คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : [Special!!!] special christmas - 100% (ควันหลง อัพช้า)
[Edit 01 : แก้คำผิดบางส่วน]
20:40 น.
Jingle bells, jingle bells,
Jingle all the way.
Oh! what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh. Hey!
Jingle bells, jingle bells…
พาย...มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...ทำไมวะ?
ไม่เข้าใจเลยว่ะ...ทำไมมึงต้องมานั่งอยู่วะ
ผมถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา...ในหัวเอาแต่คิดถึงหน้า ‘มัน’ ยิ่งพยายามจะสะบัดมันออกไปจากหัวเท่าไรมันก็ยิ่งปรากฎชัดเจนมากขึ้น ผมไม่เข้าตัวเองเลยสักนิด ผมรู้ว่ามันชอบน้ำชามากๆ แล้วพอมันรู้ว่าน้ำชากับไอ้ไทม์กับไปคืนดีกันได้แล้วและทุกอย่างจบอย่างแฮปปี้ มันก็ทำเป็นยิ้มเหมือนกับแค่ได้มองน้ำชามีความสุขมันก็พอใจ แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้น...ตั้งแต่วันนั้นผ่านไปสองสัปดาห์แล้ว...
มันไม่มาเรียนเลย...
...ตั้งแต่เมื่อไรวะไอ้พาย ตั้งแต่เมื่อไรที่มึงมองแต่มัน...
ผมยกมือของตัวเองคืนมาถูกกันเบาๆ แปลกเนอะ...ประเทศไทยทั้งๆที่ปกติก็ไม่หนาวเท่าไรทำไมคืนนี้มันหนาวจังวะ ผมบ่นกับตัวเองก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปไลน์อย่างมีความหวัง...
มันอ่านข้อความแล้ว! ตั้งแต่ตอนไหนวะ?
อ่า... ลืมไปเลย ผมยังไม่บอกคุณเลยสินะ ตั้งแต่มันหายไปวันนั้นผมกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยไป(บังคับ)ขอไลน์มันมาจากเพื่อนมัน ผมไม่กล้าโทรหามันหรอก...
ผมพยายามติดต่อมันหลายครั้ง แต่มันตอบกลับผมมาแค่ครั้งเดียว ซึ่งนั้นเป็นแรกที่ผมทักมันไปแต่พอมันรู้ว่าเป็นผมมันก็ไม่เคยตอบไลน์อีกเลย...ไม่ดิไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ คงเพราะผมอยู่ในฐานะเพื่อนของน้ำชา มันคงยังไม่พร้อมที่จะเจอใครก็ตามที่ทำให้มันนึกถึงน้ำชามั้ง...
แต่ผมกลับดื้อดึงพยายามติดต่อมันต่อไป จนในที่สุดเมื่อประมาณ 3 วันก่อนมันอ่านไลน์ที่ผมพิมพ์ไป...ถึงจะไม่ตอบก็เหอะ พอผมรู้ผมก็รีบส่งข้อความไปอีกครั้ง
'เห้ย ไอ้โจกว่ามึงจะยอมอ่านนะ มึงออกมาเจอกูวันที่25นี้หน่อยดิ กูจะรอมึงที่ต้นคริสมาสหน้าห้างหรูที่เพิ่งเปิดใหม่ตอนทุ่มครึ่ง มาให้ได้นะเว้ย'
ก็อย่างที่บอกแหละครับผมรีบถ่อมารอมันตั้งแต่ 6 โมงเย็น โคตรบ้าเลยเหอะ...
ผมถอนหายใจกับความโง่ของตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งลงบริเวณเก้าอี้ข้างต้นคริสต์มาสสีขาว แต่ทันทีที่ผมจะนั่งลง...
“เห็นถอนหายใจเป็นร้อยรอบแล้วมั้ง ทำไมมึงถึงไม่กลับๆบ้านไปซะล่ะ? จะรอกูทำไมทั้งๆที่มึงก็ไม่รู้ว่ากูจะมาไหม?”
ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองเสียงที่คุ้นเคย...
โจ!!!
[โจ]
เกือบสองชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งโง่ๆอยู่ตรงนี้มองมันอย่างไม่ละสายตาไปไหน
ผมกำลังไม่เข้าใจและงงกับมันสุดๆ สองสัปดาห์ที่ผมต้องไปต่างประเทศ เพราะผมเองก็ปีสุดท้ายแล้วอาจารย์เองก็เห็นว่าผมเป็นคนมีความสามารถเลยแนะนำผมกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ต่างประเทศ และทางนั้นก็สนใจผมเหมือนกัน ผมก็เลยต้องไปศึกษาดูงานที่บริษัทนั้นเป็นระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์ แต่ระหว่างนั้นพายมันพยายามติดต่อหาผมทำไม? ผมละสายตาจากมันที่เดินวนไปทางซ้ายทีขวาทีของต้นคริสต์มาสสีขาวมาสนใจโทรศัพท์แทน ผมเลื่อนอ่านข้อความที่มันส่งไลน์มาหาผมซ้ำๆและยิ้มออกมา
‘โจ ทำไมมึงไม่อ่านข้อความกูวะ?’
‘ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่วะ? กินข้าวบ้างไหม?’
‘มึงหายหัวไปไหนวะ ทำไมมามหาลัยไม่เจอมึงเลย’
‘ตอบข้อความกูบ้างสิครับ ไอ้คุณชายโจ!’
นั่นเป็นข้อความบางส่วนที่มันส่งมาให้ผม มันส่งข้อความมามากมายทั้งๆที่ผมตอบมันแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจข้อความมันอีก ครั้งแรกที่มันส่งมาหาผม ผมคิดไปว่ามันคงคิดจะสมน้ำหน้าผมที่ได้แต่ทำตัวเป็นอัศวินเงาที่คอยแต่ปกป้องน้ำชาอยู่เบื้องหลัง ผมเลยจัดการผิดการแจ้งเตือนไปซะ
แต่ว่า...มันก็น่าแปลกใช่ไหม? มันทำไมถึงส่งข้อความมาหาผมทุกวัน?
จนเมื่อประมาณ 3 วันก่อน ผมยอมเปิดไลน์ขึ้นมาดูข้อความที่มันส่งมาหาผมมากมายก่อนที่ผมจะนั่งเครื่องบินกลับไทย ข้อความที่มันส่งมาหาผมไม่เคยพูดถึงน้ำชาเลยสักครั้ง แต่ละข้อความถามสารทุกข์สุขดิบของผมทั้งนั้น ไหนจะข้อความที่ไล่ให้ผมไปกินข้าวบ้างล่ะ หรือแม้แต่จะข้อความที่บอกราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนทุกคืน จนผมสะดุดเข้ากับข้อความนึงเข้า
‘ไอ้บ้า มึงไม่อยากตอบกูก็ไม่เป็นไร อ่านข้อความกูบ้างได้ไหม รู้ไหมบางข้อความนี่กูร้องไห้ไปพิมพ์ไปเลยนะไอ้เวร!’
มันร้องไห้ทำไม? ร้องเพื่อผมหรอ? เพราะอะไรกันล่ะ?
มันเกิดคำถามขึ้นมากมายในหัวผมจนสับสนวุ่นวายไปหมด ผมปิดไลน์และคิดว่าจะเลิกใส่ใจข้อความที่มันส่งมา มันคงแกล้งผมเล่นเท่านั้น แต่พอนั่งเครื่องบินมาถึงประเทศไทย ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมเปิดไลน์ขึ้นมาดู ผมพบว่ามันส่งข้อความล่าสุดมาถึงผมและผมก็กดเข้าไปอ่านอย่างไม่รู้ตัว
‘เห้ย ไอ้โจกว่ามึงจะยอมอ่านนะ มึงออกมาเจอกูวันที่25นี้หน่อยดิ กูจะรอมึงที่ต้นคริสมาสหน้าห้างหรูที่เพิ่งเปิดใหม่ตอนทุ่มครึ่ง มาให้ได้นะเว้ย’
ครั้งแรกที่ผมอ่านข้อความนี้ผมตัดสินใจว่าจะไม่ไป แต่ผมก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงมาที่นี่ตั้งแต่5โมงครึ่ง นั่งโง่ๆอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งห่างจากที่นัดระยะหนึ่งแล้วยังจะสวมเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอหนาๆ หมวกไหมพรมที่โคตรเกลียดแล้วยังมีแว่นกันแดดสีดำนี่อีก นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรวะ?
แล้วประมาณ 6โมงก็ปรากฏตัวคนที่นัดผมไว้ทุ่มครึ่ง บ้าหรือเปล่ามารอผมตั้งแต่6โมงทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าผมจะมาหรือเปล่า? ผมนั่งมองมันที่ทั้งนั่งทั้งเดินวนไปวนมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
20:40 น.
ป่านนี้แล้วหรอวะเนี่ย...เอาไงดีล่ะ?
จะแกล้งมันต่อหรือจะเดินไปหามัน...
....
...
..
เออๆ! พอเหอะเดี๋ยวแม่งร้องไห้พอดี!
ผมลุกจากที่นั่งเดินตรงไปหาพายที่หยุดยืนนิ่งกดโทรศัพท์อย่างคล่องแคล้ว พอผมเดินเข้าจะไปประชิดตัวมันกลับหันควับหันหลังเดินหนีผมไปที่เก้าอี้ข้างๆต้นคริสต์มาสซะงั้น
หันซ้ายมาหน่อยก็เห็นกันแล้วแท้ๆ... ผมดึงผ้าพันคอและแว่นตาออกอย่างเริ่มรู้สึกรำคาญ
“เห็นถอนหายใจเป็นร้อยรอบแล้ว ทำไมมึงถึงไม่กลับๆบ้านไปซะล่ะ? จะรอกูทำไมทั้งๆที่มึงก็ไม่รู้ว่ากูจะมาไหม?”
มันเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าตกใจแล้วรีบยันตัวลุกขึ้นทันที ผมขยับตัวเข้าไปไกลมันเพื่อจะรอคำตอบจากมัน แต่คำตอบที่ผมได้กลับเป็นน้ำตาใสๆที่เอ่อขึ้นรอบดวงตาของมัน ผมยกมือขึ้นจับใบหน้ามันเบาแล้วเกลี่ยน้ำตาออก ซึ่งมันเองก็สะดุดปัดมือผมออกแทบจะทันที
“จะทำบ้าอะไรวะ?”
ผมไม่ตอบมันแต่เดินผ่านมันไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหลังมันแทน พายหันหลังกลับมามองตามผมก่อนที่มันตัดสินใจจะนั่งลงข้างๆผม
“มึงขี้แยตั้งแต่เมื่อไร?”
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาก็เหม่อมองไปบนท้องฟ้ามืดมิดที่เริ่มถูกกลบแล้วไฟหลากสีมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะรออยู่พักใหญ่ก็ไม่คำตอบใดๆออกมาให้ผมได้ยิน ผมเลิกมองท้องฟ้าแล้วมองพายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆผม
“ลืมคำถามเมื่อกี้ไปซะ แล้วตอบคำถามใหม่นี่มา ที่กำลังทำอยู่นี่เพื่ออะไร?” ผมมองจ้องใบหน้าของมันนิ่ง ใบหน้าได้รูปประกอบกับดวงตาเรียวที่ล้อกรอบด้วยขนตายาว ริมฝีปากบางๆ จมูกโด่งเชิดนั่นดูหวานกว่าปกติที่ผมเคยสังเกต แต่มันกลับดูเศร้าผิดปกติอีก
“เอาจริงๆ กูไม่รู้ว่าทำไม”
“...”
“อยากฟังอะไรไหม? กูไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กูเริ่มคิดอะไรแปลกๆ พอรู้ว่าน้ำชากลับไปคืนดีกลับไอ้ไทม์แล้วสิ่งแรกที่กูคิด กูไม่คิดถึงเรื่องที่ว่าไทม์กับน้ำชาจะเป็นยังไง มันจะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้งไหม”
อยู่ๆมันก็เงียบลงไปเฉยๆ มันก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ประสานอยู่บนขาของมันเอง ก่อนมันถอนหายใจออกมา
“กูกลับห่วงมึง คิดมากเรื่องมึงแล้วยิ่งมึงไม่ไปมหาลัยตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหนเพราะที่บ้านมึงก็ไม่มีใคร เอาแต่ถามกับตัวเองอยู่คำถามเดิมๆ ตอนนี้มึงจะเป็นไงมั่ง? มึงยังโอเคไหมที่รู้เรื่องนี้? มึงอยู่ที่ไหน? คำถามต่างๆนานาที่เกี่ยวกับมึงมันผุดขึ้นมาในหัวจนกูก็ทนไม่ไหว กูไปขอไลน์มึงมาจากเพื่อนมึง เพราะกูห่วงมึงมากแต่กูไม่กล้าที่จะคุยกับมึงตรงๆ กูเลยเอาแต่ไลน์หามึง”
มันเงียบลงไปอีกครั้ง คราวนี้มันโน้มตัวลงต่ำและยังเอามือปิดหน้านิ่งไปพักหนึ่งก่อนมันเลื่อนหน้าขึ้นมาให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้า มันก็พูดต่อทั้งๆอย่างนั้น
“กูไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เอาแต่แคร์เรื่องของมึง นึกถึงแต่มึง ทำบ้าอะไรก็มีหน้ามึง ซึ่งมันไม่ได้รู้สึกดีแบบปั๊ปปี๊เลิฟเลยสักนิด” มันหยุดพูดแล้วหัวเราะออกมะซะอย่างนั้น “กูไม่รู้ว่าสองสัปดาห์นี้กูทำอะไรลงไปบ้าง มึงอย่าถามอะไรกูเลยโจ เพราะสมองกูไม่ได้สั่งให้ตัวเองเลย...สมองกูไม่ได้สั่งอะไรสักอย่าง”
นี่มันจะสารภาพรักกับผมหรือไงวะ?
“งั้นกูเล่าเรื่องตลกให้มึงฟังไหม?” ผมถามขึ้นลอยๆ แต่มันกลับพยักหน้าให้ผมซะงั้น
“เอาดิ แต่มึงคงไม่รู้อะไร มันไม่มีเรื่องอะไรตลกเท่าเรื่องกูแล้วล่ะ” มันพูดพร้อมยิ้มประชด
ฟังกูให้จบก่อนไม่ได้รึไงวะ?
“เฮ้อ เรื่องมีอยู่ว่ามีชายคนหนึ่งชื่อว่า ‘โจ’ เขาอกหักจากรักแรกหมาดๆซึ่งเขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด อาจารย์ที่เขาเคารพรักก็เห็นถึงความสามารถของเขาและแนะนำเขาเกี่ยวกับงาน ซึ่งท่านได้ถามเขาว่า ‘มีบริษัทแห่งหนึ่งที่ต่างประเทศดูน่าจะเข้ากับเธอดี เธอจะรับไว้ไหมโอกาสนี้?’ และทางบริษัทนั้นเองก็สนใจในตัวของเขาไม่น้อยจึงออกปากว่าอยากได้ตัวเขาเมื่อเขาเรียนจบ ครูของเขาจึงเสนอโอกาสดีๆที่เขาได้รับจากบริษัทนั้นกับเขา เขาตอบตกลงครูเขาโดยไม่ลังเล และวันต่อมาเขาก็ไปศึกษาดูงานที่บริษัทนั่นระยะเวลาสั้นๆตามที่อาจารย์ของเขาแนะนำ”
“บ้าเอ๊ย...” พายมันพึมพำขึ้นเบาๆ แต่ผมได้ยิน
“จากนั้นไม่นานเขาก็โดนเพื่อนสนิทของรักแรกของเขา ทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์คอยส่งไลน์ให้เขาเช้าเย็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความเขาคิดว่ากำลังจะโดนอีกฝ่ายสมน้ำหน้าเขาแน่ๆ เขาจัดการปิดระบบแจ้งเตือนและไม่สนใจมันอีก จนเมื่อสามวันก่อนในช่วงเที่ยงของวันที่เขากำลังรอเวลากลับประเทศ เขากลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดอ่านไลน์ เขารู้สึกแปลกประหลาดกับข้อความที่สตอล์กเกอร์คอยส่งให้เขา แต่สุดท้ายเขาก็ปิดโทรศัพท์ไปไม่ตอบกลับข้อความใดๆ แต่พอมาถึงประเทศเพราะอะไรบางอย่างเขาเปิดไลน์อ่าน สตอล์กเกอร์คนนั้นนัดสถานที่วันเวลาให้ออกไปเจอกัน ‘ที่ต้นคริสต์มากหน้าห้างหรู เวลาทุ่มครึ่ง’ ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่มาตามนัด เขากลับมาที่นัดตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง”
ผมหยุดพูดแล้วหันไปมองหน้าพายที่กำลังมองผม มันจ้องตาผมกลับอยู่พักใหญ่ก่อนที่มันจะหลบสายตาและขบเม้มปากบางหันหน้าหนีผมไปอีกครั้ง ผมยกยิ้มนิดหน่อยแล้วเงยขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง
“เขานั่งมองสตอล์กเกอร์คนนั้นทำท่าทางวุ่นวายใจไปพร้อมๆกับทบทวนในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เขาไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งนั้นและเดินเข้าไปหาสตอล์กเกอร์คนนั้น พวกเขานั่งลงบนเกาอี้ใกล้ๆและเล่าในสิ่งที่ตัวเองทำไปออกมา หลังจากฟังเรื่องราวของสตอล์กเกอร์คนนั้นและเขาเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองทำให้เขาเข้าใจอย่างหนึ่ง ที่จริงเขาไม่เคยรักน้ำชาในฐานะแฟนเลย เขารักในฐานะเพื่อนสนิท”
“มึงกำลังพูดอะไรไอ้โจ! แล้วที่มึง...” มันขึ้นเสียงใส่ผมทันที ใบหน้าก็เริ่มแสดงความโกรธ แน่ละน้ำชาน่ะเพื่อนสนิทสุดหวงของมันนะ
“มึงฟังกู...พาย”
“มึงจะให้กูฟังอะไร! กูรู้สึกเหมือนกูเป็นไอ้โง่เลยมึงรู้ไหม กูอยากบ้าขึ้นมาทันที่กูรู้ว่ามึงหายไปสองสัปดาห์มันเพราะอะไร มีแต่กูที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ...แล้วนี่มึงว่ามึงไม่ชอบน้ำชา ที่มึงทำไปทุกอย่างเพราะอะไร!?”
“เพราะกูรักมึงไง!”
“!!!”
“ก็เหมือนมึงที่เอาแต่พูดว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่มองแต่กู มันไม่ต่างอะไรกันเลย ทุกอย่างที่กูทำไปกูไม่รู้เลยจริงๆกูทำไปเพราะมึง! ที่กูแกล้งน้ำชาเพราะมึงจะออกตัวปกป้องน้ำชาและนั่นทำให้กูใกล้ชิดกับมึง แต่พอไอ้ไทม์มันเข้าปกป้องน้ำชาแทนที่จะเป็นมึงกูเลยรามือไปไม่ใช่เพราะกูกลัวมัน ที่กูยอมร่วมมือกับมึงง่ายๆเพราะคนนั้นๆคือมึง ถ้าเป็นคนอื่นกูคงไม่ทำเพราะกูไม่อยากไปยุ่งเรื่องของคนอื่น กูยอมไปไกล่เกลี่ยกับแม่เทพีที่กูไม่เคยชอบหน้าเสแสร้งนั่น กูยอมทุกๆอย่างมันเพื่อมึง! กูผิดไม่รู้ตัวเองว่ากูทำไปเพื่ออะไร!”
“โจ...มึง”
“นั่นแหละคือสิ่งที่กูเพิ่งรู้ตัว” ผมผ่อนลมหายใจยาว “เหมือนๆกับมึงนั่นแหลพาย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่กูชอบและทำเพื่อมึง”
เราเงียบลงไป แม้บรรยากาศรอบตัวจะพลุกพล่านไปด้วยผู้คน แต่นั่นไม่ได้ทำให้เรารู้สึกรอบข้างมันครึกครื้นเลยเมื่อคนข้างๆเราต่างก็เงียบ ตอนนี้เหมือนเราทั้งสองได้ยกสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาพูดกันจนหมดแรงเลยเงียบซะมากกว่า สุดท้ายเราเงียบกันอยู่นานจนพายมันลุกขึ้นและเม้มริมฝีปากแน่นมองหน้าผมที่ยังนั่งอยู่เหมือนเดิมก่อนมันพูดขึ้น
“โจ กูชอบมึง”
ผมเงียบและมองมันเฉยๆไม่ตอบไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“ถ้ามึงตกลง...มึงเดินตามกูแล้วไปฉลองคริสต์มาสด้วยกัน ถ้าไม่ลุกแล้วเดินจากกูไปตอนนี้เลยได้ไหม?”
พอมันพูดจบผมก็ลุกขึ้นทันที สีหน้าขอมันดูตกใจมากที่ผมลุกขึ้นทันที
“โจ ถามมึงกำลังจะเดินไป มึงอย่าไปได้ไหม?”
แล้วจะให้กูเลือกทำไมวะ? ในเมื่อมึงก็พูดขึ้นแบบนี้ถ้ากูจะเดินไป
“ในหัวมึงไม่คิดจะฟังกูบ้างเลยรึไง กูก็เพิ่งบอกว่าชอบมึงไป จะให้ปฏิเสธมึงทำฝอยขัดหม้ออะไร?”
“เอ้า! ก็ใครจะรู้ มึงยิ่งพูดไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่ด้วย”
“พูดมาก เดินนำกูไปเลย” ผมพูดแล้วชี้นิ้วทางเข้าห้าง พายมันหลุดหัวเราะกับท่าทางของผม
ถึงแม้เรื่องของผมกับมันจะดูเริ่มขึ้นด้วยความขมๆ แต่ผมคิดว่ามันก็ไม่ปัญหาอะไรถ้าเราจะคบกัน ผมผลักหัวของมันที่หันมายิ้มให้ผมให้หันกลับไปแล้วเดินขนาบข้างมัน มันแขนของมันที่มันเอาซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมากุมมือผมไว้เบาๆก่อนที่มันจะกระชับมือผมแล้วหันมายิ้มยิงฟันให้ผม ผมใช้ไหล่กระแทกมันเบาด้วยความหมั่นไส้แล้วเดินจูงมือลากมันไปจากต้นคริสต์มาสหน้าห้างเพื่อเริ่มวันคริสต์มาสของเรา
EveSang Talk
สำหรับคู่นี่ก็จบลงแล้ววววว นักเขียนตั้งใจเขียนให้ทั้งสองเริ่มต้นความรักด้วยความอึดอัด
ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยได้เจอกันนะคะ แต่ถ้าใครอ่านแล้วเข้าใจว่าเขาทะเลาะกันรุนแรงแล้วอยู่ๆเขาก็มาคบกัน อันนี้ผิดนะคะ นักเขียนต้องการจะสื่อว่าพวกเขาได้ระบายเรื่องที่อัดอั้นเอาไว้ออกมา ทำให้ตัวเองเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นแค่นั้นเองจ้า ใครไม่เข้าใจงงจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ อาจจะยังสื่อออกมาไม่ดีพอ TT
สำหรับสเปเชี่ยลต่อไปน่าจะออกพร้อมนิยายอีกเรื่อง 1เมษา April Fool's Day
อยากให้เป็นคู่ไหนเขียนขอไว้ได้นะคะ จะดูคู่ที่เลือกเยอะๆหน่อย
และสำหรับตอนนี้ขอสารภาพบาปนิดนึงว่ายังไม่ได้แก้คำผิดนิยายเรื่องนี้เลยค่ะ พิมพ์เสร็จลงสดจริงๆค่ะตอนนั้น แล้วก็ไม่มีเวลาเข้ามาดูแลนิยายอีก พอดีตอนนี้กลับมาเขียนนิยายเรื่องใหม่เรื่องนึงเลยแวะเข้ามา แล้วเห็นว่าแต่งค้างไว้ ว่างๆจะเข้ามารีไรท์ ลบๆแก้ๆนะคะ TT
และขอบคุณ คุณ purple memory นะคะ
แจ้งเข้ามาเรื่องลิงค์ผิด แก้ไขแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบาย
ความคิดเห็น