ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [got7] the enemy (markson)

    ลำดับตอนที่ #2 : - 2 -

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 58



    THE ENEMY

    2

     

     

                ภายในอาคารทรงทันสมัยสองชั้นที่ถูกแต่งให้ผนังรอบตัวอาคารเป็นกระจกบานใหญ่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษชื่อย่อของที่แห่งนี้เด่นหราที่ด้านหน้า ดูเผินๆแล้วเป็นเหมือนแค่บริษัทรับออกแบบธรรมดาเท่านั้น จะบอกว่ามันคือความตั้งใจของผู้สร้างก็ว่าได้ที่ไม่ได้ต้องการให้ผู้คนมาให้ความสนใจอะไรมากมาย เพื่อที่การทำงานจะได้สะดวกขึ้น ส่วนด้านในนั้นถูกแบ่งสัดส่วนการใช้งานอย่างชัดเจน ชั้นแรกจะมีทั้งห้องประชุม ห้องทำงาน ห้องแลป ห้องชันสูตร และอื่นๆที่สำคัญรวมทั้งมีคอฟฟี่ช็อปขนาดเล็กตรงมุมของอาคาร ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องพักชั่วคราวและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์

     

     

     

                “มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะคุณต้วน”

     

                “พอแล้วครับ ขอบคุณมาก” มาร์คหันไปบอกพยาบาลสาวเมื่อเขาเห็นว่าแผลเริ่มเรียบร้อยดีแล้ว เธอหันมายิ้มให้ก่อนจะยกอุปกรณ์ออกไปโดยไม่ลืมวางยาแก้อักเสบเอาไว้ ประตูห้องพักปิดไปได้สักพักก็ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยเด็กหนุ่มวัยรุ่นผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาเรียวเล็กและมีจุดขี้แมลงวันเล็กๆที่ใต้ตา ชเวยองแจ ฝ่ายคอมพิวเตอร์ประจำองค์กร

     

                “อะ นี่ที่พี่ให้ผมหามาให้” ยองแจเดินเข้ามาและยื่นกระดาษเอสี่จำนวนหนึ่งแผ่นให้มาร์ค ซึ่งชายหนุ่มก็รีบรับเอาไปกวาดสายตาอ่านทันที

     

                “ชื่อแจ็คสัน นามสกุลหวัง อายุ 18 ปี...” มาร์คอ่านออกเสียงบรรทัดแรก

     

                “เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยบ้านคุณลุงปาร์คตั้งแต่เกิด จนอายุได้ 13 ก็มีครอบครัวหนึ่งมารับไปดูแลต่อ” ...และตามด้วยเสียงของยองแจที่ยื่นหน้าเข้ามาอย่างสนอกสนใจ มาร์คเหลือบตามองก่อนจะมองเนื้อหาอีกสี่ห้าบรรทัดที่เหลือในนั้นซึ่งก็มีแค่ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและม้วนกระดาษเคาะไปที่หัวกลมๆของแฮคเกอร์สักที

     

                “พี่เอามาเคาะหัวผมทำไมเนี่ยยยยยยย”

     

                “อยากตกงานเหรอยองแจ สาบานว่านี่คือข้อมูลทั้งหมดของเด็กนั่นที่นายหาได้แล้วน่ะ”

     

                “โหย หาได้แค่นี้แหล่ะพี่ แล้วผมก็ไม่อยากตกงานด้วย งานสบายแถมไม่ต้องเรียนแบบนี้ใครจะอยากออกกันเล่า” ยองแจรีบปฏิเสธ เพราะความเก่งด้านคอมพิวเตอร์ที่แสนจะโดดเด่น(ในด้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) ทำให้เขาถูกเรียกตัวแบบลับๆให้มาเข้าร่วมองค์กรนี้ทันทีทั้งที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น โดยทุกๆเดือนจะมีค่าตอบแทนให้จำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าเด็กฉลาด(ที่ไม่รักการเรียน)แบบยองแจจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไปก็โง่แล้วครับผม

     

                “โอเค งั้นจะไหนก็ไปได้แล้ว” มาร์คโบกมือไล่ แต่ยองแจยังไม่ยอมไป ยืนบ่นเรื่องงานให้เขาฟังด้วยภาษาที่มาร์คขี้เกียจจะเข้าใจอีกสักพักก่อนจะยอมกลับไปทำงาน

     

                ทั้งห้องเหลือแค่ชายหนุ่มคนเดียวอีกครั้ง มาร์คเดินไปนั่งพิงหัวเตียง นึกสงสัยกับประวัติของแจ็คสันที่เพิ่งได้รับ เท่าที่อ่านก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่น่าจะมีเหตุจูงใจอะไรให้ไปโดนซ้อมปางตายอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด แล้วอีกอย่างคงไม่มีคนปกติที่ไหนมาเดินเล่นแถวท่าเรือร้างตอนดึกๆหรอกใช่ไหมล่ะ

     

                มาร์คขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

     

                มันจะมีอะไรอีกวะ...

     

                “ฮ.. ช่วยพี่ผม.. ต้องช่วย.. !!

     

    พลันประโยคที่เด็กนั่นพูดตอนที่เห็นเขาก็แวบเข้ามาในหัว มาร์ควางกระดาษทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะรีบลุกออกจากห้องไปทันที

     

    ....ภาวนาให้เด็กนั่นอย่างเพิ่งตายไปก่อนแล้วกัน

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ที่ห้องพักอีกห้องหนึ่ง บนเตียงกลางห้องมีร่างของเด็กหนุ่มที่ยังนอนนิ่งไม่ได้สติ รอบศีรษะถูกผ้าพันเอาไว้ ร่องรอยฟกช้ำจางลงไปแล้วเหลือเพียงใบหน้าที่ขาวซีดไม่ต่างจากริมฝีปาก มีเพียงหน้าอกที่ยังขยับขึ้นลงเป็นจังหวะกับเสียงของเครื่องวัดชีพจรเท่านั้นที่บอกว่าคนบนเตียงนี้ยังมีชีวิต   

     

    มาร์คยืนกอดอกมองภาพนั้นผ่านกระจกบานใหญ่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ข้างๆกันมีคุณหมอปาร์คหรือจินยองที่ยังอยู่ในชุดกาวน์สีขาวและมีสีหน้าค่อนข้างเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย จินยองเป็นคนรักษาแจ็คสันเอง และตั้งแต่วันที่รับตัวเข้ามาจนถึงวันนี้มันก็เกือบจะสัปดาห์อยู่แล้ว แต่เด็กคนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาสักที

     

    “เป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” มาร์คเอ่ยถาม ความจริงแล้วหลังจากคืนนั้นเขาเองก็เจ็บและมัวยุ่งเพราะต้องจัดการอะไรหลายอย่างเลยไม่มีโอกาสได้เข้ามาดูเอง เพิ่งจะมาดูอย่างจริงๆจังๆก็ตอนนี้

     

    จินยองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถอดแว่นออกมาเก็บใส่กระเป๋า “พอดูเลย ถึงลูกกระสุนจะฝังไม่ลึกแต่อวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหายอยู่พอสมควร เสียเลือดเยอะด้วย ไหนจะรอยช้ำตามหน้าท้อง โดนตีเข้าที่หัวอีก สแกนแล้วสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนนะ ไม่รู้ว่าที่ยังไม่ยอมฟ... !!!

     

    ทั้งมาร์คและจินยองเบิกตากว้างทันทีที่เห็นร่างของแจ็คสันกระตุกเฮือก และเป็นคุณหมอที่รีบวิ่งเข้าไปในห้อง จินยองเดินไปทั่วห้องดูสายที่ระโยงระยางอย่างร้อนรน กราฟจังหวะหัวใจขึ้นถี่อย่างน่ากลัวจนคุณหมอแทบจะกดสัญญาณฉุกเฉินเรียกผู้ช่วยอยู่แล้วถ้าไม่ติดที่เปลือกตาบางคู่นั้นค่อยๆเปิดขึ้นและกระพริบถี่อย่างไม่คุ้นชินกับแสง จินยองหันไปมองเครื่องวัดชีพจรที่กลับมาปกติอีกครั้งก่อนจะรีบมาตรวจเช็คร่างกายของแจ็คสันทันที

     

    จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก จินยองก็กวักมือเรียกมาร์คให้เข้ามาด้านใน

     

    แจ็คสันโดนถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้วรวมทั้งสายที่ติดตามตัวพวกนั้นด้วย เหลือเพียงแค่เข็มเพื่อให้น้ำเกลือที่หลังมือข้างซ้ายเพียงเท่านั้น จินยองหันมาสั่งมาร์คให้อย่ากดดันคนไข้ของตัวเองมากนัก แล้วก็อย่าเกินเวลาด้วยเพราะร่างกายของแจ็คสันต้องได้รับการพักฟื้นอีกหน่อยถึงจะกลับมาแข็งแรง มาร์คก็พยักหน้ารับไป จินยองเลยยอมออกไปถึงในใจจะยังเป็นห่วงอยู่บ้างเพราะรู้นิสัยใจร้อนของเพื่อนตัวเอง แต่ก็โอเค จะไว้ใจแล้วกัน

     

    เอาล่ะ ตอนนี้ทั้งห้องเลยเหลือแค่นายตำรวจนายหนึ่งกับเด็กที่ถูกเก็บมาได้

     

    มาร์คเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ “เป็นยังไงบ้างล่ะ นี่ฉันมีเรื่องจะถามนายเยอะแยะไปหมดเลยรู้รึเปล่า”

     

    แจ็คสันไม่ได้ตอบ แต่ทำเพียงแค่มองหน้าของมาร์คอย่างใช้ความคิดก่อนที่จู่ๆจะลุกขึ้นพรวดอย่างคนลืมเจ็บจนคนที่โตกว่าต้องเข้าไปจับประคองเอาไว้ กำลังจะหันไปว่าฐานที่ทำให้ตกใจก็ต้องชะงักเพราะแววตาที่สั่นระริกของแจ็คสัน ริมฝีปากที่แห้งผากไร้สีสันกำลังพูดถึงคนคนหนึ่งเหมือนตอนแรกที่ได้เจอกันอีกครั้ง

     

    “พี่สาว.. พี่สาวผม...”

     

    มาร์ครู้สึกได้ถึงแรงสั่นของคนในอ้อมแขน ดวงตากลมโตที่เขาเพิ่งได้สังเกตใกล้ๆกำลังแดงและคลอไปด้วยหยาดน้ำ ฝ่ามือเล็กของแจ็คสันเกร็งแน่นจนแทบจิกเข้าไปที่หน้าขาของตัวเอง มาร์คเห็นท่าไม่ดีก็ทำท่าจะกดปุ่มเรียกจินยองแต่พอได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเขาก็ต้องหยุดความคิดนั้น แล้วเปลี่ยนมาวางฝ่ามือของตัวเองที่ดูใหญ่ขึ้นทันทีเมื่อไปอยู่บนมือน้อยๆของอีกคน

     

                แจ็คสันสะดุ้งและขยับมือหนี มาร์คเลยต้องตามไปบีบมันเอาไว้เบาๆแทน

     

    “ชู่ว.. ใจเย็นๆก่อนแล้วฟังฉัน”

     

    “...”

     

    ...ถือว่าการเงียบคือการตกลงแล้วกัน

     

    “ฉันไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับนายบ้าง และนายคงยังไม่พร้อมที่จะเล่ามันใช่ไหม ไม่เป็นไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่นายต้องรู้คือตอนนี้นายปลอดภัยแล้วและฉันก็จะเป็นคนดูแลนายจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” มาร์คพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าใจดีที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ และมันก็ได้ผลจริงๆเมื่อแจ็คสันเริ่มหยุดสะอื้นและคลายฝ่ามือที่เกร็งออก มาร์คมองสำรวจทั่วตัวเด็กหนุ่มก่อนจะโล่งใจเมื่อไม่เห็นรอยเลือดจากบาดแผลซึมออกมาให้เห็น อดชมฝีมือการรักษาของจินยองเบาๆในใจไม่ได้จริงๆ

     

    เวลายังเดินต่อไปเรื่อยๆ มีแต่ความเงียบที่ปกคลุมห้องจนมาร์คอึดอัดนิดหน่อย เหมือนแจ็คสันจะเริ่มหาเสียงของตัวเองเจออีกครั้ง เด็กหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมองคนข้างๆก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทั้งหมดให้ได้ฟัง

     

                “พี่สาวของผม... โดนพวกมันจับไป”  

     

    มาร์คชะงักไปเล็กน้อย คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน “แล้วยังไงต่อ?”

     

    “วันนั้นผม... ผมกำลังเดินกลับบ้านกับพี่ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งจอดข้างเราแล้วผู้ชายสามสี่คนก็ลงมากระชากผมกับพี่ขึ้นรถของพวกมันไป ผมโดนพวกมันซ้อมจนสลบ ส่วนพี่ผม.. ” แจ็คสันน้ำตาร่วงเผาะลงมาอีกครั้งและไหลออกมาเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้เล่าอะไรต่อจากนั้นแต่มาร์คก็พอเดาเหตุการณ์ต่อไปที่เกิดได้ ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแต่ลูบกลุ่มผมสีอ่อนนั่นเบาๆอย่างปลอบประโลมเท่านั้น และความอบอุ่นที่แจ็คสันกำลังได้รับยิ่งทำให้เด็กน้อยร้องไห้ออกมาหนักจนตัวโยน

     

    “ฮ.. ฮึก ฮือ..”

     

    “เฮ้... หยุดร้องได้แล้วน่า” มาร์คพูดเบาๆพลางผละมือออกมา เขาไม่ชอบคนร้องไห้เลย ฟังแล้วปวดใจชะมัด แต่คนที่ไม่รู้อย่างแจ็คสันกำลังประมวลผลได้ว่าตัวเองคงโดนรำคาญเข้าให้แล้วถึงได้ยอมหยุดร้อง และกลั้นเสียงสะอื้นฮึกไว้ในลำคอเหมือนเด็กเวลาโดนดุไม่มีผิด

    แต่ก็ดีแล้วล่ะนะ

     

    “ฉันจะไม่กวนนายแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่...” มาร์คหยุดพูดมองชายเสื้อของตัวเองที่ถูกแจ็คสันดึงเอาไว้ก่อนจะเลิกคิ้วมองอีกคนด้วยความสงสัย

     

    “มีอะไร?”

     

    “คือ.. ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ มันไม่ใช่โรงพยาบาลใช่ไหม เพราะผมไม่เห็นใครเลย” แจ็คสันถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตากลมที่แดงช้ำจากการร้องไห้มองไปรอบห้องอย่างคนที่เหมือนเพิ่งจะสังเกตได้

     

    และมาร์คก็พยักหน้าตอบกลับไปเฉยๆ เขาไม่คิดว่าเด็กนี่ควรจะรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน “เอาล่ะ ปล่อยได้แล้ว”

     

    “เอ่อ ขอถามอีกอย่างได้ไหม แล้วคุณคือใครเหรอครับ”

     

    ขี้สงสัยซะจริง..

     

    “ฉันชื่อมาร์ค พอใจรึยัง เลิกถามแล้วรีบนอนไปสักที” แจ็คสันยอมปล่อยมือออกจังหวะเดียวกับที่ประตูถูกดันเข้ามาโดยชายหนุ่มเจ้าของไข้ จินยองที่เห็นว่าแจ็คสันไม่ได้อยู่ในท่านอนก็รีบเดินเข้ามาเช็คร่างกายของแจ็คสันทันที เมื่อไม่เจอร่องรอยถูกทำร้ายอะไร รวมทั้งแผลที่สมานอย่างรวดเร็วยังคงเรียบร้อยดีก็โล่งใจ นึกว่าเพื่อนเขาจะทำอะไรไม่ดีกับเด็กคนนี้ซะแล้ว

     

    “เห็นฉันใจร้ายขนาดนั้นเลยรึไงวะ” มาร์คที่ยืนกอดอกมองเพื่อนตรวจนี่เช็คนั่นก็อดจะพูดขึ้นมาไม่ได้ จินยองยักไหล่พลางถอดหูฟังหมอออก ยื่นยาให้แจ็คสันที่รับไปกินอย่างไม่อิดออดอะไร

     

    “ใครจะไปรู้ล่ะ เอ้อ.. แล้วเรื่องคดีนี้ นายจะเอา...” จินยองหันมาพูดกับมาร์ค ตาโตปิดปากตัวเองเพิ่งนึกขึ้นได้ เหมือนคุณหมอจะลืมไปว่ามีคนนอกอีกคนที่ยังอยู่ในห้องนี้ และที่สำคัญยังไม่ได้หลับ

     

    “ปาร์คจินยอง...”

     

    แถมมองมาที่เขาทั้งสองอย่างสงสัยและอยากรู้อยู่ไม่น้อยเลย

     

    “พวกคุณเป็นตำรวจเหรอครับ?” จนได้แล้วไง

     

    “ไม่.../งั้นที่นี่ก็สถานีตำรวจใช่ไหมครับ แสดงว่าพวกคุณ.. พวกคุณจะช่วยพี่ผมได้ใช่ไหม!” มาร์คกำลังจะปฏิเสธแต่โดนแจ็คสันพูดแทรกขึ้นมา ดวงตากลมโตของแจ็คสันวาววับและเต็มไปด้วยความหวัง หันมองมาร์คทีจินยองทีอย่างดีใจ

     

    ยอมรับว่าเห็นท่าทางเด็กน้อยแบบนั้นแล้วมาร์คก็รู้สึกใจอ่อน เพราะเขาก็เข้าใจความรู้สึกของแจ็คสันดีกว่าใคร สุดท้ายมาร์คก็ยอมบอกว่าที่นี่คือองค์กรลับที่คอยจัดการพวกธุรกิจมืดที่จะเป็นภัยต่อชาติ และคดีที่พวกเขากำลังติดตามอยู่ตอนนี้คือคดีค้าผู้หญิงและสารเสพติดรายใหญ่ โดยที่มีมาร์คเป็นคนรับผิดชอบ มาร์คคิดว่าแค่นี้คงเพียงพอแล้วสำหรับแจ็คสัน เขากำลังจะกลับห้อง แต่แล้วประโยคต่อมาที่แจ็คสันพูดหลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดกลับทำให้เขาต้องชะงัก

     

    “ให้ผมเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยได้ไหมครับ ผมอยากช่วยพี่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพไหนผมก็อยากจะพาเขาออกมา ได้โปรดเถอะนะ”

     

    “...”

     

    “นะครับ คุณมาร์ค” แจ็คสันมองมาร์คด้วยแววตาจริงจังจนชายหนุ่มรู้สึกได้ แต่มาร์คส่ายหน้า แน่นอนว่าเขาไม่ไว้ใจเด็กนี่มากพอ ถึงจะยอมบอกว่าที่นี่คือที่ไหน เขาเป็นใคร แต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่คนนอกอย่างแจ็คสันไม่รู้และไม่ควรจะรับรู้ด้วยซ้ำ

     

    เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยของมาร์ค แจ็คสันก็หันไปมองจินยองที่ทำสีหน้าลำบากใจ จินยองเองก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะให้ใครเข้ามาในองค์กรนี้ง่ายๆ แต่เขาสงสารแจ็คสัน เขาเห็นนะว่าตาของเด็กน้อยช้ำแดงขนาดไหน ยิ่งพอเพื่อนสนิทเขาเดินออกจากห้องไป แจ็คสันก็ยิ่งซึมมากกว่าเดิม

     

    “นอนได้แล้วนะครับคนเก่ง พรุ่งนี้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่นะ โอเคไหม” จินยองพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แจ็คสันพยักหน้ารับก่อนจะยอมนอนแต่โดยดี ชายหนุ่มเช็คความเรียบร้อยในห้องอีกสักนิดก่อนจะออกมาปล่อยให้คนไข้ของเขาได้พักผ่อนเสียที วันนี้มันมากพอแล้วสำหรับแจ็คสัน

     

    คุณหมอเดินมายืนนิ่งอยู่ตรงทางเดิน ลังเลใจว่าจะไปพูดกับมาร์คเรื่องแจ็คสันดีไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

     

     

                .

               

    .

               

    .

     

     

    10.00 PM

     

    มาร์คนอนไม่หลับ ทั้งคำพูดและแววตาของเด็กคนนั้นยังวนเวียนอยู่ในสมอง

     

    “ให้ผมเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยได้ไหมครับ ผมอยากช่วยพี่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพไหนผมก็อยากจะพาเขาออกมา ได้โปรดเถอะนะ”

     

    ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาแบบนี้แจ็คสันไปเอาความเข้มแข็งขนาดนั้นมาจากไหน...

     

    ทั้งที่ตอนที่เขาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน มาร์คแทบไม่เป็นผู้เป็นคนด้วยซ้ำ

     

    เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ..

     

     

    เมื่อหลายปีก่อนที่เขาจะได้เป็นหน่วยภาคสนามฝีมือดีแบบนี้ สภาพของมาร์คหลังจากเสียพี่สาวเพียงคนเดียวไปย่ำแย่จนเขาไม่อยากจะนึกถึง เอาแต่เสียใจและโทษตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวัง จนกระทั่งวันที่เขาเกิดบ้าระห่ำออกไปจัดการกับพวกมันด้วยตัวเอง โดยใช้ความสามารถอันน้อยนิดในการแกะรอยจากจุดที่พี่สาวเขาหายตัวไป มาร์คสังเกตอยู่หลายเดือนกว่าจะรู้ว่าพวกมันมักจะไปที่ไหนและทำกับพวกผู้หญิงผู้โชคร้ายนั้นยังไง แฝงตัวเข้าไปคนงานบนเรือ ผลสุดท้ายคือโดนจับได้และถูกจัดการเกือบตาย

     

    โชคดีที่มีคนมาช่วยเขาเอาไว้

     

    คนนั้นคือคุณหมอใจดีที่ชื่อว่าปาร์คจินยอง

     

    และจินยองเป็นคนที่ทำให้เขารู้จักที่นี่

     

    บางทีแจ็คสันก็สมควรจะได้รับโอกาสเหมือนเขาบ้างใช่ไหม

     

    ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ที่คุ้นเคย รอเพียงไม่นานปลายสายก็รับ เขารีบพูดในสิ่งที่ต้องการทันที “สวัสดีครับท่านประธาน นี่ผมเอง ผมมีเรื่องอยากจะ...”

     

    /......./

     

    “ครับ ผมรู้.. แต่ผมจะรับรองเอง ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรที่ส่งผลร้ายต่อองค์กร หรือกับใครในนี้ก็ตาม ผมยินยอมจะรับผิดชอบทุกอย่าง...

     

     

    ต่อให้ต้องฆ่าเด็กคนนั้น ผมก็จะทำ”

     

    /..../

     

    “ครับ ขอบคุณครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะพาเขาไปหาท่านประธาน สวัสดีครับ”

     

    ทุกคนรู้ว่ามาร์คเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ และเขาไม่ได้ล้อเล่นในสิ่งที่พูดไปเลยสักนิด ความปลอดภัยอยู่รอดขององค์กรและเพื่อนร่วมงานของเขาสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

     

    ถึงจะถูกใจในแววตาคู่นั้นของเด็กนั่นมากก็ตามที...

     

    “อย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังแล้วกันแจ็คสัน...”

     

     

     

    .

    .

    .

    To be continue

     

     

     

                 

    มาตอนที่สองก็จะฆ่ากันแล้ว มาร์คใจเย็นเนอะมาร์ค

    แจ็คสันเปิดมาเราก็แต่งขี้แงเหมือนเด็กเลยอะ T – T แต่จะค่อยๆโตขึ้นนะ

    ฝากเป็นกำลังใจให้ฟิคง่อยๆเรื่องนี้ด้วยนะคะฮือ

    เรารักทุกคอมเม้น(อันน้อยนิด)มากน้า ขอบคุณนะคะ อ่านหลายรอบเลยอะยอมรับ

    ใครขี้เกียจเม้น เรามีoptionติดแท็กตามทวิตเตอร์ให้เลือกใช้ #fictheenemy

    ปล.เรารักคนอ่านและคนติดตามทุกคน ขอบคุณจริงๆ /ปาดน้ำตา

     

     

     

     

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×