คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : PART 3 : CRYSTAL BOY...
PART 3
CRYSTAL BOY...
คุณมั่นใจแค่ไหน...
ว่าคนที่อยู่ข้างๆ คุณ...ยังคงเป็นมนุษย์
มือแกร่งค่อยๆ หมุนลูกบิดพร้อมกับดันประตูไม้อัดเข้าไปช้าๆ นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบระเบียงทางเดินก่อนจะจูงมือเรียวออกมาด้วยกัน ทุกฝีเก้าย่ำเดินไปพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของแผ่นไม้แม้ว่าจะเดินด้วยความระมัดระวังสักแค่ไหน
เก็บกระสุนปืนเพิ่มจากซากศพนายตำรวจระหว่างทางมาได้บ้าง นั่นก็พอทำให้เขาเบาใจขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ใช้ป้องกันตัวไปได้อีกระยะหนึ่งเพราะลำพังแค่กระสุนปืนที่ทงเฮแบ่งให้มาก่อนหนีออกมาจากอาพาร์ทเม้นนั่นก็คงไม่พอใช้ ฝีมือการใช้ปืนของจองซูอยู่ได้ระดับดีเยี่ยม มีโอกาสยิงพลาดน้อย นั่นเป็นข้อดีที่เขาจะกำจัดผีดิบเหล่านี้ได้โดยกระสุนเพียงสองนัดต่อตัว
ได้ยินเสียงครวญครางของผีดิบที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่...
และถ้าจะให้ดี...เขาก็ควรกำจัดเสียก่อนที่มันจะรู้ตัว...
ปังๆ!!
ยิงเข้ากลางหัวไปสองนัด ร่างไร้วิญญาณในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ก็ล้มลงไปนอนราบกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ข้างหน้ามีประตูอยู่สี่บาน...ตำรวจผู้รอดชีวิตคนนั้นจะต้องอยู่ข้างประตูสักบานเป็นแน่...
ตำรวจหนุ่มเลือกที่จะเข้าประตูไม้สักสีน้ำตาลทางซ้ายมือก่อน ข้างในเป็นห้องสอบสวน...มีเอกสารกระจัดกระจายอยู่บางส่วนตามพื้นห้องและซากศพของนายตำรวจสี่คนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นและโต๊ะสอบสวน...และที่ทำให้ประหลาดใจกว่านั้น...
คือมีใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ในห้องสอบสวนย่อยที่กำแพงกั้นถูกทำด้วยกระจกใสบานใหญ่ คราบเลือดสีแดงสดกระเซ็นสาดไปทั่วกระจกจนน่าผวา..
จองซูค่อยๆ เดินเข้าไปพลางลดปืนลง ไม่ลืมที่จะกวาดสายตามองซากศพที่นอนแน่นิ่งบนพื้น สภาพศพนั้นดูน่าอนาถจนร่างบางต้องเบือนหน้าหลบ...คาดว่าคงมีการต่อสู้เกิดขึ้นข้างในนี้
“......................” จองซูหยุดชะงักพลางมองไปยังแผ่นหลังขาวเนียนในชุดเดรสสีดำแหวกหลัง เธอค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับมาสบตากับเขาทั้งคู่...ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดแต่งแต้มไปด้วยลักยิ้มหากแต่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก
“......................”
“....น่าประหลาดใจ...ที่ยังมีคนรอดชีวิตอยู่อีก” หญิงสาวหน้าสวยพูดพร้อมกับคาบมวนบุหรี่ไว้ในปากก่อนจะจุดไลเตอร์พลางหลับตาลงรับรสกลิ่นบุหรี่ที่เธอชอบ...พ่นควันสีเทาหม่นออกมาช้าๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วก็นึกขัน...
ตำรวจผู้สิ้นหวังที่นอนไร้วิญญาณอยู่นั่นก่อนหน้านี้ต่างร้องโหยหาความช่วยเหลือเมื่อใครคนหนึ่งเกิดติดเชื้อและเริ่มเข้าทำร้ายกัดกินคนอื่นๆ...เสียงโอดครวญแห่งความเจ็บปวดบีบบังคับให้ตำรวจคนหนึ่งต้องควักปืนออกมายิงเพื่อนร่วมงานอย่างปฏิเสธไม่ได้...เธอเห็น...ว่าตำรวจคนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดอยู่นั้นโดนกัดแขนไปแล้ว...
“.......................”
“ผม...จะปล่อยคุณออกมา...” พูดพร้อมกับเดินโซเซมาหยุดที่หน้าประตู มือหนาพยายามกดปากแผลเอาไว้เพื่อห้ามเลือดกัดฟันกลั้นความเจ็บปวด
“จะปล่อยฉันออกไป...”
“.......................”
“รอให้คุณกลายเป็นเหมือนคนพวกนั้น...แล้วกัดฉันน่ะเหรอ?” เอ่ยเสียงเย็น...ตำรวจหนุ่มร่างสูงโปร่งหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่ร้ายกาจหลุดออกมาจากปากคนหน้าสวย
ช่างเลือดเย็น...
“........................”
นายตำรวจค่อยๆ เดินถอยหลังออกจากตรงนั้น...เดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานพลางหยิบกรอบรูปสีดำที่มีรูปครอบครัวขึ้นมาดูอย่างสิ้นหวัง...นัยน์คาคู่สวยมองไปยังนายตำรวจที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบ ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันคือความจริง....ความจริง...ที่ปฏิเสธไม่ได้...
“นั่นสินะ...”
“อีกไม่นาน...ผมก็คงกลายเป็นเหมือนพวกเขา...”
ร่างบางหันหลังพิงกับกระจกพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเสียงปืนนั้นดังลั่นเข้ามาถึงด้านใน...ร่างผอมบางเอี้ยวตัวหันกลับไปก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นตำรวจคนนั้นนอนฟุบจมกองเลือดอยู่บนโต๊ะทำงาน...เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากขมับข้างขวา...
พร้อมกับกรอบรูป...ที่ยังคงอยู่ในมือ
.
.
เอเย่นสาวค้ายาเสพย์ติดถูกจับมาขังไว้เพื่อรอเวลาสอบสวนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วก่อนเกิดเหตุ หญิงสาวร่างผอมบางเลือกที่จะให้ตำรวจจับกุมมากกว่าหาทางหนี...ยังไงซะ...ก็ต้องมีคนมาประกันตัวเธอออกไปอยู่ดี...
บี้ก้นบุหรี่ลงบนพื้นนับสิบ...ข้างนอกมีเพียงแค่นายตำรวจที่กำลังนั่งจดจ้องจอมอนิเตอร์และเครื่องพิมพ์ดีดต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตน ถูกจับกุมมาขังไว้ในห้องแคบๆ นี่ก็ตั้งนานแล้วเมื่อไหร่จะเข้ามาสอบสวนสักที ใช่ว่าเธอจะเป็นคนมีความอดทนสูงเสียเมื่อไหร่ ต้องให้รออีกนานแค่ไหนกัน?
ทันใดนั้น...ก็มีตำรวจนายหนึ่งเข้ามาพร้อมกับตำรวจอีกคนที่ได้รับบาดเจ็บ... แขนของเขาถูกกัดจนเนื้อหลุดออกเป็นริ้ว...และไม่นานนัก...
ตำรวจหนุ่มคนนั้นก็เข้าไปกัดกินตำรวจคนอื่นอย่างบ้าคลั่ง...
จนเหลือเพียงแค่ตำรวจคนสุดท้าย...ที่ปลิดชีวิตตัวเองทิ้งไปเมื่อครู่....
.
.
ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนปิดบังดวงหน้าเธอไว้ข้างหนึ่ง ดูไม่ยี่หระกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นสักเท่าไหร่...จะดิ้นรนหาทางรอดออกไปทำไม...ข้างนอกนั่นอันตรายเสียยิ่งกว่าอะไร...
ยังไงก็ต้องตาย...สู้ตายเงียบๆ อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ?
“ผมจะช่วยคุณออกมา” จองซูพูดพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูพร้อมกับหมุนกลอน “ต้องหากุญแจ” พูดกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับ มองซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปค้นตัวนายตำรวจที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ฮีชอลมองตามร่างโปร่งพลางหันกลับไปมองหญิงสาวร่างผอมเพรียวที่กอดอกพลางก้าวเท้าเดินไปรอบๆ ห้อง
“จะช่วยฉันไปทำไมกัน”
“
”
“เป็นภาระเปล่าๆ ยังไงเราทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี” พูดทั้งที่ยังหันหลังให้ทั้งคู่...จองซูหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาหากุญแจต่อไปในขณะที่ฮีชอลนั้นยืนนิ่งมองแผ่นหลังหญิงสาวคนนั้นไม่ห่าง
ดูสิ้นหวังในชีวิต...
“ยังไงเราก็ต้องช่วยคุณออกมา อย่าพูดตัดพ้อแบบนั้นสิครับ” ฮีชอลว่า
“.........................”
“เราจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง” จองซูพูด ถึงแม้ว่าหนทางข้างหน้าจะดูริบหรี่...แต่คนอย่างเขาน่ะหรือจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ
“มีตัวถ่วงอยู่แล้วทั้งคน...อย่าหาภาระใส่ตัวอีกจะดีกว่านะ...”
“.........................” แทบจุกกับคำพูดหญิงสาวคนนั้น...จองซูเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้านิ่ง
“หยุดคิดโง่ๆ แล้วรีบหาทางเอาตัวรอดก็พอเถอะคุณตำรวจ...”
“..........................”
“เดี๋ยวเราจะช่วยคุณออกมา” ฮีชอลพูดอีกครั้ง
“ระวังเถอะ....”
“..........................”
“ระวังจะต้องจบชีวิตตัวเองเพราะภาระที่หิ้วมาด้วย”
“..........................”
ทุกถ้อยคำที่เธอพูดออกมานั้นมันทำให้เขาพูดไม่ออก จองซูลุกขึ้นยืนพลางจ้องมองคนข้างๆ ที่เม้มริมฝีปากพลางกำหมัดแน่นก่อนจะวิ่งออกจากประตูไป จองซูเบิกตากว้าง เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว
“ฮีชอล!”
“รีบตามไปซะสิ” เธอพูดพร้อมกับพ่นควันสีเทาหม่นออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นไม่ลืมที่จะใช้รองเท้าส้นสูงบดขยี้มัน
“....................”
“แล้วก็ไม่ต้องย้อนกลับมาอีกล่ะ”
.
.
ร่างโปร่งวิ่งเข้าไปคว้าคว้าแขนเรียวเอาไว้ นัยน์ตาคมมองแผ่นหลังที่กำลังสั่นเทา จองซูถอนหายใจเบาๆ เข้าใจดีว่าฮีชอลกำลังรู้สึกแย่แค่ไหน
“ฮีชอล...”
“...................”
ร่างบางค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เบือนหน้าหลบไปอีกทาง ราวกับไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องมาเห็นน้ำตาแห่งความอ่อนแอของตน...
“อย่าร้องไห้เลยนะ” นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ ไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าขาวพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ อีกฝ่ายยังคงสะอื้นไม่หยุด ฮีชอลพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะเข้าสวมกอดตำรวจหนุ่มเพื่อหาที่พักพิง...
“ผมขอโทษ...จองซู...”
“ขอโทษอะไรกัน?”
“ผมขอโทษที่ทำตัวเป็นภาระให้คุณ...ถ้าทำได้...ผมก็อยากจะมีประโยชน์ให้มากกว่านี้...” ร่างบางเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง ร่างโปร่งกระชับกอดอีกฝ่ายแน่นพลางลูบเรือนผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“ผมเคยคิดอยากจะตายตามคนอื่นไปซะ...จะได้ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะต้องตายเมื่อไหร่...จะรอดออกไปจากที่นี่ได้รึเปล่า...ทั้งที่คนอย่างผม....ไม่น่ารอดมาเลยด้วยซ้ำ...”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ...คุณต้องรอดนะฮีชอล...เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน”
“ผมท้อ...ถ้าไม่มีคุณ...ผมคงเดินออกไปให้พวกมันกัดตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด...แต่...” ร่างบางชะงักไปครู่หนึ่งพลางผละตัวออกจากอีกฝ่าย นัยน์ตาเรียวยังคงรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส...สบตากับใบหน้าคมของตำรวจหนุ่มที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้พร้อมกับวางมือไว้บนแผงอกแกร่ง
“...นั่นก็เพราะผม...ยังมีคุณอยู่ข้างๆ”
“.......................”
“ขอบคุณนะครับ...จองซู” กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะก้มหน้างุดเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้กับเขา
“ถ้าจะขอบคุณผม...งั้นคุณก็ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นภาระอีกนะรู้ไหม?”
“....ครับ....ผมจะไม่พูดอีก”
.
.
เคยรู้สึก...ตกใจ...
จนทำอะไรไม่ถูกไหมครับ?
ร่างผอมบางเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มร่างหนา ดวงหน้าขาวซีดเผือดหอบหายใจหนักพลางปรือตามองใบหน้าใครอีกคนที่ลอยอยู่ตรงหน้า ในทีแรกภาพนั้นพร่ามัวจนมองไม่ชัด...ได้ยิน...ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
“คุณ...ได้ยินผมไหม?”
เขา...เป็นใครกัน...แล้วที่นี่ที่ไหน...
ผมสีบรอนด์ขาวเปียกลู่เข้ากับใบหน้าเนียน กลีบปากสีเชอรี่ขยับเล็กน้อยราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง...ทงเฮโน้มใบหน้าลงไปใกล้ๆ เงี่ยหูฟังชายหนุ่มที่เขาพึ่งช่วยออกมาเมื่อครู่
“...ผ....”
“....................”
“ผม....เป็นใคร”
.
.
ข้างในนี้คาดว่าคงเป็นห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องคาดเดาให้ยาก...ดูจากสภาวะรอบข้างในตอนนี้...หลอดแก้ว...คอมพิวเตอร์..และเครื่องมืออะไรต่างๆ ที่อยู่รอบตัว...อีทงเฮพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้ลางๆ ว่ามีใครสักคน...ตีหัวเขาจนสลบไป...พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
ร่างหนาคว้าเสื้อกราวน์นักวิทยาศาสตร์ที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาคลุมให้กับร่างบางที่กำลังนั่งสั่นเทาเอาไว้ นัยน์ตาเรียวกวาดสายตามองไปรอบข้าง หวาดระแวงกับทุกสิ่งแม้กระทั่งตอนถูกปลายนิ้วอีกคนสัมผัสเบาๆ ลงบนต้นแขน
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ร่างกายและใบหน้าของร่างบางเริ่มปรับสภาพปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูซีดเผือดราวกับคนไม่มีเลือดในร่างกาย ทงเฮนั่งลงตรงหน้าร่างบางพร้อมกับยิ้มให้
“สวัสดี”
“...................” ไม่ตอบอะไร นัยน์ตาเรียวเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ มือเล็กกำชุดกราวน์ที่ปิดคลุมร่างกายตัวเองไว้แน่น
มือหนาค่อยๆ เอื้อมออกมาปัดไรผมออกจากดวงหน้าหวานเพียงเบาบาง หากแต่คนถูกสัมผัสนั้นหลับตาลงทันทีราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตน นึกประหลาดใจ...หรือว่าจะโดนแช่ในหลอดแก้วนั่นนานเกินไปจนหวาดกลัวกับทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว?
เปลือกตาบางค่อยๆ ลืมขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ บนแก้ม...มือเล็กค่อยๆ เอื้อมขึ้นมากุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะจ้องมองมันด้วยความสงสัย ทงเฮมองการกระทำของร่างบางอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่คิดจะผละออกจากมือนุ่มนั้น
กลีบปากหยักคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อคนตรงหน้าเอามือเล็กทาบลงกับมือของเขา ร่างบางจ้องมองมันด้วยความสงสัย...จนทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าใช่มนุษย์หรือเปล่า
“ผมอีทงเฮ”
ดวงหน้าหวานหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคแนะนำตัวของคนตรงหน้าทั้งที่มือยังคงทาบกันอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองร่างหนาด้วยความไม่เข้าใจ...
“อี...”
“ทง...เฮ” ย้ำชื่อตัวเองอีกครั้งช้าๆ และก็ได้ผล...เมื่อคนตรงหน้าทำตามที่เขาพูดทุกอย่าง
“ทง........เฮ”
.
.
ทงเฮแบกอีกฝ่ายขึ้นบนหลัง จะปล่อยให้ร่างบางอยู่ที่นั่นตามลำพังไม่ได้ วงแขนเล็กกอดคออีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...และอีกฝ่ายเป็นใคร...แต่ความรู้สึกมันบอกว่าคนๆ นี้อยู่ด้วยแล้วปลอดภัย...
หลังจากนั้นเขาก็ยอมพูดออกมาบ้างถึงแม้จะไม่มากเท่าที่ควร และดูเหมือนว่าจะเริ่มปรับสภาพแวดล้อมและจดจำรายระเอียดรอบข้างได้มากขึ้น...หากแต่...เจ้าตัวนั้นยังคงนึกไม่ออก...ว่าตัวเองนั้นเป็นใคร
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เอ่ยถามระหว่างที่หาทางออกจากที่นี่...รอบข้างมีแต่กำแพงสูงไม่คุ้นตาและห้องแลปที่ข้างในนั้นมีซากศพของสัตว์หลายประเภทนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดบ้างก็โดนห้อยคอเอาไว้...เขาเดินไปตามพื้นเหล็ก...ข้างในนี้อากาศหนาวเย็นไม่เท่าไหร่ถ้าเทียบจากข้างนอกแล้ว
“........ไม่รู้”
“คุณพอจะจำอะไรได้บ้างไหม?” เอ่ยถามอีกครั้งหากแต่ร่างบางเอาแต่ส่ายหน้าพรืด...แค่นั้นก็ทำให้เขารู้ตัวแล้วว่าไม่ควรถามอะไรอีกต่อไป
ไม่ว่าข้างล่างนี่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น...แต่ก็พอทำให้คาดเดาได้ว่า...ห้องแลปภายใต้สถานีตำรวจแห่งนี้...ต้องเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดในเมืองเป็นแน่...
พอเรียบเรียงเรื่องราวได้แล้วก็นึกถึงพี่ชายที่พึ่งพลัดหลงกันไปเมื่อก่อนหน้านี้ ต้องให้จองซูมาเห็นที่นี่...เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องให้คนทั้งโลกได้รับรู้...ลำพังแค่รัฐบาลเกาหลีในตอนนี้คงพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นยังคงมีชีวิตรอดอยู่รึเปล่า
.
.
หน้าที่...
เกียรติยศ...ชื่อเสียง..และอุดมการณ์
ทั้งสามคนหยุดเดินพลางกวาดสายตาไปรอบๆ พื้นที่โล่งใน SUBWAY สถานีรถไฟใต้ดิน คยูฮยอนเอี้ยวตัวหันหลังพลางยกปืนขึ้นมาเล็งปืนไปรอบๆ ทำท่าเหมือนตำรวจในหนังคอยระวังหลังให้ทหารหน้าโหดและคุณตำรวจหนุ่มที่ลืมเอาปากมาจากบ้านอย่างตั้งใจ
“ทำอะไรของนาย” เขกหัวลงไปทีนึงเมื่อเห็นท่าทางตื่นตูมของเด็กหนุ่ม คยูฮยอนกุมหัวตัวเองพลางเลิกคิ้วไม่พอใจ
“นี่ผมกำลังระวังหลังให้พวกคุณนะ”
“ไม่จำเป็น ทีมของฉันพึ่งวิทยุมาบอกว่าข้างล่างนี่สงบยิ่งกว่าอะไรดี” ยองอุนตอบพร้อมกับหิ้วคอเสื้ออีกคนให้เดินตามไปด้วยกัน คยูฮยอนแหกปากโวยวายพลางจับมือคนใจร้ายเอาไว้
“เฮ้ย! ปล่อย! ผมเดินเองได้”
ชเวซีวอนได้แต่เดินตามนายทหารหนุ่มไป ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานว่ายังไงก็ต้องใช้รถไฟใต้ดินในการเดินทางเพราะขืนใช้เส้นทางถนนคงเสี่ยงเกินไป
ยังไงเขาก็ต้องไปสถานีตำรวจอยู่แล้วเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินคงปลอดภัยกว่าทางถนนอย่างที่คิมยองอุนบอกนั่นแหละ...พอไปถึงที่นั่นแล้วคงต้องหาทางติดต่อชองยุนโฮเพื่อนร่วมทีมของเขาอีกที หลังจากขาดการติดต่อกันไปในช่วงบ้านเมืองชลมุน...
“นี่ก็มาตามเวลานัดแล้ว...เจ้าพวกนั้นมัวแต่ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน”
กวาดสายตามองไปรอบๆ สถานี ข้างหน้ามีรถไฟใต้ดินจอดอยู่ ไม่มีวี่แววของทีมที่ติดต่อมาเมื่อก่อนหน้านี้ ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายล้มเหลว...ใช่...พวกเขาไม่สามารถช่วยผู้รอดชีวิตได้ตามที่ได้รับมอบหมาย พลเรือนกลายเป็นผีดิบเกินครึ่งค่อนเมือง พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝืนค้นหาผู้รอดชีวิตอีกต่อไปในเมื่อได้รับข่าวดีที่สุดแห่งปี...
‘รัฐบาลสหรัฐสั่งให้นิวเคลียร์ลงใจกลางกลุงโซลตอนหกโมงเช้าครับหัวหน้า...’
นิวเคลียร์ล้างเมือง...ที่เป็นหนทางสุดท้ายที่จะยับยั้งไวรัสเหล่านี้ได้...
“ผมจะลงก่อนคุณสามสถานี”
“อืม...”
“ใช้เวลาให้คุ้มล่ะ” คิมยองอุนพูดพลางมองไปยังร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกำแพงพลางหลับตาลงใช้ความคิด เวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เหลืออยู่นั้นเขาจะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่?
“เราต้องแยกกันเหรอ” คยูฮยอนถาม
“นายต้องไปกับฉัน” คิมยองอุนว่าตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย อย่างน้อยก็ทำสำเร็จไปหนึ่งอย่างนั่นก็คือช่วยผู้รอดชีวิต ถึงจะได้แค่คนเดียวก็เถอะ
“แล้วคุณซีวอนล่ะ” หันไปมองคนข้างๆ ซีวอนลืมตาขึ้นก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง
ตึก...
ตึก...ตึก....
“คุณเป็นอะไรไป?” คยูฮยอนเอ่ยถามก่อนที่นิ้วเรียวยาวจะประริมฝีปากอิ่มเอาไว้
“หมอบ!!”
ครืน!!!!!
ร่างสูงกอดเด็กหนุ่มเอาไว้พร้อมกับลงไปหมอบกับพื้นในขณะที่ร่างหนากระเด็นออกไปเพราะแรงปะทะ เมื่อกระสุนบาซูก้ายิงเข้าเสาหลักที่ทำด้วยซีเมนต์หนาแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
นัยนต์ตาเรียวค่อยๆ ลืมขึ้น...รู้สึกมึนหัวแปลกๆ...ได้ยินเสียงวิ้งดังก้องอยู่ในหู ภาพข้างหน้าคือนายทหารหนุ่มที่กำลังยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางคว้าปืนกลขึ้นมายิงไม่ยั้ง...
“ไปหาที่หลบ...เร็วเข้า!” ร่างสูงบอกคนที่อยู่ในอ้อมกอดก่อนจะดันร่างโปร่งออกให้พ้นทางกระสุน...
ร่างสูงใหญ่ที่ถือปืนกลอยู่ภายหน้าก่อนจะทิ้งบาซูก้าทิ้งลงบนพื้น นั่นทำให้เขาต้องตั้งสติให้มากกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ก็ตาม...ขายาวก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า...สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์...ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวและมีรอยเย็บอยู่ตรงตาข้างซ้าย...เป้าหมายของมันคือ....
“S.T.A.R.S....”
เขา....
“ให้ตายเถอะ! นั่นมันตัวหอกอะไรวะเนี่ย?!” ร่างหนาสบถพลางลุกขึ้นยืน...เดินถอยหลังทุกก้าวเมื่อสัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ก้าวเขามาหา...
ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่...ในตอนนี้ถ้าเขาไม่กำจัดมัน...มันก็ต้องจัดการเขาเป็นแน่
“
.!!!” สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ตั้งปืนขึ้นก่อนจะรัวกระสุนใส่ตำรวจหนุ่มไม่ยั้ง...ชเวซีวอนกระโดดหลบหลังเสาพลางกุมหัวไหล่ตัวเองไว้เมื่อถูกยิงเฉียดไปเมื่อครู่
“บ้าจริง...”
“ซีวอน! คุณโอเครึเปล่า?” คยูฮยอนที่หลบอยู่หลังต้นเสาฝั่งตรงข้ามตะโกนถาม ร่างสูงพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะโผล่หน้าออกไปเพียงเล็กน้อย คิมยองอุนกำลังยืนต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพียงลำพัง มันดูแข็งแรงมากโดนรัวปืนกลใส่ขนาดนั้นยังไม่สะทกสะท้าน...แล้วประสาอะไรกับเขาที่มีปืนพกตำรวจแค่กระบอกเดียว...
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!” นัยน์ตาคมเบิกกว้างเมื่อนายทหารหนุ่มถูกเหวี่ยงติดกับรถไฟใต้ดินอย่างแรงจนกระจกแตก
ร่างสูงออกมาจากต้นเสาพร้อมกับเล็งไปที่หัวของมัน และดูเหมือนจะได้ผลอยู่ไม่น้อยเมื่อสัตว์ประหลาดนั่นเริ่มยกมือปิดบังดวงตาตัวเองเอาไว้
“คลิ๊กๆ!!”
รัวกระสุนจนหมดแม๊กซ์เป็นจังหวะให้สัตว์ประหลาดตนนั้นตั้งตัวได้ ยังไม่ทันจะใส่กระสุนแม๊กซ์ใหม่เข้าไปเรียบร้อยตำรวจหนุ่มก็ตัวลอยขึ้นกลางอากาศเมื่อถูกบีบคอเอาไว้
ร่างสูงดิ้นพล่านพลางจับมือใหญ่ที่บีบคอตนเอาไว้เมื่อเริ่มหายใจติดขัด...กะเอาให้ตายคามือเลยสินะ...นัยน์ตาคมมองไปยังทหารหนุ่มที่นอนขดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด...เขาต้องทำอะไรสักอย่าง....
“S.T.A.R.S....”
ปัง...ปัง!!!
สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับไปมองต้นเหตุที่กำลังยิงเข้ามา ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรแต่พอมองเห็นเป้าหมายแล้วระบบก็ประมวลผลได้ว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงแค่ผลเรือนที่ไม่มีพิษภัยถึงแม้จะมีปืนทหารกระจอกๆ อยู่ในมือก็ตาม
“ทางนี้โว้ย!” เด็กหนุ่มตวาดลั่นหากแต่สัตว์ประหลาดตนนั้นกลับไม่สนใจ ในเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“S.T.A.R.S....”
ริมฝีปากที่ฉีกเหวอะน่าเกลียดเอ่ยเรียกเป้าหมายอย่างเลือดเย็น...มือข้างที่ว่างอยู่นั้นค่อยๆ กลายสภาพเป็นรากยาวเฟื้อยคล้ายกับรากไม้หากแต่เป็นสีม่วง นั่นสร้างความตกใจให้กับพวกเขาเป็นเท่าตัว
ปังๆๆๆๆๆ!!!
รัวปืนใส่ไม่ยั้งจนบังเอิญโดนหัวมันเข้า ร่างสูงใหญ่หันกลับไปคำรามใส่อย่างหัวเสียเมื่อถูกขัดขวางการทำภารกิจ...จังหวะนั้นเอง...ตำรวจหนุ่มเอื้อมไปดึงมีดพกที่เหน็บไว้กับต้นแขนก่อนจะทิ่มตามันอย่างจัง นั่นทำให้ร่างสูงใหญ่สะบัดตัวเขาทิ้งลงบนพื้นก่อนจะเซถอยหลังพลางปิดตาตัวเองเอาไว้
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
“แค่กๆ!!!”
“คุณ!! ลุกขึ้นเร็วเข้ามันจะมาแล้ว เร็วๆ!!” คยูฮยอนเข้าไปพยุงร่างสูงขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่กำลังดึงมีดออกจากตาตัวเอง
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
เสียงปืนกลรัวเข้าใส่ร่างสูงใหญ่ไม่หยุดนั่นทำให้พวกเขาทั้งสองหันกลับไปมองทางด้านหลังเผยให้เห็นทหารสี่นายยืนรัวปืนอยู่ หนึ่งคนลดปืนลงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปพยุงคิมยองอุนขึ้นมา
“รีบขึ้นไปบนรถไฟใต้ดิน เร็วเข้า!” นายทหารร่างท้วมเอ่ยขณะที่ยังคงยังคงยิงสกัดไว้ให้ คยูฮยอนพยักหน้าพร้อมกับหิ้วปีกร่างสูงขึ้นก่อนจะเข้าไปในรถไฟใต้ดิน
ยิงสกัดพร้อมกับถอยหลังเข้ามาในรถไฟ เครื่องยนต์ทำงานพร้อมกับประตูที่ปิดลงหลังจากทหารร่างท้วมคนสุดท้ายเดินเข้ามาในขณะที่สัตว์ประหลาดนั่นวิ่งตามรถไฟด้วยความเร็วสูง คำรามด้วยความเกรี้ยวกราดแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพราะเป้าหมายหลุดจากพิกัดไปแล้ว
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ S.T.A.R.S
”
.
.
ที่ๆ ปลอดภัยที่สุด...
คือที่ๆ อันตรายที่สุด...
ครืด....
เสียงประตูจากช่วงตู้รางรถไฟเปิดออกพร้อมกับร่างท้วมที่เดินเข้ามา นัยน์ตาเรียวก้มลงมองเด็กหนุ่มก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่นั่งบาดเจ็บอยู่ข้างๆ โดยมีแพทย์สนามในทีมเขาคอยทำแผลให้
“คุณยองอุนเป็นยังไงบ้าง” คยูฮยอนเอ่ยถามหากแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด นายหทารร่างท้วมนั่งลงฝั่งตรงข้ามชเวซีวอนที่กำลังหน้าซีดเผือดเพราะเสียเลือดจากแผลที่โดนยิงไปเมื่อครู่
คยูฮยอนขยับปากบ่นอุบอิบ...คนคุยด้วยยังทำหยิ่ง...นี่ประชาชนนะครับ...สนใจกันบ้าง...
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังรถไฟอีกตู้ที่ทหารหนุ่มอยู่ข้างในนั้น ดูเหมือนว่าเขากำลังคุยเรื่องซีเรียสกันอยู่กับนายทหารอีกสามคน นัยน์ตาคมหันมาสบตากับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้านิ่ง
“เข้ามาสิ”
คยูฮยอนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่มดตัวน้อยๆ บนโลกใบนี้ที่อยู่ท่ามกลางฝูงช้างแมมมอธห้าหกตัวที่กำลังยืนคุยกันอยู่
เอาง่ายๆ
ผมเป็นส่วนเกินครับ
“หัวหน้าโอเครึเปล่า” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังพยายามดึงเศษกระจกออกจากต้นแขน คิมยองอุนพยักหน้าก่อนจะกลั้นใจดึงมันออกทีเดียว
เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมานั่นทำให้คยูฮยอนรีบคว้าประเป๋าเป้มาวางไว้บนตักพร้อมกับรูดซิบเอาเสื้อพละที่อยู่ข้างล่างสุดออกมาแล้วพยายามฉีกออก ทหารทั้งสามนายมองการกระทำของเด็กน้อยนิ่งไม่พูดไม่จาเมื่อเห็นคยูฮยอนพยายามแล้วพยายามอีกแต่เสื้อยืดตัวบางก็ยังไม่ขาดออกสักที
“เอามานี่” พูดพร้อมกับแย่งเสื้อยืดมาก่อนจะกัดมันเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างฉีกออกจากกันอย่างง่ายดายพลางมัดปิดปากแผลในขณะที่เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“หูยย ทำไมทำเงี้ย” เขาล่ะก็อุตส่าห์จะโชว์แมนเหมือนในหนังตามที่พระเอกเค้าชอบทำแต่ก็โดนแย่งซีนซะได้...นั่นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทหารทั้งสี่คนได้เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวฉันมา” คิมยองอุนพูดพร้อมกับคว้าต้นแขนร่างโปร่งเอาไว้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตู้รถไฟที่มีตำรวจหนุ่มอยู่ที่นั่น
รถไฟใต้ดินที่วิ่งด้วยความเร็วสูงคยูฮยอนมองออกไปนอกกระจกที่มืดสนิทก่อนจะหยัดตัวนั่งลงห่างๆ พวกเขาทั้งสี่คน
“คุณจะไปที่นั่นจริงๆ น่ะเหรอ?”
“ผมต้องไป”
“ต่อให้คุณเข้าไปข้างล่างนั่นได้...มันก็ยากที่จะเอาชีวิตรอดออกมา”
“ผมทิ้งภารกิจไม่ได้...อีกอย่าง...ทีมผมก็อยู่ข้างในนั่น”
“........................”
“ผมก็เหมือนคุณ...”
“........................”
“ที่มีโอกาสเอาตัวรอด...แต่ก็ยังย้อนกลับมาช่วยทีม”
ทหารร่างท้วมหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคของตำรวจตรงหน้า แพทย์ทหารพันผ้าก๊อตทับให้อีกรอบก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาคิมยองอุนพลางสำรวจแผลบนต้นแขนแกร่งให้หากแต่อีกฝ่ายกลับยกมือปราม
“ฉันไม่เป็นไร”
“ครับหัวหน้า”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เสียงดังมาจากรถไฟตู้สุดท้ายที่เขาพึ่งเดินออกมาเมื่อครู่...คิมยองอุนเดินไปส่องตรงประตูก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อสัตว์ประหลาดตัวเมื่อครู่นั้นกำลังปลิดชีวิตทีมเขาไปทีละคน
“ยองอุน!”
“อืม!” หทารหนุ่มขานรับพร้อมกับปลดล็อกปืนกลเตรียมพร้อมจะเข้าปะทะกับสัตว์ประหลาดนั่น คยูฮยอนลุกขึ้นยืนพลางมองตามคนตรงหน้าที่กำลังจะเดินเข้าไปหาที่ตาย
“นายสองคนอยู่ที่นี่”
“ไม่สิ...คุณเข้าไปข้างในนั้นมีแต่ตายกับตายนะ”
“แล้วมันมีวิธีที่ดีกว่านี้รึไงเล่า?!” ทหารหนุ่มตวาดในขณะที่ทหารร่างท้วมเดินเข้าไปข้างในก่อน ชเวซีวอนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด
“แต่ผมคือเป้าหมายของมัน”
‘สัตว์ประหลาดตัวนั้น...มันไล่ล้างหน่วย S.T.A.R.S...ผมเห็นมันฆ่าตำรวจเหล่านั้นมากับตา...’
คำบอกเล่าจากทหารร่างท้วมเมื่อตอนนั่งทำแผล นั่นทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ร่างสูงกำหมัดแน่นพลางลุกขึ้นเดินไปหยุดหน้าประตูแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้
“ผมตาย....มันก็ดีกว่าให้คุณตาย”
พูดทั้งที่ไม่มองหน้ากันและกัน...ในเมื่อความหวังมันริบหรี่...ความหวังอันน้อยนิดที่สุดก็คือคนตรงหน้า ที่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องช่วยให้ชเวซีวอนพ้นผ่านและเข้าไปทำภารกิจต่อให้ได้...
เขาถูก Umbrella จ้างวานมาก็จริง แต่ในเมื่อเรื่องราวมันบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่แค่ในโซล...แต่มันกำลังจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศ...และเชื่อเถอะว่าอีกไม่นาน...มันจะแพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลก...
และเขา...จะให้บริษัทเฮงซวยนี่ลอยนวลไปไม่ได้
“คุณต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ....ให้คุ้มค่ากับการที่ผมเสียสละไปในครั้งนี้”
คำพูดที่ฟังดูแล้วชวนใจหาย เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตากำลังไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้จักกันมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ถึงคนๆ นี้จะใจร้ายกับเขาสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น....
มือหนาลดมือลงก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่ม จ้องมองใบหน้าที่ดูเหมือนลูกแมวโดนทิ้ง นัยน์ตากลมโตมีหยาดน้ำใสคลออยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องสนใจเด็กคนนี้นัก ทั้งที่สร้างปัญหาให้เขาต้องปวดหัวอยู่ตลอด...
ร่างหนาจับหัวอีกฝ่ายกดลงตรงหน้าอกข้างซ้ายพลางหลับตาลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วินาทีต่อไปนี้...และเขา...อาจจะไม่มีโอกาสได้หายใจบนโลกนี้อีก
“ฝากดูแลเจ้าเด็กนี่ด้วยล่ะ”
“........................”
“........................”
กัดฟันไว้พลางผละตัวออก..ขยี้หัวเด็กหนุ่มเบาๆ ทั้งที่ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย คยูฮยอนก้มหน้านิ่งเห็นเพียงแค่เท้าอีกฝ่าย...ที่กำลัง...
เดินจากเขาไป....
ครืดดด...........
“..................!!!!!!”
“.......................”
ร่างสูงและเด็กหนุ่มเซล้มลงไปกับพื้นเมื่อรถไฟตู้สุดท้ายที่ทหารทั้งหกอยู่ในนั้นหลุดออกจากขบวนไป เสียงเสียดสีของเหล็กรางรถไฟดังจนแสบหูพร้อมกับเพลิงไหม้ลุกโชน...ซีวอนเบิกตากว้างเมื่อภาพที่เห็นนั่นมันทำให้เขารู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า...
ทหารพวกนั้น...ยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้เขามีชีวิตรอด...
“ไม่นะ...ไม่!!!” เด็กหนุ่มยืนเกาะประตูพลางมองภาพตรงหน้าที่ออกห่างไปเรื่อยๆ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น คนบ้าบิ่นอย่างคิมยองอุนน่ะหรือจะยอมจบชีวิตตัวเองง่ายๆ แบบนี้...เป็นไปไม่ได้...
ร่างสูงเข้าสวมกอดเด็กหนุ่มทางด้านหลังพร้อมกับยกมือขึ้นปิดตาอีกฝ่ายเอาไว้ในขณะตัวเขาเองก็เจ็บปวดในสิ่งที่เห็นไม่น้อยไปกว่าคยูฮยอนเลย...ร่างโปร่งดิ้นทุรนทุรายในอ้อมกอด...ดิ้น..จนหมดแรง...
‘เจ้าเด็กนี่มันกวนประสาทชะมัด...ถ้าเกิดกลายเป็นผีดิบขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะจับนายมัดขาเอาไว้แล้วห้อยหัวลงมาจนหิวตายซ้ำสอง คอยดูสิ’
‘กลัวตายไหมน่ะเหรอ? คนอย่างผมเฉียดตายมานักต่อนักแล้ว...จะกลัวไปทำไมกัน...ถ้าถึงเวลาที่ต้องตาย...ต่อให้มีพระเจ้ามาหยุดยืนตรงหน้า...ก็ช่วยอะไรไม่ได้...’
‘กินเข้าไปเถอะน่า! ทำไมนายถึงได้ดื้ออย่างนี้นะ?!’
‘ยินดีที่ได้รู้จัก...’
“คุณ...กลับไปช่วยเขาสิ...กลับไป.....ฮือ....”
- มอย -
อ่านปากของฉันนะ...
ฟิคดักแห่งปีอยู่นี่แล้ว...อะฮึ่ย....
ตอนหน้ามีอะไรบ้างนะ (คิด) อย่าตกใจไปล่ะ คึคึ
ความคิดเห็น