทางอ้อมหรือทางลัดหรอก”
“ช่องแอร์”
“หืม?” ทั้งสองคนมองหน้าจองซูด้วยความสงสัย
“ขึ้นไปบนนั้นแล้วคลานไปจนถึงช่องลิฟท์สิ”
“......................”
“มันเป็นความคิดที่ดีนะ”
“เอาล่ะ...พอเข้าไปในตัวลิฟท์ได้แล้วเราก็ต้องมาคิดหาทางกันต่อ พอขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบเอ็ดผมกับคุณอาจโชคดีเจอเนเมซิส...ซึ่งผมคิดว่าคุณคงไม่มีปัญญาสู้มันแน่ๆ” ดร.จงอุนถอนหายใจพลางมองตำรวจหนุ่มข้างๆ ที่เป็นเป้าหมายของมัน
“ไม่ต้องห่วง พอถึงเวลานั้นผมจะหาทางหนีเอง”
“แน่ใจเหรอว่าคุณจะรอดเงื้อมมือมันได้...”
“......................”
“คุณอาจจะต้องตายนะจองซู”
“ถ้าผมจะต้องตาย...คุณก็ต้องกลับมาที่นี่พร้อมกับแอนตี้ไวรัส” อีทึกพูดเสียงเรียบก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาเช็คดูกระสุน
“โว้วๆๆ ผมเจาะระบบเข้าไปได้แล้วนะ” ทั้งสามคนเดินมาหยุดอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ คยูฮยอนยิ้มกว้างกับความสำเร็จที่ใกล้เข้ามาถึง
“ที่เหลือก็รอให้มันโหลดครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็เจาะระบบความปลอดภัยเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ผมคิดว่านะ”
“นายทำดีมาก พยายามต่อไปนะ” ดร.จงอุนตบบ่าเด็กหนุ่มที่ตอนแรกเขาแทบจะไม่เชื่อในความสามารถของเด็กคนนี้
“เอาล่ะ คุณพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“อืม ผมพร้อมแล้ว”
ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่ข้างล่างช่องแอร์โดยมีซีวอนและจองซูเป็นฐานให้ ดร.จงอุนเหยียบหลังร่างสูงขึ้นไปแกะผนังช่องแอร์ออกโดยได้รับความช่วยเหลือจากจองซู เพียงครู่เดียวเขาก็ทำสำเร็จและปีนขึ้นไปได้ ตำรวจสองนายยืนมองหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไร เขาทั้งคู่เปรี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ถึงจะเป็นเพียงแค่เวลาช่วงสั้นๆ แต่เขาก็ดีใจที่ได้รู้จักกับตำรวจรุ่นพี่ที่น่าจะอายุน้อยกว่าเขา
“ถ้าเกิดผมไม่กลับมา...”
“ผมรู้ว่าผมควรทำอะไรแต่คุณต้องบอกตัวเองทุกวินาทีนะจองซู...ว่าคุณยังมีน้องชายที่รออยู่ที่นี่”
“....................”
ซีวอนยิ้มก่อนจะย่อตัวให้อีกฝ่ายเหยียบหลังขึ้นไปโดยที่มี ดร.จงอุนรออยู่ข้างบนแล้ว ไม่มีเวลาของการร่ำลามากไปกว่านี้ ทั้งคู่ค่อยๆ คลานไปตามช่องแอร์ที่คับแคบละเหม็นอับ
“มันมืดจนผมมองไม่เห็นอะไรเลย...”
“รับนี่ไปแล้วเงียบไว้...” ดร.จงอุนเอี้ยวหน้าหันมารับไฟฉายขนาดเล็กจากจองซูมาถือไว้แล้วส่องไปข้างหน้าเมื่อเจอสามแยกที่ต้องตัดสินใจ ถึงเขาจะทำงานที่นี่มาหลายปีแต่ก็ใช่ว่าจะชำนาญเรื่องทางในช่องแอร์เสียเมื่อไหร่
ได้ยินเสียงโอดครวญของผีดิบนับสิบที่อยู่เบื้องล่างแล้วก็ขนลุก ถ้าเกิดเขาตกลงไปคงไม่มีโอกาสตกใจกลัว ผีดิบพวกนั้นมันพร้อมที่จะเข้ามาขย้ำรุมกัดกินร่างกายเขาทันทีที่เขาทั้งคู่ร่วงลงไปแน่
“ไปทางซ้าย”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าต้องไปทางนั้น”
“ผมเดา...หรือคุณคิดว่าต้องไปทางขวาล่ะ?” จองซูถามคนที่กำลังเครียดหนักกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
“เออๆ ซ้ายก็ซ้าย”
คลานต่อไปข้างหน้าจนแทบถอดใจ เมื่อไม่ถึงที่หมายสักที เสียงโอดครวญและภาพสุดสยองที่มองจากช่องแอร์ที่คลานผ่านมามันทำให้เขาจะเป็นบ้าตายกับความกลัวขึ้นสมอง
.
.
“คุณ”
“อืม”
“ถ้าเกิดผมแฮ็คทำเนียบขาวไม่สำเร็จ คุณจะโกรธผมไหม” คยูฮยอนถามทั้งที่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้ามอนิเตอร์ ซีวอนมองแผ่นหลังของเด็กน้อยที่เอาแต่ก่อเรื่องอยู่ตลอดเวลาแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“พอถึงตอนนั้นผมคงไม่มีเวลาโกรธคุณหรอก”
“เพราะเราจะตายกันหมด”
“ใช่”
“แล้วถ้าเรารอดไปจากที่นี่ได้...มันจะเป็นยังไงต่อ”
“....................” ร่างสูงเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับเรื่องนี้...ในหัวมีแต่เรื่องที่ต้องช่วยเพื่อนสนิทและลูกทีมที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย อาจจะไม่รอด...หรืออาจจะรอด แต่เขาก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด...จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย
“คุณ”
“หืม...”
“นั่นทีมคุณหรือเปล่า?” คยูฮยอนถามเมื่อเขาเห็นภาพตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาตามทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาไม่นานนี้ ซีวอนรีบเข้ามาหยุดที่หน้าจอก่อนจะยิ้มออกมา
“ใช่ นั่นแหละพวกเขา”
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อืม”
รออยู่ครู่หนึ่งคยูฮยอนก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ดร.จงอุนทิ้งไว้ให้ ระบบคอมพิวเตอร์มากมายหลายโปรแกรมไปจนถึงภาษาซีมันเป็นสิ่งที่เขาเคยผ่านตามาบ้างแล้ว อาจจะมีบางโปรแกรมที่ไม่เคยพบเจอแต่ถ้าใช้เวลาศึกษาสักหน่อยรับรองว่ามันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่
“ยุนโฮ”
( นั่นซีวอนเหรอ? )
“อื้ม เอาล่ะนายฟังที่ฉันพูดนะ เดินมาจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวาตรงนั้นนายจะเจอบันได...ขึ้นมาจนถึงชั้นสี่แล้วฉันจะไปรอรับนายที่นั่น”
( ให้ตายเถอะ นายรู้เหรอว่าฉันอยู่ที่ไหนน่ะ? )
“เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วกัน...เดี๋ยวยุนโฮ ข้างหลังนาย!!”
ร่างสูงเบิกตากว้างเมื่อเห็นอาวุธของอัมเบรลล่าโผล่มาจากทางด้านหลังเพื่อนสนิทเขาพร้อมกับปืนกลที่บรรจุกระสุนนับห้าร้อยนัด คยูฮยอนอึ้งกับภาพที่เห็นเมื่อตำรวจกลุ่มนั้นกำลังตั้งหลักถอยหลังยิงเนเมซิสไปเรื่อยๆ หากแต่สัตว์ประหลาดตนนั้นกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว
( วิ่ง!!! )
“คยูฮยอน...คุณอยู่ที่นี่นะ”
“คุณจะไปไหน?” คยูฮยอนคว้าข้อมืออีกคนเอาไว้ นัยน์ตาของเขาดูหวาดกลัวกับคำตอบ
“ผมจะไปช่วยพวกเขา”
“...แต่คุณ” คุณอาจจะต้องตายนะ
คุณอาจจะต้องตายเหมือนกับนายทหารคนนั้นนะซีวอน...
“...ให้ผมไปเถอะ ผมไม่มีเวลาแล้วคยูฮยอน” มือแกร่งแกะมืออีกคนออก คยูฮยอนลุกขึ้นยืนแล้วส่ายหน้าพรืด สีหน้าอวดดี ความทะเล้นที่เคยมีหายไปในพริบตาเพียงแค่รู้ว่าคนตรงหน้าจะจากเขาไปและไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือเปล่า
“อย่าไป...”
“....................”
“คุณไม่โชคดีทุกครั้งหรอกนะซีวอน...”
ฮยอกแจมองคนสองคนที่กำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่ เขารู้สึกได้ถึงความกลัวของเด็กหนุ่มคนนั้น กลัวที่จะต้องพบการลาจาก พลัดพราก...ความรู้สึกแบบนี้มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา
“ผมจะกลับมา”
“ไม่...คุณจะไม่กลับมา คุณน่ะโกหก...” คยูฮยอนน้ำตาคลอหมดคราบเด็กหนุ่มที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ อาจจะเป็นเพราะซีวอนเป็นเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ในตอนนี้ คนที่เขาพอจะพึ่งพาได้...
“ผมสัญญา...” คยูฮยอนมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“เราจะต้องหนีไปจากที่นี่ด้วยกันทุกคน...ผมสัญญา...”
ทำอะไรไม่ได้...นอกจากปล่อยมือคนตรงหน้าออกอย่างอ่อนแรง ซีวอนเม้มริมฝีปากก่อนจะเข้าไปสวมกอดคยูฮยอน...แน่นจนเด็กหนุ่มกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว
‘ฝากดูแลเจ้าเด็กนี่ด้วยล่ะ’
ความรู้สึกนั้นมันกลับมาอีกครั้ง...อ้อมกอดที่เคยให้ความรู้สึกปลอดภัยแต่นั่นก็เพียงแค่วูบหนึ่งเท่านั้น แค่พริบตาเดียวคิมยองอุนก็จากเขาไปโดยที่ไม่กลับมาอีก...และครั้งนี้ก็เหมือนกันใช่ไหม...
.
.
แกร่ก...แกร่ก...แกร่ก...
เสียงรองเท้าหนังกระทบกับบันไดเหล็กที่สองหนุ่มกำลังปีนลงมาอย่างช้าๆ หลังจากที่เขาทั้งคู่พ้นช่องแอร์มาแล้ว เบื้องล่างคือลิฟท์ตัวใหญ่ที่จอดค้างอยู่ที่ชั้นสอง เขาต้องปีนลงไปอีกสักสักสามสี่ร้อยเมตรท่ามกลางความเงียบสงบและความมืดมิดหากมองขึ้นไปชั้นบนสุด...เขาไม่รู้ว่าข้างบนนั่นมีตัวอะไรอยู่บ้าง มันอาจจะจ้องมองอยู่เงียบๆ แล้วพุ่งเข้ามาปลิดชีวิตเขาทั้งคู่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้
ตุ่บ...
ทันทีที่เท้าทาบลงกับหลังคาลิฟท์ร่างโปร่งก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะดึงมีดพกที่ซีวอนให้ออกมางัดฝาผนังสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะออก...จองซูพ่นลมหายใจทางริมฝีปากเพื่อผ่อนคลายกับสิ่งที่เขาอาจจะต้องเจอในอีกไม่ช้า...ใบหน้าคมชะโงกเข้าไปในตัวลิฟท์แล้วก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า
“ผมจะลงไปก่อน”
“อืม”
จองซูหย่อนขาลงไปข้างล่างแล้วเกาะผนังลิฟท์เอาไว้ก่อนจะทิ้งตัวลงมาด้วยระดับเสียงที่เบาที่สุด เขาประสานมือเอาไว้ระดับอกเพื่อให้ ดร.จงอุนเหยียบลงมา เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องผาดโผนสักเท่าไหร่
ยืนโกยอากาศเข้าปอดกันทั้งคู่ก่อนจะกดลิฟท์ไปที่ชั้นยี่สิบเอ็ด...ช่องลิฟท์บนเพดานที่โหว่อยู่ทำให้ ดร.หนุ่มจินตนาการไปไกลว่าอาจจะมีตัวอะไรโผล่เข้ามาฆ่าเขาจากตรงนั้น จงอุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือแกร่งดันร่างของเขาให้ถอยหลังไปชิดกับผนัง
“ถ้ากลัวก็อยู่ห่างๆ มันเอาไว้”
“แล้วคุณไม่กลัวหรือไง?” ดร.จงอุนถามใครอีกคนที่ชักปืนออกมาเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
“กลัวสิ”
“ทำไมคุณถึงเป็นตำรวจ ผมถามได้ใช่ไหม?” ถามขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาขณะที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปเรื่อยๆ จองซูหลุบสายตาลงเมื่อนึกถึงคนบางคนที่ทำให้เขาสอบเข้าบรรจุเป็นตำรวจ
“เพราะพ่อของผมน่ะ”
“งั้นเหรอ เด็กๆ มักจะเป็นอย่างนี้แหละ อยากเป็นเหมือนพ่อ พ่อคือวีรบุรุษ” ดร.จงอุนหัวเราะในลำคอ
“แล้วทำไมคุณถึงช่วยผม” จองซูมองคนข้างๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ดร.จงอุนหันมาสบตากับอีกฝ่ายแล้วยิ้มบางๆ
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณน่าจะช่วยผมหนีไปจากที่นี่ได้ แต่พอเห็นคุณกำลังจะโดนเนเมซิสขย้ำแล้วผมถึงได้รู้ว่าคิดผิด...ใครจะช่วยใครกันแน่วะ? แต่ไม่ทัน...ตอนนั้นผมวิ่งไปถึงตัวคุณแล้ว ฮะๆ”
“ผมหมายถึงครั้งนี้...ทำไมคุณถึงช่วยผมทั้งที่คุณอาจจะต้องมาตายที่นี่”
“......................”
“ถ้าเกิดคุณอยู่ที่ห้องแลป เปอร์เซ็นต์ที่จะหยุดมิสไซน์ได้คงมีสูงกว่า แต่คุณก็เลือกที่จะช่วยผม”
“อยากรู้คำตอบเหรอ?”
“...................”
“เพราะผมไม่เคยมีคนสำคัญในชีวิต ผมถึงไม่รู้ว่าชีวิตของคนอื่นมันสำคัญมากแค่ไหน...จนกระทั่งผมเห็นความรักที่คุณมีต่อทงเฮ”
“...................”
“คุณไม่ลังเลที่จะช่วยใครแม้ว่าจะต้องไปเสี่ยงตายข้างหน้า นั่นแหละที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดใหม่” จองซูชะงักไปเมื่อได้ยินคำตอบจากปาก ดร.จงอุน
“...ขอบคุณสำหรับคำตอบ” จองซูหลุบสายตาลง จู่ๆ ภาพของคิมฮีชอลก็ผุดขึ้นมาในหัว ความรู้สึกผิด...อ้างว้าง...มันกำลังเกาะกินหัวใจเขาอีกครั้ง ถ้าเขาเข้มแข็งกว่านี้ฮีชอลก็จะ...
แกร่ก!
ตั้งปืนขึ้นระดับหัวไหล่เมื่อประตูลิฟท์กำลังเปิดออก เบื้องหน้ามีผีดิบเดินไปมาอยู่สองตัว มันเชื่องช้ามากจนไม่รู้ว่าความตายกำลังมาเยือนซ้ำสอง ร่างผีดิบที่ใบหน้าแหว่งไปข้างหนึ่งทรุดลงไปนอนกับพื้นเมื่อกระสุนปืนเจาะเข้ากลางขมับโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณใจเย็นใช้ได้เลยนะ” พูดกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วหันซ้ายขวา เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงห้องแลปที่เคยสีขาวสะอาดกลับมีแต่คราบเลือดสีแดงสดเปื้อนกำแพงเต็มไปหมด
“นั่นน่ะ...ประตูที่เราต้องปลดล็อครหัส”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
.
.
ขายาวชันขึ้นบนเก้าอี้พร้อมกับเอาคางเกยหัวเข่าเอาไว้ เศษฝอยห่อช็อคโกแลตทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นราวกับว่ามันเป็นสิ่งดับทุกข์ให้กับโจคยูฮยอนได้ นัยน์ตาเรียวจดจ้องอยู่กับตัวเลขที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละหนึ่งแต่ในหัวกลับคิดไปถึงเรื่องอื่น
“คุณ”
“...................”
ไม่มีเสียงตอบรับจากใครในห้องนี้ นัยน์ตาของเด็กหนุ่มดูล่องลอยสิ้นหวัง ถ้าเกิดซีวอนไม่กลับมาเขาคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
“คุณโคลนนิ่ง...”
“...................”
“คุณกลัวไหม?” ถามทั้งที่ไม่ได้หันไปสบตากับอีกฝ่าย อีฮยอกแจยังคงนั่งนิ่งเหมือนในทีแรก สายตาของเขายังไม่ละห่างจากใครอีกคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเหล็ก
“คุณกลัวไหมที่อาจจะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คนเดียว?”
“...................”
“กลัวไหม...” ราวกับคนบ้าที่เอาแต่พูดอยู่คนเดียว ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าต่อให้พูดไปจนคอแห้งอีกฝ่ายก็ไม่มีทางตอบโต้เขา ก็แค่มนุษย์โคลนนิ่ง...ยังไงก็ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกเขาได้อยู่แล้ว
“ผมคงไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนอกจากตัวเอง”
คยูฮยอนเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าเรียวค่อยๆ เงยขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากฝั่ง
“แค่กๆ!!” ทั้งคู่เบิกตาโพลงเมื่อคนที่นอนอยู่บนเตียงเหล็กได้ตกลงมากระทบกับพื้นซีเมนต์ ทั้งคู่รีบเข้าไปดูอาการทงเฮที่กำลังนอนบิดตัวเร่าอีกทั้งยังไอเป็นเลือดด้วยความตกใจ
“ทงเฮ...ทงเฮ?” ร่างบางเขย่าตัวคนที่อยู่ในอ้อมกอดก่อนจะเซล้มถอยหลังทั้งคู่เมื่อถูกคนที่ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายเมื่อครู่ผลักออกอย่างแรง
“เดี๋ยวสิคุณ จะไปไหนน่ะ คุณไม่สบายอยู่นะ!” คยูฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังคนที่กำลังเดินโซซัดโซเซไปที่ประตูพร้อมกับจับไหล่กว้างเอาไว้แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อทงเฮเอี้ยวตัวกลับมาพร้อมกับเอาปืนจ่อหน้าเขา
“อ...อย่าตามมา” คยูฮยอนยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวพร้อมกับหลุบสายตาลงมองปืนที่จ่อหน้าเขาอยู่
“ถอยออกไป...ทั้งคู่นั่นแหละ” ริมฝีปากที่เปื้อนเลือดพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น...ปืนที่เล็งบนระดับใบหน้าเด็กหนุ่มเมื่อครู่ได้เลื่อนไปที่ใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ นั่นเป็นจังหวะให้คยูฮยอนเข้าไปแย่งปืนจากคนตรงหน้าจนทำให้ปืนลั่นโดนกำแพง มือหนาซัดหมัดลุ่นๆ เข้าที่ใบหน้าเด็กหนุ่มจนเซไปกระแทกกับผนังก่อนจะล้มไปชนกับแลปทดลองจนขวดแก้วนานาชนิดตกลงมาแตกไม่มีชิ้นดี
อาจจะเป็นเพราะเชื้อไวรัสที่ทำให้พละกำลังของทงเฮมีมากขึ้นจนยากที่จะกะแรงต่อสู้ ร่างหนาก้มลงมองมือตัวเองทั้งสองข้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใครอีกคนที่นอนหมดสติแล้วก็รู้สึกผิด...เขาไม่ได้อยากทำร้ายใคร ก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น...ทงเฮหันไปมองร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะยกปืนขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมบอกให้ถอยไปไง...”
“คุณจะฆ่าผมงั้นเหรอทงเฮ”
“คำตอบอยู่ตรงหน้าคุณแล้วนี่...2611” ทงเฮแค่นเสียงหัวเราะก่อนจะถ่มเลือดสีสดลงบนพื้นแล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่ปาดเลือดออกจากริมฝีปากลวกๆ เขาไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นคนดีโดยการเข้าไปดูเด็กคนนั้นให้คนตรงหน้าเห็น ไม่จำเป็น...
ในหัวเอาแต่สั่งว่ารีบไปจากที่นี่ซะ...
ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดแล้วทำลายอย่างที่ขวางหน้าโดยไร้สติ...
“....................”
“อย่าทำแบบนี้ทงเฮ...พี่ชายคุณกำลังพยายามหาทางแก้ให้คุณอยู่”
“ทางแก้งั้นเหรอ? ถ้ามันมีวิธีแก้แล้วไอ้พวกศพไร้วิญญาณที่เดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่นมันคืออะไรกันล่ะ?”
“......................”
“ผมรู้สึกได้ว่ามันอยู่ในตัวผม...มันกำลังฆ่าผมทีละนิดและอีกไม่ช้าผมก็จะกลายเป็นเหมือนพวกมัน”
“ทงเฮ...ลดปืนลงเถอะ”
“ผมบอกให้หยุดอยู่ตรงนั้น!” ร่างหนาตวาดกร้าวพร้อมกับเล็งปืนเข้าที่ขมับคนตรงหน้า
“คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมกำลังรู้สึกยังไง...คุณมันก็แค่...” ริมฝีปากหยักสั่นเครือเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ มันเป็นโศกอนาถกรรมที่เขาไม่คิดว่าจะต้องมาจบชีวิตแบบนี้
“โคลนนิ่งที่ไร้ความรู้สึก...นั่นคือสิ่งที่คุณอยากพูด...ใช่ไหม”
“.......................”
“ถ้าคุณอยากยิงก็ยิงเถอะ...เพราะยังไงผมก็เป็นแค่โคลนนิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับใครอยู่แล้ว...”
“.......................”
“แต่ชีวิตคุณมีค่า...อย่างน้อยก็สำหรับ...” ร่างบางเว้นช่วงไว้ครู่หนึ่งก่อนจะจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาที่มีแต่ความหวาดกลัวของคนตรงหน้า มือเรียวค่อยๆ ลดมือทงเฮลงและเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“ผม”
“.......................”
“คุณมีค่าสำหรับผมนะ...ทงเฮ...”
.
.
.
“ให้ตายเถอะ! ไอ้เวรนั่นมันตามพวกเรามาตั้งแต่หกชั่วโมงที่แล้วจนป่านนี้มันยังไม่เลิกจองเวรอีก! จากตอนแรกทีมฉันมีเกือบยี่สิบคนแล้วดูตอนนี้สิ” ยุนโฮมองไปยังนายตำรวจหนุ่มสี่นายที่ยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ เขานั่นก็รวมถึงซีวอนด้วย ร่างสูงชะโงกหน้าออกไปแล้วก็พบว่าพวกเขาได้หลุดพิกัดเนเมซิสไปแล้ว
“มันไม่หยุดแค่นี้หรอกจนกว่ามันจะกำจัดหน่วยสตาร์ให้หมด”
“...เป็นข่าวดีที่ฉันควรได้ยินตอนตีสี่ครึ่งสินะ ฮะๆ” ยุนโฮแค่นเสียงหัวเราะแล้วปลดแม๊กกระสุนออก เขาทุกคนยังหอบหายใจหนักกับศึกที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่
“เรารีบไปกันเถอะ ยังมีผู้ชีวิตเหลืออยู่”
“ทีมของนายเหรอ?”
“เปล่า...พลเรือน”
“หืม? พลเรือนในห้องแลปของอัมเบรลล่าเนี่ยนะ?” ยุนโฮถามขณะที่ซีวอนกำลังเดินนำไปข้างหน้า ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูออกแต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนอนหมดสติอยู่บนพื้น
“คยูฮยอน!” ซีวอนรีบเข้าไปประคองร่างโปร่งขึ้นมาแนบอกแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ก็ไม่พบร่างของใครอีกคนที่เคยนอนอยู่บนเตียง นั่นก็รวมถึงโคลนนิ่งรหัส 2611 ด้วย
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”
“ไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง” พูดพร้อมกับอุ้มคยูฮยอนขึ้นไปวางลงบนเตียงเหล็ก มือแกร่งจับใบหน้าเรียวพลิกไปมาอยู่สองสามทีแล้วก็ถอนหายใจ
หรือว่าอีทงเฮจะกลายเป็น...
“หมวดชางมินช่วยสานต่อเรื่องทำเนียบขาวที เด็กคนนี้คงหมดสติไปอีกนาน”
“ได้ครับ อ่า...แต่คงต้องรออีกสักสิบนาทีครับถึงจะเข้าระบบขั้นต่อไปได้”
“งั้นรอต่อไป”
ยุนโฮเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เพื่อนสนิทพร้อมกับวางมือลงบนไหล่กว้าง
“อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้เป็นคนแฮ็คเข้าทำเนียบขาว?” พอเห็นซีวอนพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วชองยุนโฮถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เป็นใครถึงได้มีความสามารถแฮ็คเข้าระบบทำเนียบขาวเมื่อก่อนหน้านี้ได้ ไหนจะความสัมพันธ์ลึกตื้นที่ซีวอนมีต่อเด็กคนนี้อีก
“เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้...เราต้องหยุดมิสไซน์นั่นแล้วหาหลักฐานอะไรสักอย่างก่อนที่จะหนีออกไปจากที่นี่”
“อ้อ...ฉันเจอไอ้นี่ในสถานีตำรวจล่ะ” พูดพร้อมกับยื่นแผ่นซีดีมาตรงหน้า ซีวอนละสายตาจากคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะรับมาถือไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองยุนโฮด้วยความสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่เชื่อเถอะว่ามันต้องมีเบาะแสอะไรแน่ๆ เปิดดูสิ”
ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่หน้ามอนิเตอร์ก่อนจะใส่แผ่นซีดีเข้าไป ภาพค่อยๆ ฉายขึ้นมาเผยให้เห็นนายตำรวจที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี...
“สารวัตรยุนซึงโฮ...”
“...เซอไพร์ส~”
“นายได้มันมาจากเขาเหรอ?”
“ใช่...มันอยู่ในมือเขา...ฉันหมายถึงศพของเขาน่ะ” ซีวอนเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูด สารวัตรยุนซึงโฮเป็นที่น่าเกรงขามที่ใครๆ ต่างยกย่องนับถือ...แต่ทำไม...
“ดูเถอะ...แล้วนายจะเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่านี้”
‘วันที่ 18 ตุลาคม...ผมมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่กลับบ้านมาเป็นคืนที่สามแล้ว ผมไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้เพราะพวกเขาดักรอผมอยู่สักหนแห่ง คุณเห็นนั่นไหม?’
เขาหมุนกล้องไปที่บานเกล็ดที่มืดสนิทก่อนจะหมุนไปรอบๆ ห้อง...มันมืดจนเขามองไม่เห็นอะไรนอกจากใบหน้าของสารวัตรซึงโฮ
‘...ผมกินเนยถั่วกับอาหารกระป๋องเพื่อประทังชีวิตและตอนนี้มันก็ใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว ผมไม่คิดว่าผมจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้เพราะถ้าออกไปข้างนอกผมก็คงถูกยิงตาย...แต่ถ้ารออยู่ในนี้...อีกไม่ช้ากรุงโซลก็จะกลายเป็นสุสานคนเป็น ตอนนี้ตำรวจนายอื่นที่อยู่ข้างนอกยังคงทำงานเหมือนปกติเช่นทุกวัน ไม่มีใครรับรู้ว่าผมอยู่ข้างในนี้...นอกจาก ‘พวกเขา’ ผมไม่ใช่คนทรยศ...ไม่ใช่’
‘วันที่ 23 ตุลาคม...ผมเริ่มหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอะไรอีก...ลูกสาวของผมถูกจับไปทดลองกับเชื้อไวรัส T ...เธอหนีมาได้แต่สุดท้าย...’
สารวัตรคิมเงียบไปก่อนที่ภาพจะตัดไปอีกฉาก ตอนนี้เขาคงเป็นคนถือกล้องเพราะภาพเบื้องหน้าคือร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวหน้าตาสระสวยหากแต่ใบหน้าขาวซีดจนดูเหมือนคนไม่มีเลือดในร่างกาย
‘ยุนฮเยจี...เธอคือหัวใจของผม...แต่ทำไมพวกเขาถึงทำกับเธอได้ถึงขนาดนี้...ไม่...ฮเยจีของพ่อ...อีกไม่ช้าเธอจะต้องกลายเป็น...เป็น...’
คลิปตัดกลับมาที่หน้าเขาอีกครั้ง...ตอนนี้มือของเขาเปื้อนเลือดเลอะไปจนถึงแว่นที่เขาสวมอยู่ มือหนาถอดมันออกมาเช็ดให้สะอาดแต่ยิ่งเช็ดเท่าไหร่คราบเลือดก็ยิ่งติดไปตามเลนส์แว่นเท่านั้น
‘ตอนนี้ผมกำลังจะตาย...ผมจะแฉมันให้หมด...อัมเบรลล่า...ดร.อีอึนฮยอกไอ้คนทรยศ...’
‘เขาไม่ได้มีแค่ไวรัส T มันยังมีไวรัส G อีกด้วย...มันอยู่ที่ไหนคุณรู้ไหม...อเมริกาไงล่ะ...คิดไม่ถึงล่ะสิ? ถึงพวกคุณจะทำลายกรุงโซลด้วยมิสไซน์ได้ แต่เชื้อไวรัส G ที่พัฒนาแล้วก็ยังคงอยู่พวกเขาพร้อมที่จะพัฒนากับประเทศต่อไปและทำลายหลักฐานทิ้งถ้าเกิดเรื่องมันแดงขึ้นมา...เหมือนกับคราวนี้’
‘ที่สำคัญ...ดร.อีอึนฮยอก...ไอ้คนสารเลวนั่นมันยังอยู่ที่นี่ ถ้าคุณได้ดูคลิปนี้...คุณต้องจับมันมาเค้นเอาความจริง ซึ่งผมรู้ว่ามันยากมาก...ถ้าเป็นไปได้ก็ฆ่ามันซะ...ฆ่ามันให้ตาย...’
พรึ่บ!!!!....
“..................”
“..................”
“ฉันพอจะรู้ว่า ดร.อีอึนฮยอกเป็นใคร”
“นายรู้จักเขาเหรอ?”
“มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะ...”
“มันไม่มีทางจบแค่ที่นี่สินะ...”
“..................”
“..................”
“ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ฉันต้องตามหาอีอึนฮยอกให้ได้”
.
.
“แฮ่ก...แฮ่ก....”
“หมาพวกนั้นวิ่งเร็วเป็นบ้า ถ้าพลาดไปแค่วินาทีเดียวคอผมคงแหว่งแน่” ดร.จงอุนพูดพร้อมกับก้มลงหอบหายใจหนักเมื่อเขาทั้งคู่วิ่งหนีเอาชีวิตจากพวกหมาขี้เรื้อนนั่นหลังจากทำการปลดล็อคประตูเข้ามาได้
“ยังมีอะไรที่เราต้องเจออีกไหม?”
“เยอะแยะสารพัด ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรบ้าง แค่นี้ผมก็จะตายอยู่แล้ว” ดร.จงอุนเอนหลังพิงกำแพงสีขาวพร้อมกับหลับตาลง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเหนื่อยอะไรขนาดนี้มาก่อน
“อีกไกลไหม”
“ไม่หรอก...มันอยู่ตรงนั้นน่ะ ข้างหลังคุณ” พูดพร้อมกับชี้ไปที่ประตูสีขาวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ร่างโปร่งเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองประตูบานนั้นแล้วหันกลับมาหา ดร.จงอุน
“นึกเสียใจแล้วสินะที่มากับผม”
“ใช่ เสียใจมากๆ เลยล่ะ” ดร.จงอุนตอบสวนกลับทันทีนั่นทำให้จองซูหลุดหัวเราะออกมา
“เอาล่ะ งั้นเรารีบเข้าไปหาแอนตี้ไวรัสกันเถอะ” ยื่นมือมาตรงหน้า ดร.อุนจับมืออีกคนเอาไว้แต่ยังไม่ทันก้าวไปไหนร่างของเขาก็ทรุดเข่าลงเมื่อถูกลูกดอกยิงเข้าที่คออย่างจัง
“อะ...จอง...ซ...” ร่างของ ดร.จงอุนทรุดลงไปกองกับพื้นจนตำรวจหนุ่มประคองไว้แทบไม่ทัน ร่างโปร่งเล็งปืนไปรอบๆ หาที่มาของลูกดอกนั่นก่อนจะพบร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่สุดทางเดิน...ใครคนนั้นที่หน้าเหมือนกับอีฮยอกแจ...
“ดร.อีอึนฮยอก...”
“บราโว่~ เป็นเกียรติจริงๆ ที่คุณรู้จักชื่อผม” เสียงปรบมือที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขัดกับใครอีกคนที่เป็นโคลนนิ่ง จองซูขบกรามแน่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“คุณทำอะไรกับเขา!”
“ก็แค่ยานอนหลับ...เขาดูน่ารำคาญจะตายคุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอคุณตำรวจ?”
“..................”
“ปากของเขาควรพูดเรื่องดีๆ บ้าง...ไม่ใช่เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ...”
“คุณนี่มันเลวจริงๆ”
“ผมแค่ให้เขาพักผ่อน คุณถึงกับต้องด่าว่าผมเลวเลยเหรอ?”
“คุณมันเลวที่ฉีดเชื้อไวรัสเข้าไปในตัวน้องชายผม” นัยน์ตาคมมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธแค้นหากแต่ชายหนุ่มร่างผอมบางหรือจะสนใจ
“นั่นน้องชายคุณหรอกเหรอ...อ่า...นั่นเป็นเขาดูมาดแมนมากจนผมอดใจไม่ไหวน่ะ...”
“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“เชื้อไวรัสชนิดนั้นค่อนข้างแรง มันอาจจะทำให้กระดูกของน้องชายคุณหักไปบางส่วนแต่พอตัวอ่อนโตขึ้น...มันจะทำให้น้องชายคุณกลายเป็นยอดคนได้เลยนะ”
“ยอดคนงั้นเหรอ คงมีแต่คนโรคจิตอย่างคุณเท่านั้นแหละที่คิดอะไรแบบนี้ได้!”
“ถ้าน้องชายคุณยอมให้เชื้อไวรัส G ควบคุมเขาก็คงจะไม่เจ็บปวดแบบนี้...แต่ก็รอดูแล้วกันว่าเขาจะทนได้นานสักแค่ไหน”
ทันทีที่จองซูเล็งปืนไปที่ชายหนุ่มร่างผอมบาง นิ้วเรียวก็กดปิดประตูลงพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชนะ...มือแกร่งสั่นเทาเพราะความโกรธแค้นและสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เขาอยากจะฆ่า ดร.อีอึนฮยอก...อยากฆ่าให้ตาย
พอตั้งสติได้แล้วก็ประคองร่างอีกคนขึ้นมา เขาต้องใช้นิ้วของ ดร.จงอุนแสกนผ่านประตูเข้าไปเพื่อเอาแอนตี้ไวรัสไปรักษาทงเฮ ถึงแม้ความหวังมันจะริบหรี่แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้...ทันทีที่แสกนประตูผ่านเขาก็วางร่างของ ดร.จงอุนไว้หน้าประตู ตรงนี้ปลอดภัยไม่มีผีดิบหรือตัวประหลาดโผล่ออกมาแน่ๆ
ทันทีที่ประตูเปิดออกนัยน์ตาคมก็กวาดมองไปรอบๆ ตั้งปืนไว้ระดับหัวไหล่แล้วก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ความเงียบและความหนาวเย็นในห้องแลปมันทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง รู้สึกเหมือนมีใครสักคนอยู่ข้างในนี้...แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พบวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย
แสงสว่างจากหลอดแก้วทำให้ร่างโปร่งลดปืนลง เขาก้มลงมองแผงควบคุมที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะพยายามทำความเข้าใจเพื่อปลดล็อคมัน ข้างในนั้นมีหลอดแก้วสีน้ำเงินกับสีเขียววางเรียงกันแล้วรวมเกือบสิบหลอดและเขาคิดว่ามันคงเป็น...
ไวรัสและแอนตี้ไวรัส...
ครืด...
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มออกมาเมื่อกระจกที่ขวางกั้นค่อยๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ มือแกร่งเอื้อมไปกดสวิทซ์เพื่อปิดกระเป๋าสีเทาตะกั่วแล้วหยิบมันออกมาแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่จ่ออยู่กลางหัวเขา
“ทิ้งปืนลงแล้วเตะออกไปทางซ้ายมือสิคุณตำรวจ...”
“...................” ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องขัดใจบุคคลปริศนา มือแกร่งทิ้งปืนลงพร้อมกับเตะมันออกไปข้างๆ ตามที่อีกคนสั่ง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยนั่นทำให้เขาแทบอยากเป็นบ้าตายกับอุปสรรคนานับประการที่ได้เจอ
“เอาล่ะ...คราวนี้วางกระเป๋าลงแล้วเตะมันมาข้างหลัง”
“...................”
“อย่างนั้น...ทีนี้ก็ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ...”
“...................” มือแกร่งค่อยๆ ชูขึ้นเหนือศีรษะอย่างช้าๆ น้ำเสียงแบบนี้มันคุ้น...แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร
ชำเลืองมองจากหางตาแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงเก็บกระเป๋าอยู่นั่นเป็นจังหวะที่เขาพลิกตัวหันกลับไปแย่งปืนจากอีกฝ่ายแต่ก็ไม่เป็นผล การต่อสู้เกิดขึ้นเมื่อปืนของบุคคลปริศนากระเด็นออกไป ขาเรียวเตะตัดขาร่างโปร่งจนเสียหลักล้มลงไปกับพื้นแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้คนในชุดดำกระโดดเข้ามาแทงเขาได้ จองซูพลิกตัวออกไปก่อนจะลุกขึ้นตั้งหลักแล้วดึงมีดที่สนับขาขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้...ชายหนุ่มร่างผอมบางในชุดดำเข้ารูปค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพลางเสยผมหยักศกที่ปิดบังดวงตาคู่สวยออก จองซูเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน...มันชัด...จนเขาขยับขาไปไหนไม่ได้
“.....................”
“ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งนะ...ปาร์คจองซู”
TALK
เหนื่อยว่ะตอนนี้ สับตอนไปสับตอนมา
#โทษ
ความคิดเห็น