ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [got7] the enemy (markson)

    ลำดับตอนที่ #3 : - 3 -

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 59



    THE ENEMY

    3

     

     

                “แผลเรียบร้อย ไม่มีการติดเชื้อ ร่างกายฟื้นตัวเร็วดีนี่แจ็คสัน”

     

    เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อยิ้มรับก่อนจะสนใจทีวีตรงหน้าที่ฉายหนังตลกต่อ หลุดเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะจนคุณหมออดยิ้มตามไม่ได้ หลังจากทำการตรวจสภาพร่างกายของแจ็คสันครบทุกอย่าง จินยองก็พบระบบการทำงานภายในปกติดี แผลฟกช้ำตามตัวรวมถึงตามใบหน้าก็จางจนแทบไม่เหลืออะไรให้เห็น จะมีก็แต่รอยเย็บเล็กๆที่บริเวณเอวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้จินยองจะพยายามสุดฝีมือแล้วแต่ก็ยังปรากฏ

    แผลเป็นให้เห็น คงเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับแจ็คสันได้เป็นอย่างดีว่าเขาได้มันมาเพราะอะไร และมันก็คงทำให้เด็กคนนี้ตั้งใจทำงานด้วยล่ะนะ

     

                ใช่ มาร์คยอมให้แจ็คสันเป็นหนึ่งในองค์กรแล้ว

     

                หลังจากผ่านการไปพบกับท่านประธานที่แสนจะหนักหน่วงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่คิดว่าหนักเพราะว่าเขาเห็นว่าเด็กคนนี้ซึมลงไปพอสมควร แต่พอวันรุ่งขึ้นแจ็คสันก็ดูร่าเริงขึ้น กินเก่ง (เหมือนเด็กไม่มีผิด) ตั้งใจรักษาตัวเองมากๆ ไม่มีการดื้อกับคุณหมอและคุณพยาบาลเลยสักนิด ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าของคนไข้อย่างจินยอง พอได้เห็นแจ็คสันเป็นแบบนี้แล้วเขาก็สบายใจ

     

    “คุณหมอพอรู้ไหมว่าผมจะได้เริ่มทำงานเมื่อไหร่เหรอครับ” จู่ๆแจ็คสันก็ถามขึ้นตอนที่จินยองยื่นยาบำรุงร่างกายให้ นัยน์ตากลมเป็นประกายวิบวับเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆในสายตาของของเขา

     

                คุณหมอปาร์คกรอกตาทำหน้าคิดเล็กน้อย “อืมม.. ฉันก็ไม่รู้นะ ลองถาม..”

     

                แกร๊ก

     

                ทั้งจินยองและแจ็คสันหันไปทางต้นเสียง เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นก่อนที่มันจะถูกดันเข้ามาโดยเจ้าหน้าที่ภาคสนามฝีมือดี ชายหนุ่มโครงหน้าเล็กกับผมสีควันบุหรี่ยังคงไม่เป็นทรงเหมือนเดิม วันนี้มาร์คแต่งตัวค่อนข้างสบาย เขาใส่เสื้อยืดสีขาวคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสียีนส์เข้ม แขนเสื้อถูกพับให้อยู่ตรงข้อแขนแบบลวกๆ มาถึงก็พาบรรยากาศมาคุเข้ามาด้วยจนจินยองแอบบ่นในใจ มาร์ควางถุงกระดาษลงตรงโซฟาก่อนจะเดินไปหาคนสองคนที่อยู่ตรงเตียงกลางห้อง

     

                “ถ้านายอยากรู้ก็ถามคนนี้ดูนะแจ็คสัน” จินยองหันไปบอกก่อนจะถอยออกไปนั่งบนโซฟาปล่อยให้มาร์คไปยืนตรงที่ของตัวเองแทน เขาหยิบถุงสีน้ำตาลมาเปิดดูแล้วก็อดที่จะบุ้ยปากใส่แผ่นหลังคนตรงหน้าไม่ได้ เพื่อนสนิทเขาเตรียมเสื้อผ้ามาพร้อมแบบนี้นี่คงจะให้แจ็คสันเริ่มงานตั้งแต่ตอนนี้เลยสินะ

     

                “เอ่อ.../ฉันให้เวลานายแต่งตัวสิบนาที” สิ่งที่แจ็คสันตั้งใจจะเอ่ยถามหายไปทันทีหลังจากมาร์คพูดประโยคนั้นออกมา แต่พอแจ็คสันจะอ้าปากถามอีก ถุงกระดาษก็โดนวางลงบนตักก่อนที่ชายหนุ่มผมสีเทาจะเดินไปนั่งข้างคุณหมอจินยองและเอ่ยย้ำอีกครั้งจนเจ้าลูกหมาต้องรีบทำตามที่อีกคนสั่งอย่างรวดเร็ว สิบนาทีผ่านไป แจ็คสันก็ออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่ดูดีกว่าตอนที่อยู่ในชุดคนไข้สีตุ่นๆพวกนั้นและเมื่อดวงตากลมมองทั่วห้องแล้วไม่เห็นคุณหมอปาร์คก็อดประหม่าไม่ได้ที่ต้องอยู่ในห้องกับคนคนนี้แค่สองคน

     

                จริงๆแจ็คสันไม่รู้ว่าทำไมมาร์คถึงได้ยอมรับคนธรรมดาอย่างเขาให้เข้ามาทำงานในองค์กรนี้ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ วันนั้นที่เขาโดนลากตัวไปหาท่านประธานด้วยสภาพร่างกายแบบนั้น ตลอดระหว่างทางนอกจากบอกว่ากำลังจะพาเขาไปที่ไหนมาร์คก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักอย่าง อีกทั้งท่านประธานเองก็ทำเพียงแค่ทดสอบจิตวิทยาของเขาเพียงนิดๆหน่อยๆ ถ้าให้คิดแบบเข้าข้างตัวเอง แจ็คสันคงคิดว่าตัวเองมีอะไรดีพอที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจก็ได้มั้ง

     

                “ไม่ว่านายจะคิดอะไรอยู่ มันไม่ใช่ความคิดที่ถูกหรอกนะ” อีกครั้งที่มาร์คอ่านใจแจ็คสันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แววตาเรียบเฉยที่จ้องมองมา ท่าทีของมาร์คที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกับตอนแรกที่เจอกันทำเอาแจ็คสันรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มได้แต่หลุบสายตามองพื้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพื้นห้องเรียบๆกับหัวรองท้าผ้าใบยังมีอะไรให้น่ามองมากกว่าดวงตาคมคู่นั้น มาร์คไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นอีก ชายหนุ่มทำเพียงแค่ลุกขึ้นและออกจากห้องไป

     

    ... โดยมีแจ็คสันที่ตามหลังออกไปอีกที

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

                มาร์คพาแจ็คสันลงมาชั้นล่างและเริ่มพาแจ็คสันไปแนะนำให้ทุกคนทุกส่วนได้รู้จัก เทคโนโลยีที่ควรจะมีแค่ในหนังกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ไม่ว่ามาร์คจะพาไปที่ไหนเด็กหนุ่มก็จะโค้งให้ทุกคนที่ผ่านไปมาอย่างนอบน้อมที่สุด จนกระทั่งถึงส่วนสุดท้าย ทีมภาคสนามที่แจ็คสันตั้งใจจะมาอยู่ด้วย แจ็คสันคิดว่าการที่อยู่กับมาร์คแค่สองคนมันน่าอึดอัดแล้ว แต่พอเจอสายตาที่ทั้งเป็นมิตรและไม่เป็นมิตร(ซึ่งอย่างหลังจะมากกว่า)ที่มองมาทำเอาเขารู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกมากกว่าหลายเท่า และดูเหมือนว่ามาร์คจะมองออกว่าตอนนี้สภาพแจ็คสันไม่ค่อยดีนักถึงได้พาแจ็คสันมาปล่อยทิ้งไว้คนเดียวที่ร้านกาแฟเล็กๆขององค์กร

     

                กลิ่นกาแฟและบรรยากาศอบอุ่นเบาบางทำให้แจ็คสันรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่มากพอ ถ้ามาร์คเกิดพาเขากลับไปที่ตรงนั้นอีกบางทีแจ็คสันก็คิดว่าหลังจากวันนี้เขาอาจจะไข้ขึ้นหนักเลยก็ได้

     

                เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาและหลับตา รู้สึกเจ็บแปลบในอกนิดๆ

     

                ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้นะแจ็คสัน...

     

                ฟึ่บ

     

    “..!!” แจ็คสันสะดุ้งเฮือกทันทีที่ความเย็นเฉียบจากกระป๋องอะไรสักอย่างแตะเข้าที่แก้ม อาการตกใจของเขาคงจะดูน่าขันมากเพราะเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากบุคคลปริศนาที่ตอนนี้เดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มกว้างจนดวงตาแทบเป็นเส้นโค้งกับจุดขี้แมลงวันที่ใต้ตา คนที่สองที่น่าจะเป็นมิตรกับแจ็คสันมากที่สุดรองจากคุณหมอจินยอง

     

    “คุณยองแจ...”

     

    “เฮ้ย คุณอะไรกันเล่า นายกับฉันก็อายุใกล้ๆกัน มาเรียกไรแบบนี้ฉันก็เขินแย่ดิ” ยองแจรีบท้วงทันทีที่ได้ยินคำนำหน้าแบบนั้นจากปากแจ็คสัน เด็กใหม่ขององค์กรก้มหัวเล็กน้อยอย่างขอโทษพลางยิ้มแหยๆให้จนยองแจรู้สึกแก้มร้อนแปลกๆ แฮคเกอร์คนเก่งหันมองไปทางอื่นพลางยกไอซ์อเมริกาโน่ขึ้นดูดแก้เก้อ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกระป๋องกาแฟที่เขาตั้งใจซื้อมาให้แจ็คสันยังคงวางนิ่งสนิทไม่ได้รับการแตะแต่อย่างใด สงสัยคงไม่รู้ว่าเขาซื้อมาให้แหง

     

    “นี่แจ็คสัน นั่นน่ะ ฉันซื้อมาให้นายนะ พอดีไม่รู้อะว่านายชอบกินอะไรเลยเลือกกาแฟมา” ยองแจว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปที่กาแฟกระป๋องตรงมุมโต๊ะฝั่งแจ็คสัน เขาได้ยินเสียงเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบมาเปิดและวนนิ้วเล่นกับบนฝากระป๋องอยู่แบบนั้น ดวงตากลมดูเต็มไปด้วยความคิด ยองแจรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมาปกคลุมอยู่รอบตัวแจ็คสันเต็มไปหมดตั้งแต่เห็นตอนที่พี่มาร์คพามาแนะนำจนกระทั่งตอนที่เดินผ่านร้านกาแฟ เพราะงั้นเขาเลยไปซื้ออะไรสักอย่างและเดินเข้ามา

     

                “ทำไมถึงอยากอยู่ภาคสนามล่ะ” แฮคเกอร์หนุ่มแอบรู้สึกดีใจนิดหน่อยที่คำถามของตัวเองทำให้แจ็คสันยอมเงยหน้าขึ้น ฟันกระต่ายน่ารักขบลงบนริมฝีปากสีแดงจัดอย่างไม่มั่นใจ แววตาดูหม่นหมองลงไปแทบจะทันทีจนคนถามรู้สึกใจแป้วขึ้นมาแทน

     

                ... โอเค ยองแจไม่ดีใจแล้วก็ได้

     

                “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะแจ็คสัน” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปตบที่บ่าคนตรงข้ามปุๆก่อนจะยิ้มสดใสให้อีกที จริงๆแล้วยองแจก็ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น เขาก็แค่กำลังหาเรื่องชวนคุย เผื่อคำตอบที่ได้อาจจะเป็นเพราะโดนบังคับมาเขาจะได้ลากเข้าฝ่ายไอทีซะเลย

     

                “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะ..”

     

                บทสนทนาทุกอย่างจบลงเมื่อมีใครบางคนเดินมาที่โต๊ะของพวกเขา ร่างสูงใหญ่ของอเล็กซ์ลากเก้าอี้เข้ามานั่งร่วมวงด้วย อเล็กซ์เป็นฝ่ายภาคสนามเหมือนกับมาร์ค หนึ่งในกลุ่มคนที่มองแจ็คสันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร นั่นล่ะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้แจ็คสันมีท่าทีอึดอัดใจอย่างชัดเจนและคนที่สังเกตได้คงไม่พ้นใครอื่นนอกจากฝ่ายไอทีคนเก่งอย่างยองแจ

     

    “ตีสนิทคนได้ไวเหมือนเดิมเลยนี่ยองแจ” อเล็กซ์พูดพลางมองไปที่แจ็คสันอย่างคนไม่ถูกชะตา ส่วนคนถูกมองก็ทำอะไรไม่ถูกนอกจากนั่งก้มมองมือตัวเองเพื่อหลบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้น แจ็คสันไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะลุกเดินออกไป ได้แต่ภาวนาในใจให้ใครสักคนมาช่วยตัวเองออกไปจากตรงนี้สักที

     

    แฮคเกอร์ที่ยังคาบหลอดคาปากหันไปเอ่ยตอบ “ก็ปกติแหล่ะน่า”

     

    ... จริงๆก็อยากจะบอกให้แจ็คสันรู้ว่ายองแจเองก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้นักหรอก รู้ดีว่าอเล็กซ์ไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรแต่ท่าทางที่ไม่เป็นมิตรชัดเจนซะขนาดนี้ก็ทำเอายองแจอึดอัดแปลกๆไปด้วยเหมือนกัน

     

    “งั้นนายก็ควรจะสอนเพื่อนของนายบ้างนะว่าเวลาจะเข้าหาคนอื่นมันควรจะมีมารยาทยังไง เพราะดูท่าแล้วที่บ้านของแจ็คสันคงจะลืมสอน... ฉันพูดถูกไหม?” น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยขึ้นนั้นไม่เข้ากันสักนิดกับสิ่งที่พูด ประโยคสุดท้ายของอเล็กซ์เรียกให้แจ็คสันยอมหันมาสบตาจนได้

     

    “เฮ้... พูดเกินไปหน่อยเปล่า” เป็นยองแจเองที่ขัดขึ้นมาก่อน สีหน้าของแจ็คสันตอนนี้ไม่โอเคเลย มันทำให้เขาเริ่มใจไม่ดี บางทีเขาควรจะพาแจ็คสันออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเพราะหน้าจอนาฬิกาเครื่องเล็กที่ข้อมือปรากฏข้อความเรียกตัวเขาให้กลับไปประจำที่ ยองแจได้แต่ส่งสายตาขอโทษไปให้แจ็คสันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่เลยจริงๆ

     

    ทันทีที่ยองแจออกไป บรรยากาศในคาเฟ่ก็ไม่สบายเหมือนตอนแรกอีกต่อไป คนผิวขาวกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างประหม่า รู้สึกหนักไปทั้งหัวจนอยากจะทิ้งมันลงบนโต๊ะแล้วหลับไปซะ ต่างจากอเล็กซ์ที่มีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไร ชายหนุ่มตาสีสวยทำเพียงนั่งอยู่ที่เดิมและเล่นโทรศัพท์ของตนเองก็เท่านั้น

     

    ดวงตากลมมองคนที่ย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามตัวเอง หายใจเข้าลึกๆและตัดสินใจทำลายบรรยากาศชวนปวดหัวด้วยการ...

     

    สร้างมิตรภาพอย่างที่เขาควรจะทำ

     

                “ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผมแต่ว่า... ” สายตาอเล็กซ์ที่จับจ้องมาทำเอาแจ็คสันรู้สึกปวดตุ้บที่ขมับ มันลามไปทั้งหัวจนกลายเป็นความรู้สึกทรมานและคำพูดทั้งหมดถูกกลืนลงคอเมื่ออเล็กซ์โบกมือเหมือนไม่อยากจะฟังมัน

     

                “ฉันไม่ได้ไม่ชอบ แต่ฉันไม่ไว้ใจ ระวังตัวไว้หน่อยแจ็คสัน เพราะคนที่คิดจะจัดการนาย ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว” แววตาของชายหนุ่มไม่มีคำว่าล้อเล่นใดๆ อเล็กซ์ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของแจ็คสัน เด็กหนุ่มตรงหน้าตอนนี้เหมือนจะเป็นลมอยู่รอมร่อ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อเล็กซ์รู้สึกสงสารขึ้นมาเลยแม้สักนิดเดียว

     

    “แล้วผมต้องทำยังไง ผมแค่อยากช่วยพี่สาวของผม ผมเลยต้องทำแบบนี้” นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่แจ็คสันพูดกับคนอื่นในวันนี้แล้วและคงเป็นประโยคที่ดีที่สุดที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กน้อยมองตามอเล็กซ์ที่ลุกขึ้นมายืนข้างเขาและก้มมากระซิบบางอย่าง

     

    “ง่ายเลยๆแจ็คสัน นายก็แค่...”

     

    ..

     

    “หายไปซะ”

     

    “...!!!

     

                “ถ้านายว่างมากก็เอาเวลาไปนั่งเตรียมแผนจะดีกว่านะอเล็กซ์” สิ้นประโยคนั้นทั้งร่างของแจ็คสันก็ถูกดึงขึ้นโดยคนที่พูด ความร้อนที่สัมผัสได้จากตัวแจ็คสันทำเอามาร์คขมวดคิ้วเล็กน้อย พอมองใบหน้าที่แทบจะเรียกว่าไร้เลือดของเด็กคนนี้แล้วความไม่พอใจยิ่งมากขึ้น แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าคงโดนคนในทีมตัวเองกรอกอะไรใส่หูมาแน่ๆ แต่เพราะมาร์คไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกเรื่องความรู้สึกเขาเลยทำเพียงแค่มองอเล็กซ์ด้วยแววตาเรียบเฉย

     

                ... ที่น่ากลัวสำหรับใครหลายๆคน

     

                “กลับไปทำหน้าที่ของนายได้แล้ว"

     

    Calm down Mark. ฉันก็แค่แนะนำอะไรนิดๆหน่อยๆก็เท่านั้นเองน่า” อเล็กซ์พูดก่อนจะมองแจ็คสันที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างมาร์ค อเล็กซ์ยอมรับในความสามารถของมาร์คและเคารพในฐานะที่เป็นหัวหน้ามาตลอด มีเพียงเรื่องนี้ที่อเล็กซ์คิดว่ามันแปลกเกินไป แปลกจนเขาไม่อาจยอมรับการตัดสินใจของมาร์คได้ ถึงแม้สิ่งที่มาร์คยืนยันกับคนในทีมจะเด็ดขาดและน่ายอมให้

     

    ... แต่ว่ามันตอนไหนล่ะ ไม่ต้องรอให้พวกเราโดนถล่มกันไปก่อนรึไง

     

    “เรื่องของฉัน ฉันรับผิดชอบเอง” มาร์คพูดแค่นั้นถึงแม้ในใจจะอยากทำมากกว่านี้แต่ตัวร้อนๆของเด็กข้างตัวทำเอาเขากังวลเกินกว่าจะปล่อยเฉยได้ มาร์คตัดสินใจโทรหาจินยองเพื่อบอกอาการของแจ็คสันก่อนที่เขาจะเลี่ยงบรรยากาศชวนอึดอัดนี้ด้วยการพาแจ็คสันออกไป

     

    โดยมีเสียงของอเล็กซ์ไล่ตามหลังมา

     

    “ฉันไม่รู้หรอกนะมาร์คว่านายเห็นว่าเด็กนี่มีดีอะไรที่ทำให้นายเชื่อใจถึงได้เอามันเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่อย่าลืมสิ่งที่นายพูดกับพวกเราและท่านประธาน... เพราะถ้าถึงวันนั้นแล้วนายไม่กล้าทำ แม้สักวินาทีเดียวที่นายลังเลใจ ฉันจะเป็นคนทำเอง”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    มาร์คพาแจ็คสันกลับมาที่คอนโดตัวเองแทนที่จะเป็นชั้นบนขององค์กรเหมือนทุกที ประโยคเอาจริงเอาจังของอเล็กซ์ยังวนอยู่ในหัว ความไม่เชื่อใจที่เขาสัมผัสจากตัวสมาชิกในทีมมันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะสิ่งสำคัญของการทำงานเป็นทีมคือความเชื่อใจกัน และการตัดสินใจของมาร์คครั้งนี้มันเหมือนการสร้างรอยร้าวเล็กๆให้เกิดขึ้น มาร์คยืนมองสาเหตุของเรื่องราวที่กำลังหลับสนิทบนเตียงเพราะยาลดไข้ ใบหน้าขาวซีดเริ่มกลับมามีสีมากขึ้น เวลาที่แจ็คสันหลับก็กลายเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

     

    ชั่ววูบหนึ่งที่เขาคิดว่าหน้าตาแบบนี้มันจะไปมีพิษภัยได้ยังไง

     

    มาร์คหรี่ไฟให้เหลือเพียงแสงสลัวๆก่อนที่เขาจะออกไปด้านนอกโดยหยิบบุหรี่ที่ไม่ได้แตะมันมานานติดออกไปด้วย เขาอัดนิโคตินเข้าปอดและปล่อยควันสีเทาออกมา มองมันที่ค่อยๆกระจายตัวและหายไปในอากาศ กลิ่นมิ้นต์เย็นๆที่อบอวลทั่วทั้งระเบียงเล็ก มาร์คยืนสูบบุหรี่สักพักจนหมดมวนที่สองก่อนจะเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเบียร์กระป๋องและออกมานั่งที่ระเบียงอีกครั้ง

     

      นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้พักยาว เหตุผลคือเพราะยังไม่มีข่าวคืบหน้าเรื่องคดีของเขาและอีกเหตุผลคือเด็กที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง มาร์คมีหน้าที่ต้องดูแลและฝึกฝนให้พร้อมที่จะรับงานให้มากที่สุด จากที่ได้คุยกับจินยองแล้วงานนี้คงจะเหนื่อยน่าดู

     

    “นายต้องเข้าใจก่อนว่าจิตใจของแจ็คสันได้รับกระทบกระเทือนในระดับหนึ่ง แค่วันนี้ที่ทนแรงกดดันจากตัวอเล็กซ์ได้มันก็มากพอแล้วสำหรับแจ็คสัน เฮ้อ ฉันหวังว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับนาย นายจะไม่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดอีกนะ ดูแลเขาให้ดีๆ”

     

    “ถ้าเด็กนั่นเชื่อฟัง ฉันก็ยอมใจดีให้หรอกนะ” มาร์คพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม กระป๋องที่หนึ่ง สอง สามและสี่หมดไป ชายหนุ่มค่อยๆหลับตาพิงไปกับประตูกระจกด้านหลัง ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไรอีกจนกระทั่งมีใครบางคนเลื่อนประตูเปิดออก

     

    “ผมขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” แจ็คสันเอ่ยถามเสียงเบา พอหรี่ตามองชัดๆถึงได้เห็นว่ามาร์คนั่งหลับตาอยู่ เด็กน้อยเม้มปากเล็กน้อยรู้สึกใจแป้วที่มากวนเลยตัดสินใจจะปิด แต่เสียงแหบพร่าของมาร์คเรียกเอาไว้ก่อน

     

    “มาสิ”

     

    ตอนนี้แจ็คสันเลยนั่งอยู่ข้างๆมาร์คเรียบร้อยแล้ว

     

    “หายปวดหัวแล้วเหรอถึงได้ลุกออกมา” มาร์คถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่แบบนั้น ส่วนแจ็คสันที่ลืมไปว่ามาร์คไม่ได้มองมาที่ตนก็พยักหน้าแทนคำตอบไปแล้ว ความเงียบที่มาร์คได้รับเป็นคำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพอใจสักเท่าไหร่

     

    มาร์คลืมตาขึ้นแล้วหันไปถามแจ็คสันอีกรอบด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “นี่นายไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไง”

     

    “ได้ยินครับ ผมพยักหน้าไปแล้ว แต่ลืมไปว่าคุณหลับตาอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะกวนคุณเลยนะครับ” แจ็คสันหน้าตาตื่นรีบหันมาแก้ตัวแทบจะทันที แปลกที่ท่าทางร้อนของแจ็คสันกลับเป็นสิ่งน่าขำมากกว่าน่ารำคาญ มาร์คหลุดหัวเราะเบาๆก่อนจะยีกลุ่มผมสีสว่าง

     

    “รู้แล้วๆ หายก็ดีแล้ว”

     

    “อ่าครับ”

     

    แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบอีกครั้ง แจ็คสันเหลือบมองมาร์คที่หลับตาลงแบบเดิมแล้วก็ไม่อยากจะรบกวนอะไรอีกเลยตัดสินใจนั่งอยู่เฉยๆ มองปลายเท้าตัวเอง มองรอบๆตัว เขาเห็นซากกระป๋องเบียร์ข้างตัวมาร์ค เห็นมวนบุหรี่ที่น่าจะเป็นตัวการที่ทำให้แจ็คสันแสบจมูกอยู่ที่ขอบระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าและกลับมามองมาร์คอีกครั้ง

     

    เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆนายตำรวจหนุ่มลืมตาขึ้นมามองเขากลับ

     

    “มองหน้าฉันทำไม?”

     

    “ผมเปล่า..” แจ็คสันอึกอัก ความจริงเขาก็ไม่รู้ว่าเขามองหน้ามาร์คทำไม เด็กหนุ่มเลี่ยงการตอบด้วยการก้มหน้าเล่นชายเสื้อตัวเอง มาร์คเห็นแบบนั้นก็หัวเราะในลำคอ คำพูดของจินยองเมื่อค่ำลอยเข้ามาให้หัว

     

    “แล้วอีกอย่างที่นายต้องจำไว้ แจ็คสันน่ะก็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง นายต้องทำตัวให้มันสบายหน่อย อย่าวางมาดนักเลย ตอนนั้นฉันดูแลนายยังไง ตอนนี้นายก็แค่ทำแบบนั้นกับแจ็คสัน แค่นี้คงไม่ยากใช่ไหม?”

     

    แจ็คสันยังเด็กอย่างที่ว่าจริงๆ...

     

    “เด็กน้อย อยู่กับฉันไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว อยากพูดอะไรก็พูดมาสิ” มาร์คลองทำตามที่เพื่อนสนิทบอก ทั้งประโยคและน้ำเสียงอย่างที่จินยองชอบใช้ทำให้แจ็คสันหันมามองเขาด้วยความแปลกใจ

     

    “ได้จริงๆเหรอครับคุณมาร์ค”

     

    “อืม”

     

    “ขอบคุณนะครับ”

     

    มาร์คเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องอะไร?”

     

    “ทุกเรื่องเลยครับ ตั้งแต่ที่ช่วยผมวันนั้นจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆเลยครับ” แจ็คสันยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ใจของมาร์คเต้นผิดจังหวะไปขณะหนึ่ง เขาเพิ่งเคยได้เห็นแจ็คสันยิ้มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ช่วยเอาไว้

     

    “ไม่เป็นไร” คนแก่กว่าหันมองไปทางอื่น จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆจนต้องเปิดกระป๋องเบียร์อีกกระป๋องขึ้นดื่มแก้เก้อ กลายเป็นมาร์คเสียเองที่รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก ต่างกับคนตัวขาวอีกคนที่มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ตอนนี้แจ็คสันรู้สึกเหมือนกับกำลังอยู่กับคุณหมอจินยองเลย

     

    “ผมมีเรื่องสงสัยเต็มไปหมดเลยครับ ผมขอถามได้ไหม”

     

    “เอาสิ”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เวลายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่บกพร่อง เบียร์ของมาร์คหมดไปสามกระป๋องแล้วแต่ดูเหมือนความสงสัยของแจ็คสันจะยังไม่หมด ปริมาณแอลกอฮอลล์จำนวนหนึ่งที่แล่นในตัวไม่ได้ทำให้เขาล้มฟุบ แต่มันทำให้มาร์ครู้สึกอยากหลับตาอยู่เฉยๆมากกว่าจะมานั่งตอบคำถามดินฟ้าอากาศพวกนั้น

     

    “ฉันว่านายควรจะเก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้จะดีกว่านะ” ...เด็กอะไรพูดเยอะชิบ นั่นคือสิ่งที่มาร์คแอบต่อประโยคในใจ

     

    “งั้นขออีกคำถามนะครับ” มาร์คลืมตามองแจ็คสันที่มองเขาด้วยแววตาเหมือนลูกหมาไม่มีผิด สุดท้ายเขาก็พยักหน้ารับไป

     

    “ทำไมคุณถึง.. ยอมช่วยผมขนาดนี้เหรอครับ”

     

    “...”

     

    แจ็คสันสูดลมหายใจเข้าลึกและมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอย่างรอคำตอบ เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาเลยเปลี่ยนมามองท้องฟ้าที่มืดสนิทและว่างเปล่าเหมือนตัวเองไม่มีผิดแทน แจ็คสันตอนนี้แทบจะไม่เหลือใครอีกแล้ว มาร์ค จินยองและยองแจเลยเป็นเหมือนที่พึ่งพิงสุดท้ายที่เขามี ในใจของแจ็คสันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังในเรื่องของพี่สาว ไหนจะความรู้สึกไม่ชอบใจจากคนอื่นๆตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่องค์กรกับมาร์คอีก ประโยคที่อเล็กซ์พูดยังไม่หายไปจากหัวสมองแจ็คสัน มีแต่กรอซ้ำไปซ้ำมาเพื่อตอกย้ำความโดดเดี่ยวที่เขาต้องเผชิญ  

     

    และแจ็คสันก็ไม่รู้ว่าเขาจะทนมันจนไปถึงวันที่ช่วยพี่สาวตัวเองได้ไหม

     

    “ถ้าคุณไม่อยากบอกผมก็ไม่เป็นไร...” น้ำเสียงของแจ็คสันสั่นเครือจนเด็กหนุ่มต้องหยุดพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะจับได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอ่อนแออย่างถึงที่สุด ความเงียบของมาร์คทำให้แจ็คสันเข้าใจแล้วว่าทุกความใจดีที่เขาได้รับมันเป็นเพียงแค่คำว่าหน้าที่ ไม่ว่าจากคุณหมอจินยองหรือยองแจ ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างจบลง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันก็จะไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่าการทำในสิ่งที่ควรทำ

     

    เป็นความรู้สึกว่างเปล่าจนมันเจ็บไปหมดเลย

     

    “ผมขอตัว.../ ฉันทำเพราะเวลามองนายแล้วฉันเห็นตัวเอง” แจ็คสันชะงัก พอมาร์คลืมตาขึ้นแล้วพบว่าเด็กน้อยยังนั่งอยู่ที่เดิมเขาจึงตัดสินใจพูดต่อโดยไม่ละสายตาจากคนข้างตัว

     

    “อีกอย่างฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะปกป้องนายเอง เลิกคิดมากไร้สาระได้แล้วเด็กโง่” ฝ่ามืออบอุ่นของมาร์คลูบผมสีสว่างของแจ็คสัน อีกครั้งที่มาร์คอ่านความคิดของแจ็คสันออก แววตาที่จริงจังของมาร์คทำให้ความรู้สึกหน่วงของแจ็คสันเบาบางลง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าที่กัดกินในตัวเขาได้

     

    เด็กน้อยพูดขอบคุณเพียงแผ่วเบาและเงยหน้ามองท้องฟ้า

     

    “เวลาที่คุณมองท้องฟ้าคุณคิดถึงอะไรเหรอ” หัวข้อที่ถูกเปลี่ยนกระทันหันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกงงงวยเล็กน้อย

     

    มาร์คลองมองขึ้นไปบนนั้นบ้างก่อนจะตอบ “ไม่ได้คิดอะไร แล้วนายล่ะ?”

     

    “ผมคิดว่ามันเหมือนตัวผม แต่บางคืนท้องฟ้าก็ยังมีดาวที่จะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลายๆคน ต่างจากผมที่ว่างเปล่าและไม่มีคุณค่าอะไรเลย” แจ็คสันยิ้มเยาะให้ตัวเอง เสียงพูดของอเล็กซ์ดังชัดเจนในหัวสมองเขามากขึ้น

     

     

    “เพราะคนที่คิดจะจัดการนาย ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว”

     

    “ฉันไม่รู้หรอกนะมาร์คว่านายเห็นว่าเด็กนี่มีดีอะไรที่ทำให้นายเชื่อใจถึงได้เอามันเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่อย่าลืมสิ่งที่นายพูดกับพวกเราและท่านประธาน... เพราะถ้าถึงวันนั้นแล้วนายไม่กล้าทำ แม้สักวินาทีเดียวที่นายลังเลใจ ฉันจะเป็นคนทำเอง”

     

     

             

     

    “อเล็กซ์บอกผมว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่คิดจะจัดการผม ... อีกคนที่เขาหมายถึงคือคุณใช่ไหมครับ?”

     

    “...”

     

    “สุดท้ายคุณก็จะฆ่าผมเหมือนกันใช่ไหม?”

     

    .“...”

     

    มาร์คเงียบ ความรู้สึกปวดหนึบเกิดขึ้นในใจเขาอย่างไม่รู้สาเหตุ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากลัวว่าคำตอบของเขาจะทำให้คนข้างๆเปลี่ยนไป

     

     

    ... ถ้าฉันตอบว่าใช่ นายจะเสียใจรึเปล่า

     

     

    ... และถ้าฉันตอบว่าไม่ ฉันจะเสียใจไหม ...

     

     

    แจ็คสันยังคงมองท้องฟ้ามืดสนิทที่ไร้ดวงดาว ท่าทางที่พยายามเข้มแข็งพวกนั้นมันยิ่งทำให้แจ็คสันดูบอบบางมากขึ้นทุกที มาร์คไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่ตอนไหนที่เขาดึงแจ็คสันให้หันมา สบดวงตากลมสั่นระริกคู่นั้นและเบียดริมฝีปากเคล้ากลิ่นเบียร์แนบชิดกับของคนตรงหน้า ปล่อยให้ลมหายใจกลายเป็นหนึ่งเดียวกันก่อนที่เขาจะผละออกมา

     

     

    “ฉันจะไม่มีวันทำร้ายนายเด็ดขาด...


     

    ไม่มีวัน

     

     

     

    .

    .

    .

    To be continue

     

     

     

                 

    ฮือ หวีดฉากนี้ของตัวเองแรงมาก พี่มาร์คคนใจง่าย บ้าที่ฉุด T – T /ทุบอก

    สำหรับใครที่สงสัยว่ามันเร็วไปไหมสำหรับพี่มาร์ค บอกเลยว่าเร็วไปค่ะ (อ่าว)

    แต่ฟังก่อน พี่มาร์คเราโดดเดี่ยวมานาน พอได้เจอคนน่ารักมากแบบแจ็คสัน

    มันจะไม่หวั่นไหวได้ยังไงแก (นุ้งของไรท์ T v T)

    แต่อย่าลืมนะคะว่าพี่มาร์คนางกรึ่มอยู่ พูดจริงพูดปลอมก็ไม่รู้เนอะ

    ขอเตือนว่าฟิคของไรท์จะหลอกคนอ่าน (และหลอกตัวคนแต่งด้วย)

    คิดถึงทุกคนมากเลยค่ะ ร้างมือไปนานมาก เกือบปีเลย

    ที่กลับมาอัพเพราะนั่งอ่านฟิคและคอมเม้นตัวเองแล้วรู้สึกฮึกเหิมมาก

    คอมเม้นนี่มันเป็นแหล่งชาร์จพลังงานชั้นหนึ่งจริงๆนะทุกคน

    และเหมือนเดิมใครขี้เกียจเม้น เรามีoptionติดแท็กตามทวิตเตอร์ให้เลือกใช้ #fictheenemy

    ปล.เรารักคนอ่านและคนติดตามทุกคน ขอบคุณจริงๆ /ปาดน้ำตา

     

     




     

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×