คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
Intro
ผมคิดว่าความรักมันเป็นเรื่องของความบังเอิญ
ยกมือขึ้นบังแสงแดดพลางมองไปยังสถานการศึกษาที่เพิ่งเดินทางมาถึง กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ทำเอา ‘โจคยูฮยอน’ ปวดหัวได้เหมือนกัน นอกจากจะโดนแท๊กซี่พาขับวนไปวนมาจนเงินเก็บในกระเป๋าที่สะสมมานานค่อยๆ หดหายไปทีละนิดทีละน้อยแล้วยังต้องลากกระเป๋าเดินทางใบเบ่อเร่อมาที่โรงเรียนด้วยอีกแต่ก็เอาเถอะ...อย่างน้อยเขาก็บรรลุเป้าหมายแล้วตั้งหนึ่งอย่างล่ะนะ...
ว่าแล้วก็ก้มมองสัมภาระกระเป๋าเดินทางที่ลากมาด้วย ไอ้ของสิ่งนี้มันทำให้เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นก็คือยามหน้าโรงเรียน ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงเศษๆ ตามทฤษฏีของไอน์สไตน์เขาก็ควรจะถึงตั้งแต่เจ็ดโมงสี่สิบแล้ว แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น...ก็นั่นแหละที่ทำให้เขาต้องมาสาย
วันนี้เป็นวันแรกที่คยูฮยอนย้ายมาอยู่ในโซล ขณะที่คนอื่นๆ เขาเปิดเทอมมาแล้วร่วมสามเดือน มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปยืนหน้าชั้นเรียนพร้อมกับเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเพราะคนอย่างโจคยูฮยอนเรียกได้ว่าเข้าขั้นเป็นเด็กขี้อายเลยล่ะ
และสาเหตุที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะพี่อารา พี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมาประมาณสองปีโทรตามให้เขาย้ายมาอยู่โซลด้วยกัน เธออ้างว่าเธอหาเงินเองได้แล้วแถมยังสามารถเลี้ยงดูคยูฮยอนจนเรียนจบมหาลัยได้เพราะฉะนั้นคุณปู่กับคุณตาเลยยอมปล่อยให้เขามาเดินหลงทางในโซลแบบนี้
(พ่อไม่ค่อยถูกกับพี่อาราสักเท่าไหร่ เพราะเหตุนี้พี่อาราถึงได้หนีไปตายเอาดาบหน้าที่โซลเมื่อสองปีที่แล้วไงครับ ส่วนพ่อผมก็ทำงานเป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนแถวชานเมือง หลังจากที่คุณแม่เสียไปท่านก็กลายเป็นคนรักสันโดดไปเลย)
ในความน่าจะเป็นแล้วโจคยูฮยอนควรได้เห็นสภาพที่พักของเขาก่อนสิถึงจะถูก แต่โจอาราดันบอกว่า ‘โทษทีนะคยูฮยอน วันนี้พี่ขึ้นบินพอดี เห็นทีเธอต้องไปโรงเรียนก่อนแล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนพี่ทีเดียวตอนเย็น’ (พี่ผมเป็นแอร์โฮสเตสครับ) ถึงจะเป็นประโยคที่ฟังไม่ค่อยขึ้นแต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วเพื่อนคนที่เธอพูดถึงคยูฮยอนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็เลยได้แค่ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตอนเย็น
ลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในโรงเรียนพร้อมกับทอดสายตามองไปรอบๆ โรงเรียนที่นี่สวยกว่าที่ปูซานร้อยเท่า มองไปทางซ้ายให้ความรู้สึกเหมือนกับมีสวนสาธารณะอยู่ในโรงเรียนเลยล่ะมีสวนดอกไม้ด้วย พอหันไปทางขวาก็เจอน้ำพุใหญ่กับตึกอิฐสวยงามเหมือนประเทศอังกฤษในยุคสมัยก่อนเลย
แต่ตอนนี้เขาจะมัวเดินทอดน่องชมวิวทิวทัศน์ไปไม่ได้ โจคยูฮยอนพลาดชั่วโมงเรียนไปแล้วถึงสองวิชาเพราะฉะนั้นเขาก็ควรจะเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้...
เดินยังไม่ทันไปถึงไหนคยูฮยอนก็ต้องหันกลับไปมองต้นเสียงโหวกเหวกที่ดังมาจากทางด้านหลัง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างโปร่งก็หงายหลังล้มลงก้นกระแทกพื้นอย่างจังเมื่อมีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีครูฝ่ายปกครองอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ขอโทษครับผมจะไม่ทำอีกแล้ว! ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะฮีชอลซอนแซงนิมมมมม!!!”
“ให้อภัยงั้นเหรอ! เมื่อวานฉันอุตส่าห์ให้โอกาสพวกแกได้แก้ตัวไปแล้วตั้งหนหนึ่ง นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังกล้าเดินผ่านมาให้ฉันเห็นสีหัวของพวกแกอีกเหรอ หนอย...ถ้าวันนี้ฉันจับแกสี่ตัวมาย้อมผมดำไม่ได้อย่ามาเรียกฉันว่าคิมฮีชอลเลย!”
คยูฮยอนยืนอึ้งกับภาพที่เห็น เมื่อเหล่านักเรียนกลุ่มนั้นกำลังวิ่งหนีหางจุกตูดอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีผู้ชายใส่สูทที่ไม่เหมือนสูทวิ่งตามไปด้วย...คนพวกนั้นนี่ยังไงกันนะ...ชนคนจนล้มขนาดนี้ยังไม่มีคำว่าขอโทษหลุดออกมาจากปากสักคำ...
พลันหันไปเห็นบนพื้นก็ต้องอ้าปากหวอเมื่อกระเป๋าเดินทางที่ลากมาด้วยดันแผละออกมาจนข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด เสื้อผ้าเอย ของใช้ส่วนตัวเอย (หวี แป้งฝุ่น แปรงสีฟัน) แค่นี้มันยังทำให้เขาสายไม่พอใช่ไหม เห็นทีคงไม่ได้เรียนแล้วล่ะมั้งวันนี้
ก้มลงเก็บข้าวของทีละชิ้นใส่กระเป๋าเดินทาง วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบก่อนแล้วค่อยมานั่งพับเสื้อผ้าทีหลัง ถึงจะรีบแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช่คนทำอะไรชุ่ยๆ โดยการยัดๆ ของใส่เข้าไปโดยที่ไม่มีการจัดแจงหรอกนะ
“................”
คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีใครบางคนนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาพร้อมกับช่วยเก็บเสื้อผ้าแล้วยื่นมาให้
คนๆ นี้คงเป็น...ครูสินะ
“ขอบคุณครับ”
โค้งหัวอย่างมีมารยาทพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างรับมา ชายหนุ่มคนตรงหน้าอมยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องมองใบหน้ามนของเด็กหนุ่มภายใต้แว่นกรอบดำนั่น
“อะ...เอ่อ...ชิ้นนั้นไม่ต้องครับเดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า...” คยูฮยอนรีบใช้มือทั้งสองข้างโกยของสิ่งหนึ่งเข้าหาตัวเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะหยิบมันขึ้นมา...
มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากกางเกงในของเขา - -
ให้ตายเถอะ พอมองไปตรงหน้าแล้วมันไม่มีอะไรเลยนอกจากกางเกงในที่วางอยู่ คุณพระ...นี่เขาเก็บกางเกงในเป็นชิ้นสุดท้ายไปได้ยังไง...ไม่สิ...ต้องถามว่ามันหลุดออกมาจากถุงที่เขาแยกไว้ได้ยังไงต่างหาก!
ร่างสูงกลั้นหัวเราะจนมีเสียงลอดออกมาเล็กน้อยนั่นทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงเห่อขึ้นมา สิ่งที่โจคยูฮยอนอยากทำที่สุดในตอนนี้ก็คือเอาหน้ามุดแทรกแผ่นดินหนีไปให้ไกลๆ ไม่พ้งไม่พับมันแล้วครับเสื้อผ้าน่ะ โจคยูฮยอนยอมเป็นคนชุ่ยๆ วันหนึ่งแล้วกัน...มือเรียวรีบยัดกางเกงในเข้าไปในกระเป๋าเดินทางแล้วรูดซิบให้สนิท หวังว่ามันคงไม่ผงาดออกมาให้เขาได้อับอายขายขี้หน้าอีกเป็นครั้งที่สอง ร่างโปร่งลุกขึ้นพร้อมกับโค้งหัวให้คนตรงหน้าจนหัวแทบติดเข่าก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินหนีไป
หนีครับ ตอนนี้ต้องหนี...
รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า อายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
“นี่”
คยูฮยอนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครอีกคนตะโกนเรียกจากข้างหลัง ร่างโปร่งค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับไปก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นครูคนนั้น...ถือ...กางเกงใน...ของเขา...ไว้...ใน...มือ
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย T_T
“ข...ขอบคุณครับ...เอ๊ะไม่สิ...ข...ขอโทษนะครับครู ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมขอโทษครับ!” ดวงหน้าหวานแดงเห่อขึ้นมาราวกับลูกมะเขือเทศ คยูฮยอนโค้งหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ทำไมมันต้องเป็นกางเกงในด้วยนะที่เขาลืมเก็บมา
พระองค์ครับ...ได้โปรดอย่ากลั่นแกล้งลูกอีกเลย...ลูกสัญญาว่าจะไปสารภาพบาปที่เคยได้ทำผิดไปพร้อมกับท่องศัพท์ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยก็ได้...
แต่มันก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียทีเดียว อย่างน้อยแถวนั้นก็ไม่คนเดินเพ่นพล่าน เพราะฉะนั้น... (ถอนหายใจ) แต่ยังไงครูคนนั้นก็เห็นหน้าเขาแล้วนี่...ถ้าเกิดเจอกันคราวหน้าโจคยูฮยอนจะทำยังไงกันล่ะ จะกล้ามองหน้าไหม ไม่วายโดนหัวเราะเยาะหรอกเหรอ...ไม่เอานะครับ...พระองค์ได้โปรดเห็นใจลูกด้วยเถอะ ลูกออกจะหน้าเห่ยขนาดนี้ เป็นแค่ไอ้แว่นที่เรียนดีทุกวิชายกเว้นภาษาอังกฤษ หวังว่าครูคนนั้นคงจะจำหน้าลูกไม่ได้...
ถ้าลูกจะขออะไรกับพระองค์สักอย่างจะได้ไหมครับ...
น่า...นะครับ...ข้อเดียวเอง...
ผมขอ...อย่าให้ได้เรียนวิชาของครูคนนั้นเลย...
ตัดภาพมาอีกที...
ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องที่มีนักเรียนเกือบห้าสิบคนกำลังมองหน้าผมอยู่...นั่นก็รวมถึงคนๆ หนึ่งที่ยืนถือหนังสืออยู่ตรงหน้ากระดานดำด้วย...
ครู...คน...นั้น - -.....
“สวัสดี นั่นนักเรียนใหม่ใช่ไหม?” ครูคนนั้นหันมายิ้มให้กับผมพร้อมกับปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะ
“อ๋า~ นักเรียนใหม่เหรอคะ?”
“ว่าไงไอ้แว่น~”
“น่ารักจัง”
เสียงฮือฮาของว่าที่เพื่อนร่วมห้องทำให้ผมใจเต้นตุบตับๆ เหมือนตอนงานเทศกาลในหมู่บ้านเลยล่ะครับ พวกเขาคงเห็นผมเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าแกล้งหรืออะไรสักอย่าง เพราะผมเคยได้ยินปู่บอกว่าคนที่โซลน่ะชอบเห็นคนบ้านนอกเป็นตัวตลก
“นั่นอะไรน่ะ? กระเป๋าโดเรม่อนเหรอ?”
“เสกของเล่นให้ดูหน่อย”
“ก๊ากกกกกกกกกก”
“เข้ามาข้างในก่อนสิ” อาจารย์หนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับผายมือให้อย่างมีมารยาท ผมโค้งหัวน้อยๆ ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปหยุดอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วโค้งหัวให้กับเพื่อนร่วมชั้น
“สวัสดีครับ ผมชื่อโจคยูฮยอน เพิ่งย้ายมาจากปูซาน ฝากตัวด้วยนะครับ...”
“แล้วหัวใจล่ะ” <- เสียงตะโกน
“ฝากหัวใจไว้กับฉันได้น๊า >w<”
“เงียบๆ กันหน่อย” เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้ววางมือลงบนไหล่ซ้ายผมครับ ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังบีบมันเบาๆ เหมือนกับกำลังจะบอกให้ผมผ่อนคลายหน่อย “ไปนั่งที่ว่างตรงกลางห้องนะ ตรงนั้นน่ะเห็นใช่ไหม?” เขาโน้มใบหน้าลงมากระซิบข้างหูผมเบาๆ พร้อมกับชี้ไปตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ผมพยักหน้าหงึกแล้วโค้งหัวขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางไปยังที่นั่ง
อย่าเพิ่งรำคาญผมเลยครับ วันนี้สิ่งที่ผมทำได้ดีก็มีแค่โค้งหัวขอบคุณ/ขอโทษเท่านั้นแหละ - -
“ขอนั่งด้วยนะครับ” เอ่ยถามอย่างมีมารยาทเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งยู่ปากกดโทรศัพท์มือถืออยู่ ท่าทางเขาจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่คงไม่มีอารมณ์หันมาทักทายผมเป็นแน่เพราะฉะนั้นผมถามพอเป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละครับย่าผมสอนมา
ผมเอากระเป๋าไปวางไว้หลังห้องเพราะมันคงจะเกะกะทางเดินเกินไป ผมว่าเด็กนักเรียนในห้องนี้คงไม่ได้มีระเบียบวินัยกันเหมือนเพื่อนที่โรงเรียนเก่าผมแน่ๆ พวกเขาพร้อมที่จะเตะกระเป๋าผมให้ไถไปกับพื้นได้เหมือนกับลูกฟุตบอล ผมเดินกลับมานั่งที่แล้วเปิดกระเป๋าเป้ออก หันซ้ายหันขวาดูหนังสือคนรอบข้างแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ คาบนี้คณิตศาสตร์สินะ...
“เมื่อกี้นายบอกว่าชื่ออะไรนะ?”
“โจคยูฮยอนครับ” เขาถามผมทั้งที่ไม่หันหน้ามามองเลย
“สวัสดี ฉันอีฮยอกแจ”
“สวัสดีครับฮยอกแจ”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้”
ผมยิ้มบางๆ ขณะมองใบหน้าหวานๆ นั่น เขาเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักเอาเรื่องเลยล่ะครับ ฮยอกแจเอาหน้าทาบกับหน้าสือแล้วถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะมีเรื่องกังวลอยู่นะ
“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“ผมก็อยากกลับบ้านเหมือนกันครับ” พูดติดตลกหวังว่าอีกฝ่ายคงจะหัวเราะออกมาบ้าง แล้วมันก็ได้ผล ฮยอกแจหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของใครบางคนที่หน้าชั้นเรียน
“เรามาเริ่มเรียนกันต่อได้แล้ว”
บางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้...ว่าครูกำลังมองหน้าผมอยู่
“ข้อนี้มีใครตอบได้บ้าง?”
เงียบ...
ไม่มีใครยกมือขึ้น ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ มันคงเป็นเรื่องปรกติเมื่อครูถามแบบนี้แล้วทุกๆ คนจะนั่งอมขี้ฟันกันอยู่เฉยๆ ผมคนหนึ่งแหละที่ไม่ชอบยกมือขึ้นตอบคำถามในชั่วโมงภาษาอังกฤษ และถึงแม้ว่าคาบนี้จะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ที่ผมชอบและได้ท๊อปในทุกๆ ปีก็เถอะ...แต่การที่ผมทำตัวเด่นในวันแรกต่อหน้าเพื่อนใหม่นับห้าสิบคนมันคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ (หัวเราะ)
“โจคยูฮยอน ออกมาแสดงวิธีทำหน่อย”
โธ่...ครูครับ แอบอ่านใจผมอยู่เหรอ - -
ผมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นแบบคนไม่ค่อยมีความมั่นใจสักเท่าไหร่ ผมรู้สึกพ่ายแพ้สายตาคนหมู่มากจริงๆ ขาก้าวไปถึงหน้ากระดานดำก่อนจะหยิบชอร์คขึ้นมาแล้วเขียนวิธีทำตามโจทย์ที่ครูเขาเขียนไว้ในทันทีจนเพื่อนๆ อ้าปากค้าง
“ไวเกินไปแล้ว...”
“นั่นใช้สมองหรือเครื่องคิดเลขวะเนี่ย...”
ผมปัดเศษชอร์คสีขาวที่ติดมือออกเบาๆ ก่อนจะโค้งหัวให้ครูแล้วเดินกลับเข้าไปนั่งที่ท่ามกลางสายตาเพื่อนๆ ที่จ้องผมจนคอแทบหัน (ไม่ได้โม้นะครับ)
“เจ๋งเอาเรื่องนะนายอ่ะ”
ฮยอกแจหัวเราะแล้วผลักไหล่ผมเบาๆ ผมยิ้มกับคำชมนั้นพลางเกาท้ายทอยแก้เขิน ผมดีใจครับที่ฮยอกแจชม เพราะการที่เขาพูดแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าอีกไม่นานฮยอกแจก็อาจจะเปิดใจยอมรับผมเป็นเพื่อนก็ได้ ผมไม่ได้ต้องการเพื่อนสนิทอะไร ผมอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพียงแต่ว่าผมนั้นเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง พูดจาตลกๆ ไม่ค่อยเป็นเท่านั้นเอง
วันแรกของการเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ครูสอนเลขคนนั้นเขาไม่ได้เอาเรื่องน่าอับอายของผมไปประจานในห้อง บรรยากาศในห้องเรียนต่างจากที่ปูซานอย่างสิ้นเชิง ผมไม่อยากเอามาเปรียบเทียบกันเลยครับเพราะมันทำให้ผมคิดถึงที่นั่นจนอยากนั่งรถไฟกลับบ้านแทบทุกครั้งที่นึกถึง
ผมนั่งอยู่บนโขดหินน้ำพุตามลำพังมาสักพักได้แล้ว มันสักพักจนพระอาทิตย์เริ่มจะจมดิ่งลับขอบฟ้าหายไป ผมนั่งรอ ‘เพื่อน’ ของพี่สาวมาเกือบสองชั่วโมงแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะมาถึงสักที...
ก็นัดกันตรงนี้นี่นา...หรือว่ามันมีหลายน้ำพุ...
ก็ถามลุงยามแล้วเขาก็บอกว่ามีตรงนี้ที่เดียว...หรือว่าเพื่อนพี่อาราจะหาผมไม่เจอ
ผมถอนหายใจแล้วเอี้ยวตัวหันหลังหวังจะเดินกลับไปนั่งรอบนโขดหินนั่นเหมือนเดิมแต่ก็ต้องเซถอยหลังเล็กน้อยเมื่อผมดันปะทะเข้ากับแผงอกแกร่งของใครก็ไม่รู้เข้าให้ ผมหลับหูหลับตาขอโทษขอโพยเขายกใหญ่เลยครับ ขอโทษทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเขานั่นแหละ ผมรู้ว่ามันเป็นความผิดของผมที่เดินไม่รู้จักดูจนไปชนคนอื่นเข้า ตอนนั้นผมได้ภาวนาในใจขอให้คนตรงหน้าอย่าโกรธอย่าโมโหผมเลย (เพราะย่าบอกว่าคนที่โซลอารมณ์ร้ายครับ เอะอะก็เหวี่ยงลูกเดียว)
พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับผมก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นหรือว่าเขาจะเป็นพวกไม่ชอบพูดแต่ลงมือกระทำเลย แบบนั้นก็ไม่ไหวนะผมสายตาสั้นเจ็ดร้อยเรียกได้ว่าบอดเลยและถ้าเกิดโดนต่อยจนแว่นแตกขึ้นมา เห็นทีผมคงได้เอากิ่งไม้คลำทางกลับบ้านเป็นแน่...
“คยูฮยอน”
“อ่ะ...ครับ” ผมเบิกตาโพลงเมื่อคนตรงหน้านั้นคือคุณครูสอนเลขเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง...โธ่...แบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย
“มานั่งทำอะไรตรงนี้หืม?”
“ผมเหรอครับ...อ๋อ...ผมมานั่งรอเพื่อนพี่สาวน่ะครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ พลางหันหลังกลับไปมองอย่างมีความหวังแต่ก็ต้องสลดเมื่อไม่เห็นแม้แต่ล้อรถของคนที่รออยู่ ผมหันหน้ามาเผชิญกับเขาอีกครั้ง ก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ดีถึงแม้ว่าครูสอนเลขเขาจะไม่ได้เอาเรื่องของผมไปโพนทะนาให้ได้อายแต่ผมก็ยังเขินอยู่ดีล่ะครับ - -
“อ่า...นายเพิ่งย้ายมาถึงเมื่อเช้าเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“กระเป๋าใบนี้คงหนักไม่ใช่เล่น ครูช่วยนายถือแล้วกันนะ”
ร่างสูงพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าเดินทางผมไปลากให้ ผมได้แค่อ้าปากค้างพร้อมกับยกไม้ยกมือเป็นเชิงบอกเขาว่าไม่ต้อง แต่เขาก็ไม่ฟังครับ
“ค...ครูครับ ผมลากไปเองได้ครับครูอย่าลำบากเลย...”
“ไม่ลำบากหรอก เดี๋ยวเราไปขึ้นรถกัน รถครูจอดอยู่ข้างหลังตึกนี่เอง”
เขาพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองทิ้งมาดหล่อขรึมเมื่อตอนกลางวันไปโดยสิ้นเชิง ผมขมวดคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะทำท่าจะทึ้งหัวตัวเอง
“ไม่ได้ครับครู ผมไปกับครูไม่ได้หรอกครับ...เอ่อ...ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ครูมีให้เด็กบ้านนอกอย่างผม แต่ว่าผมต้องยืนรอเพื่อนพี่สาวอยู่ที่นี่จนกว่าว่าเธอจะมาครับ” ผมตอบเสียงหนักแน่นหวังให้คนตรงหน้าเข้าใจภายในประโยคเดียว
แล้วมันก็ได้ผลล่ะครับ เขาหยุดยืนแล้วหันกลับมามองหน้าผม...
“ถึงแม้ว่าเขาจะมารับนายตอนที่โรงเรียนปิดแล้วน่ะเหรอ?”
ผมอึ้งกับคำถามเขาอยู่เล็กน้อย จริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้นหรอกครับ ถ้าเกิดว่าเขาทิ้งให้ผมรอจนถึงทุ่มกว่าๆ ผมก็เตรียมตัวเดินออกไปข้างนอกโรงเรียนแล้วโทรถามทางกลับบ้านกับพี่สาวแล้ว
“...ครับ”
เขาหัวเราะกับคำตอบผมแล้วก็ลากกระเป๋าผมไปอีก โอ๊ย...ครูครับ ครูก็ไม่ใช่ชาวต่างชาตินะทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ล่ะ ผมพูดภาษากลางผิดตรงไหนเหรอ - -
“อา...ลืมบอกไปเลย...ครูชื่อซีวอนนะ คิดว่านายคงเรียนกับครูทั้งคาบโดยที่ไม่รู้ชื่อของครูเลย”
(- - )... ผมขอโทษที่ลืมมองชื่อครูในตารางเรียนนะครับ
“อีกอย่าง...” เขาจ้องหน้าผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนผมต้องถอยหลังออกเล็กน้อย ครูจะเล่นอะไรน่ะครับ...
“ครูเป็นเพื่องของพี่สาวนายและเราทั้งคู่จะต้องอยู่บ้านหลังเดียวกันไปอีกพักใหญ่ๆ ...ยังไงก็พยายามจำชื่อครูให้ขึ้นใจให้ได้นะโจคยูฮยอน...”
...นั่นแหละครับ
นั่นเป็นประโยคที่ทำให้ผมช็อคซีนีม่ายิ่งกว่าเดิม...
นอกจากเก็บกางเกงในให้ผมแล้ว...
นอกจากจะเป็นเพื่อนของพี่สาวผมแล้ว...
ผม...ยังต้องอยู่บ้านหลังเดียวกันกับคุณครูด้วยล่ะครับ...
TALK
*ปล่อยของเข้าตัวแควนขับวอนคยู*
เรามาอ่านอะไรที่มันผ่อนคลายกันเถอะ
อาจจะไม่เกรียนเท่าแฟนฉัน แต่เราอยากลองแต่งแนวนี้อ่ะ
แบบ อ่านไปแล้วเมื่อยแก้ม อ่านแล้วเขินไปตามตัวละคร
(แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหมนะ แต่จะพยายาม)
ความคิดเห็น