ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาจตุเทวา ตอนตราประทับแห่งวายุ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ(กล่าวถึงที่มาของนิยาย และเรื่องราวของเทพ)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 58


    มหาจตุเทวา

    ตอน ตราประทับแห่งวายุ
    ( บทนำ )

     

                       14.00 น. ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร 2013

                       “แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะแม่”

                       เสียงเด็กหญิงเรียกแม่จากประตูหน้าบ้าน เด็กหญิงอายุ 8 ขวบ ชื่อจริง วายุกานต์ ผดุงธรรม ชื่อเล่น พาย

                       “กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำซะ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยนะ พาย”

                       เสียงของแม่ของพายตะโกนออกมาจากห้องครัวหลังบ้าน

     

                       แต่ดูเหมือนจะมีสิ่งที่ดึงดูดพายมากกว่าคำสั่งของแม่ เธอรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ด้านหน้าของเธอ มีห้องอยู่ทั้งหมด 5 ห้อง ทางซ้ายประตูหน้าห้องเขียนว่า พ่อ-แม่ ทางขวา พาย-ซี แต่เด็กหญิงก็ยังคงวิ่งต่อไปยังห้องตรงกลาง เป็นห้องด้านหน้าสุด เธอไมรอช้าที่จะเปิดประตูเข้าไป ป้ายหน้าห้องเขียนว่า “ห้องทำงานของพ่อ”

                      

                       ภายในห้องนั้นมีตู้หนังสืออยู่หลายตู้ มีโต๊ะหนังสือติดอยู่กับหน้าต่างตรงกลางห้อง แสงแดดอ่อนๆยามบ่ายสาดส่องให้แสงสว่างอย่างทั่วถึงจากทางหน้าต่าง จนไม่ต้องเปิดไฟในห้อง มีลมอุ่นๆ ยามบ่าย โชยเบาๆ พายเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง เธอเริ่มสำรวจบนโต๊ะตามภาษาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น  เธอค่อยๆเปิดลิ้นชักด้านล่างโต๊ะทำงานด้านในนั้น  มีกระเป๋าหนังเก่าๆ ใบหนึ่งอยู่พายค่อยๆ เปิดมันออก เหมือนกลัวว่าถ้าเธอเปิดมันแรงมันจะสลายเป็นฝุ่นไปต่อหน้า

     

                ด้านในของกระเป๋ามีสมุดบันทึกเล่มหนาเก่าๆ อยู่หนึ่งเล่ม และมีดรูปทรงแปลกๆ สีทอง ส่วนของด้ามจับประดับด้วยเพชรสีแดง แต่เด็กหญิงกลับไม่ได้สนใจ มีดแปลกๆ เล่มนี้ เธอหยิบสมุดบันทึกออกมา วางไว้บนโต๊ะ หน้าปกเขียนว่า

     

     

    บันทึกมหาจตุเทวา

     

     

                       เด็กหญิงค่อยๆเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน

                       “ผมชื่อนายนิธินัย ผดุงธรรม เป็น นักอุตุนิยมวิทยา กำลังศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับสภาพอากาศ ผมเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือ สภาพอากาศที่ผิดปกติแต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของผมเลย จนกระทั้งวันนั้น

                       “ผมขับรถออกจากหมู่บ้านบนเขาในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างทางมีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างทาง เหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง ผมหักรถหลบเค้าได้ทัน แล้วเค้าก็ล้มลง บนถนน และแน่นิ่งไป ด้วยความตกใจผมจึงรีบลงไปดู ผู้ชายคนนั้นแต่งกายแปลกๆ เหมือนกับพวกถ่ายหนังย้อนยุค นอนหงายหน้าขึ้น หายใจรวยริน ดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนเสียสติ

     

                       “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?”

                       ผมถามออกไปด้วยความตกใจ เหมือนเค้าจะได้ยินเสียงของผม เขาค่อยๆ หันหน้ามาที่ผม  สีหน้าเค้าดูตกใจที่เห็นผม และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เปลี่ยนจากความตกใจเป็นหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ ผมงงมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้  หรือเขาเป็นคนเสียสติ  แต่ดูจากร่างกายของเขาแล้วมีร่องรอยเหมือนถูกสัตว์ทำร้ายทั่วร่างกาย มีบาดแผลฉกรรจ์ หลายแห่ง เขาค่อยๆ ปลดกระเป๋าที่ติดตัวเขามาด้วย แล้วยื่นให้ผม พร้อมทั้งบอกว่าให้รีบไปจากที่นี่ รักษาสิ่งนี้ให้ดี พวกมันกำลังมา

                       ผมก็ยืนกรานว่าจะพาเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลให้ได้ แต่ลางสังหรณ์ของผมมีบอกว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้ต่อไปมันต้องอันตรายมาก แต่จะให้ทิ้งชายคนนี้เอาไว้มันคงไม่ใช้เรื่องดีอย่างแน่นอน ระว่างที่ยืนคิดอยู่นั้นเอง ผมก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนร่างของชายคนนี้ นี่ไม่ใช่ร่างกายคนธรรมดาอย่างแน่นอน ร่างของเขาค่อยๆ  ร้อนขึ้นจนมีไอน้ำ พุ่งออกมาจนเห็นได้ชัด ดวงตาเขาแดงก่ำดังเปลวเพลิง

     

                       “ไป”

     

                       นั่นคือคำที่เค้าพูดก่อนจะลุกขึ้น แล้ววิ่งลับเข้าไปในป่า ทิ้งให้ผมยืนอึ้ง และงวยงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

                      

                       หลังจากที่ผมกลับมาถึงที่พัก ก็ตรวจสอบดูกระเป๋าหนังสัตว์ ในนั้นมีสมุดเก่าๆ อยู่หนึ่งเล่มที่เขียนด้วยภาษาที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และก็สร้อยคอทองคำที่สวยงามตรงกลางประดับด้วยอัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก หลังจากที่เอาไปให้เพื่อนที่ทำงานเกี่ยวกับอัญมณีตรวจสอบ เค้ากลับบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ไม่ใช่เพชร ไม่ใช่พลอย เป็นอะไรที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างดูสับสน และหาคำอธิบายไม่ได้ ผมกลับไปยังจุดที่เจอชายคนนั้น แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเขา

                       ผมจึงเหลือแค่สมุดที่เขียนด้วยตัวหนังสือแปลกๆ หลังจากทำการศึกษาอยู่นาน ตามหาผู้เชี่ยวชาญไปทั่ว ในที่สุดผมก็พอจะได้ข้อมูลว่าภาษาที่เขียนนั้นเป็นภาษาโบราณ อายุของมันเก่ากว่าอาณาจักรละโว้ในอดีตของไทยเสียอีก ผมใช้เวลาแปลมันอยู่เกือบปี ในที่สุดก็สามารถแปลมันได้สำเร็จ

                      

                       ในบันทึกนั้นได้เล่าเรื่องราวของเทพยดา ที่ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ก่อนเกิดอาณาจักร ต่างๆขึ้น ความว่า

                       ในบรรดาเทพหลายร้อยองค์ มีเพียง 4 องค์ เท่านั้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ และทรงพลังอำนาจ เป็นเทพสี่พี่น้อง ซึ่งแต่ละองค์นั้นล้วนมีพลังอำนาจที่แตกต่างกัน แต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ว่ากันว่าทั้งสี่องค์เป็นองค์แรกๆที่ เกิดขึ้นจากธรรมชาติเพื่อเป็นตัวแทนของธรรมชาติในธาตุนั้นๆ

                       องค์แรกพระเพลิง เทพองค์โตสุด มีอำนาจมากที่สุด ผู้ควบคุม พลังของเพลิง ความร้อน และแสงสว่าง นางเป็นเทพที่บันดาลโทสะได้ง่าย อารมณ์ร้อนแต่อบอุ่น และสง่างาม

                       องค์ที่สองพระแม่วารี เทพแห่งสายน้ำ ความเย็น และความมืด ทรงเป็นองค์ที่มีบุคลิก ตรงข้ามกับ พระเพลิงโดยสิ้นเชิง ใจดี มีเมตตา และเป็นองค์ที่คอยระงับโทสะของพี่สาว และตักเตือนน้องๆ ของนางอยู่บ่อยครั้ง

                       องค์ที่สามพระแม่ธรณี เทพแห่งพื้นพิภพ ป่าไม้ และชีวิต ทรงเป็นองค์ที่มีบุคลิกหนักแน่น รักความยุติธรรมเป็นที่สุด จิตใจซื่อตรง ตรงไปตรงมา  รักษาคำพูดและจริงจังในทุกๆ สิ่ง ในบรรดาพี่น้อง นางเองไม่ค่อยให้ความเห็น หรือออกความเห็นอะไรมากนัก แต่ถ้าใครกระทำผิด นางจะไม่มีทางปล่อยไว้โดยเด็ดขาดแม้จะต้องเป็นศัตรู กับพี่น้องของนางก็ตาม

                       องค์ที่สี่พระพาย เทพแห่งนภา สายลม ท้องฟ้า  และความรู้ พระพายทรงเป็นเทพองค์สุดท้ายในบรรดาเทพทั้งสี่ที่ยิ่งใหญ่ นิสัยซุกซน ชอบสร้างปัญหาให้กับพี่ๆ จนทำให้เทพองค์อื่น ไม่ค่อยนับถือนาง แต่นางก็ยังเป็นหนึ่งในสี่เทพผู้มีพลังสูงสุด นางรักความสนุกสนาน และอิสระเป็นที่สุด ด้วยความที่นางชอบเรื่องสนุก นางชอบแวะไปเที่ยวโลกมนุษย์ที่มีงานรื่นเริงอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่ไปก็ชอบหยอกล้อมนุษย์ พวกมนุษย์จึงไม่ค่อยชอบพระพายมากนัก

                       ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น และความสงบก็ได้ดำเนินเรื่อยมา จนกระทั่งในตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่เลวร้าย พระเพลิงถกเถียงกับพระแม่ธรณีจนเกิดบันดาลโทสะ ซัดพลังเพลิงของนางใส่พระแม่ธรณี แม้จะไม่โดนพระแม่ธรณี แต่พลังอำนาจของนางก็มากจนเกินไป เพลิงนั้นได้ตกลงสู่โลกมนุษย์ เผาผลาญเมืองของมนุษย์ในชั่วพริบตา ครั้งนั้นพระเพลิงเสียใจมากร้องไห้อยู่นานเจ็ดวัน เจ็ดคืนกับความผิดของนาง แม้บรรดาพี่น้องจะเข้าไปปลอบแต่ก็ไม่เป็นผล

                       หลังจากนั้นด้วยความรู้สึกผิด พระเพลิงจึงแอบปลอมตัวเป็นมนุษย์ลงไปช่วยเหลือมนุษย์ มันยิ่งทำให้นางสงสารมนุษย์มากขึ้นไปอีก พวกมนุษย์ยังไม่รู้จักการใช้ไฟมากนัก นางจึงมอบไฟ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้ได้รับความอบอุ่น และคอยเฝ้าดูแลมนุษย์เรื่อยมา แต่นั่นกลับเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เมื่อมนุษย์ได้ไฟ พวกเค้าก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มที่จะคุกคามสิ่งมีชีวิตอื่น มนุษย์เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกชีวิตแล้ว ก็เริ่มที่จะหันหน้ามาห้ำหั่นกันเองกัน เองเกิดเป็นสงครามที่ไม่จบไม่สิ้น ประกายเพลิงได้เผาผลาญสิ่งต่างๆ ไปมากมาย เกิดความเดือนร้อนทุกข์ยาก ไม่เพียงแต่มนุษย์ สัตว์ แม้แต่เทพองค์อื่นๆ ก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน…..

     

                       อีกด้านหนึ่งเผ่าทั้งสี่ ที่คอยรับใช้เทพทั้งสี่ก็ต่างชิงดีชิงเด่นกัน เผ่าทั้งสี่ประกอบไปด้วยสิงห์เพลิง สมิงพราย พญานาคา ปักษาราชันย์ แม้ทั้งสี่เผ่าจะคอยรับใช้องค์เทพของตนอย่างจงรักภักดี แต่ก็ไม่ถูกกัน แอบรบกันอยู่บ่อยครั้ง ที่ดูจะเป็นอริกันอย่างชัดเจน คือ พญานาคา  กับปักษาราชันย์ ทั้งสองสู้รบกันอยู่ตลอด แม้องค์เทพจะห้ามปราม แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล  สมิงพรายซึ่งเป็นเผ่าที่รับใช้พระแม่ธรณี แม้จะรักความสงบ แต่หลังจากที่มนุษย์บุกเข้ามาทำร้ายสัตว์ป่า ทำลายป่า พวกเค้าก็โกรธแค้นมนุษย์ถึงขนาดอยากฆ่าให้ตายให้หมด แต่ทั้งสามเผ่าก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเนื่องจาก มีเผ่าที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำต่างๆ ของสามเผ่าอยู่ ไม่ว่าจะสงคราม หรือ การทำร้ายมนุษย์ มักจะโดนเผ่าพวกเค้าเข้าแทรกแซงอยู่เสมอ ด้วยเพราะเป็นเผ่าที่มีพลังอำนาจสูง และรับใช้เทพพระเพลิง ชื่อของเผ่านั้นคือ “สิงห์เพลิง”

     

                       การกระต่างๆ ทำให้อีกสามเผ่าไม่พอใจสิงห์เพลิงเป็นอย่างมาก จึงคิดจะทำลายเผ่านี้ให้สิ้นซาก จากเผ่าที่ไม่ญาติดีกัน แต่เพื่อกำจัดเผ่าที่มีอำนาจสูงกว่าตน พวกเค้าจึงร่วมมือกันเป็นพันธมิตรชั่วคราวเพื่อโค่นเผ่านี้ลง แต่การจะทำได้นั้นต้องตัดจุดกำเนิดพลัง นั่นคือต้องผนึกพลังของพระเพลิงให้ได้เสียก่อน และโอกาสก็มาถึง พวกเขาฉวยจังหวะที่เกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากกับมนุษย์ ที่กระหายการทำลายล้างด้วยเพราะไฟเป็นต้นเหตุ ทั้งสามเผ่าจึงออกอุบาย ทูลขอให้พระแม่วารีและพระแม่ธรณีหาทางแก้ไขปัญหาการใช้ ไฟของมนุษย์ด้วยการผนึกพลังของพระเพลิงไว้ชั่วคราว เมื่อพระแม่วารี และพระแม่ธรณีได้ฟังดังนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีผนึกพลัง แต่ด้วยความเชื่อใจในบริวารของตน จึงไปทูลขอให้พระเพลิงผนึกพลังของตนเพื่อให้มนุษย์ลดการใช้ไฟลง

     

                       พระเพลิงซึ่งทรงวิตกกังวลเป็นอย่างมากกับปัญหาที่ตนเองได้ให้ไฟแก่มนุษย์ ก็ฟังคำขอของน้องสาวทั้งสอง จึงยินยอมทำตามด้วยความเต็มใจ โดยหารู้ไม่ว่า นี่คืออุบายของบริวารของพระแม่ทั้งสอง

                       พระเพลิงทรงผนึกพลังของตนลงในสร้อยเบญจอัคคีซึ่งเป็นเครื่องประดับประจำตัวของพระองค์เอง หลังจากที่ผนึกพลังทั้งหมดแล้ว ร่างและบริวารของพระเพลิงก็อ่อนแรงลง ผู้นำทั้งสามเผ่าจึงอาสาส่งพระเพลิงกลับที่ประทับ ในระหว่างทางนั้นเอง  พวกเค้าก็ได้กักขังพระเพลิง และส่งนางไปอีกมิตินอกพิภพ  ด้วยพลังจากสร้อยเบญจอัคคีของนางเอง เมื่อผนึกพระเพลิงเสร็จก็แยกสร้อยเบญจอัคคี ออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน เพื่อป้องกันไม่ให้พระเพลิงสามารถกลับมามีพลังได้อีก

                       จากนั้นก็ทูลแจ้งข่าวเท็จกับพระแม่วารี และพระแม่ธรณี ว่าระหว่างส่งพระเพลิงกลับที่ประทับ ต่างโดนคนของเผ่าสิงห์เพลิงบุกเข้าทำร้าย และชิงพระเพลิง พร้อมกับสร้อยเบญจอัคคีไป เหตุผลนั้นก็คือ เพื่อที่ตนจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ พระแม่วารีได้ฟังดังนั้นถึงกับเสียใจร้องไห้อยู่หลายวัน  บริวารของพระเพลิงคิดคดทรยศกับพระเพลิง คิดจะตั้งตนเป็นใหญ่กว่าเทพ พระแม่ธรณียอมไม่ได้ที่เผ่าสิงห์เพลิงคิดกบฏ ก็ทรงมีพระบัญชาให้ชิงตัวพระเพลิงกลับมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้พาเสด็จพี่ของนางกลับมาให้จงได้

                       และคืนนั้นเอง กองทัพของทั้งสามเผ่าได้บุกเข้าตี ที่ตั้งของเผ่าสิงห์เพลิงอย่างไม่ทันตั้งตัว และสยบเผ่าสิงห์เพลิงได้อย่างราบคาบ เพราะเมื่อไม่มีพระเพลิง เผ่าสิงห์เพลิงก็ไม่สามารถใช้อำนาจแห่งไฟได้  อีกทั้งร่างกายก็อ่อนแอลงมาก  พวกเค้าเหมือนโดนไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวเสียด้วยซ้ำ พวกที่เหลือรอดก็โดนเอาไปเป็นทาสทำเหมืองอยู่ใต้ดิน ไม่ให้มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน และก็ตามล่าพวกที่เหลือรอด นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ข้าได้รวบรวมเอาไว้ในบันทึกนี้ หากแม้ข้าตายลงก่อนที่จะรวบรวมสร้อยเบญจอัคคี และปลดปล่อยพระเพลิงได้แล้วล่ะก็  ถ้าหากคนของเผ่าข้าได้เจอบันทึกนี้ ช่วยเล่าความจริงนี้ให้คนอื่นๆ ฟังด้วย ฝากบอกพวกเขาด้วยว่า พวกเราบริสุทธิ์ และขอให้อดทนรอวันที่เทพที่ยิ่งใหญ่ของเรากลับคืนมา เพื่อที่เราจะได้อยู่กับลูกกับหลานของเราอีกครั้ง

     

    หัวหน้าเผ่าคนสุดท้าย ท้าวจักรภพ

     

     

    หนังจากที่ได้อ่านจบ พายรู้สึกหดหู่ กับเรื่องที่เกิดขึ้น มันรู้สึกเจ็บแค้นทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตั้งแต่เด็ก แม้จะจำหน้าพ่อที่หายตัวไปไม่ได้แล้ว แต่พายก็ยังคงจำคำสอนของพ่อได้ คือ “เราต้องยืนหยัดอยู่ในความถูกต้อง และไม่เอาเปรียบผู้อื่น”

     

     

     

                       “พายลูก..  ลงมากินข้าวเย็นได้แล้ว”

                       เสียงแม่เรียกจากด้านล่าง

                       “ค่ะแม่  เดี๋ยวลงไปค่ะ”

                       เด็กหญิงปิดหนังสือลง และกำลังจะเก็บสมุดบันทึกเข้ากระเป๋า แต่ด้วยความรู้สึกแปลกเธอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าอีกรอบ และหยิบปืนรูปทรงแปลกๆ ออกมาดู รูปร่างมันแปลกเพราะว่ามีลวดลายสวยงามไม่เหมือนกับอาวุธ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหญิง จึงได้ลองเหนี่ยวไกปืน

     

                       แป๊ก

                       และก็มีไฟพุ่งขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นปืนไฟแช็คนั่นเอง

     

                       “พายทำอะไรอยู่นะลูก ลงมากินข้าวได้แล้ว มาช่วยแม่ดูน้องก่อนเร็วเข้า”

                       เสียงแม่เรียกอีกครั้ง

     

                       ด้วยความรีบของพาย เธอรีบเก็บปืนไฟแช็คเข้ากระเป๋า  แต่แล้วเธอก็พลาดทำมันตกลงกับพื้น ด้ามจับของมันเปิดออก กระป๋องเล็กๆ หลุดออกมา พายนั่งลงกับพื้นพยายามจะจับ กระป๋องเล็กๆ นั้นใส่กลับที่เดิม และก็ใส่ได้อย่างไม่ยากนัก สายตาของพาย มองลงไปยังพื้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ตกอยู่ พายหยิบมันขึ้นมาเปิดดู มีข้อความเขียนด้วยลายมือที่ไม่คุ้นเคย แต่เป็นลายมือที่สวยงามมาก เขียนว่า

     

     

    “สายเลือดแห่งผู้ชี้นำจักกลับมากอบกู้โลก

    หนึ่งทำลายชักนำโทสะแห่งเปลวเพลิง

    อีกหนึ่งจะสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงโลกต้องสาป

    แต่หากทั้งสองเป็นอริ โลกจักพบกับจุดจบ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×