คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 เซิร์ท
Shadow Fighting
บทที่ 1
เซิร์ท
“แฮกๆ”เสียงหายใจอันเหนื่อยหอบดังขึ้นท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ชายวัยกลางคนในมือถือกระเป๋าสีดำอีกมืออุ้มเด็กทารกหนีจากอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้ในทางวิทยาศาสตร์ “ต้องรีบแล้ว..” เสียงของชายคนดังกล่าวพูดขึ้น“โฮก”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของชายคนนั้น เมื่อหันกลับไปก็ต้องพบกับความสยดสยอง เมื่ออสุรกายที่มีแต่ในตำนานกลับโผล่ขึ้นมา ร่างสูงใหญ่กว่า3เมตรปกคลุมไปด้วยขนที่แข็งและหยาบกร้าน เล็บอันแหลมคมที่สามารถจะฉีกกระชากได้ถึงแม้จะเป็นเหล็กกล้าก็ตาม บนศรีษะมีเขาลักษณะคล้ายเขาแพะ นัยตาสีแดงก่ำ และเขี้ยวที่แหลมคมที่พร้อมจะขย้ำสองชีวิตด้านหน้ามัน ในมือถือขวานสองคมขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ที่มีรอยบิ่นจากการฟันมานับไม่ท่วน “มิโนทอร์!!! มันไม่น่ามาอยู่ที่นี่ได้” พูดจบชายคนดังกล่าวก็เริ่มออกวิ่งทันที แต่ไม่วิ่งได้ไม่ถึงห้าเมตรก็ถูกขวานขนาดใหญ่ซึ่งถูกขว้างมาปักขวางทางไว้ ชายคนดังกล่าวหน้าซีดเผือด เพราะขวานขนาดใหญ่นั้นปักห่างออกไปไม่ถึงสืบเซนติเมตร’ถ้าวิ่งเร็วกว่านี้ขาดครึ่งแน่’ชายคนนั้นคิดในใจพลางหันกลับไปเผชิญหน้ากับอสุรกายตนนั้น”ดูท่า...แกจะไม่ยอมให้ฉันไปซินะ”
“โฮกกก” อสุกายคำรามแทนคำตอบ “ถ้าจะไปก็คงต้องล้มแกก่อนซินะ ถึงจะไปได้น่ะ”ชายคนดังกล่าวหามุมที่อันตรายไม่สามารถเข้าถึงได้และวางเด็กทารกไว้ที่นั่นแล้วเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างในกระเป๋าสีดำออกมา มันเป็นเหล็กสีเงินยาวประมาณสิบเซนติเมตรสลักไว้ด้วยลายวิจิตรงดงามและมีเพชรขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเซนติเมตร ชายคนดังกล่าวใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่เพชรเม็ดนั้นพลันเรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น แท่งเหล็กเกิดแสงสีเงินสว่างไสวและเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น จากแท่งเหล็กกลับกลายเป็นเกราะแขนสีเงินที่ประดับด้วยลายวิจิตรงดงามขนาดใหญ่ “ย้ากกกกกกก” พริบตาเดียวร่างของชายคนดังกล่าวกลับอ้อมมาอยู่ด้านหลังของอสุรกายขนาดยักตัวนั้นแล้วง้างหมัดที่หุ้มไปด้วยเกราะแขนสีเงินและชกเข้าใส่อสุรกายตัวนั้นทันที เจ้าอสุรกายรู้สึกได้ถึงอันตรายจากด้านหลังของมันจึงรีบหันตัวกลับทันที แต่ทว่าการกระทำของมันกลับสูญเปล่าเพราะหมัดที่หุ้มไปด้วยเกราะแขนสีเงินขนาดใหญ่ได้กระแทกแผ้นหลังมันอย่างรุนแรงไปแล้ว “ตูมมม !!!” อสุรกายขนาดใหญ่ลอยกระเด็นออกไปอย่างไม่น่าเชื่อและกระแทกกับผนังตึกอย่างจังจนทำให้เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่และค่อยๆทรุดลงอย่างหมดแรงฉับพลันนั้น เกิดหมอกสีดำปลกคลุมร่างของมิโนทอร์ตามมาด้วยความรู้สึกเย็นแผ่นหลังวาบ พริบตานั้นชายคนดังกล่าวจึงสะบัดแขนไปด้านหลังทันที เคร้ง !!! เสียงของเกราะแขนกระทบกับสิ่งของบางอย่างและตกลงที่พื้น ชายคนดังกล่าวก้มหน้าลงไปมองก็พอว่าสิ่งที่กระทบกับเกราะแขนของตนนั้นคือมีดสั้นเล่มหนึ่ง ใบมีดเป็นสีเงินวาว ส่วนด้ามมีทำจากทองคำสลักลายกุหลาบไว้ “ซัคคิวบัสอย่างนั้นหรือ”ชายคนดังกล่าวพูดกับตัวเองพลางเหงือเม็ดใหญ่ก็ผุดขึ้นมาจากใบหน้าเพราะรู้สึกได้จากกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายที่ปรากฎขึ้นจากด้านหลัง เขาจึงรีบหลังกลับไปมองทันที ปรากฎเป็นร่างหญิงงามราวเทพธิดาร่างหนึ่ง กำลังย่างเท้าออกจากหมอกสีดำตรงหน้า ถึงแม้ชายคนดังกล่าวจะไม่เคยเห็นซัคคิวบัสก็ตาม แต่กลิ่นอายชั่วร้ายที่ออกมาจากหญิงงามตรงหน้าเขานั้น ทั้งมีดสั้นที่เขาสกัดไว้ จึงแน่ใจได้ทันทีว่าหญิงงามที่ปรากฎต่อหน้าเขานั้นคือซัคคิวบัสแน่นอน”สกัดมีดสั้นของข้าได้งั้นรึ ทำได้ไม่เลวทีเดียว” เสียงอันไพเราะราวกับดุริยางค์สวรรค์ดังขึ้น “ท่านต้องการสิ่งใดกัน จึงได้ลงมือทำร้ายข้า” ชายคนดังกล่าวถามขึ้น “เจ้ามีสิ่งที่ข้าต้องการ จงยกสิ่งนั้นให้ข้าซะ แล้วเจ้าจะได้จบชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้นามของข้า” ซัคคิวบัสพูดพลางชี้มือไปที่เด็กทารกที่อยู่ในซอกตึกที่ยากจะมองเห็นได้”ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้”ชายคนดังกล่าวพูดพลางขยับตัวเพื่อปิดช่องตึกไว้ พลางมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ‘แย่แล้ว...ลำพังเราคนเดียวคงจะถูกซัคคิวบัสฆ่าได้ในเวลาอันเร็วเป็นแน่’ ช่ายคนดังกล่าวคิดในใจ พลันรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่แผ่ออกมา “เจ้าปฎิเศษข้าอย่างนั้นรึ” เสียงอันเกรี้ยวกราดของซัดคิวบัสดังขึ้น “ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงหายไปจากโลกนี้ซะ” พรึ่บ !!! ทุกอย่างดำมืด “อ้าว เฮ้ย! ไฟดับ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น “ว้า ! กำลังถึงจุดไคล์แม็กซ์เลย ไฟดันดับซะได้ เซงว่ะ” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “นั่นสิ เดือนนี้แกจ่ายค่าไฟรึยัง” เสียงที่สามหันไปถามเสียงแรก “แหะๆ ขอโทษที เดือนนี้ฉันช็อตว่ะ” เสียงที่หนึ่งกล่าวขึ้น “เฮ้ออออ !!” อีกสองเสียงถอนหายใจพร้อมกัน พลันรอบตัวก็สว่างขึ้นอีกครั้ง “ไฟมาแล้วๆๆ ดูต่อดีกว่า” เสียงที่หนึ่งดังขึ้นอีกครั้งเจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มผมยาวหยักศกสีน้ำตาลเข้ม นัยตาสีแดงเพลง “นี่แกดูเรื่องนี้มากี่รอบแล้วเซิร์ท” เสียงที่สามดังขึ้นเจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน ผมสั้นสีดำและมีนัยตาสีเดียวกับสีผม “เอาน่าเรย์ ก็ฉันชอบเรื่องนี้นี่นา” เซิร์ทตอบกลับไปพลางยิ้มร่า แล้วเสียงที่สองก็ดังขึ้น “ฉันหิวแล้วล่ะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง” เจ้าของเสียงที่สองเป็นชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำอาง ผมยาวประบ่าสีเงินยวง นัยตาสีอำพัน ทั้งสองมีท่าทีลังเล แต่พอได้ยินคำว่าเลี้ยงก็หูตั้งหางกระดิกระริกระรี้กันใหญ่ “แกพูดจริงนะ ดาร์ค” เซิร์ทถามขึ้นมา “จริงสิฉันจะโกหกแกทำไม แต่ครั้งหน้าแกต้องเลี้ยง” เซิร์ทได้ยินดังนั้นก็คอตกทันทีแต่ก็ตอบรับไป “ก็ได้ๆ คราวหน้าฉันเลี้ยงเอง” “งั้นเราไปกันเถอะ เดี๊ยวร้านจะปิดเอา” เรย์พูดขึ้นมา ทั้งสามออกจากห้องพักแล้วไปใช้บริการของรถโดยสารประจำทาง “บางที...ฉันก็อยากมีพลังแบบในหนังบ้างนะ คงเท่ดีพิลึก” เสียงของเซิร์ทพูดขึ้นมาขณะนั่งอยู่บนรถโดยสาร “ เพ้อเจ้อ !!!!!” เสียงของดาร์คละเรย์ดังขึ้นพร้อมกัน “เชอะ!! ฉันก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ได้อยากจริงซะหน่อย” เซิร์ทตัดพ้อขึ้นมา เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั่งสองได้เป็นอย่างดี “เรย์ แกทำรายงานของอาจารย์รอวร์เสร็จหรอยัง” ดาร์คเปลี่ยนเรื่องหันไปถามเรย์ทันที “ยังเลยว่ะ แต่เซิร์ททำเสร็จแล้วนี่” เรย์ตอบพลางหันหน้าไปทางเซิร์ท “อื้อ ฉันทำเสร็จแล้วล่ะ เดี๊ยวกลับไปเอาให้ลอกแล้วกัน” พอเซิร์ทพูดจบก็ถึงศูนย์อาหารพอดี ที่นี่ถูกเรียกว่าซีพอยน์ เป็นศูนย์รวมของวัยรุ่นขนาดใหญ่ มีทั้งเด็กแรพ ฮิปฮอป รวมไปถึงนังเลงประจำถิ่นด้วย ทั้งสามไม่รอช้าเพราะเสียงร้องเริ่มดังประท้วงขึ้นมา จึงรีบเดินเข้าไปในโรงอาหาร ทันทีที่นั่งลงกับโต๊ะก็ปรากฎภาพบริกรสามมิติขึ้นมาทันที “รับอะไรดีครับ” เสียงของบริกรสามมิติดังขึ้น “ผมขออันนี้สามที่ครับ” ดาร์คพูดพลางชี้มือไปที่รูปอาหาร “กรุณารอซักครู่นะครับ” พอพูดจบบริกรสามมิตืก็หายไปทันที ไม่ถึงสองนาทีอาหารก้อปรากฎตรงหน้าทั้งสาม ทั้งหมดไม่รอช้ารีบกินทันทีเพราะตอนนี้หิวมากแล้ว พอกินเสร็จดาร์คจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยเสียงของเรย์ก็ดังขึ้น “นี่ๆ พวกแกดูไอ้พวกนั้นดิ มันใถเงินคนอื่นอีกแล้วว่ะ” เรย์พูดพลางชี้ให้ดูกลุ่มนักเลงประมาณ 8-9 คนกำลังยืนล้อมกลุ่มนักเรียนหญิงประมาณ 4-5 คนไว้ “จะเข้าไปช่วยใหม”ดาร์คหันไปถามเซิร์ท แต่ เซิร์ทกลับไปอยู่ที่โต๊ะแล้ว คาร์คจึงรีบหันไปมองที่กลุ่มนักเลง ปรากฎว่าเซิร์ทเดินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว “นี่พวกนายน่ะ ไม่มีจะกินกันแล้วหรือไง ถึงได้มาใถเงินชาวบ้านเขาแบบนี้น่ะ” เสียงของเซิร์ทดังขึ้นท่ามกลางวงนักเลง “แกพูดแบบนี้ อยากตายนักหรือไง” นักเลงที่ท่าทางเป็นหัวโจกพูดขึ้น “ฉันไม่ได้อยากตาย แต่ดูท่าพวกนายคงใกล้จะหิวตายแล้วซินะ ถึงได้มาไถเงินคนอื่นไปกินข้าวแบบนี้น่ะ” เซิร์ทพูดพลางทำหน้ายียวนใส่ “นี่แกจงใจจะกวนประสาทฉันใช่ใหม ฉันจะให้แกเห็นนรกของจริง” นักเลงหัวโจกพูดพลางเงื้อหมัดขึ้น “ของจริงน่ะ แบบนี้ต่างหากล่ะ” พริบตานั้นร่างของนักเลงหัวโจกก็ทรุดลงทันที ถ้าคนปรกติมอง จะเห็นว่านักเลงคนนั้นเป็นลมไป แต่ถ้าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้จะเห็นว่าเซิร์ทได้ปล่อยหมัดเข้าปลายคางถึงสามหมัดจึงทำให้นักเลงหัวโจกสลบไปในทันที นักเลงที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขู่ว่า “แกกล้ามีเรื่องกับแก๊ง เค้าแมวโหดหรอ” เซิร์ทได้ยินดังนั้นจึงพูดพลางปล่อยจิตสังหารออกไปโดยไม่รู้ตัว “จะเค้าแมว หรือ กาเหว่า ฉันก็ไม่สนทั้งนั้น แต่ถ้าฉันเห็นว่าใครทำเรื่องอะไรชั่วๆล่ะก็ ฉันเล่นไม่เลี้ยง” พวกนักเลงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารถึงกับเหงื่อซึมแผ่นหลัง “แล้วแกจะได้เจอดี” นักเลงคนหนึ่งพูดทิ้งท้าย ในจังหว่ะเดียวกันกับที่เรย์และดาร์ควิ่งมาถึงพอดี “เป็นไงบ้าง จัดการไม่หมดรึไงเนี่ย” เรย์ถามขึ้นพลางมองไปที่กลุ่มนักเลงที่ตัวสั่นเป็นลูกนกพึ่งเกิด “ใครว่าล่ะ ยังไม่ได้ลงมือต่างหาก แกจะเอาด้วยใหมล่ะ” เซิร์ทถามเรย์พลางขยับร่างกายเหมือนคนกำลังจะออกกำลังกาย “ก็ดีเหมือนกันนะเรย์ ฉันอยากไปเดินเที่ยวต่อแล้วว่ะ” ดาร์คพูดขึ้นพลางถอนหายใจเบาๆ แต่ในแววตามีแววซุกซนแฝงอยู่ “นี่แกจะมีเรื่องกับพวกเราเค้าแมวโหดอย่างนั้นหรอ” นักเลงคนหนึ่งพูดขัดจังหว่ะขึ้นมา เพราะได้ยินการสนทนาทั้งหมดจากทั้งสาม ลำพังแค่เซิร์ทที่แค่ปล่อยจิตสังหารออกมาก็ทำให้พวกมันแทบจะสลบกันอยู่แล้ว แต่นี่มีอีกสองคนที่ไม่รู้มาจากใหน แต่รูปร่างล่ำสันของเรย์และจิตสังหารของเซิร์ทนั้นบอกพวกมันได้เป็นอย่างดี ว่านี่แหละ ‘ของจริง’ ยังไม่รวมอีกคนที่ท่าทางเจ้าสำอางนัยตาสีอำพันคอยจดจ้องและหาวิธีการอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเรย์เป็นหน่วยบุกทะลวง เซิร์ทเป็นแม่ทัพ คนสุดท้ายคงเป็นกุนซืออย่างไม่ต้องสงสัย “นี่เรย์ ฉันขอสี่คนทางขวานะที่เหลือนายจัดการแล้วกัน” เซิร์ทพูดพลางมองไปที่กลุมนักเลงที่ยืนอยู่ด้านขวาของกลุ่มนักเรียนหญิง “จะเอาอย่างนั้นหรอ.....โอเคๆ อีกสี่คนฉันจัดการเอง” เมื่อเรย์พูดจบกลุ่มนักเลงต่างก็ชักมีดชักไม้ออกมาทันที “อยากตายก็เข้ามา” นักเลงคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความกลัวสุดขีดพลางพุ่งตัวเข้าหาเรย์และง้างไม้เบสบอลเพื่อจะฝาดเข้าที่ศรีษะของเรย์ “หาที่ตายเลยนะนั่น” เซิร์ทและดาร์คพูดขึ้นพร้อมกัน บึ้ก!!! เสียงไม้กระทบกับเสียงเนื้อดังขึ้น นักเลงยิ้มกริ่มเพราะไม้เบสบอลของมันสั่งทำพิเศษจึงทำให้แข็งกว่าเหล็กธรรมดา “มีแรงแค่นี้หรือ” เรย์พูดพลางใช้มือดันไม้เบสบอลที่ทาบอยู่ที่ศรีษะตัวเองออก “ตาฉันบ้างล่ะนะ” หมัดซ้ายถูกปล่อยเข้าท้องน้อยของนักเลงอย่างจัง ทำให้นักเลงตัวงอเป็นกุ้ง ยังไม่จบแค่นั้น เรย์ใช้มือทั้งสองข้างจับเข้าที่ศรีษะขอองนักเลงที่ระดับอยู่ที่ประมาณเอวของเรย์ แล้วกระทุ้งเข่าเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ตึง!! พรวดดด !! เลือดของนักเลงคนดังกล่าวพุ่งเป็นสายออกจากรูจมูกและปาก “โหดไม่เปลี่ยนเลยแฮะ” ดาร์คและเซิร์ทพูดขึ้นมาพร้อมกันพลางกลั้นหัวเราะ ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้นเสียงของนักเลงคนหนึ่งก็ดังขึ้น “เฮ้ยพวกแก ถ้าไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้ตายจงยอมกราบขอโทษพวกฉันซะ” นักเลงคนหนึ่งพูดพลางใช้มีพกจ่อที่คอของนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เรย์ที่กำลังอาละวาดอยู่พลันหยุดชะงักและพูดว่า “พวกแกนี่มันเลวครบรูปแบบจริงๆ เซิร์ท ฉันขอหมดเลยแล้วกันนะ” เรย์หันไปทางเซิร์ท แต่ปรากฎว่าเซิร์ทไม่อยู่ (อีกแล้ว) ตูมมมมม!!!! ร่างของนักเลงที่ใช้มีดจ่อคอนักเรียนหญิงอยู่ ถูกมือของเซิร์ทผลักที่หน้าผากแล้วกดลงกระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่นบาดเจ็บสาหัสทันที นักเลงคนอื่นทำท่าจะเข้าไปช่วยเพื่อน แต่ถูกเสียงของดาร์คขัดไว้ก่อน “อย่าเข้าไปนะ ถ้าเข้าไปพวกนายตายหมดแน่” เสียงที่จริงจังของดาร์คทำให้พวกนักเลงเชื่อทันทีว่า ถ้าเข้าไปละก็ ‘ตายแน่!!!’ “พอได้แล้วเซิร์ท พวกนี้มันกลัวจนหัวหดแล้ว” เรย์พูดพลางชี้มือไปทางพวกนักเลงที่เกาะกลุ่มกัน “พวกแกจำใสกะโหลกไว้เลยนะ ว่าถ้าฉันเจอพวกแกอีก รับรองได้เลย ฉันจะไม่ปล่อยไปอีกแน่” เซิร์ทกล่าวออกมาด้วยท่าทางเย็นชาพลางแผ่จิตสังหารออกมาเป็นระยะๆ “ขอบคุณพวกพี่ๆมากนะคะ” เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวขอบคุณเซิร์ทด้วยสายตาเป็นประกายสุดๆจนเพื่อนที่อยู่ข้างหลังอดแซวไม่ได้ “ไม่เป็นไรครับน้อง พี่ยินดีช่วยเสมอ” เซืร์ทพูดพลางยิ้มน้อยที่มุมปาก ซึ่งเกือบทำให้เด็กสาวคนนั้นใจละลายลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว “พี่ชื่อเซิร์ทนะ พวกน้องชื่ออะไรกันบ้าง” “หนูชื่อวิวค่ะ คนที่ใส่แว่นชื่อแอน ส่วนคนผมสั้นที่ดูเย็นชาๆนั่นชื่อเบลค่ะ” (บอกแค่คนที่สำคัญๆนะครับ หัวไม่แล่นอ่ะ) พอทุกคนทักทายกันหมดแล้วแอนก็ถามเซิร์ทขึ้นว่า “ ทำไมพวกพี่เก่งกันจังเลยคะ แค่สองคนก็ไล่นักเลงที่มีพวกมากกว่าตัวเองหลายเท่าไปได้.....หรือว่า!!!.....พวกพี่เป็นยอดมนุษย์ใช่ใหมคะ ไม่สิ โหดอย่างนี้ต้องเป็นอสูร โอ ยอดเลย...” พอแอนพูดเสร็จก็ทำท่าทีเคลิ้มฝันอยู่พักใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตุสีหน้าของเซิร์ทที่มีสีหน้าหดหู่อย่างชัดเจน
11 ปีก่อน
“ถอยไปนะไอ้ปิศาจ” “ว้าย!! อย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้นสิลูก มันเป็นปิศาจ” เสียงนินทาและเสียงด่าทอดังขึ้นรอบๆตัวเซิร์ท “ผมไม่ใช่ปิศาจนะ” เซิร์ทตะโกนขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ใหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เซิร์ทเกิดในตะกูลขุนนางชั้นต่ำของเมืองโอร์ฮันเซีย โดยที่มารดาของเซืร์ทนั้นมีตำแหน่งทอฝ้าเพื่อให้ขุนนางชั้นสูงใส่ จนมาวันหนึ่งมารดาของเซิร์ทได้พบกับชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นเทพพระเจ้าแห่งเปลวเพลิง ‘นิครอค’ ปลอมตัวมาเพื่อสำรวจผืนพิภพมีชื่อว่า ทั้งคู่พบรักกันและตกลงแต่งงานกันจนมารดาของเซิร์ทตั้งท้องได้หกเดือน นิครอคจึงเปิดเผยความจริงของถานะตนเองให้ฟัง สาเหตุที่บอกเพราะว่า องค์มหาเทพเรียกตัวเพื่อเตรียมตัวทำสงครามกับฝ่ายมาร หลังจากนิครอคจากไปได้สามเดือน มารดาของเซิร์ทก็คลอด และตั้งชื่อบุตร ‘เซิร์ท ยักษาเจ้าแห่งเปลวอัคนี’
นิยายเรื่องนี้กระผมแต่เป็นเรื่องแรกนะคับ หัวไม่ค่อยแล่นเท่าไหร่ แต่แค่อยากลองแต่งดู ติได้เต็มที่เลยนะคับผมจะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไข ของคุณมากคับ
ความคิดเห็น