คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 : Mean?
Chapter 4
ครูเป็นสิ่งมีชีวิตที่...เข้าใจยากที่สุดในโลก
‘แล้วนายล่ะ...อยากให้ครูดูแลไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?’
คำพูดประโยคนั้นทำเอาผมนอนกระสับกระส่ายมาร่วมหลายคืน ทั้งที่เจอหน้ากันทุกเช้า กินข้าวด้วยกันจนผมคิดว่าน่าจะชินกับเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว แต่มันน่าแปลกจังเลยครับ ยิ่งผมใกล้ชิดครูมากเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงมากเท่านั้น
“อ่า...แย่จริง...เห็นทีวันนี้เราคงต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปโรงเรียนกันแล้วล่ะ”
“เป็นอะไรเหรอครับครู” ผมถามขณะที่ครูลงจากรถแล้วตรงดิ่งไปเปิดกระโปรงรถขึ้น ผมเดินลงไปชะเง้อหน้ามองก็พบว่ามีควันโขมงลอยออกมา
“เดี๋ยวนะ” ครูคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพลางเดินออกไปคุยไม่ห่างจากตรงนี้สักเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาจะโทรตามช่างอยู่นะครับ แย่จังรถดันมาเสียเอาตอนนี้เราจะไปโรงเรียนทันไหมนะ
“เอาล่ะ ต้องทิ้งรถไว้ที่นี่ก่อน ครูโทรตามช่างแล้วถ้าเขาซ่อมเสร็จจะเอาไปส่งให้ที่โรงเรียน ไปกันเถอะเดี๋ยวจะสายเอา” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังครูไป เราเดินเลียบไปตามทางบนฟุตปาธอย่างไม่เร่งรีบนักทั้งที่คำพูดของครูเมื่อก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะรีบ ผมเอาแต่มองรองเท้าหนังสีดำของครูที่กำลังก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว...ทีละก้าว ตอนข้ามถนนครูก็ยังใจดีเอื้อมมาจับมือผมไว้แล้วเดินไปด้วยกัน
ผมเพิ่งรู้วันนี้ว่ามือของครูอุ่นแค่ไหน ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่มือของเขากลับใหญ่กว่ามือของผมเยอะ เราเดินข้ามถนนมาจนถึงสถานีรถไฟใต้ดินแต่ถึงอย่างนั้นครูก็ยังไม่ปล่อยมือผมออก บางทีครูอาจจะกลัวผมพลัดหลงกลางทางล่ะมั้ง ผมอยากจะบอกครูจังว่าผมเดินเองได้ ถึงผมจะบ้านนอกไม่ค่อยรู้อะไรนักแม้กระทั่งการหยอดเหรียญแลกตั๋วเดินทางแต่ถ้าผมเดินตามหลังเขาอยู่อย่างนี้ผมมั่นใจว่าไม่มีทางหลงแน่ แต่ว่าผมไม่ได้พูดมันออกไปล่ะครับ...ในความรู้สึกลึกๆ เหมือนกับว่าผมอยากให้เขาเดินจูงมือผมไปเรื่อยๆ แบบนี้
บนสถานีรถไฟใต้ดินที่มีคนเดินพุกพล่านเต็มไปหมด ทั้งคนวัยทำงานและนักเรียนมากมายหลายสถาบัน ผมกับครูยืนรออยู่ชานชาลาเพียงครู่เดียวตัดภาพมาอีกทีเราทั้งคู่ก็เข้าไปยืนเบียดเสียดกันอยู่ข้างในจนแทบจะสิงร่างกับคนอื่นอยู่แล้ว นี่สินะครับชีวิตที่แสนวุ่นวาย ต่างคนต่างรีบ ใครๆ ก็ไม่อยากสายและไปถึงที่หมายให้ทันเวลาหนึ่งในนั้นก็คือผมด้วย
อากาศข้างในนี้ถึงจะเย็นเพราะแอร์แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกอยู่ดี ผมหันหน้าเข้าหากระจกประตูที่สามารถมองเห็นข้างนอกได้แต่มันก็คงไม่ช่วยอะไรนักเพราะข้างนอกนั่นมีแต่ความมืด... (ก็นี่มันรถไฟใต้ดินนี่นะ)
ผมผ่อนลมหายใจออกทางปากพร้อมกับเอาหน้าผากอังกับกระจก หลับตาลงเพื่อให้ความเย็นนั่นซึมเข้าทางหน้าผากเผื่อจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง ผมทนลำบากได้ทุกเรื่องไม่เคยเกี่ยงแต่ถ้าจะให้ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปโรงเรียนทุกเช้าแบบนี้ผมยอมตื่นตั้งแต่ตีห้าแล้วนั่งรถเมล์ดีกว่า
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกแปลกๆ เมื่อแรงเบียดเสียดจากคนรอบข้างเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว ผมค่อยๆ หันไปมองเผยให้เห็นแขนแกร่งที่ทาบอยู่บนประตูรถไฟเพื่อกั้นไม่ให้ใครเบียดเข้ามาได้ ผมหันไปมองหน้าครูที่ใช้แขนเป็นกำบังให้ผมทั้งสองข้างด้วยความไม่เข้าใจ...
แต่ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่ผมจะหดตัวลงเมื่อแรงกระชากของรถไฟทำให้ครูถลาเข้ามากอดผมไว้ มันไม่ใช่แค่เราทั้งคู่คนรอบข้างเองก็เช่นกันจากแรงกระชากทำให้คนพวกนั้นเซถลามาทางนี้แต่ถึงอย่างนั้นครูก็ใช้ร่างกายตัวเองปกป้องผมเอาไว้ ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่อ่อนแอก็วันนี้ ครูทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลที่ยังต้องให้ผู้ปกครองดูแลอยู่
ปลายจมูกของครูเผลอโดนหน้าผากผมเพียงเบาๆ ผมรู้สึกได้แต่ที่น่าแปลกคือผมกำลังหน้ามืดและรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งใบหน้า นั่นไม่ใช่เพราะผมขาดอากาศหายใจ แต่มันเกิดขึ้นเพราะว่าคนตรงหน้าที่กำลังกอดผมไว้คือครูต่างหาก...ผมได้เพียงแค่ยกมือขึ้นดันแผงอกแกร่งเอาไว้เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราทั้งคู่มันใกล้กันเกินไปแล้ว ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงที่ข้างแก้มผม เราค้างท่านั้นกันอยู่นานมาก...นาน...กว่าจะถึงสถานีสุดท้าย
.
.
“ฮยอกแจครับ”
“อืม”
“ผู้ชายกับผู้ชาย...” ผมเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งขณะที่เราทั้งสองกำลังยกหนังสือไปที่ห้องพักครู ฮยอกแจมองผมด้วยความสงสัยก่อนที่เราจะวางหนังสือไว้บนโต๊ะ
“ผมรู้ว่าสมัยนี้ผู้ชายชอบกันมันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ที่ผมสงสัยคือ...ความรักแบบนี้มันจะเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบหรือเปล่า เคยมีคู่ไหนอยู่ด้วยกันไปจนถึงแก่เฒ่าบ้างไหมครับ”
ฮยอกแจขำพรืดออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด ดีตรงที่ว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องพักครูไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ทำไม นายกำลังชอบผู้ชายคนไหนอยู่หรือไง?”
“ปะ...เปล่านะครับ ผมถามเพราะเห็นฮยอกแจอะไรๆ อยู่กับครูทงเฮอยู่ต่างหาก” ผมรีบยกมือปฏิเสธ เลิกลั่กเหมือนคนกำลังโดนจับผิด ทำไมผมถึงต้องมีท่าทางแบบนั้นด้วยนะ - -
“ฉันกับเขามันก็แค่ความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ ฉันเพิ่งอายุสิบแปด คิดว่าจะหยุดอยู่ที่ครูเฮงซวยนั่นคนเดียวหรือไง” ฮยอกแจพูดพร้อมกับส่งสัญญาณให้เดินออกไปจากห้องพักครูได้แล้ว
“มันเป็นไปไม่ได้สินะครับ...ยังไงผู้ชาย...ก็ต้องเกิดมาคู่กับผู้หญิง”
ฮยอกแจหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผม เขาจ้องราวกับกำลังจับผิดอะไรอยู่ ผมได้แค่ขมวดคิ้วมองกลับ
“มีอะไรเหรอครับฮยอกแจ”
“สีหน้านายมันบอกว่ากำลังชอบใครอยู่”
“ผมน่ะเหรอครับ?”
“ใช่ นายนั่นแหละ”
“ผมจะไปชอบใครที่ไหนล่ะครับฮยอกแจ ฮะๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน
พอนั่งอยู่เงียบๆ แล้วก็ทบทวนเรื่องที่ฮยอกแจพูด...พอเขาถามว่าผมกำลังชอบใครอยู่หรือเปล่าตอนนั้นผมกลับเห็นภาพของครูลอยขึ้นมาในหัว ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่ความรักแน่ๆ ครับ มันอาจจะเป็นความรู้สึกดีๆ เสียมากกว่าเพราะครูเองก็ดีกับผมมากจนผมเผลอคิดว่าถ้าเกิดได้เขามาเป็นพี่เขยจริงๆ ก็คงดีไม่น้อย
แต่อาการใจเต้นแรงตอนที่อยู่ใกล้ ตอนที่ได้มองหน้าครูนี่มันอะไรกันนะ...
“นายอยู่บ้านหลังเดียวกับครูซีวอนมานานหรือยัง”
“เอ๋...ฮยอกแจรู้ด้วยเหรอครับ?” ผมหันไปถามฮยอกแจที่ขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ
“ถามว่ามีใครไม่รู้บ้างดีกว่า มาโรงเรียนด้วยกันทุกวันแบบนี้”
“อ๋อ...นั่นสินะครับ” ผมพยักหน้าหงึก “แล้วแบบนั้นจะทำให้ครูมีปัญหาหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกนายก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิง เพราะยังไงซะครูซีวอนก็มีภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอดไม่มีใครมองว่าครูกำลังเลี้ยงต้อยนายอยู่แน่ๆ” ฮยอกแจเท้าคางมองหน้าผมพร้อมกับยักคิ้ว “เอ...หรือว่าจะเลี้ยงจริงๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับฮยอกแจ จริงๆ แล้วครูเป็นแฟนพี่สาวผมน่ะครับ”
“อะไรนะ ครูซีวอนอ่ะนะเป็นแฟนพี่นาย?”
“ใช่แล้วครับ”
“ตลกเถอะ อีทงเฮบอกฉันกับปากว่าครูเขาโสดมาตลอดหกปี นายอย่ามาอำซะให้ยาก” ฮยอกแจยกมือปรามในขณะที่ผมพยายามจะอธิบายให้เขาฟัง ผมไม่ได้โกหกนะครับ ก็เห็นๆ กันอยู่
“ครูทงเฮสนิทกับครูซีวอนเหรอครับ”
“รายนั้นเขาเพื่อนสนิทกันเลยล่ะ ฉันมีโอกาสเจอเขานอกโรงเรียนอยู่สองครั้งตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา นอกนั้นก็เจอในห้องเรียนตลอด เขาค่อนข้างเป็นคนไม่ค่อยพูดเอาแต่ยิ้ม ไม่รู้จะเก๊กหล่อไปไหน”
“เขาก็หล่อจริงๆ นี่ครับ ฮยอกแจไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
“คิด! เพราะงั้นได้ทะเลาะกับอีทงเฮอยู่บ่อยๆ ไง”
“ผมว่าจะถามนานแล้วล่ะครับ ไอ้สัญญาที่ฮยอกแจพูดนั่นมันคืออะไร” ผมถามด้วยคววามอยากรู้อยากเห็น มันไม่ใช่นิสัยของผมเลยครับ เมื่อกี้ผีผลักแน่ๆ
ฮยอกแจยักไหล่อย่างไม่ยี่หระกับสิ่งที่ผมพูด บางทีเขาก็ควรจะทำตาโตแล้วรีบถลาเข้ามาเอามือปิดปากผมไว้เพราะเรื่องที่ผมพูดออกมาเนี่ยมันสามารถดีดครูทงเฮออกจากโรงเรียนได้เลยทีเดียว เพราะที่ปูซานเคยมีครูสอนพละคนหนึ่งต้องโดนย้ายออกเพราะแอบคบกับนักเรียนหญิงล่ะครับ
“ก็แค่สัญญาคบกันเดือนต่อเดือน”
“เอ๋...?”
“ฉันกับเขาค่อนข้างฟรีต่อกันน่ะ...อืม...หมายถึงก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ทนกับสัญญาบ้าๆ นั่นแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสัญญาเหรอครับ”
“สัญญาเดือนต่อเดือนก็คือถ้าสิ้นเดือนเมื่อไหร่ฉันกับหมอนั่นก็เลิกกันทันที แต่ถ้าอยากคบต่อเมื่อไหร่ก็มาต่อสัญญากัน แต่ถ้าอยากเลิกก็คือเลิกไปเลย แฟร์ๆ ไง”
“มันไม่พิลึกเกินไปหน่อยเหรอครับที่คนรักกันจะมีสัญญาอะไรแบบนั้นน่ะ ครูทงเฮใจร้ายจัง”
“จริงๆ แล้วฉันเป็นคนคิดมันขึ้นมาเองแหละ -_-”
“อ้าว ฮยอกแจเองหรอกเหรอครับ”
“ก็ตอนแรกฉันแอบชอบเขา...เมื่อสามปีที่แล้วเลยรวบรวมความกล้าเข้าไปสารภาพรักแล้วก็เสนอข้อตกลงบ้าๆ นั่นออกไปน่ะสิ - -” ฮยอกแจเอาคางเกยโต๊ะ สีหน้าเย่อหยิ่งของเขาดูลดลงจากในทีแรก จริงๆ แล้วผมว่าฮยอกแจคงไม่ได้ใจแข็งอย่างที่เห็น
“แล้วฮยอกแจไม่อยากต่อสัญญากับครูเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ...ฉันก็แค่อยากให้เขามาง้อฉันบ้าง” ร่างบางเอาแก้มทาบลงกับโต๊ะทั้งที่สายตายังมองผมอยู่ ผมพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกใครอีกคนกุมเอาไว้
“นาย”
“ครับ”
“เรามาลองคบกันดูไหม?”
.
.
คำพูดประโยคนั้นของฮยอกแจทำให้ผมสับสนเอาเรื่อง ไม่ใช่เพราะผมหวั่นไหวกับฮยอกแจหรืออะไรแต่ผมกำลังนึกถึงปัญหาที่กำลังจะตามมาเนี่ยแหละครับ ตอนเย็นผมไปสอนพิเศษซึงยอนมาก็เห็นฮยอกแจแอบขบๆ เธอไปบ้าง ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ค่อยกินเส้นกันสักเท่าไหร่ แต่พอถามฮยอกแจเขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถมอย่าไปซีเรียส แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นกังวลอยู่ดีครับ ถ้าเกิดครูทงเฮรู้เรื่องนี้เขาคงหาแผนพิเรนทร์ๆ ให้ผมช่วยอีกแน่เลย
มื้อเย็นวันนี้ครูกินน้อยมากจนผมต้องห่อพลาสติกใส่กล่องเอาไว้ ผมชะเง้อหน้าเข้าไปในห้องทำงานก็เห็นว่าครูกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาตรวจข้อสอบอยู่
“ผมเก็บอาหารไว้ในตู้เย็น ถ้าครูหิวก็เอาเข้าเวฟได้เลยนะครับ”
“ขอบใจนะ นายไปนอนเถอะ”
เขาตอบผมทั้งที่ไม่หันหน้ามามองผมเลยสงสัยว่าจะงานเยอะจริงๆ ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องทำงานก่อนจะปิดประตูลงเบาๆ เพื่อไม่ให้ครูเสียสมาธิแต่ก็ไม่ได้ผลครับ ครูละสายตาจากข้อสอบมาพร้อมกับถอดแว่นออกแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“คือผมทำการบ้านเสร็จแล้วอาบน้ำเรียบร้อยแล้วด้วย...ตอนนี้ก็เพิ่งจะสามทุ่มกว่าๆ ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยอะไรครูได้บ้าง” ผมยิ้มแหยๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ครูหัวเราะเบาๆ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วบิดซ้ายขวา
“งั้นจะช่วยอะไรดี”
“ได้หมดเลยครับ ผมช่วยครูตรวจข้อสอบได้นะเพราะพ่อผมก็เป็นครูสอนคณิตศาสตร์เหมือนกัน ตอนช่วงใกล้สอบน่ะผมนอนตีสองตีสามทุกวันเพราะช่วยพ่อตรวจข้อสอบครับ”
ครูหัวเราะก่อนจะดึงเก้าอี้ตัวเล็กมาวางไว้ข้างตัว มือแกร่งตบเก้าอี้ปุๆ เป็นเชิงให้ผมนั่งลงแล้วผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย ครูวางข้อสอบปึกใหญ่ลงตรงหน้าผมพร้อมกับปากกาแดงหนึ่งแท่ง
“กองเดียวเหรอครับครู”
“นายช่วยครูกองเดียวก็พอ เพราะแค่นี้มันก็กินเวลาไปเกือบเที่ยงคืนแล้วล่ะ”
“อ่า...แต่ครูก็ยังเหลืออีกตั้งสองกองนี่ครับ เอางี้ดีกว่า ถ้าผมเสร็จกองนี้แล้วยังไม่ง่วงผมจะช่วยครูต่อนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้ครูแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องหน้าผมอยู่
“โอเค” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันไปตรวจข้อสอบต่อ
เราทั้งคู่นั่งเงียบกันอยู่นานจนผมเห็นว่าครูเริ่มขยับตัวบ่อยสงสัยจะเมื่อยครับ ผมชั่งใจอยู่นานว่าควรทำในสิ่งที่คิดอยู่ไหม ในเมื่อภาพตอนเราอยู่ในรถไฟใต้ดินมันดันฉายขึ้นมาในหัวอีกครั้ง สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นไปนวดไหล่ให้ครูจนได้ทั้งที่ครูก็ไม่ได้ร้องขอ ถ้าเกิดเขาปฏิเสธขึ้นมาผมคงหน้าแห้ง ผมเริ่มออกแรงเบาๆ ก่อนเพื่อให้ครูรู้สึกผ่อนคลาย เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอี้ยวหน้าหันมาเพียงเล็กน้อย
“ผมว่าครูพักสายตาสักห้านาทีดีกว่าไหมครับ”
“อื้ม”
ผมนวดไปตามลาดไหล่จนต้องหยุดชะงักเมื่อครูเอื้อมมาจับมือผมเอาไว้ ตอนนี้ใบหน้าของผมเริ่มร้อนผ่าวเมื่อใครอีกคนกำลังเอามือของผมไปทาบไว้กับขมับของเขา
“ปวดหัว”
“ครับ...” ผมตอบเสียงแผ่วแล้วนวดเบาๆ
ผมคิดว่าผมกำลังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอยู่ล่ะ ตุบตับ...ตุบตับ...อย่างนี้เลยครับ (หัวเราะ) อา...จะทำยังไงดีนะ...เรื่องที่ฮยอกแจพูดกับผมเมื่อตอนกลางวันนั่นมันย้อนกลับมาทำให้ผมคิดอีกแล้ว...จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเกิดผมจะชอบครูที่เป็นคนรักของพี่อาราเข้าให้เสียแล้ว
“ครูครับ”
“หืม?”
“ครูสนิทกับครูทงเฮเหรอครับ”
“อืม...เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยน่ะ ทำไมเหรอ?”
“เปล่าครับเปล่า ผมได้ยินฮยอกแจเล่าให้ฟังน่ะครับ”
“อ๋อ...อีฮยอกแจ”
ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง ผมกลับมาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอีกรอบจนคิดว่าท่าจะไม่ดีแล้วถ้าเกิดผมยังปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป ผมควรทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดความคิดนี่
“พอแล้วล่ะ ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมกลับไปนั่งลงข้างๆ ครูแล้วเริ่มตรวจข้อสอบกันอีกครั้ง
.
.
ตอนนี้เป็นเวลา...ตีสองแล้ว
ร่างสูงหันไปมองคนข้างๆ ที่เอนหัวซบไหล่เขามาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วทั้งที่มือยังถือปากกาค้างไว้อยู่อย่างนั้น...คยูฮยอนอยู่ช่วยเขาจนดึกดื่นทั้งที่คิดว่าน่าจะเสร็จก็คงเกือบเช้า ที่ต้องมาเร่งทำงานช่วงนี้ก็เพราะเขาต้องไปสอนนักเรียนเพิ่มถึงสามห้องแทนครูที่เพิ่งลาคลอดไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ถ้าไม่ได้คยูฮยอนเห็นทีซีวอนคงต้องดื่มกาแฟอย่างต่ำสักสองแก้วไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงไปสอนพรุ่งนี้แน่
เอี้ยวใบหน้าหันไปมองเด็กหนุ่มที่หลับไม่รู้เรื่องแล้วก็หลุดยิ้มออกมา มือแกร่งเอื้อมขึ้นมาปัดไรผมออกจากดวงหน้าขาวก่อนจะใช้หลังมือไล้ไปตามแก้มเบาๆ ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ในห้วงแห่งนิทราต่อไป มือแกร่งค่อยๆ ถอดแว่นสายตาออกอย่างเบามือแล้ววางไว้บนโต๊ะ รวบตัวเด็กหนุ่มในชุดนอนสีเข้มขึ้นมาในอ้อมกอดแล้วจ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
ทำไมนะ...ทำไมเขาต้องยิ้มออกมาทุกครั้งที่มองเด็กคนนี้...
“ย่าครับ...”
“...หืม?”
ซีวอนก้มลงมองคนในอ้อมกอดขณะที่เขากำลังจะวางร่างโปร่งลงบนเตียง เปลือกตาบางยังปิดสนิทอยู่หากแต่ริมฝีปากยังงึมงำถึงบุคคลที่อยู่ไกล
“ผมคิดถึงย่า...”
ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ถึงระดับอกแล้วก็นั่งลงบนขอบเตียง จ้องหน้าลูกศิษย์อยู่อย่างนั้นจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว...มีเพียงแค่เสียงเข็มนาฬิกาเท่านั้นในยามค่ำคืนแบบนี้หากแต่ชเวซีวอนนั้นไม่คิดจะกลับไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง...เพียงเพราะว่ามือของใครอีกคนกำลังกุมมือเขาไว้อยู่
“ครู...”
“...............”
“ครู...”
ริมฝีปากยังพร่ำเรียกเขาอยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่าร่างโปร่งจะหลับไปแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เอ็นดูได้ยังไงกัน...โจคยูฮยอนที่ใครๆ ต่างก็มองว่าเป็นเด็กบ้านนอกจะรู้บ้างไหมว่า...
“นายกำลังทำให้ครูทำตัวไม่ถูกนะรู้ไหม?”
“................”
“เด็กน้อยของครู”
พูดจบก็ก้มลงไปจูบลงบนหน้าผากมนเบาๆ ก่อนจะจับมือเรียวซ่อนเข้าไปในผ้าห่มเพราะอากาศในช่วงดึกเริ่มหนาวเย็นเข้าไปทุกที ร่างสูงยิ้มบางๆ ก่อนจะปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วเดินออกไปจากห้อง
ในขณะที่ใครอีกคนกำลังลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่แดงก่ำเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่...มือเรียวยกขึ้นวางลงบนหน้าผากที่ร่างสูงเพิ่งจูบลงไปพร้อมกับลูบมันเบาๆ หัวใจของเขากำลังเต้นแรง...แรงจนแทบหายใจไม่ออกกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้าใจกับการกระทำของชเวซีวอน...
“เมื่อกี้...ครูหมายความว่ายังไงกันนะ...”
TALK
เชอะ!
ถ้าฝนตกเราไม่รู้ด้วยนะ 5555555555555555
บ้าไปแล้วอ่ะ ลงสองตอนเพราะน้องยอนยอนเลยนะเนรี้ย
ทำไงดีอ่ะ ทำไมครูทำแบบนี้ ไม่รู้เลยเหรอไงว่าน้องยอนตื่นแล้ว
ชอบทำให้น้องใจเต้นอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็แย่หรอก เป็นแฟนพี่สาวน้องยอน(?) ไม่ใช่เหรอไง
ติดตามตอนต่อไปนะคะมิตรรักแฟนเพลง
ความคิดเห็น