คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : PART 1 : Rule
PART 1
เพราะทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นเสมอ...
“ไม่ทราบว่าเมื่อคืนหายหัวไปไหนมาครับท่านประธาน?”
เจ้าของโชว์รูมรถเบนซ์รูปหล่อเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของ CEO ฮาร์ดแวร์ชื่อดัง มือเรียววางสมาร์ทโฟนขนาดเบาบางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟายาวพลางเหยียดขาลงบนโต๊ะแก้วที่มีแจกันดอกไม้หรูวางอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ
ผมสายตาจากแฟ้มเอกสารก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายกับการใช้เงินเล่นแล้วสุดท้ายก็มาวุ่นวายเวลางานของผม...
ไอ้เพื่อนตัวดี ‘คิมฮีชอล’ นี่ล่ะครับ
“ทำไมวะ?”
“ยังมีหน้ามาถาม? เมื่อคืนอึนซอโทรหาฉันไม่รู้ตั้งกี่ร้อยรอบ” ลืมตาขึ้นพร้อมกับมองคาดโทษเพื่อนสนิทที่ชอบหาเรื่องให้เขาต้องปวดหัวอยู่เรื่อย ถ้าเกิดเขาไม่สนิทกับ ‘ซนอึนซอ’ ว่าที่เจ้าสาวของซีวอนซะก็ดีหรอก
“จะไปหาเศษหาเลยที่ไหนก็น่าจะเตี๊ยมกันบ้างไง นอกจากไม่ชวนแล้วยังหาภาระมาให้แบบนี้มันน่าไหมล่ะ อึนซอนี่ก็น่านัก...ไม่กล้าโทรเซ้าซี้แกแต่โทรมาเซ้าซี้ฉัน...ให้มันได้อย่างนี้สิ” บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวของคนรักผ่านปากเพื่อนสนิท
ซนอึนซอ...
ผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย และฐานะ ผมคบกับอึนซอมาเกือบสี่ปีแล้ว คงเป็นเพราะเธอไม่จู้จี้จุกจิกไม่ใช่คนเอาแต่ใจล่ะมั้ง...ผมถึงอยู่กับเธอได้จนถึงปัจจุบันนี้
พูดก็พูดเถอะ ต่อให้คุณจะรักสนุกมากแค่ไหนแต่พอถึงเวลาที่ต้องจริงจังกับชีวิตคุณก็ต้องมองหาใครสักคนหนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีของลูกได้ แล้วผมเองก็เช่นกัน ผมกำลังจะแต่งงานและทิ้งชีวิตอิสระไปอย่างน่าเสียดาย แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรไปเสียทีเดียว พ่อกับแม่ก็ดูภูมิใจที่ได้อึนซอมาเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ ไหนจะธุรกิจทางบ้านเธอที่ไปกันได้กับธุรกิจที่ผมกำลังดูแลอยู่อีก
ราวกับละครน้ำเน่า...
ถ้าผมเป็นพระเอกละครผมคงหาทางหนีเพื่อตามหาอิสรภาพในโลกกว้างแล้วสินะ...
แต่บังเอิญว่ามันไม่ใช่ซะด้วยสิ... (หัวเราะ)
ถอยหลังเข้าตรงลานจอดรถห้างสรรพสินค้าก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก เห็นฮีชอลพูดอย่างนั้นแล้วก็นึกรู้สึกผิดที่ปล่อยให้อึนซอต้องเป็นห่วง ก็กะว่าจะมาง้อวันนี้เพราะช่วงบ่ายมีนัดกับเธอจะไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน
แต่ก็บ้าดีนะ...ในตอนนั้นผมคิดแค่ว่าขอแค่ได้เจอผู้ชายคนนั้นก็พอถึงแม้ว่าจะมีสายเรียกเข้าอยู่เป็นระยะก็ตาม
ดับรถลงพร้อมกับบรรยากาศความเงียบที่เข้าครอบคลุม อาจเป็นเพราะภายใต้ลานจดรถที่เงียบสงบหรือเปล่าที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ แบบนี้...
ความรู้สึกเฉื่อยชา...
ผมควรตื่นเต้นที่จะได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ในอีกสองเดือนข้างหน้าไม่ใช่เหรอ?
ทั้งที่ทุกอย่างมันเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ผมจะได้แต่งงานกับเธอและใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข ไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นและวางแผนมีลูกด้วยกันสักสามคนตามที่เธอต้องการ...
แต่ผมกำลังรู้สึก...
โหยหาอะไรบางอย่าง...
บางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงลบภาพเขาออกไปจากหัวไม่ได้เลย...
ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคนในห้วงแห่งความคิดเมื่อครู่นั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามรถ...เพราะผมพักผ่อนน้อยเกินไปหรือเพราะว่าในหัวของผมมีแต่เรื่องของเขากันแน่ถึงได้เกิดภาพลวงตาขึ้นมาแบบนี้...ผมยังจ้องเขาอยู่อย่างนั้น พยายามตั้งสติ แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ยืน...จ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
ผมรีบดันประตูออกไปหวังจะเข้าไปพูดคุยกับเขาดูสักครั้ง เป็นไงเป็นกันล่ะคราวนี้ ผมจะไม่ยอมให้โอกาสพลาดไปอีกแล้ว
RRRrrrr!!
“ฮัลโหล” กดรับสายหลังจากปิดประตูรถลงด้วยความเร่งรีบ
‘มาถึงรึยังคะ’
“อ่า...ผมจวนจะถึงแล้วล่ะ...อีกเดี๋ยวเดียวนะอึนซอ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว...
‘ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องรีบก็ได้ ขับรถดีๆ นะคะ เดี๋ยวฉันเดินเล่นรอ’
“ไม่จริงน่า...” สบถออกมาเบาๆ พลางเดินออกมาตรงกลางถนนในลานจอดรถแล้วมองหาผู้ชายคนนั้น
‘คะ?’
“อ้อเปล่า...งั้นแค่นี้ก่อนนะอึนซอแล้วผมจะรีบไป”
หรือว่านั่น...จะเป็นภาพลวงตาจริงๆ?
นั่นคือสิ่งที่ผมคิด...บางที...ผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็เป็นได้ ผมอาจจะเครียดกับงานจนเกินไปหรืออาจจะวิตกกับการที่จะเป็นเจ้าบ่าวถึงได้จินตนาการออกมาเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นได้
เก็บมือถือใส่กระเป๋า ผมควรตัดใจเรื่องนี้ไปซะ...จริงๆ แล้วการกระวนกระวายเพราะ ‘ผู้ชายคนหนึ่ง’ นั่นมันไม่ใช่ผมเลยแม้แต่น้อยแต่เพราะอะไรกันล่ะ เพราะอะไรกันผมถึงได้เป็นแบบนี้...
เอี้ยวตัวหันกลับไป ผมไม่ควรปล่อยให้ว่าที่เจ้าสาวรอนานแต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนก็ต้องถอยหลังออกมาสองก้าวเมื่อเห็นคนที่ตามหายืนอยู่ตรงหน้า
“.........!!!”
หัวใจผมแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเขาในระยะใกล้แบบนี้ ใบหน้าเรียวขาวเกินกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปและนัยน์ตาที่ดำสนิท เขากระตุกยิ้มมุมปากหลังจากเห็นท่าทางของผม
“ดูเหมือนว่าคุณกำลังมองหาผมอยู่”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา...แต่น่าแปลกเสียงผู้ชายคนนี้ทุ้มนุ่มน่าฟังได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ผมพยายามตั้งสติ ผมไม่ควรปล่อยไก่อีกเป็นครั้งที่สอง จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันชัดเจนแล้วว่าเขามีตัวตนอยู่จริงไม่ใช่เพราะผมจินตนาการณ์เขาขึ้นมาเอง ผมยืนตัวตรงพลางกระชับสูทให้เข้าที่ จ้องเข้าไปยังนัยน์ตาเรียวที่ไร้แววตาแตกต่างจากอึนซอ ดวงตาของเธอมักจะส่องประกายอยู่เสมอแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ละสายตาออกจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณจะหาว่าผมเป็นคนโรคจิตหรือเปล่าล่ะ” ผมลองเชิงและทันทีที่ผมพูดจบเขาก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“ผม ชเวซีวอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ยื่นมือออกไปข้างหน้าหวังสานความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ ร่างโปร่งก้มลงมองมือของผมแล้วเงยหน้าขึ้น ไม่วายเขาคงคิดว่าผมกำลังจีบเขาอยู่เป็นแน่ แต่ผมกลับไม่แคร์ว่าเขาจะคิดยังไงในตอนนี้ผมรู้เพียงแค่ว่าผมอยากคุย อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้
“โจคยูฮยอนครับ”
.
.
ราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่...
เบื่อของเก่าก็ทิ้งมันไปอย่างไร้เยื่อใย...
ร้านกาแฟชั้นหนึ่งในห้างสรรพสินค้า ถึงตอนนี้ผมยังคงให้ความสนใจกับคนตรงหน้าจนแทบลืมไปแล้วว่านัดอึนซอเอาไว้ จนมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นนั่นแหละถึงได้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่รอผมอยู่
“ไม่รับสายเหรอครับ?”
เขาถามพร้อมกับยกอเมริกาโน่ร้อนขึ้นจิบ...ผมได้ยินคำถามของเขาแต่ที่ผมสนใจอยู่กลับเป็นริมฝีปากอิ่มที่กำลังจิบกาแฟร้อนนั่นอยู่ต่างหาก
“ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร ว่าแต่คุณดื่มแบบนั้นไม่ขมแย่เหรอครับ?” เปลี่ยนเรื่องคุยหน้าด้านๆ มันไม่น่าสนใจไปหน่อยเหรอ ผู้ชายชุดดำกับผมหยักศกสีน้ำตาลและท่าทางดูเย็นชาแต่กลับดูมีเสน่ห์แบบนั้นน่ะ
“งั้นแสดงว่าผมสำคัญกับคุณสินะครับ?”
“อ่า...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเขายังคงวกกลับมาเรื่องเดิมจนได้ แล้วคำถามนั่นผมควรตอบว่ายังไงดีล่ะ?
“ผมล้อเล่นน่ะ” เขาหัวเราะอีกแล้ว ผมกลายเป็นเหมือนตัวตลกที่ถูกเขาปั่นหัวตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“คุณทำงานอะไรเหรอคยูฮยอน”
“หืม...คุณสนใจผมเหรอ?”
“...................”
ผมไม่เคยรู้สึกจนมุมขนาดนี้มาก่อน ถึงผมจะอยากบอกกับเขาเต็มแก่ว่า ‘ใช่ ผมสนใจคุณ’ ก็เถอะ
ตั้งแต่ครั้งแรก...จนถึงตอนนี้...
คุณก็ยังทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น...คยูฮยอน...
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียว เดินเล่นฆ่าเวลาก่อนเข้าประชุมหรือว่าออกมาดูสูทตัวใหม่ที่สั่งตัดเอาไว้ล่ะ”
“อาจจะเป็นข้อแรก...ประชุมน่าเบื่อแบบนั้นผมก็ควรหาเวลาออกมารีแล็กซ์บ้างจริงไหม?”
โกหกคำโต แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปิดบังเรื่องอึนซอเอาไว้ ถ้าเกิดเขารู้ว่าผมนัดเธอไว้แล้วยังไง? ผมว่าอย่างเขาคงไม่แคร์หรอก
“ผมจำได้แค่ว่าประชุมครั้งล่าสุดก็ตอน ม.ปลาย ช่วงกีฬาสีน่ะเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก” อย่างน้อยเขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้นิดหนึ่งหลังจากทำตัวปิดกั้นอยู่นานตั้งแต่บทสนทนาแรกที่ได้คุยกัน ถ้าเขาไม่ได้ทำงานออฟฟิศแล้วทำงานอะไรนะ?
ผมอยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้แต่ถ้ารุกมากเกินไปมันก็ไม่ใช่ผมอีกนั่นแหละ...
RRRrrrrr!!!
เป็นอีกครั้งที่อึนซอโทรเข้ามา เธอคงเดินช็อปปิ้งจนไม่รู้จะใช้มือไหนถือของแล้วก็เป็นได้หลังจากรอผมมานานเกินหนึ่งชั่วโมง คยูฮยอนจ้องหน้าผมก่อนจะเสตามองเครื่องมือสื่อสารสลับกันไปมาเป็นเชิงบอกให้ผมกดรับสายสักที
“ครับผม”
‘ซีวอนจะถึงหรือยังคะ รถติดเหรอ?’
“อ่า...ใช่” ทั้งที่พูดกับคนในสายแต่ตาผมกับมองไปยังใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
‘ไม่เป็นไรค่ะ งั้นฉันไปรอที่ Starbuck แล้วกันนะ’
ว่าไงนะ! อึนซอจะมาที่นี่งั้นเหรอ!
“หืม? ทำไมล่ะ เดี๋ยวผมก็ถึงแล้ว” หลุดประโยคนี้ออกไปทำให้คยูฮยอนแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ป่านนี้คงคิดไปแล้วมั้งว่าผมเป็นไอ้หน้าม่อเมียติด
อึนซอยังไม่ทันตอบอะไรกลับมาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมก็หยัดตัวลุกขึ้นซะแล้ว ร่างโปร่งกระชับเสื้อเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าผมแล้วโค้งหัวให้ พอเห็นอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้นเอามือป้องโทรศัพท์เอาไว้แล้วหันไปคุยกับเขา
“จะไปแล้วเหรอครับ?”
“ครับ ดูเหมือนว่าจะงานเข้าน่ะ” พูดกับผมแต่สายตากลับมองไปยังมือถือที่ผมเอามือปิดไว้ คยูฮยอนหัวเราะแล้วก็เดินออกจากตรงนั้น
แต่เดี๋ยวสิ...
“คยูฮยอน!”
ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเสียงตะโกนของผมมันดังแค่ไหนและทำให้ใครหันมามองบ้างแต่สิ่งที่ผมรู้มีเพียงอย่างเดียว
ว่าผม...ต้องการที่จะเจอเขาอีกครั้ง...
ร่างโปร่งหันกลับมามองผมที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากเขาสักเท่าไหร่ ในตอนนี้ผมกดวางสายอึนซอไปแล้ว ถ้าเธอเดินมาเห็นตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ข้อแก้ตัวของชเวซีวอนมีเป็นแสนล้านข้อ
“เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?”
“......................”
“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณมองผมยังไง”
“......................”
“แต่ผมไม่อยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งที่สุดท้ายที่เราได้คุยกัน”
น่าแปลก...
ที่ผมกล้าทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่งเพื่อที่จะยืดเวลาออกไป...
“คุณต้องการอะไรจากผม”
“...เบอร์ของคุณ” ยอมตอบแบบไม่อายปาก เพราะถ้ามัวแต่อ้อมค้อมก็กลัวว่าจะพลาดเหมือนคราวที่แล้วอีก
“ได้ไปแล้วจะโทรหาผมงั้นเหรอ เมื่อกี้ตอนสายเข้าคุณยังทำท่าไม่อยากจะรับเลย”
“...ผมโทรแน่”
“ฮะๆ”
“...................”
“ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ”
เขาพูดก่อนจะเดินออกไปหน้าตาเฉยปล่อยให้ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น...เป็นครั้งแรก...ครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองถูกหักหน้าแบบไม่เหลือชิ้นดีแบบนี้ ตลอดชีวิตของผมไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถูกปฏิเสธ
โจคยูฮยอน...
นี่คุณปั่นหัวผมได้ขนาดนี้เลยเหรอ...
.
.
ทำสิ่งที่ดูโง่เง่า...
เพียงเพราะต้องการเอาชนะ...
ปัง...
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับผู้มาใหม่ในสภาพสีหน้าไม่สู้ดีนัก มัจจุราชหนุ่มผมสีอ่อนละสายตาจากเกมส์บนจอแก้วขนาดใหญ่ก่อนจะยิ้มทะเล้นเมื่อเห็นสีหน้าของร่างโปร่ง
“สวัสดีตอนหัวค่ำ ไม่แฮปปี้หรอกเหรอวันนี้?” เสียงยั่วยวนกวนประสาทยิ่งทำให้โจคยูฮยอนรู้สึกแย่ขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งคำพูดของ ‘อีทงเฮ’ มัจจุราชหนุ่มที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดก็ไม่เคยทำให้รู้สึกดีได้เลยสักครั้ง
“คุณก็รู้ว่าผมจะตอบว่าอะไร” ร่างโปร่งถอดสูทสีดำขลับพาดไว้บนโซฟาก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอีกตัว มัจจุราชหนุ่มเห็นดังนั้นแล้วก็นึกขำ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับคยูฮยอนบ้าง
“ก็ทำได้ดีนี่”
“หมายถึงอะไร” ถามทั้งที่สายตาทอดมองไปยังเพดานสีขาวสะอาด
“ที่นายแสดงละครใส่ไอ้หมอนั่นไง เจ๋งดีนะ” นัยน์ตาคมหันกลับไปมองจอแก้วอีกครั้ง มือหนายังคงกดคอนโทรลจอยเกมส์ต่อไป
“....................”
“‘ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ’ ฮ่าๆ จี้ชะมัด” ทันทีที่อีทงเฮพูดจบร่างโปร่งก็ลุกขึ้นนั่งในทันที นัยน์ตาเรียวหันไปมองมัจจุราชหนุ่มด้วยสายตาเคืองโกรธ
“ทำไมเล่า นี่นายโกรธฉันเหรอ? ไม่เอาน่าโจคยูฮยอน...ฉันก็แค่แซวเล่นก็เท่านั้น” ร่างหนากลั้นหัวเราะจนอีกคนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“ทั้งที่จงใจไปให้เขาเจอตั้งแต่วันแรก ไม่รู้ว่าจะเล่นตัวไปทำไมน่ะนะ”
“.................”
ใช่...แล้วจะทำไมล่ะ?
โจคยูฮยอนจงใจไปให้ชเวซีวอนเจอในผับวันนั้น จงใจทำให้ซีวอนกระวนกระจาย จงใจทุกอย่าง...
ก็เพื่อให้ชเวซีวอนสนใจ...
“นายจะทำอะไรก็ตาม แต่อย่าหลงระเริงจนลืมกติกาของเราล่ะ”
“.......................”
“เพราะถ้านายพลาด...คนที่จะต้องเสียใจจนตายซ้ำไปอีกรอบ...ก็ยังคงเป็นนาย...”
ปีกสีดำสยายออกกว้างร่างมัจจุราชหนุ่มค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์...โจคยูฮยอนยืนนิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่อีทงเฮพูดไปเมื่อครู่...
“99 วัน...”
TALK
งงป่ะ
เราก็งงเหมือนกันอ่ะ กร๊าก*
ความคิดเห็น