คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : PART 1 : STRANGER...
PART 1
STRANGER
เชื่อรึยัง
ว่าความตายมันอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมมือหรอก
“แม่มึง แม่มึง แม่มึง...” ริมฝีปากบางสบถไม่หยุดพลางหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะในขณะที่วิ่งหนีไปข้างหน้าไม่หยุดถึงแม้ว่าขาจะสั่นจนแทบวิ่งต่อไปไม่ไหว แต่ในตอนนี้ความตายมาจ่อคออยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างหยุดยืนโกยอากาศเข้าปอดกับวิ่งร้อยเมตรชาย โจคยูฮยอนขอตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า...
กูขอวิ่งแล้วกันครับ...
เมื่อครู่ถือว่าเป็นโชคของเขาที่ไอ้ตัวประหลาดนั่นมันเลือกจะจ้วงท้องไอ้แห้งนั่น คราบเลือดสีแดงสดติดอยู่ตามเสื้อโค้ทตัวโปรดที่เขามักจะใส่ออกมาข้างนอกประจำหากแต่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย กลิ่นคาวเหม็นคละคลุ้งไปทั่วจนนึกอยากอาเจียน ในตอนนี้จะทำอะไรไม่ได้นอกจากตั้งหลักซะก่อน..
ใช่...ต้องตั้งหลัก ตั้งสติ...จะกลายเป็นไอ้ลูกหมาตื่นตูมเหมือนพวกกุ๊ยนั่นไม่ได้
ว่าแล้วก็หยุดยืนหอบหายใจ ไอ้ตัวเมื่อกี้ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่มันฆ่าคนได้ทารุณยิ่งกว่าพวกฆาตรกรโรคจิตซะอีก หรือว่ามันจะเป็นฆาตรกรโรคจิตจริงๆ? ...แต่ถ้าใช่รูปร่างหน้าตามันจะไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอ? คนโรคจิตที่ไหนมันจะบ้าหาเวลาหาคอสเพล์เป็นสัตว์ประหลาดมาใส่ขนาดนั้น?
หรือว่าจะเป็นเอเลี่ยน?
เอเลี่ยนบุกโลกงั้นเรอะ?
รูปร่างหน้าตามันไม่น่าเป็นเอเลี่ยน...แล้วมันตัวอะไรกัน...ร่างโปร่งหันหลังกลับไปมองทางเดิมที่พึ่งวิ่งผ่านมาเมื่อครู่...พึ่งสังเกตว่าถนนหนทางแถวนี้เงียบสงบผิดปกติ...มีเพียงแค่เศษกระดาษและขยะปลิวว่อนไปตามกระแสลมพัด...มือเรียวคว้าผ้าพันคอขึ้นมาซับเหงื่อพลางเปิดดูของในกระเป๋าเป้ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ไอเทมกูยังอยู่ครบ...
พอตั้งสติได้เลยมีความคิดดีๆ แบบต้องโทรแจ้งตำรวจ!
ร่างโปร่งเดินไปยกหูตู้โทรศัพท์พร้อมกับกดโทรออกหาผู้พิทักษ์สันติราช ฟังเสียงโอเปอเรเตอร์อยู่พักใหญ่ กดต่อสายเข้าไปยังหน่วยแจ้งเหตุร้ายแล้วก็ต้องผละโทรศัพท์ออกเมื่อไม่มีคนรับสายสักที
“อะไรกันวะ ตำรวจแม่งอู้หนีไปนั่งเล่นไพ่กันหมดรึไง ฟายเอ๊ย” สบถกับหูโทรศัพท์พร้อมกับเก็บมันเข้าที่เดิมก่อนจะหันไปมองข้างๆ ที่มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขา
คยูฮยอนหรี่ตามองเพราะระแวกนั้นค่อนข้างมืด ท่าทางของเธอดูผิดปกติจนเขาเริ่มหวาดระแวง เสื้อนักเรียนสีขาวที่เลอะคราบเลือดจนร่างโปร่งต้องถอยออกทีละก้าว
ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นผี หรือเป็นอะไร แต่เธอคนนี้กำลังทำให้เขานึกถึงเกมส์ๆ หนึ่งที่เคยเล่นสมัยเจ็ดแปดปีที่แล้ว..ร่างบางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทำให้คยูฮยอนยิ่งมั่นใจในความคิด...แม่งเอ๊ย...
ปากฉีก...คอแหว่ง...นิ้วขาด...ตาถลน...จะบอกว่าเข้าช่วงเทศกาลวันฮาโลวีนมันก็ไม่ใช่...ชั่วโมงนี้คยูฮยอนไม่ขอโชว์พระเอกแล้วครับ!!
ร่างโปร่งหันหลังควับออกตัววิ่งไปข้างหน้าอีกรอบ นี่กูกำลังวิ่งมาราทอนชิงแชมป์โอลิมปิกอยู่รึเปล่า มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน ผู้หญิงคนเมื่อกี้รูปร่างสภาพแบบนั้นคงไม่ต้องเดาให้ยาก ดูยังไงแม่งก็เป็นซอมบี้ชัดๆ
.
.
นายรู้สึกเหมือนพี่รึเปล่า...
รู้สึกถึง...ช่องว่างระหว่างเราน่ะ...
ตึง!!!
แกร่กๆ
มือแกร่งปิดประตูห้องพร้อมกับล็อคกลอนแน่นหนาหลังจากทั้งคู่วิ่งหนีขึ้นมาบนชั้นสองของร้าน... ประตูหลังที่คิดว่าน่าจะใช้เป็นทางหนีได้กลับมีแต่เหล่าผีดิบที่ยืนขวางทางออกข้างนอก...ไร้ซึ่งทางหนีรอด
ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน กีต้าร์ที่พิงอยู่กับผนังห้อง และเตียงเดี่ยวที่ใช้สำหรับนอนคนเดียว ร่างโปร่งกวาดสายตามองไปรอบๆ นี่คงเป็นที่ทงเฮอยู่ นัยน์ตาคมจ้องมองน้องชายที่ยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีอ่อนล้า...มือแกร่งกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่...
เห็นเพื่อนตายต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งที่สอง...
“ทงเฮ”
ทันทีที่เอ่ยเรียก เจ้าของชื่อก็เดินออกจากตรงนั้นพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า รื้อไปรื้อมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดแบบฟอร์มชุดทำงานออกและเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง สวมเสื้อแจ๊คเก๊ตหนังสีดำทับอีกชั้นกระชับให้เข้าที่พลางเดินไปเปิดลิ้นชักออก
“...............” ร่างโปร่งมองคนตรงหน้าที่หยิบปืนออกมาจากลิ้นชัก ก็พอรู้มาบ้างว่าทงเฮชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับแก๊งนักเลง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะถึงขั้นพกปืนติดตัวไว้ขนาดนี้
ทงเฮเหน็บปืนไว้ข้างหลังพลางสบตากับร่างโปร่ง ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลอะไรทั้งสิ้น สถานการณ์แบบนี้นอกจากปืนแล้วเขาก็คงไว้ใจอะไรไม่ได้อีก...ความเงียบครอบคลุมอีกครั้ง ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งทงเฮก็ยังมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ จองซูหลุบสายตาลงก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง มือแกร่งคลี่ม่านมู่ลี่ลงเล็กน้อยพลางทอดสายตาออกไปข้างนอกถนน...
เหล่าผีดิบนับสิบเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านและคาดว่าพวกที่สุมข้างหลังร้านก็ยังคงไม่ไปไหน บ้างก็ทุบประตูหาทางเข้าไปหาเหยื่อ บ้างก็รุมกัดกินเนื้อคน บ้าจริง...นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น?
“เราควรจะหาทางหนีจากที่นี่ เพราะจากที่ดูๆ แล้ว...พวกมันคงพังขึ้นมาชั้นสองได้ไม่ยาก” จองซูพูดพลางดึงม่านมู่ลี่ขึ้นพลางเปิดหน้าต่างออกไป สำรวจข้างนอกดูทางหนีทีไล่อยู่ครู่หนึ่งพอจะมีราวให้ปีนข้ามไปได้ นอกจากทางนี้แล้วก็ไม่มีทางอื่นที่จะใช้หลบหนีได้อีกแต่ถ้าให้ย้อนกลับไปทางเดิมก็คงเสี่ยงเกินไป
ทงเฮมองแผ่นหลังร่างโปร่งด้วยแววตานิ่งงัน พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้วยิ่งรู้สึกได้ถึงปมด้อยของตัวเอง...จองซูเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ มีดีกว่าเขาในทุกๆ ด้าน มันก็ไม่แปลกหรอกที่พ่อจะรักจองซูมากกว่าเขา
ตึง!!
“
!!!!!” ทั้งคู่หันกลับไปมองประตูไม้สีน้ำตาลพลางถอยหลังคนละก้าว จองซูดึงปืนออกมาพลางเล็งไปที่หน้าประตูอย่างใจเย็น
ตึง...ตึง....ตึงๆๆๆ!!
แกร่ก...
กระชับปืนพลางเดินไปข้างหน้าทีละก้าว มือแกร่งดันน้องชายให้ไปยืนอยู่ข้างหลังก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นประริมฝีตัวเองปากพร้อมกับชี้ไปที่หน้าต่างเป็นเชิงบอกให้เงียบๆ แล้วรีบปีนหนีออกไป
ร่างหนาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อยากให้คนตรงหน้ามาเสียสละอะไรเพื่อเขา ถ้าจะหนีก็ต้องหนีออกไปด้วยกันสิ!
“นายไปก่อน” เอ่ยเสียงแผ่วพอให้ได้ยินกันอยู่สองคน ร่างโปร่งละสายตาจากประตูพร้อมกับสบตากับน้องชายด้วยแววตาจริงจัง
“ไม่” ปฏิเสธเสียงแข็ง จองซูละปืนลงก่อนจะสะดุ้งตัวอีกครั้งเมื่อประตูที่ล็อกไว้แน่นหนาเริ่มชำรุดเพราะแรงผลักดันจากอีกฝั่ง
“ได้โปรดทงเฮ...เชื่อพี่สักครั้ง” นัยน์ตาคมจ้องมองร่างหนา ทงเฮกำหมัดแน่น
หยุดทำแบบนี้กับเขาสักที...
ทงเฮหลุบตาสายลงพลางเม้มริมฝีปากแน่น ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าจองซูแค่ไหน...แต่ก็ใช่ว่าจะทนเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา..
เขาไม่ได้เกลียดที่จองซูทำ...แต่เกลียด...ในสิ่งที่จองซูเป็นต่างหาก
ทงเฮปีนออกจากหน้าต่างพลางมองซ้ายขวาหาราวเกาะเพื่อที่จะปีนออกไป เป้าหมายคือชั้นดาดฟ้าข้างตึกข้างๆ ที่เป็นอาคารบ้านเช่าติดกัน ยังไม่ทันจะปีนออกไปได้ประตูที่ล๊อกไว้อย่างแน่นหนาก็ถูกพังออกมาโดยเหล่าฝูงผีดิบสามสี่ตัว
“ตึง!!!!”
ทงเฮเบิกตากว้างเมื่อเห็นซากศพไร้วิญญาณเดินเข้ามาหาจองซูอย่างช้าๆ เหยื่อตรงหน้าช่างกลิ่นหอมหวานเสียเหลือเกิน เป็นเพราะรูปร่างอ้วนท้วมหรือเพราะอะไรก็ตามแต่...ผีดิบเหล่านี้ค่อนข้างจะเคลื่อนตัวช้า..แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี
“ปัง!!!”
กระสุนนัดแรกถูกยิงออกไปทำได้แค่เพียงให้ผีดิบตนนั้นทรุดลงกับพื้นก็เท่านั้น เหนี่ยวไกซ้ำยิงสลับกันไปมาพลางเดินถอยหลังเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนพวกนี้จะแข็งแรงเสียเหลือเกิน
มือแกร่งเปลี่ยนแม๊กกระสุนปืนพร้อมกับรัวยิงเข้าไปอีกครั้ง ตายไปแล้วสอง..ยังเหลืออีกสอง...เป็นเพราะว่าพึ่งบรรจุเข้าหน่วยเลยไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องพกกระสุนปืนมากกว่าหนึ่งแม๊ก ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี มีพื้นฐานการหลบหนีเอาตัวรอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยลองกับเหตุการณ์จริงเลยสักครั้ง
พอมีจังหวะร่างโปร่งก็หันกลับไปมองที่หน้าต่างด้วยความเป็นกังวล แทนที่ทงเฮจะปีนหนีข้ามไปอีกฝั่งแต่เขากลับยืนอยู่ที่เก่านั่นยิ่งทำให้จองซูเป็นห่วงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...
“ไป!!”
.
.
เสียงปืน...
เงียบไปแล้ว...
นัยน์ตาคมจ้องมองบานหน้าต่างที่พึ่งปีนข้ามออกมาเมื่อครู่หวังว่าใครอีกคนจะปีนตามออกมา...ตอนนี้ไม่มีเสียงปืนแล้ว...ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหวีดร้องใดๆ
รู้สึกใจเสีย...ร่างหนาก้มลงมองปืนพกเถื่อนที่ซื้อมาจากเพื่อน...มือเขากำลังสั่น...สั่นเหมือนตอนที่เคยจับมันครั้งแรก...สั่นเหมือนตอนเหนี่ยวไกใส่คู่อริครั้งแรก
เขาปีนข้ามมาทำไม? ในเมื่อเขามีเพชฌฆาตอยู่ในมือแล้วแท้ๆ...ริมฝีปากหยักสั่นระริกเมื่อความรู้สึกเดิมๆ เริ่มถาโถมเข้ามาในหัวใจ ความผิดพลาดในชีวิตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้...ถ้าเลือกได้...
อีทงเฮก็ไม่อยากเดินมาทางนี้นักหรอก...
“ผมอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ”
“พยายามเข้าล่ะ...พ่อจะรอดูลูกนะทงเฮ...”
ถามว่า...ปาร์คจองซูเป็นคนเลวหรือไงทำไมถึงได้จงเกลียดจงชักนักหนา...
เปล่าเลย...ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผู้ชายคนนั้นจะทำอะไรให้เขา...หนำซ้ำยังพยายามทำดีด้วยซะอีก...แต่ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะความริษยาที่มันมีอยู่เต็มอก...ปาร์คจองซูเป็นแค่ลูกบุญธรรมแต่กรรมได้ใจพ่อเขาไปเต็มๆ
ใช่..อีทงเฮอิจฉา..อิจฉาจนทนดูต่อไปไม่ไหว...ถึงได้เลือกหนีออกมาจากที่นั่น...
มันฟังดูไร้เหตุผลใช่ไหมล่ะ?
เคยคิดว่าต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา...แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่...
จองซู...มีชีวิตรอด...กลับมาเถอะนะ...
เคร๊งงง!!!
เสียงเหล็กกระทบกับผนังปูนซีเมนต์เรียกสติใครอีกคนได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาคมเบิกกว้างเมื่อร่างโปร่งกำลังยันตัวพยายามปีนหน้าต่างออกมาอย่างลำบาก ในมือมีท่อนเหล็กยาวเท่าแขนที่ใช้เป็นอาวุธแทนปืนที่กระสุนพึ่งหมดไป ทงเฮเดินเลียบออกมาเล็กน้อยเมื่อผีดิบกำลังพยายามคว้าขาจองซูเอาไว้ มือหนาคว้าปืนออกมาเล็งครู่หนึ่งก่อนจะเหนี่ยวไกออกไป
ปัง!!!
ร่างโปร่งสะดุ้งน้อยๆ เมื่อลูกกระสุนมันเฉียดขาเขาไปนิดเดียว ใบหน้าเรียวจ้องมองน้องชายที่ยืนทำหน้านิ่งพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนรีบปีนออกมาจากตรงนั้น
พอเท้าถึงพื้นดาดฟ้าของตึกตรงข้ามจองซูก็ขอถอนหายใจสักที...ถ้าไม่ตายเพราะซอมบี้ก็คงตายเพราะฝีมือคนตรงหน้านี่แหละ
“ต้องฝึกอีกเยอะ” พูดพร้อมกับถอดผ้าพันคอที่เป็นอุปสรรคแก่การหลบหนีทิ้งลงพื้นพลางจ้องหน้าน้องชายที่ทำหน้าไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว
.
.
เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น...
แต่ผมว่า..ความใกล้ชิด...นั่นก็สำคัญเหมือนกัน...
ชายหนุ่มทั้งสองค่อยๆ ก้าวลงบันไดอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าข้างล่างนี่จะมีฝูงผีดิบสักกี่ตัว มือแกร่งกระชับท่อนเหล็กหนาไว้พอเหมาะ จะให้ทงเฮเดินนำก็ไม่ได้ เด็กหนุ่มที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องสู้รบทางด้านนี้ยังไงก็ให้มาเสี่ยงไม่ได้
ไม่ได้ดูถูก...แต่ถ้าทงเฮเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาเขาล่ะก็...เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต..
แม้ว่าอาวุธของเขาจะไม่มีประสิทธิภาพมากนักแต่ถ้าจะให้ขอปืนจากทงเฮ..แบบนั้นเลิกคิดซะดีกว่า ข้างหน้ามีแสงไฟนีออนสลัวๆ เพิ่มบรรยากาศให้น่ากลัวเป็นเท่าตัว ทงเฮคอยระวังหลังให้จองซูอยู่ตลอด ในตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำตัวทิฐิสูง...
ที่สำคัญ...คือต้องเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ให้ได้...
เอาชีวิตรอดออกไปงั้นเหรอ...
พ่อล่ะ...
ใช่...พ่อของเขา...
“พ่อล่ะ??” มือแกร่งจับไหล่อีกฝ่ายให้พลิกตัวหันกลับมาหากแต่อีกฝ่ายกลับยกมือปรามเอาไว้
“ชู่วววว์”
ครืด....
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่ อาจเป็นโต๊ะ หรือตู้อะไรสักอย่าง...ร่างโปร่งค่อยๆ ก้าวลงบันได เสียงนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับมือแกร่งที่เล็งปืนไปข้างหน้า เตรียมพร้อมจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“
..!!!!”
“อ...อย่ายิง!!” ร่างผอมบางละมือออกจากตู้เสื้อผ้าพลางยกมือขึ้นเหนือหัว ชายหนุ่มทั้งคู่หยุดชะงักเมื่อคนตรงหน้านั้นไม่ใช่ผีดิบแต่อย่างใด...ใบหน้าเรียวสวยราวกับผู้หญิงนั้นฉายแววตาหวาดกลัวจนทรุดลงไปกับพื้น จองซูรีบเข้าไปพยุงร่างบางเอาไว้ก่อนจะวางท่อนเหล็กลงข้างตัวในขณะที่ร่างหนาถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเก็บปืนเข้าที่
“คุณ...คุณ” มือแกร่งจับไหล่บางไว้ทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทิ้มเพราะความกลัว ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่าย น้ำตาไหลอาบแก้มก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงทุบประตูที่ดังจากทางด้านนอก
“ทงเฮ มาช่วยพี่หน่อย” พูดจบก็วางร่างบางลงก่อนจะขอแรงน้องชายให้ช่วยดันตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ไปขวางประตูเอาไว้
.
.
ภายในห้องนั่งเล่นร่างหนาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางสังเกตการณ์สถานการณ์ด้านนอก เขาเห็นกับตาว่าคนที่ถูกกัด...ในไม่ช้า...ก็จะกลายเป็นเหมือนกับพวกมัน...
เหมือนที่โยซอปเป็น...
“ผมเป็นนักเขียนไส้แห้งที่อาศัยอยู่ห้องเช่านี้มาเกือบเดือนแล้ว...น้องชายยกให้ผมผ่อนต่อแล้วเขาก็ย้ายออกไปอยู่กับแฟน” ร่างบางพูดขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่มีแต่โปสเตอร์รูปศิลปินเจร็อคและเศษซากเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนโซฟาบ้าง บนโต๊ะบ้าง...ดูยังไงแล้วก็ไม่น่าจะเป็นห้องของหนุ่มหน้าสวยคนนี้
“น้องชายผมชอบมาค้างบ่อยๆ เวลาเมากลับบ้านไม่ได้...ร้านข้างๆ นี่น่ะ” ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ พลางชี้ไปที่ร้านเหล้าที่ทงเฮทำงานอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นทงเฮกลับไม่คุ้นหน้าคนๆ นี้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น...พอรู้ตัวอีกที...น้องชายของผมก็ถูกพวกมัน...” ดวงหน้าหวานสลดลงอย่างเห็นได้ชัด จองซูประสานมือไว้บนตักพลางใช้ความคิด...อย่างน้อยตอนนี้ก็พบคนรอดชีวิตเพิ่มขึ้นแล้ว คาดว่าถ้าเดินทางต่อไปข้างหน้าก็คงพบผู้รอดชีวิตเพิ่มอีกเป็นแน่
“พวกคุณมาจากที่ไหนกัน ทำไมเข้ามาในนี้ได้?” ร่างบางเอ่ยถามคนตรงหน้า จองซูหันไปมองน้องชายที่กำลังยืนใช้ความคิดไม่ต่างจากเขา
“พวกเราปีนออกมาจากร้านเหล้าข้างๆ นี่เอง...พวกมันไล่ต้อนเราจนจนมุม”
“อ่า...ข้างนอกนั่น...”
“คุณต้องออกไปจากที่นี่นะ ชั้นหนังสือนั่นน่ะ กันไว้ได้ไม่นานหรอก” ร่างโปร่งคว้าปืนออกมาพร้อมกับดูแม๊กกระสุนที่หมดไปแล้วพลางถอนหายใจ
ยังไงก็ต้องไปหากระสุนเพิ่ม ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะเอาชีวิตรอดไปได้...
“คุณ...”
“ครับ?”
“เป็นตำรวจเหรอ?” นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองปืนพกของร่างโปร่งที่มีตราสัญลักษณ์แปลกๆ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่ปืนเถื่อนที่หาซื้อได้ทั่วไป คนตรงหน้านี่ไม่ใช่คนธรรมดาสินะ
“ครับ”
“อ่า...ดีจังเลย...อย่างนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย...” ร่างบางระบายยิ้มก่อนจะกระชับผ้าคลุมไหล่เพื่อคลายความหนาว พอเห็นรอยยิ้มของร่างบางแล้วจองซูก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อยก็ยังมีคนรอดชีวิต...คน...ที่ยังมีลมหายใจอยู่
“ลืมแนะนำตัวไปเลย...ผม...คิมฮีชอลครับ”
“ผมปาร์คจองซูครับ...ส่วนนั่น...อีทงเฮน้องชายของผม” ประโยคหลังค่อนข้างแผ่วเบาลงเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจกับสรรพนามนั้น นัยน์ตาคมเหลือบมองชายหนุ่มทั้งคู่ก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟาด้วยกัน
“ไม่มีเวลาแล้ว...ถ้าเกิดคนโดนกัดเพิ่มมากขึ้น โอกาสที่เราจะรอดก็มีน้อยลง” ทงเฮพูดพลางจ้องมองไปยังคนตรงหน้า
“ใช่ เพราะฉะนั้นเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” จองซูว่าพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ..ตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มแล้ว
“สถานีตำรวจล่ะ? เราไปตั้งหลักกันที่นั้นได้นะ” เป็นคิมฮีชอลที่เอ่ยขึ้น
“ต้องมีตำรวจที่รอดชีวิตแล้วคอยช่วยเหลือคนอยู่แน่ๆ” ร่างบางพูดเสริม นับว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า ที่นั่นต้องมีปืน มีตำรวจผู้รอดชีวิตอยู่แน่..
อีทงเฮพอจะเห็นประโยชน์ของนักเขียนคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“อันดับแรกคือ..เราจะออกจาที่นี่ได้ยังไง?” อีทึกพูดพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ นอกจากประตูหลังแล้วก็มีหน้าต่าง...ซึ่งมันติดกับถนน ขืนออกไปทางนั้นคงไม่ได้ตายดีแน่
“ข้างบนไง ปีนขึ้นดาดฟ้าอีกรอบ...ผ่านไปอีกสามช่วงตึกก็ถึงปั๊มน้ำมันแล้ว ตรงนั้นน่าจะมีรถจอดอยู่สักคันสองสามคันนั่นแหละ” ทงเฮพูดขึ้น นั่นเรียกความสนใจให้กับทั้งคู่ได้ไม่น้อย
จากประสบการณ์หนีตายจากคู่อริที่เคยผ่านมา นับว่าเป็นข้อดีข้อแรกที่เขาหาได้จากเรื่องเหล่านี้
.
.
เค้าว่ากันว่า
ถ้าไปไหว้พระทุกวันเสาร์แล้วจะเสริมโชคให้กับชีวิต...
แต่ทุกวันเสาร์...ผมมักจะอยู่เล่นเกมส์จนถึงเช้า..และตื่นไปวัดไม่เคยทันเลยสักครั้งเดียว
“จริงๆ เราก็ดวงดีเหมือนกันนะเนี่ย ฮะๆๆๆ...” พูดกับตัวเองเบาๆ พลางหัวเราะประชดชีวิตในขณะที่กำลังยืนดันประตูที่กำลังถูกฝูงซอมบี้รุกรานเอาไว้...
คิดถูกแล้วเหรอที่มาเสี่ยงตายในห้างสรรพสินค้านี่... orz
แต่ในนี้มันมีทุกอย่างตั้งแต่อาหาร เครื่องดื่มทุกชนิดยกเว้นปืน...แต่อย่างน้อยก็พอมีอาวุธบ้างล่ะนะ ไม่ว่าจะเป็นมีดที่อยู่ตามแผนกเครื่องครัว ...ไม้ถูพื้นมันคงน่ารักเกินไป ถังดับเพลิง และขวานที่ติดอยู่ข้างถังดับเพลิง
บางทีกูก็ Genius เกินไป...
ปังๆๆ!!!
“เออ!! เคาะหาพ่อมึงเหรอสัด” ตะโกนด่ากลับไปเมื่อเหล่าซอมบี้หัวหลิมเอาแต่ทุบประตูไม่หยุด จะแดกกูก็ยากหน่อยนะครับ เพราะกว่าจะสับขาหลอก กลั้นหายใจ ย่องผ่านฝูงซอมบี้ที่กำลังสวิงกิ้งกินซากศพมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่แรงมนุษย์หรือจะสู้แรงอสูรกายนับสิบ คยูฮยอนแทบหัวทิ่มเมื่อบานประตูพังลงมา ร่างโปร่งหันหลังกลับไปมองก็แทบลมจับเมื่อซอมบี้เหล่านั้นนับตัวได้เลยทีเดียว ไหนจะสาวแบงค์กระโปรงสั้น ไหนจะอาจุมม่าที่พาลูกหลานมาเดินห้าง...ไหนจะผีเด็กที่มีจุกนมอยู่ในปาก...โอย...กูต้องวิ่งอีกแล้วสินะ
.
.
วิ่งหนีมาพักใหญ่ก็ต้องผงะเมื่อข้างหน้าเป็นทางตัน...ข้างหน้าเป็นแผนกขายเฟอนิเจอร์ที่มีเพียงแค่ตู้ใส่รองเท้าขนาดเล็กอยู่ตรงหน้า...
คุณพระช่วย...ถึงกาลอวสานของกูแล้วหรือ....
“ย...อย่าเข้ามานะโว๊ย!!” พูดพร้อมกับโยนกระเป๋าเป้ใส่หน้าผีดิบที่กำลังเดินเข้าไปหาทีละก้าวโดยไม่หวงแหนไอเทมที่อยู่ข้างในเลยแม้แต่น้อย...หวังจะให้มันเจ็บปวดกับแรงปะทะนั่นบ้างแต่หากได้ผลไม่...ร่างโปร่งถึงกับเหงื่อตกถอยหลังเดินไปเรื่อยๆ ร่างไร้วิญญาณสองชีวิตนั่น...กำลังก้าวเข้ามาเด็ดชีวิตเขา...
ไม่นะ.....ผมยังไม่อยากตาย!!!
ปัง!! ปัง!!
ร่างโปร่งหลับตาปี๋รับชะตากรรมว่ายังไงก็ต้องตายแน่ๆ หากแต่เสียงปืนที่ดังขึ้นเพียงสองนัดนั้นทำให้เด็กหนุ่มผวาแทบเสียสติ คยูฮยอนก้มลงเปิดประตูชั้นรองเท้าออกพร้อมกับรีบมุดหัวเข้าไปข้างใน ถึงแม้ว่ามันจะลำบากและยากที่เด็กตัวโตๆ อย่างเขาจะยัดตัวเองเข้าไปในนั้นได้ก็ตาม
ไม่ได้สนใจเลย...ว่ามีใครคนหนึ่งที่ยืนมองเขาอยู่อย่างเอือมๆ
“อย่าเข้ามานะเว้ยยยยยยยยยย”
ร่างผีดิบทรุดลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นที่มีแต่กองเลือด มือหนาปลดแม๊กกระสุนทิ้งลงพื้นก่อนจะใส่แม๊กใหม่เข้าไปแทนที่ พยายามเซฟกระสุนให้มากที่สุดโดยการเล็งเข้าไปที่หัว...นั่นคือจุดอ่อนของพวกมัน..
ร่างหนาเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มที่พยายามมุดหัวเข้าไปอยู่ในชั้นรองเท้าแล้วก็ต้องถอนหายใจก่อนจะเดินไปดึงคอเสื้ออีกคนให้ลุกขึ้นมา
“จะทำอะไร”
นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้านั้นไม่ใช่พวกผีดิบแต่อย่างใด คยูฮยอนเขย่งเท้ายืนเมื่อถูกอีกฝ่ายกำคอเสื้อเอาไว้ ชายหนุ่มร่างหนาที่อยู่ในเครื่องแบบทหารหากแต่ไม่เหมือนทหารทั่วไป ข้างในเป็นเสื้อยืดเข้ารูปสีดำแขนสั้นเห็นกล้ามแขนกล้ามหน้าอกได้อย่างชัดเจน สวมกั๊กตัวนอกที่มีอุปกรณ์เสริมตั้งแต่กระสุนปืนยันระเบิดและกางเกงลายพลางสีเขียวปนเหลืองสนับเข่าพร้อมรบ...นั่นทำให้เด็กหนุ่มตาเป็นประกายขึ้นมา
เหมือนพวกทหารรบในเกมส์เลย! โคตรเท่!!
.
.
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มร่างหนาเอาแต่เดินไปข้างหน้า เขาเดินเร็วเสียจนคยูฮยอนต้องเร่งฝีเท้าตาม...เมื่อกี้มีโอกาสได้คุยกันนิดหน่อย... เขาชื่อ คิมยองอุน เป็นหทารรับจ้างที่มาเพื่อกวาดล้างฝูงผีดิบและช่วยเหลือผู้รอดชีวิต...และคนแรกที่เขาพบ...ก็คือโจคยูฮยอน
ทั้งคู่เดินเรียบไปตามทางเดินที่เงียบสงบไร้ซึ่งผีดิบต่างจากเมื่อครู่...อย่างน้อยก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง มันก็ยังดีกว่าที่จะให้เขาหนีตายไปอย่างไร้จุดหมายแถมไม่มีอาวุธติดตัวแบบนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะโชคดีไปได้สักกี่น้ำ
ติ๊ง...
‘ลิฟท์กำลังเปิด...’
ประตูลิฟท์ตรงหน้าเปิดออกพร้อมกับเสียงระบบอัตโนมัติก่อนที่จะเดินตามร่างหนาเข้าไป ภายในตัวลิฟท์มีกระจกอยู่รอบด้าน ดวงตากลมโตละเมียดมองทหารหนุ่มที่กำลังจัดแจงกระสุนใส่ปืนที่มีมากกว่าหนึ่งกระบอก ทั้งปืนกลที่สะพายอยู่ด้านหลัง ไหนจะมีดพก ไหนจะระเบิด ดูแล้วคนๆ นี้คงเลือดเย็นน่าดู
‘ชั้นสี่...’ เสียงระบบอัตโนมัติที่บอกพิกัดทุกชั้น นั่นทำลายความเงียบไปได้บ้าง พอมองอาวุธทหารหนุ่มแล้วก็นึกอยากขอยืมมาควงเล่นสักกระบอก มีเยอะขนาดนั้นคนๆ เดียวคงไม่น่าใช้หมดหรอก
อีกอย่าง...เขาเล่นเกมส์ Shooting มาเยอะ...ถึงไม่เคยลองยิงปืนจริงๆ แต่มันก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกน่า...
“ผมขอสักกระบอกได้ไหม”
“เด็กอย่างนายเล่นปืนอัดลมก็พอแล้ว”
-________________________-
ดูถูกกันเกินไปแล้วนะเว้ยยยยยยยยยยยยยย
นึกหงุดหงิดในใจแต่ก็ทำได้แค่เงียบปาก...เพราะขืนโวยวายไปมีแต่จะเสียกับเสีย ขืนไอ้ล่ำนี่มันเปลี่ยนใจปล่อยเซอร์ให้เขาเล่นวิ่งไล่จับกับซอมบี้จะลำบากเอาเปล่าๆ
“ชั้น...เจ็ด...”
เป็นคยูฮยอนที่เอ่ยปากแทนระบบอัตโนมัติ ร่างหนาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยืนลอยหน้าลอยตาแล้วก็นึกหงุดหงิดขึ้นมา...เหตุผลนี่แหละนะ...ที่เขาไม่ชอบเด็ก...
“ชั้น...แปด...”
“หุบปากเถอะน่า”
ไม่ฟังเสียงห้ามปรามของอีกคน อยากใจร้ายกับเขาก่อนทำไม แค่ขอปืนกระบอกเดียวทำงก
“ลิฟท์...ค้าง”
กึ่ก!!!!!!!!
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” สมพรปากแท้ๆ ลิฟท์ค้างทันทีหลังจากที่ร่างโปร่งพูดจบ คิมยองอุนอยากตบหน้าผากตัวเองสักที เริ่มนึกเสียใจที่หิ้วเด็กเมื่อวานซืนมาด้วย ไฟในตัวลิฟท์ดับลงก่อนที่จะได้ยินเสียงกึกๆ อะไรบางอย่างที่ฟังแล้วไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่...
“ยืนชิดผนังไว้” คยูฮยอนพยักหน้าก่อนจะถอยหลังชิดผนังทั้งที่มองไม่เห็นหน้าทหารหนุ่ม ตอนนี้ระบบไฟฟ้าอาจจะขัดข้อง
“ไฟฟ้าอาจจะ...”
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
พูดไม่ทันจบจู่ๆ ตู้ลิฟท์ก็ร่วงลงไปด้วยความเร็วสูง ตัวเลขสีแดงที่บ่งบอกชั้นนับถอยหลังไปเรื่อยๆ อีกไม่นานลิฟท์คงตกลงไปกระแทกที่ชั้นหนึ่งเป็นแน่
“เกาะไว้แน่นๆ!!”
ครืดดดดดดดดดดดด.........
ติ๊ง....
ลิฟท์หยุดนิ่งที่ชั้นห้า...ทั้งคู่ยืนนิ่งไม่ขยับตัวกลัวว่าลิฟท์จะร่วงลงไปอีก คยูฮยอนหอบหายใจอย่างลำบาก วันนี้เกิดเหตุการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินสักที T_T
“เอาล่ะ...เราคงต้องปีนออกไป”
(-___ - ) ห๊ะ!! ปีนออกไปเรอะ?
พูดจบทหารหนุ่มก็ไล่มองความสูงของประตูลิฟท์ก่อนจะแทรกนิ้วเข้าไปงัดประตูออก ไม่นานนักแสงสว่างก็ลอดเข้ามาในตัวลิฟท์ ถือว่าเป็นโชคของเขาทั้งคู่ที่ลิฟท์หยุดอยู่ตรงกลาง พอที่จะให้เขาลอดออกไปได้ คยูฮยอนส่ายหน้าพรืดเมื่อร่างหนาหันมาที่เขาเป็นเชิงบ่งบอกว่าให้เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปก่อน
“ไม่เอาอ่ะ ผมเคยเห็นในหนัง พอลอดออกไปได้ครึ่งหนึ่งลิฟท์มันก็จะทำงาน แล้วผมก็จะตัวขาดครึ่ง T_T” เด็กน้อยเอ่ยเสียงแผ่ว ถ้าจะตายก็ไม่ขอตายแบบนั้นแน่
คิมยองอุนถอนหายใจพรืด นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา จะยอมตายอยู่ในลิฟท์นี่ใช่ไหม?
“คุณปีนไปก่อน แล้วคอยดึงผมจากข้างนอกสิ” ดันไหล่อีกคนเบาๆ เจ้าตัวได้แค่ส่งสายตาไม่พอใจคืนมาก่อนจะหันกลับเข้าประตูลิฟท์
การปีนป่ายไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทหาร เพียงไม่กี่วิร่างหนาก็แทรกตัวออกจากตู้ลิฟท์สี่เหลี่ยมนี้ไปได้ คยูฮยอนยังคงลังเลอยู่ ถึงแม้ว่าทหารหนุ่มจะผ่านไปได้ก็จริง แต่ถ้าลิฟท์มันเกิดทำงานตอนที่เขากำลังลอดออกไปล่ะ
“ส่งมือมาสิ” พูดพร้อมกับยื่นมือออกมาพลางหันหลังไปมองรอบๆ
“.........!!!??”
ยังไม่ทันจะยื่นมือออกไปลิฟท์ตัวการก็เริ่มแผลงฤทธิ์อีกครั้ง คยูฮยอนชะงักเมื่อลิฟท์เกิดทำงานในชั่วพริบตาจนต้องถอยหลังพิงผนังลิฟท์เอาไว้เพราะความหวาดกลัว ร่างหนาเบิกตากว้างเมื่อลิฟท์นั้นร่วงลงไปต่อหน้าต่อตาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของเด็กหนุ่ม...
“เฮ้ย!!! ไอ้หนู”
.
.
ในสถานการณ์แบบนี้
จะมีใครที่จะหวังดีกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างผม
“แฮ่กๆ...” ร่างโปร่งโกยออกซิเจนเข้าปอด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หยาดน้ำตาไหลซึมออกมา อาจเป็นเพราะความตกใจกลัว และอันตรายรอบข้าง...
ในตอนนี้...เขายังไม่ตาย...
“................” ลิฟท์หยุดที่ชั้นสอง ประตูยังถูกง้างไว้โดยทหารหนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้เพราะมันเกินความสามารถส่วนสูงของเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยก็พบข้อดีแล้วหนึ่งข้อ...
หนึ่ง...เขายังไม่ตาย
ร่างโปร่งนั่งลงกับพื้นพร้อมกับรูดซิปกระเป๋าเป้ออกก่อนจะกดเปิดมือถือที่ปิดไว้ตั้งแต่ตอนเรียนพิเศษ ในระหว่างรอเครื่องบูธก็แกะฟอยช็อกโกแลตขึ้นมากินคลายความหิว ยิ่งเครียดก็ยิ่งต้องกิน...
“ฮัลโหล.....ข้างนอกมีใครอยู่ไหม” ตะโกนขอความช่วยเหลือ ในใจยังคงหวังอยู่ลึกๆ ว่าทหารหนุ่มคนนั้นจะย้อนกลับลงมาช่วยเขา แต่ถ้ามองกลับกัน...ถ้าเกิดเขาเป็นทหารคนนั้น...ก็คงไม่ย้อนกลับมารับเด็กที่ไร้ประโยชน์อย่างเขาหรอก
แม่งดราม่าสัด... orz
แค่คิดนะเว้ย........ยังไงก็ตาม....ต้องกลับมาช่วยผมนะครับคุณทหาร T_T
Missed Call เกือบห้าสิบสายทั้งของพ่อและของแม่ทำให้คยูฮยอนแทบอยากกัดลิ้นตาย พ่อแม่คงโทรหาเขาตลอดในช่วงที่เขากำลังเรียนพิเศษอยู่สินะ แต่เดี๋ยว...มีข้อความด้วยนี่
คุณได้รับข้อความจาก
‘ออมม่า’
[ คิยู รีบออกมาจากที่นั่นเดี๋ยวนี้ โทรหาแม่ด้วย! ]
คุณได้รับข้อความจาก
‘ออมม่า’
[ คิยู.......ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่ รีบหาทางออกจากโซลให้เร็วที่สุด...ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่นอกเขตแล้ว ]
คุณได้รับข้อความจาก
‘ออมม่า’
[ ลูกรัก ถ้ายังมีชีวิตอยู่...ได้โปรด...ติดต่อแม่มาด้วย....... ]
อยากจะร้องไห้จริงๆ เชียว...ว่าแล้วก็รีบกดโทรออกหาแม่ แต่ก็แทบจะข่วนหน้าตัวเองเมื่อสัญญาณในลิฟท์เสือกไม่มี....ร่างโปร่งเอนหัวพิงกับผนังลิฟท์ ออกซิเจนเริ่มน้อยลงไปทุกทีๆ เขาไม่ได้ตายเพราะโดนกัดก็ตายเพราะขาดอากาศนี่แหละ
“ซอมบี้อยู่ข้างนอกรึเปล่า.......กูอยู่ในนี้......รีบคลานเข้ามากินกูเร็ว........”
ราวกับคนสิ้นหวังในชีวิต พยายามปลอบใจตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ข่าวดีเรื่องที่สองของวันคือ...พ่อกับแม่เขาปลอดภัยแล้ว ขาเรียวเหยียดออกกับพื้น ถ้าเผลอหลับไปแล้วขาดอากาศหายใจจนตายจะรู้ตัวบ้างไหมนะ
กึ่ก!!
ร่างโปร่งยกมือขึ้นบังแสงสว่างจากไฟฉายที่ส่องเข้ามาในตัวลิฟท์ นั่นใครกัน? คุณทหารคนนั้นใช่ไหม...แต่รูปร่างทรงผมนั่น...ดูไม่คุ้นตาเลย...หรือว่าจะไม่ใช่?
“คุณ...ปลอดภัยดีใช่ไหม?”
- มอย -
ตอน 1 มาล่ะ
แต่งฟิคสนองตัวเองก็เป็นแบบนี้ เขียนเร็วกว่าฟิคเรื่องอื่น orz
หลายคนคงงง และหลายคนคงไม่อ่าน
แต่ไม่เป็นไร แต่งเองอ่านเอง ฟินเอง
5555555555555555555
จองซู ทงเฮ ฮีชอล จะหนีรอดไปได้หรือไม่ จะมีใครตายรึเปล่า?
แล้วใครกันนะที่มาช่วยคยูฮยอนอ้ะ . _.
นี่คือเครื่องแบบของพี่คังนะคะ จะออกทำนองนี้เลย
ความคิดเห็น