คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : เรื่องของเมื่อวาน...
Chapter 2
หนึ่งนาที...
สำหรับผมมันคือช่วงเวลาที่นานเหลือเกิน...
หยัดตัวนั่งลงกับขอบเตียงพร้อมกับสางผมที่เปียกลู่เข้ากับโครงหน้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผิวปากอารมณ์ดีก่อนจะหันไปมองเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ไม่ไกลมือนัก ร่างสูงหยิบมันมาสไลด์ดูรูปถ่ายในอัลบั้มแล้วก็ผุดยิ้มออกมา รูปที่เขาแอบถ่ายคยูฮยอนตอนกำลังนั่งอ่านหนังสือซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้ เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ แล้วสำหรับแผนการที่เขาตั้งใจจะแก้เผ็ดคนๆ หนึ่ง คนที่กล้าทำร้ายจิตใจเพื่อนของเขาให้จมอยู่กับความเศร้ามาเป็นเวลานาน
ถามว่ารู้ลึกตื้นเกี่ยวกับสองคนนั้นมากแค่ไหน ก็รู้มาไม่เท่าไหร่หรอก ใครถูกใครผิดเรื่องนี้ไม่สำคัญ เขาเหมาเอาเองแล้วว่าคนที่มีชีวิตได้โดยปกติสุขในทุกวันนี้คือคนผิด ส่วนคนที่เจ็บปวดเรื้อรังอย่างเพื่อนเขาควรได้รับอะไรกลับคืนมาบ้างนอกจากการเสพย์ความทุกข์ไปวันๆ แบบนี้ ช่วงเวลาที่ทงเฮกับคยูฮยอนคบกันเขาเองก็ไม่เคยยื่นขาเข้าไปยุ่งเลยสักครั้ง จริงอยู่ที่เขาเป็นคนไม่เอาไหนไม่เคยจริงจังกับอะไร ไหนจะเชื่อไม่ค่อยได้อีก แต่คนอย่างชเวซีวอนน่ะรักเพื่อนเสียยิ่งกว่าอะไรถึงแม้ว่าเขาจะติดเพื่อนเที่ยวกลางคืนอยู่ช่วงหนึ่งก็เถอะ ยังไงทงเฮกับฮยอกแจก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเขา
ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วก็ค้นหาเบอร์เพื่อนสนิทก่อนจะกดโทรออก รอสายแค่ครู่เดียวอีกฝ่ายก็รับ
( ไง )
“ทำอะไรอยู่วะ?” ร่างสูงถามพลางเดินออกไปนอกระเบียง สูดอากาศยามค่ำคืนแล้วยิ้มอารมณ์ดี
( หืม...แกคงไม่ได้ตั้งใจโทรมาเพื่อถามว่าฉันทำอะไรอยู่หรอกใช่ไหม? )
ซีวอนยิ้มขำเมื่อถูกจับไต๋ได้ หมอนี่ก็เป็นเสียอย่างนี้ มีบ้างไหมที่ไม่รู้ทันเขา
“ก็แค่โทรมาถามว่าแมวตัวนั้นเป็นยังไงบ้าง”
( อ๋อ...เจ้าตัวเล็กน่ะเหรอ เมื่อกี้เห็นวิ่งเล่นกับลูกบอลอยู่แต่ตอนนี้หลับไปแล้วล่ะ )
เสียงหัวเราะจากปลายสายทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยเจ้าแมวนั่นก็ไม่ได้มีอาการใกล้ตายจนน่าเป็นห่วง อ้อ...ที่บอกว่าห่วงนั่นไม่ใช่ห่วงแมวหรอกนะ เขาห่วงว่าจะเข้าหน้าเด็กนั่นไม่ติดถ้าเกิดว่ามันตายไปต่างหาก
“งั้นเหรอ ก็ดีแล้วล่ะ ฉันนึกว่ามันจะไม่รอดแล้วซะอีก”
( เมื่อวานฉันเพิ่งพาไปหาหมอมา มันเอาแต่นอนไม่ยอมทานอะไรเลยจนน่าเป็นห่วง )
“หืม?” ทงเฮมันลงทุนพาเจ้าแมวขยะนั่นไปหาหมอเลยเหรอ แสนดีพอๆ กันกับเด็กนั่นไม่มีผิด ไม่แปลกใจเลยที่ทนคบกันมาได้เป็นปีๆ
( ว่าแต่แกอยากพามันกลับไปแล้วเหรอไง? )
“ยังหรอก เดี๋ยวฝากไว้กับแกอีกสักพักรอมันหายดีก่อนแล้วกัน พอถึงตอนนั้นฉันว่าจะประกาศหาคนรับเลี้ยงน่ะ” ได้ยินเสียงทงเฮหัวเราะลอดเข้ามาในสาย ไม่วายมันคงคิดว่าเขาตอแหลแกล้งทำเป็นคนดีแน่ๆ
( ถ้าลำบากขนาดนั้น ฉันรับเลี้ยงมันไว้ให้ก็ได้นะ )
“อย่าดีกว่ามั้ง...แกเองก็ใช่ว่าจะมีเวลาดูแลมันไม่ใช่เหรอไง แมวตัวเล็กแค่นั้นน่าจะหาคนที่อยากเลี้ยงจริงๆ ดีกว่า ถ้าเกิดหาไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”
( งั้นก็ตามใจแกแล้วกัน )
“เออ ขอบใจมาก งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
วางสายจากเพื่อนสนิทแล้วก็ยืนสูดอากาศยามดึกครู่หนึ่ง จู่ๆ หน้าของใครอีกคนก็ลอยเข้ามาในหัว คนที่เขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ชอบขี้หน้าและจะหาทางเอาคืนแทนทงเฮให้ได้ อืม...วันนี้คงได้ฤกษ์โทรหาเด็กนั่นสักทีหลังจากทิ้งระยะการขอเบอร์ไปหลายวันเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแผนการที่วางไว้หรือเพราะความต้องการเบื้องลึกของจิตใจ...
ที่เขา...อยากได้ยินเสียงเจ้าเด็กนั่น
( สวัสดีครับ? )
“...............” แกล้งไม่ตอบอะไรกลับไป ร่างสูงยิ้มพอใจในขณะที่อีกฝ่ายก็เงียบตามไปด้วยเหมือนกัน
( นั่นใครครับ? )
“สวัสดีครับ”
( ได้ยินที่ผมถามหรือเปล่าครับ...? )
“ได้ยินครับ”
( แล้ว...? )
“อย่าทำเสียงโหดแบบนั้นสิ”
( ก็คุณไม่ตอบคำถามผม งั้นก็แค่นี้นะครับ )
“เฮ้...จำเสียงพี่ไม่ได้หรือไงหื้ม?” ร่างสูงโพล่งออกไปเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะวางสายเขา
( ผมจะไปรู้เหรอครับว่าคุณเป็นใคร )
“พี่ซีวอนเองครับคยูฮยอน ทีนี้จำได้หรือยัง”
( นั่น...พี่ซีวอนเหรอครับ? )
“แหงอยู่แล้ว ไปหงุดหงิดอะไรใครมาหรือเปล่าเนี่ย ทำเสียงดุใส่พี่เชียว”
( อะ...อ๋อ...เปล่าครับ ก็เห็นพี่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใครผมก็เลยจะวางสายเพราะไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าน่ะครับ... )
ร่างสูงแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อยๆ จากปลายสาย จะว่ายังไงดีล่ะ ระวังตัวกับเล่นตัวสองคำนี้มันมีเส้นบางๆ คั่นอยู่นะ
( ขอโทษที่ผมเสียมารยาทใส่พี่นะครับ... )
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองพิเศษสำหรับเด็กนั่นขึ้นมาเพียงเพราะคำขอโทษเพียงคำเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก พี่แค่จะโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาลูกแมวไปหานะ”
( อ...ลูกแมวเหรอครับ )
“ใช่ นายอยากเจอมันหรือเปล่าหื้ม?”
( อยากสิครับ ว่าแต่พี่จะพามันมาเมื่อไหร่...ช่วงเย็นหรือเปล่าครับ? )
น้ำเสียงตื่นเต้นจนออกนอกหน้าทำให้ซีวอนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เจ้าเด็กนี่ท่าจะดีใจน่าดู แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังยื่นขาเข้ามาเหยียบหลุมพลางที่เขาวางเอาไว้
“เย็นวันพรุ่งนี้ สะดวกใช่ไหม?”
( สะดวกสิครับ สะดวกมากๆ เลยล่ะ แล้วผมจะรอนะครับ )
“โอเค งั้นคืนนี้...”
ซีวอนเงียบไปครู่หนึ่งและดูเหมือนว่าคนในปลายสายจะรอให้เขาพูดประโยคถัดไป การเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้แหละที่เขาถนัด ชอบทำให้อีกฝ่ายใจเต้น เขิน และรู้สึกดีกับการกระทำของเขา
“ตั้งใจหลับนะ”
( อ...เอ๋...ตั้งใจหลับเหรอครับ? )
“ใช่...แล้วก็ไม่ต้องฝันด้วย ถ้าเกิดนายฝันขึ้นมาต้องมีพี่อยู่ในนั้นนะ” คำพูดคำจาเอาแต่ใจทำให้เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ซีวอนยิ้มขำเมื่อคยูฮยอนคงช็อคกับมุขเสี่ยวของเขา ถ้าพวกฮยอกแจมันได้ยินคงทำท่าอาเจียรใส่แทบไม่ทัน
( ครับ...ผมจะไม่ฝัน...พี่เองก็ด้วยนะครับ )
ประโยคทิ้งท้ายฟังดูแผ่วเบาแต่ก็เรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้เป็นอย่างดี พรุ่งนี้จะเป็นตัวชี้ชัดแล้วสินะว่าคยูฮยอนมีใจให้เขาบ้างหรือเปล่า...
.
.
“นึกยังไงโทรหาพี่” ร่างสูงอมยิ้มพลางเงยหน้ามองคนตัวบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จิบกาแฟร้อนแล้ววางแก้วลงก่อนจะประสานมือไว้บนโต๊ะ
“คิดถึง”
“อ๋า...เชื่อตายล่ะ~” ร่างบางหัวเราะพลางเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งรั้นของใครอีกคน...คนที่มีความสัมพันธ์กับเขามากกว่าคนรักแต่ก็ไม่ใช่แฟนมานานเป็นปี...คิมฮีชอล
“เดี๋ยวนี้ไม่เห็นนายไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เลย เปลี่ยนที่เที่ยวแล้วหรือไง?”
“เปล่า ช่วงนี้ผมเป็นเด็กอนามัย เข้านอนเที่ยงคืนทุกวัน” พูดกลั้วหัวเราะจนฮีชอลเลิกคิ้วมอง
“หืม...นายน่ะนะนอนก่อนเที่ยงคืน?”
“ใช่ แปลกล่ะสิ”
“แปลกสิ เกิดอะไรขึ้นล่ะ ดูเหมือนว่ามันคงเกี่ยวพันกับเรื่องที่นายโทรหาพี่วันนี้ด้วยใช่ไหม?” ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมา
“ไหนว่ามาซิ...พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรที่เปลี่ยนนายได้ถึงขนาดนี้” ฮีชอลพูดพร้อมกับกอดอกมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม แต่ไหนแต่ไรแล้วซีวอนเป็นคนรักอิสระอยากทำอะไรก็ทำ ฮีชอลไปเที่ยวกลางคืนทีไรไม่เคยมีสักครั้งที่เขาไม่จะไม่เจอซีวอน ก็ว่า...ทำไมไม่เจอเลยช่วงหลังๆ มานี้
“ผมกำลังจีบคนๆ หนึ่งอยู่”
“โอ๊ะโอ...” อุทานพร้อมกับยิ้มขำ นั่นสินะ...มันจะเป็นเรื่องอะไรได้อีกที่ซีวอนจะยอมเปลี่ยนตัวเองถึงขนาดนี้นอกเสียจากเจ้านี่จะไปหลงรักใครเข้า
“แต่ผมไม่ได้จีบเพราะชอบหรอกนะ”
“อ้าว...ไหงงั้นล่ะ?”
“...หมายถึงตอนแรกน่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อค่อยๆ จางหายไป นัยน์ตาคมทอดมองออกไปข้างนอกถนน นั่นทำให้ฮีชอลประหลาดใจกับสิ่งที่รุ่นน้องเขาเป็นอยู่
“ตอนแรกไม่ได้ชอบ แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังสับสนอยู่...”
“หืม?”
“ไม่รู้สิ...ตอนแรกผมไม่ชอบขี้หน้าเขาก็เลยแกล้งเข้าไปจีบเล่นๆ แต่พอได้อยู่ด้วยกัน ได้สนิทกัน ผมกลับลืมความรู้สึกอคติไปชั่วขณะ...แล้ววันนี้ผมนัดเขาเอาไว้ ผมกะจะไม่ไปตามนัดแล้วทิ้งให้เขารอ”
“หา?” ร่างบางขมวดคิ้วพร้อมกับเพ่งมองอีกคน
“ผมควรจะสะใจที่ให้เขารอ...แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงอยากกลับไปหาเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลานัดกันเลยด้วยซ้ำ ผมเป็นบ้าไปแล้ว”
“เดี๋ยวนะ...นายช่วยอธิบายให้พี่เข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหม? นายไม่ชอบหน้าคนนั้น นายแกล้งเข้าไปจีบเขา แล้วตอนนี้นายกลับเป็นฝ่ายชอบเขาเสียเองอย่างนั้นเหรอ?” ซีวอนหยุดชะงักเมื่อได้ยินรุ่นพี่พูด นัยน์ตาคมจ้องมองคนตรงหน้า คนที่กำลังทำหน้าสงสัยอยู่
“ชอบ...เหรอ?”
“ใช่ หรือว่านายจะปฏิเสธล่ะ”
“ผมจะชอบเขาได้ยังไงกัน ผมเกลียดเขาจะตาย” ร่างสูงปฏิเสธเสียงแข็งถึงแม้ว่าในใจของเขายังคงคิดตามคำพูดของคนตรงหน้าอยู่
“น้ำหยดใส่หิน หินมันยังกร่อนซีวอน...นายโกหกพี่ได้แต่นายโกหกตัวเองไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เอาน่าพี่ฮีชอล...ผมไม่ได้ชอบเขาหรอก ที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้มันอาจจะเป็นความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งก็ได้” ร่างบางแค่นเสียงหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวซีวอนเบาๆ
“มันจะเริ่มไม่สนุกก็ต่อเมื่อนายหลงรักเขาเข้าจริงๆ นั่นแหละ...เตรียมใจไว้แล้วหรือยังล่ะหมาน้อย”
“พูดไม่น่ารักเลยนะครับ~ ผมจะไปหลงเจ้าเด็กนั่นได้ยังไงกัน” จ้องใบหน้าสวยพร้อมกับยิ้มทะเล้น ฮีชอลจิ๊ปากกับความหัวรั้นของคนตรงหน้า
“สรุปคนนั้นเป็นรุ่นน้องสินะ แล้วเขาเป็นใครล่ะ?”
“พี่ไม่อยากรู้หรอกว่าเขาเป็นใคร”
“ถึงพี่ไม่อยากรู้ ไม่วันไหนวันหนึ่งนายก็ต้องเล่าให้พี่ฟังอยู่ดี”
“...................”
“ใครกันนะ ที่ทำให้นายเกลียดได้?” ฮีชอลทำหน้าคิดก่อนจะปรายตามองอีกคน
“ใครสักคนที่ทำให้เพื่อนผมต้องเสียใจ”
“เพื่อนนาย...?” ซีวอนยักไหล่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ใครอีกคนก่อเอาไว้ นั่นสิ...เขาจะไปคล้อยตามคำพูดของฮีชอลไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบเจ้าเด็กนั่นสักหน่อย ไม่ได้ชอบสักนิด ที่เป็นกังวลอยู่ในตอนนี้ก็แค่ความรู้สึกผิดชั่ววูบเท่านั้นแหละ
“อย่าบอกนะว่า...”
“................”
“ทงเฮเหรอ?”
“................” ซีวอนไม่ตอบ เขาเอาแต่ทำหน้าตายกับเรื่องที่กำลังพูดถึง พอเห็นอย่างนั้นฮีชอลก็เริ่มจับต้นชนปลายถูกแล้ว...เด็กที่ว่านั่นคงเป็น...
โจคยูฮยอนสินะ...
“ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
“ก็แค่อยากสั่งสอนให้เด็กนั่นรู้จักความเจ็บปวดซะบ้าง”
“แล้วทงเฮมันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่รู้หรอก ถ้ารู้มันคงห้ามไม่ให้ผมทำแน่ๆ”
“แหงอยู่แล้ว ทงเฮมันรักคยูฮยอนเสียยิ่งกว่าอะไร แล้วพี่ก็คิดว่าหมอนั่นคงไม่พอใจที่นายทำแบบนี้แน่”
“ก็อย่าให้มันรู้สิครับ” ซีวอนพูด เขาคิดถูกหรือเปล่าที่มาปรึกษาพี่ฮีชอลเนี่ย?
“ซีวอน...” มือเรียววางลงบนหลังมือแกร่งพร้อมกับคลึงเบาๆ เป็นเชิงเตือนสติ เขาเองก็รู้จักทั้งสามคน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกับคยูฮยอนเป็นการส่วนตัว แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไรพอที่จะต้องมาเป็นเหยื่อของซีวอนแบบนี้
ฮีชอลรู้จักซีวอนดีที่สุด รู้ดีกว่าใคร อาจเป็นเพราะระยะเวลาที่รู้จักกันมา ตั้งแต่เริ่มต้นจากการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจนกระทั่งมันบานปลายเลยเถิดไปมากกว่านั้น ผูกพันกันทางร่างกาย ส่วนทางจิตใจก็แค่พี่น้อง
“พี่ว่านายควรจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้”
“ทำไมล่ะครับ? แผนของผมกำลังเป็นไปได้ด้วยดีเลยนะ เด็กนั่นดูเหมือนจะชอบผมแล้วด้วย” ซีวอนยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าของฮีชอลดูจริงจังกับเรื่องนี้
“ยิ่งเป็นแบบนั้นนายก็ยิ่งควรหยุด...”
“เหรอครับ~” ซีวอนพูดติดตลกไม่ได้สนใจฟังกับคำพูดอีกคนเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าเกิดนายสองคนรักกันขึ้นมา...ทงเฮจะเป็นยังไง?”
“โธ่พี่ฮีชอลครับ...ผมกับเด็กนั่นน่ะเหรอ? มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกกว่าทงเฮมันจะรู้เรื่องผมคงเขี่ยเด็กนั่นทิ้งไปแล้ว”
“ถ้าเกิดวันหนึ่งนายชอบเขาขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง เคยคิดถึงจุดนั้นหรือเปล่าหื้ม?”
“ไม่เคย เพราะมันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนครับ” ซีวอนตอบชัดเจนหนักแน่นจนอีกคนถอนหายใจออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด...กลับกันแล้วเขาก็คิดมาตลอดว่าถ้าเกิดวันหนึ่งเขาตกหลุมรักโจคยูฮยอนเข้ามันจะเป็นยังไง มันคือสิ่งที่เขาคิดและถามตัวเองมาตลอดว่าชอบโจคยูฮยอนเข้าแล้วใช่ไหม...แต่ทุกครั้งที่คิดมันก็ต้องจบด้วยคำว่า ‘ไม่...เขาไม่ได้ชอบโจคยูฮยอนสักนิด’
“งั้นก็คิดเรื่องนี้ซะเถอะ เพราะถ้าเกิดวันหนึ่งนายรักคยูฮยอนเข้าจริงๆ แล้วเขารู้ว่านายมีแผนการแบบนี้จะเป็นยังไง?”
“เอาน่า แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้ชอบเด็กคนนั้นนี่ครับ~”
ก็แค่รู้สึกดีด้วยนิดหน่อย อคติที่มีอยู่ก็ยังไม่หายไปเสียทั้งหมด
และถ้ามันเป็นอย่างที่ฮีชอลพูดจริงๆ
ยังไงชเวซีวอนคนนี้ก็จัดการความรู้สึกตัวเองได้อยู่แล้ว...
.
.
หนังสือสองเล่มวางอยู่ตรงหน้าแต่ไม่ได้ถูกเปิดอ่านเหมือนอย่างเคย มือเรียวคลึงลูกบอลสีฟ้าในมือ สายตามองไปยังประตูห้องสมุดรอการมาของใครอีกคนสลับกับนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกเวลาปัจจุบัน...ตอนนี้เลยเวลานัดไปแล้วชั่วโมงครึ่งแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าซีวอนจะมาถึง แต่ถ้าจะให้โทรตามมันก็ไม่ดีเดี๋ยวจะถูกมองว่าวุ่นวาย จะเร่งอะไรนักหนา แค่เขาพาแมวมาหาก็ดีแค่ไหนแล้ว คิดในแง่ดีว่าบางทีซีวอนอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้
“ยังไม่กลับอีกเหรอ?” บรรณารักษ์สาวเดินมาพร้อมกับหนังสือเต็มมือจนคยูฮยอนทนดูเฉยๆ ไม่ได้ต้องเข้าไปช่วย ใบหน้าเรียวส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มบางๆ
“ยังหรอกครับ พี่มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
“วันนี้ไม่มีงานให้ช่วยหรอกจ๊ะเก็บกองนี้เข้าที่เสร็จพี่ก็จะปิดหอสมุดแล้ว”
“อ่า...ป่านนี้แล้วเหรอครับ” เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังแล้วถึงรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ร่างโปร่งเก็บหนังสือเข้าล็อคแล้วมองตามบรรณารักษ์สาวที่กำลังเดินไปหยิบกระเป๋าเตรียมจะกลับบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันมามองเขา คยูฮยอนโค้งหัวเล็กน้อยพร้อมกับเดินกลับไปคว้ากระเป๋าเป้และลูกบอลสีฟ้าที่วางไว้เมื่อครู่ มันคงไม่ดีถ้าเขาเป็นตัวถ่วงให้เธอกลับบ้านช้า
“ผมช่วยครับพี่โบอา” คยูฮยอนเดินไปช่วยเธอดึงประตูลงก่อนจะปัดมือไล่เศษฝุ่นเบาๆ สองสามที นัยน์ตาเรียวจ้องมองรุ่นน้องที่สนิทกันด้วยความสงสัย
“พี่เห็นเธอนั่งนานแล้ว หนังสือก็ไม่เห็นอ่านเลยสงสัยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ ผมแค่มานั่งใช้สมาธิเฉยๆ น่ะ”
“หรือว่ารอใครอยู่?” อมยิ้มพลางมองคนข้างๆ ที่ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น
“เรา...กลับกันดีกว่าครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งพี่ตรงหัวมุมถนนนะ แถวนี้ไม่ค่อยมีไฟมันอันตราย” ทั้งคู่เดินออกมาพร้อมกัน ร่างบางมองแผ่นหลังของอีกคน แล้วเดินไปหยุดข้างๆ
“จะไม่กลับพร้อมกันเหรอ” ปกติถ้าวันไหนคยูฮยอนช่วยปิดหอสมุดเขากับเธอมักจะเดินกลับด้วยกัน เพราะบ้านของเธออยู่แถวหลังมหาลัย คยูฮยอนส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหยุดเดิน
“กลับดีๆ นะครับ ผมคงไปส่งพี่ที่หลัง ม. ไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรน่า มันไม่ได้มืดอะไรขนาดนั้นงั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” โบอาพูดพร้อมกับโบกมือลา คยูฮยอนยิ้มแล้วมองตามใครอีกคนที่ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอี้ยวตัวเดินกลับไปหน้าหอสมุด ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีแสงไฟเสียด้วยสิ จะนั่งรอตรงไหนดีนะ...เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ แย่แล้ว...อีกไม่นานฝนคงตกแน่ๆ
หยัดตัวนั่งลงบนม้านั่งใกล้ๆ หอสมุด ถ้าเกิดซีวอนมามุมนี้คงมองเห็นได้ หยิบลูกบอลสีฟ้าที่กะจะเอามาให้เจ้าตัวเล็กเล่นขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วชะเง้อหน้ามอง...
แต่รอไปเท่าไหร่...ก็ไม่มีวี่แววการมาของใครอีกคน...
มองโทรศัพท์มือถือแล้วก็ชั่งใจ บางทีพี่ซีวอนอาจจะลืมนัดของเราก็ได้ เรื่องนี้มันคงไม่สำคัญอะไรกับเขานักแต่ถ้าเขาไม่ได้ลืมแล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ ช่วยโทรมาบอกกันหน่อยได้ไหม...
จะกลับไปก็ไม่ได้...
เพราะที่ผมยังอยู่ตรงนี้...เพราะผมกลัวว่าถ้าผมไปแล้วพี่ซีวอนจะไม่เจอผม
เงยหน้าขึ้นเมื่อหยาดน้ำฝนตกลงมาโดนหลังมือ กระพริบตาปริบๆ เมื่อน้ำฝนกระทบลงบนใบหน้าก่อนจะลนลานรีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเป้เมื่อจู่ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาโดยไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ลูกบอลสีฟ้าตกลงพื้นกระเด็นกระดอนไปตามฟุตปาธเห็นอย่างนั้นก็ได้แค่ถอนหายใจแล้วรีบวิ่งตามมันไปพร้อมกับกอดกระเป๋าเป้ไว้แนบอก ถ้าตัวเขาเปียกยังดีกว่าให้ของที่อยู่ในกระเป๋าเปียก
ก้มลงเก็บลูกบอลแต่ก็ต้องหยุดชะงักแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อมีใครอีกคนเก็บลูกบอลให้เขาก่อน ตอนนี้เขายังมองเห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะมุมตรงนี้มันมืดและห่างจากเสาไฟระแวกนั้นแต่พออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น...เขาก็ได้คำตอบ...
ร่มสีขาวยื่นมาตรงหน้าเพื่อบังหยาดฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้เจ้าของร่มเปียกเสียเอง คยูฮยอนจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา...ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งและก็เป็นอีกฝ่ายที่หลบตาเขาไป มือหนายื่นลูกบอลมาตรงหน้านั่นทำให้คยูฮยอนเรียกสติกลับคืนมาได้ก่อนจะดันร่มกลับไปบังให้อีกคน
“ขอบคุณครับ...”
น้ำเสียงแผ่วเบาหรือเพราะเสียงฝนบดบังให้เขาได้ยินเพียงแค่นั้น อีทงเฮเงยหน้าขึ้นก่อนจะฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า ไม่ใช่ว่าไม่อยากยิ้ม...เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้าแบบไหนเวลาอยู่ต่อหน้าคยูฮยอน
“ไม่เป็นไร...”
“.....................”
ทั้งคู่หยัดตัวลุกขึ้น ทงเฮยังคงกางร่มให้อีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ตัวเขาเปียกไปเกือบครึ่งตัว คยูฮยอนหลุบสายตาลงแล้วดันร่มไปเล็กน้อยเพื่อให้เขาทั้งคู่หลบกระแสฝนที่เทลงมาด้วยกัน สถานการณ์อึดอัดที่เขาไม่ได้พบเจอบ่อยๆ ตั้งแต่เลิกกันไป มีโอกาสได้คุยกันแล้วแต่อีทงเฮกลับปอดแหกไม่กล้าพูด ไม่กล้าชวนคุย...เพียงเพราะคิดว่าคนตรงหน้าไม่ต้องการ ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
“เอาร่มไปสิ”
“.....................”
“พี่มีร่มอีกคัน พอดีเมื่อวานก่อนลืมไว้ที่คณะน่ะ” ทงเฮหัวเราะแห้งๆ ซึ่งคยูฮยอนดูออก...ทงเฮโกหกไม่เก่งยังไงวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“.....................”
“กลับดีๆ นะ” ยิ้มให้กับคนตรงหน้าแล้วเอาร่มใส่มือคยูฮยอนแล้วเอี้ยวตัวหันหลังกลับแต่ก็ต้องหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อรู้สึกได้ถึงมืออุ่นๆ ที่ทาบทับมือเขาเอาไว้...มือของเขาที่ยังไม่ได้ปล่อยจากร่มคันนั้น
“ถ้าพี่ไม่รีบ...รบกวนไปส่งผมที่หลัง ม. ได้ไหมครับ?”
“.....................”
.
.
ซ่า...
ใต้ร่มคันเดียวกัน ถึงแม้จะกันฝนได้แต่ไหล่ข้างหนึ่งของเขาก็เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนอยู่ดี ไม่มีใครพูดอะไร มีแค่เสียงฝนที่กลบทับทุกอย่างแม้กระทั่งความรู้สึกของเขาทั้งคู่...อยากถามว่าทำไมคยูฮยอนถึงกลับบ้านช้า อยากถามว่าทำไมไม่พกร่มเหมือนเมื่อก่อน อยากถามไปเสียทุกเรื่อง...
แต่เขา...ไม่มีสิทธิ์...
ระยะเวลาจากหอสมุดมาถึงหอพักของคยูฮยอนมันก็ไม่ได้ไกลอะไรนัก อาจเป็นเพราะความคุ้นชินที่เมื่อก่อนทงเฮเดินมาส่งคยูฮยอนอยู่บ่อยๆ จนลืมไปแล้วว่ามันใช้เวลาเท่าไหร่...แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน...กับการที่เดินอยู่ข้างๆ กันแบบนี้
“อาบน้ำสระผมด้วยนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
“ครับ...พี่ก็ด้วยนะ”
“แหงอยู่แล้ว พี่เคยปล่อยให้ตัวเองป่วยหรือไงกัน นายก็รู้นี่” ทงเฮพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มที่เกิดขึ้นก็อยู่บนใบหน้าเขาได้เพียงแค่ครู่เดียวเมื่อเห็นสีหน้าคยูฮยอนในตอนนี้...
พูดอะไรออกไปนะอีทงเฮ...?
“งั้น...พี่กลับแล้วนะ”
“ครับ...ยังไงก็ขอบคุณพี่อีกครั้งนะ”
เป็นประโยคตามมารยาทและดูห่างเหิน เขารู้สึกอยากสำลักความอึดอัดนี่ออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ร่างหนาเอี้ยวตัวกลับพร้อมกับเดินตรงไปข้างหน้า เดินตรงไปโดยที่ไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปโบกมือลาอีกคนเหมือนกับที่เคยทำ....
ประตูห้องปิดลงพร้อมกับหยาดน้ำที่หยดลงบนพื้น...เดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกพร้อมกับมองสภาพตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากคนเพิ่งตากฝนมา...ถึงจะมีร่มแต่ตัวเขาก็เปียกอยู่ดีเพราะกระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแต่ถ้าไม่ได้ทงเฮป่านนี้หนังสือของเขาคงเปียกหมดและถ้าเกิดไม่ขอให้มาส่งที่หอ เชื่อเถอะว่าทงเฮต้องวิ่งตากฝนกลับแน่ ลืมร่มไว้ที่คณะนั่นก็เป็นแค่เรื่องโกหกเช่นกัน
เส้นผมชื้นเปียกลู่เข้ากับโครงหน้า...
เสื้อนักศึกษาสีขาวที่มองเห็นผิวเนื้อและใบหน้าที่เศร้าหมองของคนที่ผิดหวัง...
ในตอนนี้คยูฮยอนไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกแย่เพราะอะไร...
เพราะเจออีทงเฮหรือเพราะว่าใครอีกคนไม่มาตามนัดกันนะ?
ร่างโปร่งคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดผมเบาๆ ความรู้สึกในตอนนี้มันยากที่จะหยุดได้...อาจเป็นเพราะเสียงฝนที่ตกอยู่ข้างนอกมันดังก้องอยู่ในหัว เสียงฝนที่เขาไม่ชอบมันเลยทำให้เขารู้สึกแย่เพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ...
.
.
“ข้างนอกฝนตกแรงเหี้ยๆ ดีนะไม่ขับช็อปเปอร์มา”
“อากาศแบบนี้น่านอนกอดเมียอยู่ในห้องนะ กูว่ารีบแดกแล้วรีบกลับเถอะว่ะ คิดถึงเมีย”
เสียงของชายหนุ่มสี่ห้าคนหัวเราะนั่นไม่ได้ทำให้ใครอีกคนสนใจกับประโยคสนทนา นัยน์ตาคมจ้องมองน้ำสีอำพันในแก้วใสโดยที่ไม่ขยับตัวไปไหนมาพักใหญ่แล้ว ไม่เข้าใจตัวเอง...ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกเป็นกังวลแบบนี้ ทั้งที่เขาควรจะรู้สึกดีและเอนจอยไปกับคืนนี้เหมือนกับทุกครั้งไม่ใช่เหรอ แต่เพียงแค่คิดว่าโจคยูฮยอนกำลังรอเขาอยู่...มันก็ไม่มีใจจะทำอะไรต่อแล้ว
“ซีวอน เฮ้ย”
“หืม? ว่าไงวะ?”
“เป็นไรวะ โดนบอลแดกเหรอ”
“กูเลิกแทงบอลนานแล้วครับเพื่อน เอาอะไรมาแดกกูอีกล่ะ”
“เห็นนั่งนิ่งมานานแล้วไง มีอะไรระบายมาได้นะเว้ย” เพื่อนสนิทตบบ่าปุๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดคอเขาเอาไว้
เพื่อนที่เที่ยวกลางคืนด้วยกันถึงจะไม่ใช่เพื่อนแท้และเพื่อนที่เขารักมากที่สุด แต่เขาก็สนิทใจที่จะคบกับคนพวกนี้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมาก อยากพูดในสิ่งที่คิดก็พูดได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลเสียตามมา
“กูถามอะไรพวกมึงอย่างดิ”
“ว่ามา”
“สมมติว่ายูชอนมันชอบแฟนเก่าของมึง...มึงจะทำยังไงวะยุนโฮ?”
“อ้าวชิบหายแล้ว มึงจะล่อเมียเก่ากูเหรอไงไอ้ห้อย!” ยุนโฮหันไปกำคอเสื้อคนที่กำลังทำท่าจะยกแก้วซดท่ามกลางเสียงหัวเราะ
“พวกมึงสนใจที่ซีวอนมันถามหน่อยดิวะ ดูหน้าแม่งดิ เครียดเหมือนไปแอบชอบเมียใครเขามา”
“เออ มึงพูดถูก”
“หืม...?”
“กูก็ไม่แน่ใจว่ากูชอบหรือเปล่า แต่กูคิดว่ากูน่าจะชอบเขาว่ะ กูไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ตัวว่ากำลังชอบใครอยู่...แต่กูโง่ตรงที่เที่ยวโกหกคนอื่นไปทั่วว่ากูไม่ได้ชอบเขา”
“เออ โง่จริงว่ะ” ยุนโฮพูดพร้อมกับรินเหล้าใส่แก้วใหม่ให้ซีวอน
“55555555555555555555”
“กูแม่งอึดอัดชิบหายที่ต้องหลอกตัวเองว่าไม่ได้ชอบเขาเพื่อที่จะได้หักห้ามใจตัวเอง”
“แล้วเรื่องไอ้ยูชอนชอบเมียเก่าไอ้ยุนโฮล่ะ?”
“มันเปรียบเทียบหรอก มึงเคยรู้เหี้ยไรบ้างเนี่ยจุนซู?” ยุนโฮหันไปตบหัวคนข้างๆ จนแทบหน้าคะมำ ซีวอนกุมขมับก่อนจะยกแก้วดื่มย้อมใจ สุดท้าย...เขาก็ระบายความรู้สึกออกมาให้เพื่อนกลุ่มนี้รู้
เพราะยังไง...พวกนี้ก็ไม่มีใครรู้จักทงเฮกับคยูฮยอน...
“แล้วยังไงวะ ชอบก็ชอบไปดิ มึงคิดมากอย่างกับว่าจะชอบเขาไปจนวันตาย”
“.................”
“เออถูกของยุนโฮมันว่ะ มึงเคยคบใครเกินสองสามเดือนด้วยเหรอวะกูแทบจำไม่ได้ ที่เห็นก็มีแต่วันไนท์สแตนด์ทั้งนั้น”
“นี่ซีวอน” ยุนโฮวางแก้วลงแล้วจ้องหน้าอีกคน
“ที่มึงคิดมากเพราะเขาเป็นแฟนเก่าของเพื่อนมึงสินะถึงได้เอากูกับไอ้ห้อยมาอ้างน่ะ”
“อืม” ร่างสูงพยักหน้า
“ใครวะ เพื่อนที่มหาลัยของมึงน่ะเหรอ?”
“เออ เพื่อนสนิทด้วย”
“กูว่าน่าตื่นเต้นออกนะเว้ย ล่อเมียเก่าเพื่อนมันเป็นอะไรที่โคตรหอมหวานอ่ะ” ยูชอนหันไปแท๊กมือกับจุนซูอย่างรู้กัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนซีวอนอาจจะเห็นด้วยแต่ตอนนี้มันไม่ใช่
จู่ๆ ก็มีความคิดที่ว่า...อยากหยุดทุกอย่าง...
ไม่อยากหลอกคยูฮยอนอีกต่อไปแล้ว...
“กูจะถอยออกมา”
“เฮ้ย ทำไมวะ!”
“กูไม่อยากถลำลึกมากไปกว่านี้ เพราะกูรู้ดีว่าจุดจบมันจะเป็นยังไง” หลุบสายตาลงแล้วภาพของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมาในหัว...อยากเจอ...อยากไปหาเดี๋ยวนี้...แต่เขาทำไม่ได้
“มึงกลัวเพื่อนมึงโกรธเหรอไง”
นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขากลัว เพราะถ้าเขาชอบคยูฮยอนจริงๆ เมื่อไหร่...
“ของแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหนวะ คนที่เลิกกันไปแล้วก็คืออดีต มันอยู่ที่คนๆ นั้นมากกว่าว่ะไม่ใช่เพื่อนมึง”
“..................”
“มึงก็พูดง่ายนะยุนโฮ ไม่เจอกับตัวไม่รู้สึกหรอกห่า” จุนซูพูด
“ไม่แน่นะมึง อย่างยุนโฮมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วแม้กระทั่งเอาพี่สาวแฟน” ยูชอนหัวเราะลั่น
“เออว่ะ เลวไร้ที่ติ”
“เค้าเรียกว่ากอบโกยกำไรเว้ย ฮ่าๆ”
ใช่...เขาควรที่จะหยุดความรู้สึกตัวเอง แล้วปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งคู่เป็นเพียงแค่อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...ต่อไปนี้ชเวซีวอนจะไม่ไปให้โจคยูฮยอนเห็นหน้าอีก...ไม่อีกแล้ว...
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น...
เดินออกมาจากลานจอดรถก่อนจะกระโดดขึ้นฟุทปาธหลบน้ำที่ท่วมขังอยู่ข้างทาง เมื่อคืนฝนตกหนักมากกว่าจะหยุดก็เกือบเช้า เมื่อคืนก็ไม่ถึงกับเมาแถมกลับไปก็นอนหลับๆ ตื่นๆ เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำมันซะเลย
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เอ่ยทักทายบรรณารักษ์พร้อมกับชะเง้อหน้าเข้าไปข้างใน ดวงตากลมโตช้อนมองคนตรงหน้าที่มีท่าทางพิรุษแล้ววางปากกาลง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อะ...อ๋อ...พอดีผมมาหาเพื่อนน่ะครับ แต่เขาคงยังไม่มา” ซีวอนหัวเราะแห้งๆ พลางเกาท้ายทอยเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของเธอ
“คยูฮยอนเหรอ?”
“อ่า...”
“ปกติเขาก็มาช่วงบ่ายๆ น่ะค่ะ เขาไม่ค่อยมาเช้าแบบนี้หรอกนอกจากช่วงสอบ” ประโยคที่ได้ฟังนั่นทำให้เขารู้ว่าบรรณารักษ์สาวคนนี้สนิทกับคยูฮยอนพอสมควร ร่างสูงพยักหน้าเข้าใจพลางล้วงกระเป๋ากางเกง
“เมื่อวานเขาได้มาหรือเปล่าครับ?”
“ค่ะ เขาอยู่จนปิดหอสมุดเลยล่ะ”
“.......................”
ร่างสูงเบิกตาโพลงกับสิ่งที่เธอพูดมาเมื่อครู่...ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจเขาตั้งแต่เมื่อวานมันกลับมาตอกย้ำเขาอีกครั้ง รอยยิ้มกำลังเลือนหายไปจนอีกฝ่ายรู้สึกได้
“ดูเหมือนว่าเขาจะรอใครสักคนอยู่...”
“.......................”
“ขนาดหอสมุดปิดแล้วเขาก็ยังออกไปนั่งรอข้างนอก แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขารอไปถึงเมื่อไหร่ พอเราแยกกันแล้วสักพักฝนก็ตกลงมา”
“.......................”
“คนที่ผิดนัดใครสักคนได้ฉันว่าเป็นคนที่แย่มากนะ คุณว่าไหม?” ริมฝีปากอิ่มยิ้มบางๆ ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวพิลึก ราวกับเธอรู้ เธอดูออกทุกอย่างเกี่ยวกับเขาทั้งคู่
“ฉันไม่รู้ว่าเขาสนิทกับใครบ้าง เพราะตั้งแต่คยูฮยอนเลิกกับแฟนไปเขาก็มาที่นี่คนเดียวตลอด หลังๆ มาก็เห็นมีแค่คุณที่อยู่กับเขา”
“.......................”
“ฉันกำลังพูดอะไรอยู่นะ ฮ่าๆ ลืมมันไปเถอะ” เธอหัวเราะแล้วก้มลงปั๊มตรายางราวกับว่าเรื่องที่เธอพูดไปเป็นเรื่องปกติ ร่างสูงยิ้มตามมารยาทก่อนจะโค้งหัวให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกมาข้างนอก
ทั้งที่ภาวนาไว้ว่าขอให้คยูฮยอนอดทนรอได้ไม่นานจนหนีกลับไปก่อน...แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วเขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน...หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรหาอีกคนทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จะต้องแก้ตัวด้วยคำไหน แต่ตอนนี้เขาอยากได้ยินเสียงคยูฮยอน...รู้เพียงแค่นั้น
( .............. )
“ฮัลโหลคยูฮยอน”
( แป๊ปนึงนะครับ... )
ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ กับเสียงกระแอมเพียงเบาๆ ลอดผ่านเข้ามาในสาย...ไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่าคยูฮยอนอาจจะกำลังป่วยเพราะนั่งรอเขาเมื่อวาน
( มาแล้วครับพี่ซีวอน )
“ไม่สบายเหรอ?”
( อ๋อ...นิดหน่อยครับ ผมเป็นแบบนี้ประจำเวลาอากาศเปลี่ยนน่ะ พอสายๆ ก็หายแล้วล่ะ พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? )
“คือว่าพี่...”
( .............. )
“เมื่อวานพี่ขอโทษที่ไม่ได้มาตามนัดนะ”
( อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน เอาเป็นว่าเราเจ๊ากันนะครับ )
โกหก...
“................”
( พี่ครับ...ยังอยู่ไหม? )
“อื้ม...”
( พี่กำลังรู้สึกผิดเหรอครับ )
“...นายคิดว่าพี่กำลังรู้สึกผิดอยู่งั้นเหรอ”
( ไม่รู้สิครับ... )
“นายเรียนอยู่ตึกไหน...พี่ไปหานายได้ไหม?”
คยูฮยอนนิ่งไป ไม่ได้ตอบคำถามของเขา บางทีคยูฮยอนอาจจะโกรธจนไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้วก็ได้...ทำไมต้องโกหกว่าไม่ได้มารอ ทำไมไม่บ่น ไม่ต่อว่าอะไรเลย พูดสักคำสิว่าเสียใจ ผิดหวังกับคนอย่างชเวซีวอนแล้ว
( พี่อย่ามาเลยครับ ผมกำลังยุ่งๆ อยู่น่ะ ถึงพี่มาผมก็ออกไปคุยกับพี่ไม่ได้อยู่ดี...ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ...แค่ก! )
“แค่ห้านาทีก็ออกมาไม่ได้เหรอ?”
( อาจารย์คนนี้โหดมากครับ ถ้าสอนไม่จบคาบเขาไม่ปล่อยให้นักศึกษาออกไปข้างนอกหรอก )
โกหก...
ถ้าไม่อยากเจอกันก็บอกมาตรงๆ สิ
“โอเค...ถ้าเลิกเรียนแล้วนายจะมาที่ห้องสมุดไหม” ทั้งที่หักห้ามใจ บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องหยุดเพียงเท่านี้ จะไม่ไปเจอโจคยูฮยอนอีก...แต่นี่มันอะไรกัน?
เพียงแค่รู้ว่าคยูฮยอนรอเขาจนดึก...ก็ใจอ่อนแล้วงั้นหรือ?
( วันนี้ผมคงไม่ได้แวะเข้าไปครับ...ผมมีธุระน่ะ )
รู้สึกได้ถึงช่องว่างที่อีกคนขีดเส้นคั่นไว้และชเวซีวอนไม่สามารถก้าวล้ำผ่านไปได้อีกแล้วถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยทำมันสำเร็จ...
“โอเค...งั้นพี่ไม่กวนนายแล้ว แค่นี้นะ”
( ครับ )
ความรู้สึกเหมือนได้กลับมายืนที่จุดเริ่มต้น ตรงที่เขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับโจคยูฮยอน ไม่รู้ว่าทำไมต้องผิดหวังถึงขนาดนี้เพียงเพราะแค่อีกฝ่ายหมดความไว้ใจ ทั้งที่ตอนแรกมันเป็นความต้องการของเขาเองไม่ใช่เหรอ?
ต้องการให้คยูฮยอนผิดหวัง...ก็สมหวังแล้วไง...
แล้วนี่มันอะไรกันล่ะชเวซีวอน...
.
.
วางมือถือลงข้างหมอนแล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหาผนัง กระชับผ้าห่มขึ้นจนแทบเรียกได้ว่าคลุมโปงแล้วก็นอนต่อไม่หลับหลังจากจบบทสนทนาไปเมื่อครู่ ขาเรียวหดเข้าหาตัวพร้อมกับซุกหน้าลงกับผ้าห่ม ไม่ได้ป่วยหนักอะไรก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ยังพอเดินไหว แต่เขาเลือกที่จะนอนอยู่แบบนี้เงียบๆ ตามลำพัง
ไม่อยากให้ซีวอนคิดว่าเขาเป็นคนโง่ที่นั่งรอโดยไร้จุดหมาย...
มันอาจจะน่าหัวเราะเพราะที่เขารอนั่นไม่ได้อยากเจอแค่ลูกแมว...
เขาอยากเจอคนที่อุ้มมันมาด้วย...คนๆ นั้น...
“ขอโทษที่ต้องโกหกนะครับ...”
พึมพำเบาๆ พร้อมกับหลับตาลง...ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรอีก อยากให้ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปตามกาลเวลา และถ้าเขาตื่นมามันก็จะกลายเป็นเรื่องของเมื่อวาน...
เรื่องของเมื่อวาน....
TALK
พี่ซีวอนหวั่นไหวแต่ไม่กล้าพูดกับใคร เป็นผู้ชายเก่งแต่ปากทั้งที่ใจหวั่นไหว
พี่ทงเฮกับคยูฮยอน TVT
พี่ซีวอนกับคยูฮยอน TVT
ความคิดเห็น