คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : - 4 -
〔
THE ENEMY 〕
4
“ฉันจะไม่มีวันทำร้ายนายเด็ดขาด...
ไม่มีวัน”
แจ็คสันรองน้ำล้างหน้าตัวเองอีกครั้งและอีกครั้งตามจำนวนรอบประโยคของมาร์คที่เขาเผลอนึกถึง
คนตัวขาวมองใบหน้าของตัวเองที่เปียกซกผ่านกระจก เริ่มตั้งแต่ผมหน้าม้าของเขาที่ยาวจนทิ่มตา
ใต้ตาคล้ำเล็กน้อยเพราะนอนไม่พอ และเมื่อมาถึงริมฝีปาก
หัวใจก็เต้นรัวพร้อมกับภาพของเหตุการณ์ตรงระเบียงที่แจ่มชัดในความคิดเขาเหลือเกิน ที่จริงไม่ใช่แค่คำพูดของอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแต่มันยังพ่วงด้วยการกระทำที่เพิ่งเกิดขึ้น
แจ็คสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนทำไปเพราะอะไรแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมตอนที่ใบหน้าของมาร์คเขยิบเข้ามาใกล้เขาถึงไม่หลบไปซะ...
แต่ถ้าลองนึกจากปริมาณเบียร์ที่มาร์คกินเข้าไปแล้ว
คำตอบที่แจ็คสันคิดออกตอนนี้คงจะมีแค่เพราะเมาล่ะมั้ง
ส่วนเหตุผลที่เขาไม่ยอมหลบนั่น...
“นี่นายจะยืนล้างหน้าอีกนานไหม”
แจ็คสันสะดุ้งเฮือก รีบปิดน้ำแล้วหันไปทางประตูทันที มาร์คในสภาพที่มีแค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียวกำลังมองแจ็คสันด้วยสายตาหงุดหงิดอย่างเปิดเผย
ชายหนุ่มถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย
หยิบยาสีฟันมาบีบลงบนแปรงของตัวเองและยืนหลับตาแปรงฟันข้างๆ แจ็คสันรู้สึกทำตัวไม่ถูกต่างจากอีกคนที่ยังมีท่าทีสบายๆ
คนตัวขาวเม้มปากอย่างทุกครั้งที่ชอบทำเมื่อประหม่าก่อนจะตัดสินใจหยิบแปรงสีฟันมาแปรงฟันบ้าง
มาร์คก้มลงไปบ้วนปากและล้างหน้าหลังจากแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย
เขยิบไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับน้ำตามใบหน้าและยืนพิงเคาท์เตอร์ มองดูแจ็คสันที่กำลังจัดการกับตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจจนเกินไป
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อนึกสนุกบางอย่าง
เขาเคลื่อนตัวไปด้านหลังอีกฝ่ายก่อนจะยื่นมือเท้ากับเคาท์เตอร์กักตัวเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนตัวเองอย่างสมบูรณ์
และความใกล้ชิดนั่นทำเอาแจ็คสันที่กำลังก้มหน้าล้างแปรงสีฟันสะดุ้งเฮือกเป็นรอบที่สองของวัน
“เอ่อ
.. ค...คุณมาร์ค...” แจ็คสันรู้สึกไปไม่เป็น เขาชะงักมือที่อ่างล้างหน้า เอ่ยเรียกชื่ออีกคนออกมาเสียงแผ่วแถมยังตะกุกตะกัก
จู่ๆใจดวงน้อยกำลังเต้นระรัวจนกลัวว่าคนที่แนบชิดอยู่ด้านหลังจะได้ยินมันเข้า เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรตั้งแต่ได้ยินสิ่งที่มาร์คพูดเมื่อคืน
แต่มันเป็นอาการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย แจ็คสันจึงพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจตัวเองด้วยการทำอย่างอื่น
เช่นล้างแปรงสีฟันตัวเองต่อ
แต่ไม่ว่ายังไงแก้มแดงๆนั่นมันก็หนีไม่พ้นสายตาของมาร์คอยู่ดี
มาร์คเห็นมันตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาในห้องน้ำแล้ว
พอเห็นท่าทีเร่งรีบอยากจะออกไปจากห้องน้ำเร็วๆมันเลยทำให้เขารู้สึกอยากแกล้งเด็กคนนี้สักหน่อย
มาร์คยื่นหน้าเข้าไปจนแก้มแทบจะชิดกับแก้มของแจ็คสัน ลมหายใจอุ่นที่อยู่ใกล้เล่นเอาแจ็คสันตัวแข็งทื่อ
มาร์คทำเป็นหยิบแปรงสีฟันสีพีชที่แจ็คสันเพิ่งจะใช้ไปมาดู
“นี่นายใช้ของจินยองงั้นเหรอ?”
ทั้งคำถามและน้ำ เสียงอันเรียบนิ่งของมาร์คทำให้แจ็คสันที่ก้มหน้าอยู่รีบเงยขึ้นมาอธิบาย
สีหน้าของแจ็คสันนั้นรู้สึกผิดจนมาร์คแทบจะกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ พอรู้อยู่ว่าแจ็คสันซื่อมากแต่ไม่คิดว่าจะซื่อขนาดที่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะคิดมากเรื่องแกะแปรงสีฟันอันใหม่มาใช้
แต่มาร์คก็ยังตีหน้าขรึมฟังคนตัวขาวที่เล่าที่มาของการเจอแปรงสีฟันอันนี้ต่อ
“คือผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นของคุณหมอจินยอง
ผมขอโทษนะครับ อย่าโกรธผมเลยนะคุณมาร์ค” แจ็คสันบอกเสียงอ่อนจนแทบจะเรียกได้ว่าหงอย
เขาขบริมฝีปากตัวเองอย่างประหม่า แค่ได้รับความ
ช่วยเหลือจากมาร์คและคนอื่นๆมันก็ทำให้แจ็คสันรู้สึกเป็นภาระและรบกวนมากพออยู่แล้ว
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เขาต้องใส่ใจทุกๆอย่างและทุกการกระทำของตัวเองแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
และสำหรับแจ็คสันการเอาของส่วนตัวของคนอื่นมาใช้มันแย่มากๆ
“ยังไงไว้ผมจะซื้อ-”
“คิดมากเกินไปแล้วมั้งเด็กโง่”
มาร์คพูดอย่างใจดีราวกับว่าแจ็คสันเป็นเด็กตัวน้อยๆ เขายีผมแจ็คสันเล็กน้อยอย่างปลอบประโลม
ดวงตาอันเศร้าสร้อยราวกับแบกโลกทั้งใบทำเอามาร์คไม่อยากเล่นอะไรต่อ
ชายหนุ่มวางแปรงสีฟันลงที่เดิมข้างๆกับของเขาก่อนจะถอยจากอีกคนโดยไม่ลืมที่จะบอกว่าวันนี้คนตัวขาวจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
รวมทั้งเรื่องสรรพนามที่อีกฝ่ายมักจะเรียกเขาอย่างเป็นทางการจนมันน่ารำคาญใจ
“แล้วก็เลิกเรียกฉันแบบนั้นสักที
ทำอย่างกับว่าเราห่างเหินกันไปได้”
ประตูห้องน้ำถูกปิดลงโดยคนที่เพิ่งออกไป
เหลือไว้เพียงความอ่อนโยนอันเบาบางกับเสียงของหัวใจที่กลับมาเต้นระรัวมากกว่าเก่า
จะให้เขาเรียกว่าพี่มาร์คงั้นเหรอ
แจ็คสันหลับตาแน่น
...
“บ้าชะมัดเลย”
.
.
.
หลังจากจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จ
มาร์คตั้งใจพาแจ็คสันไปที่สนามยิงปืนขององค์กรเพื่อให้คนตัวขาวได้คุ้นชินกับอาวุธและเสียงของมัน
แต่ว่าสนามดันปิดปรับปรุงทำให้เขาเปลี่ยนใจไปที่ยิมสำหรับออกกำลังกายที่อยู่ข้างๆกันแทน
ยิมที่ว่าเป็นตึกสูงสี่ชั้น โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนทั่วไป
มีเบาะนั่งและร้านสะดวกซื้อ ชั้นสองและชั้นสามจะเป็นชั้นสำหรับการออกกำลังกายและซาวน์น่า
ส่วนชั้นบนสุดนั้นเป็นห้องโล่งเอนกประสงค์ ซึ่งมาร์คกำลังจะทำให้มันเป็นลานฝึกซ้อมการต่อสู้สำหรับแจ็คสัน
“เคยต่อยกับใครบ้างไหม”
มาร์คถามขึ้น
แจ็คสันนั่งนึกอยู่สักพักก่อนจะตอบออกมา
“ก็... มีบ้างครับ สมัยมัธยมน่ะ”
มาร์คพยักหน้ารับรู้พลางคิดเรื่องการสอนคนตัวขาว
ถ้าเคยมีชกต่อยกับคนอื่นมาบ้างก็ดีเขาจะได้ข้ามเรื่องพื้นฐานไปสอนพวกเทคนิคที่จำเป็นและสำคัญแทน
เขายืนพิงเสาปูนขนาดใหญ่รอจนกระทั่งแจ็คสันพร้อมและเดินเข้ามาหา มาร์คกระตุกยิ้ม
เลียเขี้ยวตัวเองอย่างใจเย็น
และเมื่อเด็กน้อยเข้ามาใกล้ขึ้นเขาก็อาศัยจังหวะนี้พุ่งตัวเข้าประชิดก่อนจะคว้าข้อมืออีกคนไว้แล้วเหวี่ยงตัวแจ็คสันกระแทกเข้ากับเสาปูนอย่างไม่เบานัก
“อึ่ก”
“เหม่ออะไรอยู่แจ็คสัน”
“ผ...ผมเปล่า”
แรงกระแทกสร้างความเจ็บปวดให้แจ็คสันไม่น้อยเลย
แต่ในเมื่อมาร์คตั้งใจจะสอนเขาแล้ว เขาจะอ่อนแอให้อีกฝ่ายรู้ไม่ได้เด็ดขาด แจ็คสันพยายามขยับแขนเพื่อให้หลุดจากการรัดกุมของมาร์ค
แต่ว่าการทำแบบนั้นยิ่งทำให้มาร์คกดข้อมือไพล่หลังเขาแน่นขึ้นไปอีกจนรู้สึกเจ็บกว่าเก่า
แจ็คสันเคยมีเรื่องมาบ้างก็จริง
แต่มันไม่ใช่แบบนี้
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหลุดรึไง”
...มีแต่ทำให้เจ็บตัวกว่าเดิม
มาร์คคิดในใจแต่ยังไม่หยุดกดทับคนตรงหน้าจนแทบจะกลืนหายไปกับพื้นปูนหยาบ
นอกจากจะซื่อจนบื้อแล้ว มาร์คยังได้รับรู้อีกข้อหนึ่งของแจ็คสันนั่นก็คือ
ดื้อพอสมควร
“อั่ก”
ใจสู้ดีด้วย
เสียงเมื่อกี๊คือเสียงของเขาเอง
มาร์คผละออกมาเมื่อโดนแจ็คสันกระทุ้งศอกเข้าใส่จนแทบจุก
พอรู้ว่าเขาไม่ยั้งมือแจ็คสันเองก็คงไม่คิดจะออมแรงเช่นกัน
ตอนนี้เขากำลังยืนมองลูกหมาที่กำลังขู่ด้วยการตั้งการ์ดและจ้องเขาเขม็งจนน่าเอ็นดูแปลกๆ
“คุณเล่นทีเผลอ
ขี้โกงเกินไปแล้วครับ”
“ว่าไงนะ?”
มาร์คขมวดคิ้วกับสรรพนามที่แจ็คสันเรียกทั้งๆที่เขาเพิ่งบอกให้เลิกเรียกไป และเหมือนว่าคนเด็กกว่าจะเพิ่งรู้ตัวเลยมีแววตารู้สึกผิด
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแต่ยังตั้งท่าพร้อมสู้อยู่แบบนั้น จนมาร์คนึกขำ
เขารู้แล้วล่ะว่าแจ็คสันมีความตั้งใจกับการฝึกครั้งนี้มาก
เขาเองก็จะตั้งใจสอนอยู่หรอก แต่การที่แจ็คสันเรียกเขาว่าคุณแบบนั้นนี่มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยแฮะ
บางทีมาร์คควรเริ่มสอนให้แจ็คสันจำสิ่งที่เขาบอกให้ได้เสียก่อนดีกว่า
ฟึ่บ
“..!!”
แจ็คสันตาโตทันทีที่จู่ๆก็โดนมาร์คกระชากเข้าไปก่อนที่อ้อมแขนแข็งแรงจะกอดเอวเขาเอาไว้แน่น
สองแขนของเขาแนบสนิทอยู่กับแผ่นอกอีกฝ่าย
แก้มของเขาร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าใบหน้าของมาร์คห่างเพียงหนึ่งคืบเท่านั้น
ระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างทั้งสองคนทำเอาแจ็คสันไม่กล้าขยับตัว แม้มาร์คจะตัวบางกว่าแต่เรื่องพละกำลังนี่แจ็คสันขอยอมแพ้
“คุณ-“
“ฉันบอกนายว่ายังไง”
นายตำรวจยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเห็นได้ชัดว่าแจ็คสันหน้าแดง
แววตาของเด็กน้อยสั่นระริกและใช้ฟันกระต่ายซี่เล็กขบกับริมฝีปากสีช้ำของตัวเอง
มาร์ครู้ว่าแจ็คสันจำได้แต่แค่ไม่ยอมพูดออกมาเท่านั้น ดื้อดึงแบบนี้มันเหมือนว่าเด็กนี่กำลังปฏิเสธเขา
ซึ่งมาร์คไม่ชอบ
“...”
“เงียบทำไม
หรือต้องให้ฉันเข้าไปฟังนายใกล้กว่านี้?” มาร์คไม่ใช่คนที่ชอบขู่
เขาพูดจริงทำจริงอยู่แล้ว
จนกระทั่งปลายจมูกโด่งแตะเข้ากับปลายจมูกรั้นเชิดของคนในอ้อมแขน
แจ็คสันจึงสะบัดหน้าหนีพร้อมกับเรียกมาร์คด้วยสรรพนามใหม่อย่างที่อีกคนต้องการ
“พี่มาร์ค”
มาร์คยิ้ม
“ก็แค่นั้น”
.
.
.
เวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าโมงเย็น มาร์คดื่มน้ำพลางมองแจ็คสันที่ซ้อมเตะต่อยอยู่กับกระสอบทรายอยู่ที่มุมหนึ่ง
หลายชั่วโมงที่เขาได้สอนแจ็คสันทำให้เขารู้ว่าเด็กคนนี้มีทักษะอยู่ไม่น้อยจนน่าแปลกใจ
ยิ่งเวลาที่มีสติครบถ้วนแจ็คสันสามารถหลบหลีกการเข้าหาของเขาได้แทบทุกครั้งแถมตอบโต้ด้วยความเร็วทันที
แต่เมื่อไหร่ที่เผลอก็อย่างที่เห็นในตอนแรก ทำเหมือนเรี่ยวแรงจะหายไปซะหมด แถมหน้ายังแดงเหมือนคนจะเป็นไข้
วันนี้พอแค่นี้ก่อนจะดีกว่า
มาร์คเดินเข้าไปหาแจ็คสันพร้อมกับยื่นน้ำให้แต่ทว่าการรับรู้ของเด็กหนุ่มมีเพียงกระสอบทรายตรงหน้าและแรงที่อัดใส่มันเท่านั้น
ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำว่าต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ออกแรงให้มากกว่านี้ แจ็คสันจะอ่อนแออีกไม่ได้แล้ว
โดยเฉพาะกับมาร์ค
แจ็คสันจะให้อีกคนผิดหวังในตัวเขาไม่ได้เด็ดขาด
หมับ
“อ๊ะ
พี่มาร์ค” แจ็คสันสะดุ้งด้วยความตกใจ
แขนของเขาถูกจับให้หยุดโดยคนที่เขาเพิ่งเรียกชื่อ
มาร์คดึงมือแจ็คสันไปดูก่อนจะบอกให้เจ้าตัวได้ดูบ้าง
ดวงตากลมโตมองตามข้อนิ้วของตัวเองที่ปรากฏรอยช้ำจนเกือบจะห้อเลือดอย่างน่ากลัว
และทันทีที่ร่างกายได้หยุดพัก ความร้าวระบมก็โจมตีทั้งร่างกายจนแจ็คสันแทบจะยืนไม่อยู่
“อยากจะตายก่อนรึไง”
มาร์คขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่แจ็คสันก่อนจะพาร่างที่อ่อนปวกเปียกจวนจะล้มเข้าไปในลิฟต์
เขาเหลือบมองอีกคนเป็นระยะอย่างเป็นห่วง ใบหน้าของแจ็คสันเริ่มซีดเซียวและมีอาการหายใจหอบแรงขึ้น
ตอนนี้แจ็คสันเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ
หูเขามันอื้อจนแทบไม่ได้ยินเสียง พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่เหมือนว่าทำเท่าไหร่อากาศมันก็ไม่เต็มปอดเสียที
เส้นเลือดในสมองกำลังเต้นตุบจนเขารู้สึกทรมานและถ้าหากไม่มีผนังลิฟต์แจ็คสันคิดว่าตัวเองคงจะล้มตึงลงไปแล้วแน่ๆ
ตึ๊ง
เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก
แจ็คสันรับรู้ได้ถึงความร้อนจากมือของมาร์คก่อนที่ภาพทุกอย่างจะพร่ามัวและตัดเป็นความมืด
ตุ้บ!
“แจ็คสัน!”
.
.
.
“แจ็คสันไข้ขึ้นสูงมาก
ฉันว่าคงต้องให้พักร่างกายไปสักระยะก่อนจะดีกว่า”
นายแพทย์ปาร์คเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจร่างกายของแจ็คสันเสร็จ
รอยฟกช้ำที่เห็นก็รู้ทันทีว่ามาร์คพาแจ็คสันไปทำอะไรมา
สีหน้าของเด็กหนุ่มมีความทรมานจากอาการปวดตามร่างกายจนเขาตัดสินใจฉีดยาบรรเทาอาการให้
อย่างน้อยในเวลาแบบนี้เขาก็อยากให้แจ็คสันได้พักผ่อนอย่างสบายและเต็มอิ่มมากที่สุด
จินยองเก็บอุปกรณ์ที่เตรียมมาใส่กระเป๋าพยาบาลก่อนจะบอกให้มาร์คที่ทำหน้าเครียดออกไปคุยกับเขาที่ด้านนอก
เพราะถ้าขืนยังอยู่ข้างใน จินยองคงเผลอเสียงดังจนแจ็คสันตื่นขึ้นมาแน่ๆ
จินยองปิดประตูก่อนจะยืนมองเพื่อนสนิทตัวเองด้วยสายตาตำหนิ
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่ากดดันแจ็คสันจนเกินไป
เขาเพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแค่ไม่กี่วันเองนะมาร์ค”
“อืม
ฉันรู้ ฉันผิดเอง”
มาร์คยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น
เขาเห็นท่าทางที่ดูปกติดีของแจ็คสันก็เลยคิดเอาเองว่าร่างกายของอีกฝ่ายน่าจะหายดีแล้ว
อีกอย่างตอนอยู่ที่ยิมเองแจ็คสันก็ตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ไม่มีกั๊กแรงแม้แต่น้อย
มาร์คเลยไม่เอะใจสักนิดไงว่าแจ็คสันกำลังฝืนตัวเองอยู่
“เฮ้อออออ
ฉันจะช่วยนายยังไงดีวะ” คุณหมอหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเสยผมขึ้น พอมาร์คยอมรับมาง่ายๆแบบนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อว่าอีกฝ่ายอีก
เขารู้อยู่ว่าเพื่อนเขาต้องแบกอะไรไว้บ้าง
และการทำให้แจ็คสันพร้อมรับมือกับภารกิจขององค์กรภายในเวลาอันสั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยิ่งร่างกายของแจ็คสันไม่ค่อยแข็งแรงแบบนี้ด้วย
จินยองเอื้อมมือไปบีบไหล่มาร์คอย่างให้กำลังใจ “นายก็ใจเย็นหน่อยแล้วกัน”
“แค่นี้ฉันก็เย็นจนจะเป็นน้ำอยู่แล้ว
นายน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าปกติแล้วฉันเป็นคนใจร้อนขนาดไหน” มาร์คหัวเราะหึก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์ออกมาโดยไม่ลืมที่จะเอามาเผื่อเพื่อนสนิทของตัวเอง
มาร์คโยนมันไปให้จินยองที่รับได้อย่างแม่นยำ
“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
“อย่างนี้ทุกทีสิน่า”
...
จินยองกลับไปแล้ว
เหลือเพียงแต่มาร์คที่นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาบริเวณห้องรับแขก ทั้งช่วงค่ำมานี้เขาครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของแจ็คสัน
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แจ็คสันเป็นแบบนี้หรอก แต่การที่อยู่ตัวคนเดียวมานานมันทำให้มาร์คสอบตกเรื่องการดูแลคนอื่น
อันที่จริงแม้กระทั่งตัวเอง บางครั้งมาร์คยังลืมนึกถึงเลยด้วยซ้ำไป หากเพียงแต่เขาสังเกตอีกสักนิดก็คงจะรู้ว่ามันถึงขีดจำกัดของร่างกายแจ็คสันแล้ว
และเด็กนั่นคงไม่ต้องนอนซมขนาดนี้
เกลียดความรู้สึกหน่วงๆแบบนี้ชะมัด
มาร์คถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปทางห้องนอนเพราะได้ยินเสียงประตู
แจ็คสันในชุดนอนตัวโคร่งของจินยองค่อยๆเดินไปทางห้องครัวโดยไม่รู้ว่าเขากำลังมองตามอยู่
อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เปิดไฟตรงนี้ด้วยมั้ง แจ็คสันถึงไม่ทันสังเกต
ไม่ระวังตัวเอาซะเลย
มาร์คตัดสินใจลุกขึ้นและเดินไปหาคนที่กำลังเทน้ำดื่มอย่างเงียบเชียบ
“เป็นยังไงบ้าง”
“แค่ก! พ..พี่มาร์ค”
แจ็คสันสำลักน้ำทันทีที่เห็นมาร์คยืนอยู่ข้างๆ ในทีแรกเขาคิดว่าไม่มีใครอยู่แล้วซะอีก
ไฟทั้งห้องก็ปิดไว้เหลือแต่ส่วนห้องครัวเอาไว้ พอได้ยินเสียงทุ้มๆนั่นแจ็คสันก็เลยตกใจนิดหน่อย
“ที่ฉันถามน่ะ
ไม่ได้ยินรึไง?”
“เอ่อ
ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ” แจ็คสันกำลังโกหกคำโต ความจริงแล้วเขาปวดระบมไปทั้งตัว
ที่ฝืนลุกตัวเองออกมาจากเตียงอุ่นๆได้เขาก็ชื่นชมตัวเองในใจมากแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่าไม่น้อยเมื่อเห็นสายตาจับผิดจากคนโตกว่า
และเพื่อเลี่ยงสถานการณ์ที่จะโดนจับโกหกได้ แจ็คสันเลยตัดสินใจขอตัวกลับไปนอนต่อ
แต่ทว่ามาร์คกลับคว้าต้นแขนเขาเอาไว้และบีบมันเต็มแรงจนเขาร้องลั่น
“หึ
เดี๋ยวนี้หัดโกหกแล้วเหรอ” มาร์คกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บของแจ็คสัน
เด็กนี่คงจะไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบเด็กโกหก
แค่พูดความจริงออกมามันยากนักรึไง
“อึ่ก
ปล่อยผมนะครับ” แจ็คสันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นข่มเสียงร้องเพราะแรงบีบจากอีกฝ่าย
โชคดีที่มาร์คยังใจดียอมปล่อยแขนเขาตามที่ร้องขอ แจ็คสันลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ
ภาวนาให้ไม่มีรอยช้ำอะไรเพิ่มเติมอีก
เด็กหนุ่มกำลังจะเบี่ยงตัวเองหลบอีกคนเพื่อกลับไปที่ห้องนอน
แต่ทว่าสัมผัสแผ่วเบาที่รอยช้ำตามข้อนิ้วของแจ็คสันกับสายตาจริงจังที่มาร์คมองมาทำให้เขาต้องหยุดนิ่ง
“ฉันไม่ชอบคนโกหก”
“...”
“ทีหลังเจ็บก็บอกเจ็บ”
“...”
“ไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว”
“...”
“นายคงรู้ใช่ไหมว่ามันมีความหมายว่ายังไง”
“ผม-“
“อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงนายไปมากกว่านี้เลยแจ็คสัน”
.
.
.
To be continue
✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕ ✕
ไม่คิดว่าจะมีวันนี้
วันที่กลับมาอัพฟิคเรื่องนี้อีก บอกตรงๆเลยค่ะว่ากลับมาเพราะคอมเม้นจริงๆ
ที่หายไปนานเพราะไม่มีเวลาว่างและอีกอย่างคือพล็อตหายค่ะ!!! นั่นหมายฟามว่า
เราต้องมาวางใหม่ทั้งหมด
ทำให้กว่าจะกลั่นออกมาถึงตอนจบนี่ใช้เวลานานมากๆ
และตอนนี้ของเราก็แต่งอยู่สามวัน ฮือออออออออออ
ชอบนักแลทำให้นุ้งดูน่าฉงฉาน อิอิ
ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกคนที่เคยเข้ามาอ่าน
หลงมาอ่าน หรืออะไรก็ตาม
เราดีใจมากๆที่ฟิดของเราทำให้คนอ่านชอบและสนุก มีความซึ้ง
ฮึก /กอดแจ็คสันแน่น
เราสัญญาว่าจะทำให้ฟิคเรื่องนี้ดำเนินไปจนถึงตอนจบให้ได้
มาลุ้นไปด้วยกันนะคะว่าจะออกมายังไง
และเหมือนเดิมใครขี้เกียจเม้น เรามีoptionติดแท็กตามทวิตเตอร์ให้เลือกใช้
#fictheenemy
ปล.เรารักคนอ่านและคนติดตามทุกคน ขอบคุณจริงๆ
/ปาดน้ำตา
ความคิดเห็น