คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] ON TO YOU `+ ¦ _ who x who?
แปลกไหม?...
คนเราน่ะชอบจำเรื่องที่ไม่อยากจำ...อย่างเช่นเวลาต้องจากกัน...
ผมไม่ชอบเลย...ความรู้สึกแบบนี้...
เหมือนตัวเองเป็นคนงี่เง่า...ที่เอาแต่คิดถึงวันเก่าๆ
คิดถึง...ในวันที่ยืนบนเวทีด้วยกันครบทั้งสิบสามคน...
ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว...แต่สุดท้าย...ผมก็ยิ้มออกมาได้อยู่ดี
ON TO YOU
สูทแฟชั่นสีน้ำเงินถูกคว้าขึ้นมาสวมใส่ กระชับให้เข้าที่ก่อนจะมองตัวเองในกระจก...ผมเองก็ไม่คุ้นชินใบหน้าตัวเองในสภาพแบบนี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับมันมาแล้วร่วมเดือน ไม่ใช่ว่าไม่ชอบผมเกรียนๆ แบบนี้หรอกนะ หัวผมเนี่ยเปลี่ยนทรงบ่อยยิ่งกว่าอะไรดี แต่พอเห็นตัวเองในกระจกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหาหมวกสักใบมาใส่ ใบหน้าของผมคล้ำลงไปมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรีบหาครีมบำรุงมาทาแทบไม่ทัน
นิ้วเรียวยาวที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉาปัจจุบันหยาบกร้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหลังจากผมเข้ารับใช้ชาติและเข้าฝึกเป็นทหารเวลาหนึ่งเดือนเต็ม มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แฟนคลับต่างเป็นห่วงเป็นใยผม กลัวว่าผมจะไปตกระกำลำบาก
แต่ผมคิดอยู่เสมอนั่นแหละ...ว่าในเมื่อคนอื่นทำได้...
คิมฮีชอลก็ต้องทำได้เหมือนกัน
ถลกแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอกพลางมองนาฬิกาข้อมือ...นี่ก็ใกล้ถึงเวลาตามที่นัดหมายแล้ว ผมเองก็ควรจะออกไปข้างนอกสักที
งานที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไรกลับกันแล้วสบายกว่าทหารนายอื่นเสียด้วยซ้ำ เข้าทำงานตอนเช้า...เลิกบ่ายสามหลังจากนั้นก็เป็นเวลารีแล็กซ์ของผม อาจจะไปหาพี่จางฮุนบ้าง กึนซอกบ้าง หาอะไรอร่อยๆ ทานกัน ทำอะไรหลายๆ อย่างในสิ่งที่ผมไม่มีโอกาสได้ทำมัน
ทวีตเตอร์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องห้ามตัวเอง ผมเข้าไปอ่านมันตลอดนั่นแหละ ข้อความจากแฟนคลับหลายประเทศที่เมนชั่นมาหาผม...ผมชอบอ่านมันก่อนนอนถ้ายังไม่ง่วง
ผมขับรถไปถึงที่นัดหมายก็เกือบห้าทุ่มเศษๆ ผมพอรู้จุดประสงค์ของ ‘เขา’ ที่นัดมาที่นี่ และแทนที่ผมจะเลือกทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆ และหลับพักผ่อนจนถึงตอนสายของวันอาทิตย์...แต่ผมกลับตอบตกลงมาตามที่เขานัด...
ระแวกนั้นหาที่จอดรถได้ไม่ยากนัก ข้างหน้าร้านค่อนข้างโล่งมีรถยนต์จอดอยู่ไม่กี่คัน นั่นก็รวมถึงรถของเขาด้วย...ในร้านเนื้อย่างเล็กๆ ที่มีคนเข้ามาใช้บริการเพียงสามโต๊ะเท่านั้นไม่มีแฟนคลับจองโต๊ะนั่งแอบถ่ายรูปหรืออัดแฟนแคมไปลงยูทูปเหมือนที่เคย...
อืม...หมอนั่นก็เข้าใจเลือกสถานที่เหมือนกันแฮะ
จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยถูกแฟนคลับตามอยู่ตลอด...ถึงแม้ว่าคืนนั้นจะดึกดื่นมากแล้ว...จริงๆ เราสองคนก็แค่อยากหาสถานที่เงียบๆ เพื่อดื่มกันสองคนและเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีต...อาจฟังดูเหมือนคนแก่...แต่สำหรับคนที่เคยผ่านอุปสรรคนานับประการแล้วก็คงต้องมีมุมนี้บ้าง ในเมื่อ ‘เพื่อนสนิท’ ที่ผมรักมากที่สุดเขาจากเราไปแล้ว...ผมเลยรู้ว่าจะไปชวนใครหน้าไหนดื่มอีก?
มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด..กับการที่ผมสูญเสียเพื่อนที่รักมากที่สุดไป...นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักกันสักหน่อย...ผมเข้าใจดี...ว่าสิ่งที่เขาทำไปมันคือทางเลือกที่ดีที่สุด...และผมเองก็ยอมรับการติดสินใจของเขา...เขายังคงเป็น ‘เพื่อนรัก’ ของผม...ถึงแม้ว่าตัวเราจะห่างกันเป็นร้อยพันกิโลเมตร...
แต่ผมกลับรู้สึกได้..ว่าเขายังอยู่ข้างๆ เราเสมอ...
ผมรู้ตัวเองดีว่าผมเอาแต่ใจแค่ไหน...เย่อหยิ่ง หัวสูง ทุกคนต้องยอมผม ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีนักแต่ผมก็เลือกที่จะทำมันต่อไป ไม่เคยสนใจว่าคนรอบข้างจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่เชื่อเถอะ...คนเรามันต้องมีจุดๆ หนึ่งที่ทำให้สำนึกบ้างล่ะ....
สำนึก...ว่าควรใส่ใจคนรอบข้างให้มากกว่านี้...นั่นก็รวมกระทั่ง ‘เขา’ ด้วย
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม ‘เขา’ ที่ยิ้มให้เหมือนกับทุกครั้งแต่ผิดกับผม...ที่ยิ้มตอบกลับแบบขอไปที...ร่างโปร่งในชุดสูทเป็นทางการผมเผ้าถูกเซทเป็นทรงพร้อมกับเมคอัพที่แต่งแต้มบนใบหน้าเรียว...
อืม..ผมคาดว่าเขาคงพึ่งถ่ายรายการเสร็จสักที่...
เขาเอาแต่จ้องหน้าผมราวกับสำรวจความเปลี่ยนแปลงหลังจากไม่ได้เจอกันมานับเดือน นั่นทำให้ผมทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่ บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบใบหน้าที่มีลักยิ้มของเขานัก มันดูบริสุทธิ์เกินไปเวลายิ้มให้กับผม...
เพราะนั่น...มันทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้...
“นายผอมลงนะ”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยทักทาย ยอมรับว่าดีใจอยู่ลึกๆ ที่เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม บางทีเขาอาจอยากพูดต่อก็ได้ว่าผมผิวคล้ำลงจนดูน่าเกลียด
“นายเองก็เหมือนกัน”
ถึงผมจะไม่ได้ติดต่อเขาบ่อยนัก นั่นก็เพราะว่าอยากให้เขามีเวลาพักผ่อนบ้าง อัดรายการสารพัดตารางงานรัดตัวจนเวลานอนไม่พอ ผมน่ะอยากจะดุจริงๆ เวลาเห็นเขาอัพทวีตเตอร์ตอนใกล้รุ่งสาง...
ผมไม่ได้ฟอลโล่วทวีตเตอร์เขา...
ใช่...ผมไม่ได้ฟอลโล่วเขาหรอก...
แต่ผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?
....ขอเก็บไว้เป็นความลับแล้วกัน
“ขอโทษที่นัดออกมากลางดึกนะ” พูดพลางเทโซจูให้กับผม ผมรับมันมาก่อนจะกระดกไปทีนึง เมื่อความรู้สึกต่างๆ มันเริ่มถาโถมเข้ามาเพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคของเขา
“ทำเหมือนนายไม่เคยนัดฉันออกมาเวลานี้”
“ก็เมื่อก่อนเราออกมาด้วยกันนี่” ลักยิ้มแต่งแต้มข้างริมฝีปากอิ่มนั่นทำให้ผมเผลอจ้องหน้าเขาโดยไม่รู้ตัว เขาเอาแต่ยิ้ม...ยิ้มอยู่ได้...ทั้งที่ผมรู้สึกแน่นตรงหน้าอกข้างซ้ายราวกับมันจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปส่งฉันหรอกนะ”
“.....................”
“ก็แค่ไปเข้ากรมเดือนเดียว”
“อื้ม”
“ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีด้วย”
“อื้ม....”
“ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องฉัน ถ้ายังไงเดี๋ยวจะติดต่อกลับมาเอง...เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
“อืม...ฉันเข้าใจแล้ว”
ไม่มีคำถามใดๆ ถ้าเป็นผมคงถามกลับไปแล้วว่า ‘ทำไม?’
แต่คนอย่างจองซูน่ะหรือ...จะสร้างความลำบากใจให้ผม...
“จองซู” ผมเรียกชื่อเขา...เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองผมพลางเลิกคิ้วน้อยๆ
“ไปแม่น้ำฮันกันไหม?”
ON TO YOU
อากาศเย็น...กระแสลมหนาวพัดผ่านจนผมเริ่มแสบจมูกเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้ออกมาเดินตากลมแบบนี้ รู้งี้เอาผ้าพันคอออกมาด้วยก็ดีหรอก
เราทั้งคู่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ รอบข้างคือแม่น้ำฮันและวิวทิวทัศน์ของกรุงโซลในยามค่ำคืน...ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังถอดผ้าพันคอออกมา ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร เขาก็เอาผ้าพันคอสีขาวที่สวมอยู่เมื่อครู่มาพันคอให้ผมแล้ว
“.....................” พันผ้าพันคอให้อยู่สองสามรอบจนแทบจะปิดริมฝีปากมิดราวกับว่าไม่ต้องการให้ผมพูดอะไรออกมาอีก ผมจ้องมองใบหน้าของเขาที่ปลายจมูกแดงกำลังแดงก่ำ แต่ถึงอย่างนั้น....
ใบหน้าของปาร์คจองซู...ก็ยังคงยิ้มให้ผมอยู่ดี....
ON TO YOU
“วันนี้ครบรอบหกปีแล้วนะ” เป็นเขาที่เอ่ยทำลายความเงียบออกมาก่อน ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้แต่บางครั้ง ผมก็อยากทำตัวเป็นผู้ฟังแทนที่จะเป็นผู้พูด
“แต่ระยะเวลาที่เรารู้จักกันมันนานกว่านั้น” เขาพูดต่อ...นั่นสิ...เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กฝึกหัด ช่วงเวลาแห่งความลำบาก ทุกคนต่างพยายามเพื่อสานฝันของตัวเอง...ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน
จนกระทั่งพวกเรา...ได้เป็น SUPER JUNIOR
“ไม่ยักรู้ว่าเราจะเดินมาถึงจุดนี้ได้” เขาหยุดยืนอยู่กับที่ นัยน์ตาเรียวก้มลงมองรองเท้าหนังสีดำมันวาวที่สวมอยู่ ผมได้แต่มองเขา...มอง...โดยที่ไม่พูดอะไร
“ทั้งที่เมื่อก่อนมีปัญญาใส่แค่คอนเวิร์สราคาถูกๆ เท่านั้น” เขาหัวเราะ ผมได้แค่ส่งยิ้มบางๆ ไป พอนึกถึงเรื่องราวในอดีต...ใช่...เมื่อก่อนพวกเราลำบากกันแค่ไหน ลำพังแค่หาเงินซื้ออาหารมื้อเย็นก็ต้องคิดแล้วคิดอีก
ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมองท้องฟ้า นั่นทำให้ผมเงยขึ้นมองตามไปด้วย บนท้องฟ้ามีดาวนับร้อยพันเปล่งประกายอยู่...ผมชอบนะ...ทุกครั้งที่มองขึ้นไปราวกับถูกดวงดาวที่ประกายแสงนั้นสะกดจิตเอาไว้
“หนึ่ง...สอง...สาม...” มือเรียวเอื้อมขึ้นเหนือศีรษะทำท่าคว้าเอาดวงดาวเอาไว้ ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ กับท่าทางที่ดูเหมือนเด็กของเขาถึงแม้ว่าเราทั้งคู่จะอายุใกล้เลขสามกันแล้วก็ตาม
“ให้ฉันช่วยไหม?” หันไปถามคนข้างๆ จองซูยิ้มจนตาปิดก่อนจะขยับเข้ามายืนชิดตัวผม มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวผมเอาไว้ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาอีกครั้ง
“นายต้องช่วยฉันเก็บดาวที่เหลือให้ครบทั้งสิบสามดวงนะ”
เสียงเบาบางคล้ายเสียงกระซิบ ผมยิ้มน้อยๆ หากแต่รู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา...ผมเอื้อมมือขึ้นไปบนท้องฟ้า...ไขว่คว้าหาสิ่งที่จับต้องไม่ได้...
นั่นก็รวมถึง....ดวงดาวที่ทำหายไปด้วย...
“ฉันเก็บให้นายได้มากกว่านั้น” พูดทั้งที่ตัวเองก็รู้ว่าผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาหัวเราะน้อยๆ พลางลดมือผมลง
“พอแล้ว...” เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ควันสีขาวออกมาจากปากเขาทุกครั้งที่เอ่ยพูด
“ฉันต้องการแค่สิบสามดวง...ต่อให้ดาวดวงอื่นจะสวยแค่ไหนแต่ถ้ามากกว่านี้...มันก็ไม่มีค่าอะไร” ผมหัวเราะกับคำพูดของเขา
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว...แต่ผมกลับอยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆ ถึงแม้ว่ามันจะหนาวเย็นไปทั่วทั้งกายและใจก็ตาม...
อยากจะหยุดเวลาไว้แค่นี้...แล้วคิดถึงภาพอดีตที่เป็นความทรงจำดีๆ ก็พอ
“เจ้าเด็กพวกนั้นสร้างปัญหาให้นายบ้างรึเปล่า?” ผมถามเมื่อนึกถึงเมมเบอร์คนอื่นๆ ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่มีงานโปรโมตอัลบั้มแล้วก็ตามที แต่ละคนก็มีงานส่วนตัวแยกกันไป ตั้งแต่ละครเวที จัดรายการวิทยุ และละคร
อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อนึกถึงปัญหามากมายที่จองซูต้องแบกรับไว้คนเดียว ผมเคยคิดนะ...คิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดี...ผมจะทำหน้าที่พี่ชายให้ดีกว่านี้...ทั้งที่ผมกับจองซูอายุเท่ากันแต่ผมกลับทำตัวเสเพลปล่อยปะละเลย ทิ้งภาระไว้ให้เขารับไว้เพียงคนเดียว
“ไม่หรอก...เด็กพวกนั้นต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว” จองซูพูด เป็นอย่างที่เขาพูด เจ้าพวกนั้นไม่เหลือคราบลิงซนๆ เหมือนกับเมื่อก่อน ถึงจะซนบ้างแต่ก็รู้จักกาลเทศะอยู่เสมอ
“งั้นก็ถือว่าแบ่งเบาภาระนายลงไปได้บ้าง”
เขายิ้มบางๆ ก่อนจะจับมือผมเอาไว้...สอดประสานกันแน่น..ผมชะงักไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะค่อยๆ รับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้...
มือของเราเย็นทั้งคู่...แต่ไม่นานนักหรอก...ไม่นานนัก...มันเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทีละนิด
“อีกสิบปีข้างหน้า...” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกครั้ง “นายว่าเราจะเป็นยังไง?”
ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาดี ไม่ว่าใครก็ตามหากใช้ชีวิตมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องนึกถึงอนาคตในวันข้างหน้ากันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่คิด...ผมเองก็คิดมาตลอด ถึงได้ตัดสินใจเข้ารับใช้ชาติแม้ว่าร่างกายของผมมันจะไม่อำนวย
เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ แล้วหัดจริงจังกับชีวิต
“ฉันอยากเป็นคุณพ่อที่ดี เป็นตัวอย่างให้กับลูก” ผมตอบ เขาคงตกใจในประโยคที่ผมพูดไป...ก็แหงล่ะ ผมเคยพูดจาน่าฟังซะที่ไหน ทุกครั้งที่มีคำถามแบบนี้ผมคงตอบกลับไปว่า
‘ผมคงเป็นคิมฮีชอลสุดยอดซุปตาร์ระดับโลกวัยสี่สิบที่หน้าตาเหมือนเด็กอายุสิบแปดน่ะ’
“แล้วนายล่ะ” ผมถามกลับ ในตอนนั้นผมเองก็เดาไปด้วยว่าจองซูจะตอบอะไรกลับมา..อย่างเขาน่ะหรือ...คงตั้งหน้าตั้งตาทำงานแล้วแต่งงานตามที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆ นั่นแหละ...
ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดีนะ...นางฟ้าไร้ปีกของใครๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นแค่ซาตานปีกดำสำหรับผมเท่านั้นนั่นแหละ...เพราะคนอย่างจองซูไม่เคยแสดงด้านมืดให้ใครได้เห็น...นอกจากพวกเรา
“จริงๆ แล้วฉันกลัวอนาคตนะ”
ผิดคาด...
“แค่คิด...ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง...น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมาทุกที” เขายิ้มบางๆ นัยน์ตาเรียวทอดมองออกไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเขาอยากมองดวงดาวที่ทอแสงประกายบนท้องฟ้า..หรือแค่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมากันแน่...
“จะมีใครคิดบ้างว่าโปรเจ็คเล็กๆ ที่พร้อมจะล้มเลิกเมื่อไหร่ก็ได้...จะเดบิวท์มาเป็นปีที่หกแล้ว”
นั่นสิ...
พวกเราเริ่มต้นกันที่สิบสองคน...และมีคยูฮยอนเข้ามาเติมเต็มจนครบสิบสาม...ถึงได้มี SUPER JUNIOR จนถึงทุกวันนี้...
“นายมองดูบนนั้นสิ” เขาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง และแน่นอนว่าผมทำตามที่เขาบอก บนท้องฟ้าที่มีดวงดาวระยิบระยับอยู่บนนั้น
“ถ้าตรงที่เรายืนอยู่นี่เป็นเวที...ข้างบนนั้นก็คือทะเลสีน้ำเงินของเรา” ผมจินตนาการตามในสิ่งที่เขาพูด...อา...นั่นสินะ...ดวงดาวเหล่านั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างสีน้ำเงินที่โบกพัดไปมา แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้มแค่ไหน...แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างจากดวงดาวได้...
นั่นก็หมายถึง SUPER JUNIOR ที่มีเอลฟ์เป็นแสงสว่างให้เสมอ...
เขาเดินมาหยุดข้างหลังผม...พร้อมกับเอามือปิดตาผมไว้ทั้งสองข้าง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก
“หลับตาสิ”
“....................”
“ข้างซ้ายของนายมีซีวอนยืนอยู่ข้างๆ ส่วนข้างขวามีฮันคยองที่กำลังจับมือนายเอาไว้...ในมือของเขามีถ้วยรางวัล...ถ้วยรางวัลที่พวกเราทุกคนพยายามมาด้วยกัน...”
“......................”
“คยูฮยอน ทงเฮ ฮยอกแจที่ยืนถัดไปนั้นเอาแต่หัวเราะในสิ่งที่ฉันกำลังพูด...ส่วนเยซอง รยออุค ซองมินที่ยืนอยู่ข้างฮันคยองนั้นกำลังโบกมือให้กับเอลฟ์...ชินดงและคังอินยืนดื่มน้ำอยู่ข้างหลังนาย..และคิบอมที่เอาแต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านขวาสุด...” เสียงกระซิบข้างหูนั้นแผ่วเบา...แต่น่าแปลก...ที่ทำให้ผมจินตนาการตามได้...
หัวใจของผมเต้นเร็วแรง...เร็วจนรู้สึกราวกับว่ามีใครมาบีบมันเอาไว้...จองซูปล่อยมือออกข้างหนึ่ง..มืออีกข้างของเขายังคงปิดตาผมเอาไว้อย่างนั้น มือของเขาข้างที่ว่างอยู่นั้นสวมกอดผมเอาไว้...กระชับกอดจนผมเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา...
ผม....กำลังร้องไห้
จองซูผละมือออกจากตาผมช้าๆ ...ผม...ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น...ภาพเก่าๆ ฉายขึ้นมาในหัวผมไม่หยุด ความสุข เสียงหัวเราะ และน้ำตาที่พวกเราเคยร่วมกันมา ทุกอย่างมันมากมายจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่หมด ถ้าผมลืมตาขึ้นแล้วจินตนาการณ์...รอบๆ ตัวของผมนั้นมีแท่งไฟสีน้ำเงินอยู่เต็มไปหมด ทะเลสีน้ำเงินพร้อมกับเสียงอังกอร์เพลงของพวกเรา...ภูติตัวน้อยที่ไม่เคยจากไปไหน...
“ในอนาคต...” ผมกลืนก้อนสะอื้นลงไปพลางเอี้ยวตัวกลับเข้าหาอีกฝ่าย จองซูเองก็ไม่ต่างจากผม...ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะซับมันให้กับผม...
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต....และต่อให้ฉันจะต้องเป็นคุณลุงวัยเจ็ดสิบ...”
“.......................”
“ฉันจะบอกกับลูกหลาน.....ว่า SUPER JUNIOR นั้นเป็นครอบครัวของฉัน”
เราทั้งคู่ต่างเช็ดน้ำตาให้กันและกัน...ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้คืออะไร? หากแต่ใบหน้าของผมและเขานั้นยังคงยิ้มอยู่...
ทั้งที่น้ำตา...ยังคงไหลออกมาไม่หยุด...
ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาได้...น้ำตาที่ไหลออกมามันคือน้ำตาแห่งความทุกข์งั้นหรือ?
ผมว่าไม่หรอก...มันไม่ใช่ความทุกข์ซะทั้งหมด...
เพราะต่อให้ผมจะรู้สึกเจ็บปวดสักแค่ไหน...ผม...ยังคงมีพวกเขาที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ
และพวกเรา.....จะกอดกันเอาไว้และร้องไห้ไปด้วยกัน....
END
ON TO YOU
- มอย -
ฟิคเรื่องนี้อารมณ์ชั่ววูบมากๆ พึ่งแต่งตอนห้าทุ่ม orz
เพราะมัวแต่นั่งร้องไห้ ไม่รู้ร้องทำไมนักหนา 5555555
เชื่อว่าหลายคนก็นั่งร้องไห้เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรัก SJ มานาน~~~~เท่านี้
ไม่เคยได้แต่ง SF สั้นขนาดนี้ เพราะแต่งฟิคสั้นไม่เป็น
ยังไงก็ลองอ่านดูนะคะ แก้เซ็งได้ หรือจะเซ็งมากกว่าเดิมก็ไม่รู้
ความคิดเห็น