ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หนีTeenดันไปโผล่โลกใหม่

    ลำดับตอนที่ #2 : ตื่นมาบนโลกใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 58



    “เอาไงดีอ่า นี่เป็นครั้งแรกของข้าด้วยซิ ตื่นเต้นจังแฮะ”


    เสียงใครบางคนกำลังพูดอยู่ในหัวผม


    “เป็นความผิดของเจ้าหมอนี่นี่ล่ะ ที่ดันกระโดดเข้าประตูข้ามภพแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ายังไม่พร้อมแท้ๆ”


    “ประตูข้ามภพ?” ผมหลุดปากพูดออกไป


    “ก็ประตูที่เจ้ากระโดดผ่านมาทางเงาจันทร์ ในคลองประปานั่นไง จริงๆแล้วมันควรจะไปโผล่ที่จอคอมพิวเตอร์ของนักเขียนการ์ตูนตกอับคนนึงน่ะ แถบๆโอซาก้า แต่เพราะข้ายังไม่ชินกับการใช้เวทย์ควบคุมประตูข้ามภพ มันก็เลยคลาดเคลื่อนนิดหน่อย เลยไปตกที่คลองประปาแทน”


    “โอซาก้า กับคลองประปานี่นะ โครตจะใกล้กันเลยครับ”


    “ทำไงได้ล่ะก็ข้าเป็นเทพทวารบาลมือใหม่นี่ พึ่งมารับหน้าที่นี้มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างซิ แถมเทพองค์เก่าก็กลับไปภพภูมิ ของตัวเองแล้ว ข้าเลยไม่มีโอกาศได้ถามข้อมูลอะไรเลย”


    “อ๊ะ แต่ข้าก็พยายามศึกษาจากพวกนิยายข้ามมิติ โลกคู่ขนานอยู่นะ ตอนนี้ก็เลยเริ่มมั่นใจเล็กๆว่า คงพอมีประโยชณ์และก็น่าจะชี้นำทางให้กับนักเดินทางข้ามภพได้ในระดับนึงนะ”


    “เอ่อ ไอ้นักเดินทางข้ามภพที่ว่านี่คงไม่ได้หมายถึงผมใช่ใหม” ผมถาม


    “ก็นายนั่นล่ะจะมีใครคนอื่…….!!”


    “จ๊ะ ว้าย ฮ้ายยย!! นี่ข้าเผลอ ไปติดต่อกะเจ้าเหรอ เอ่อ ครั้งนี้ไม่นับน้า คือข้ายังไม่พร้อม ขอไปอ่านนิยายเก็บข้อมูลในเน็ทให้ชัวร์ก่อนน้า ช่วยเอาหัวโขกกำแพงแล้วลืมเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ด้วยน้า อ๊ะแค่นี้นะไปล่ะจ๊ะ แล้วก็อย่าลืมเอาหัวโขกกำแพงลบความทรงจำตัวเองนะ ”


    ครับ ผมจะรีบเอาหัวโขกกำแพงลบความทรงจำตามที่ท่านเทพทวารบาลบอกเดี๋ยวนี้ล่ะ


    ใครมันจะไปทำฟระ ฮ่วย!!


    ฝันแปลกๆแฮะคงเพราะเมื่อวานเจอเรื่องมาเยอะแน่ๆ ตั้งกะเกิดมาก็มีเมื่อวานนี่ล่ะที่เคยหน้ามืดจนเป็นลม ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ เป็นครั้งแรกที่เคยไปโลกต่างมิติ จะตกใจจนเป็นลมก็เป็นธรรมดา


    “ซะที่ใหนฟระ!!”


    หลังจากนึกเรื่องเมื่อวานออก ผมสะดุ้งพรวดแทบจะโดดออกจากที่นอน พอมองไปรอบๆก็พบว่าผมนอนอยู่บนบ้านไม้ทรงไทย หลังย่อมๆ ล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ ที่แสนสวย และก้อนผลึกอํัญญมณี แบบเดียวกะที่เห็นที่น้ำตกเมื่อวานลอยอยู่รอบๆบ้าน


    “นี่เราไม่ได้ฝันไปรึเนี่ย”  ผมพูดพลางหยิกแก้มตัวเองไปด้วย เจ็บแฮะ


    “ฮะๆ คิดว่าฝันไปซินะที่เอ็งรอดมาได้แบบนั้น ก็ไม่แปลกหรอก”


    (บางระจัน บางระจัน บางระจัน มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือน12 ร้องซ้ำ)


    ครับ ที่อยู่ตรงหน้าผมคือนาย จัน หนวดเขี้ยว เอ้ย นายอินทรีย์ หนวดงาม


    “ท่านอินทรีย์ หนวดงาม”


    “เรียกลุงไม่ก็น้า เถอะเรียกท่านแล้วมันไม่ชินหู ออรึจะเรียกนำด้วยพ่อตาก็ไม่ว่ากัน ฮ่ะๆๆ”


    “พ่อ!!” เสียงเล็กๆกังวาลใส ตะแบงออกมาจากในตัวบ้าน ด้วยความไม่พอใจ ฟังจากน้ำเสียงคาดว่าน่าจะเป็นเสียงลูกสาวท่านอินทรีย์ หนวดงามล่ะนะ


    “เอ่อ งั้นผมขอเรียกว่าลุงอินทรีย์ นะครับ”


    “อย่าลืมต่อท้ายด้วยหนวดงามซิไอ้หนุ่ม” มีกำชับด้วย ท่าจะชอบฉายานี้มาก


    “ขอบคุณมากเลยนะครับ ลุงอินทรีย์ หนวดงาม ที่ช่วยผมไว้จากไอ้ตัวเมื่อวาน ถ้าไม่เพราะลุงบังเอิญไปอยู่แถวนั้น ผมคงตายไปแล้ว”


    “ก็ไม่เชิงบังเอิญดอก พอดีข้าเห็นคนร่วงลงมาจากฟ้า ข้าเลยรีบไปดูคิดว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ตกจากวิมาณ จะได้จับมาเมีย ที่ใหนได้ เป็นกลับเป็นไอ้หนุ่มหน้าจืดซะได้ ”


    ขอโทษครับที่หน้าจืด


    “เดี๋ยวนะครับ ร่วงจากฟ้างั้นรึ ผมเนี่ยนะ”


    “ใช่ซิเอ็งตกมาจากเมฆ สูงลิบ ข้ายังแปลกใจว่าทำใมเอ็งถึงรอดมาได้ พอเห็นตะกรุดที่ห้อยคอเอ็ง ก็เลยหายสงสัย มีของขลังอย่างดีเลยนี่หว่า”


    พอลุงอินทรีย์พูดจบ ผมถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัว เหงื่อแตกพลั่ก ระยะเวลาที่นานนั่น ไม่ใช่เพราะอดรีนาลีนบ้าบอทำให้ช้าลงซะที่ใหน เป็นระยะเวลาที่ผมร่วงลงจากรูหนอนมาสู่โลกนี้แบบไม่มีการ์สโลว์โมชั่นอะไรทั้งนั้น ตกลงที่ผมร่วงมามันสูงแค่ใหนกันนะ ผมพยายามคำนวนเวลากับระยะทางดู แต่คิดอีกที ไม่รู้จะดีกว่าแฮะ  


    “ตะกรุดนี่ช่วยชีวิตผมไว้” ผมพูดออกมาพร้อมกำตะกรุดไว้แน่น


    “ใช่แล้ว มันช่วยป้องกันภยันตรายแบบถึงฆาตุ ได้1ครั้ง”


    ป้องกันอันตรายแบบถึงฆาตุได้1ครั้ง?


    เลยทำให้นึกถึงเรื่องเล่าของเจ้าของตระกรุดคนก่อนหลวงตา ที่หลวงตาแกเล่าให้ฟังว่าเป็นนักเลงชื่อดังคนนึงสมัยยุค “แดงไบเล่” เลยล่ะ ซึ่งเจ้าของตระกรุดคนนี้ตีรันฟันแทงไม่เคยแพ้ใคร เพราะมีตะกรุดนี่ห้อยคอ


    จนวันนึงตามประสานักเลงสมัยก่อนน่ะ เวลากินเหล้าเมาก็มักจะอวดคุยโตเรื่องของขลัง ว่าของกูซิแน่ของข้าซิเจ๋งอะไรแบบนี้ จนสุดท้ายก็บลงด้วยการลองของ


    ซึ่งเจ้าของตระกรุดคนนี้โม้ว่าตราบเท่าที่มีตะกรุดนี่ห้อยคอ ตัวเองจะอยู่ยงคงกระพันฟันแทงยิงไม่เข้า เลยให้เพื่อนนักเลงด้วยกันเอาปืนมายิงเพื่อลองของ


    ปัง!! ปัง!!  ปัง!!  ปัง!!  ปัง!! ปัง!! 6นัดหมดลูกโม่


    ผลคือตายหองตั้งกะนัดที่2  ส่วนไอ้คนยิงก็ติดคุกหัวโตข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา


    ฮาแทบตกศาลาวัด


    โง่บรมเลย เสียงหลวงตาแกด่านักเลงเจ้าของตะกรุดคนก่อน พอเล่าจบแกก็ยื่นตะกรุดนี้ให้ผม  และก็บอกว่าให้ผมเก็บเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ใช้ชีวิตตั้งมั่นอยู่ด้วยความไม่ประมาท เดี๋ยวจะมีจุดจบแบบเจ้าของตะกรุดคนแรก


    ตอนแรกนึกว่าหลวงตาเล่าเอาฮา นึกไม่ถึงว่ามันเรื่องจริงแฮะ ตะกรุดนี่เป็นของขลังของแท้


    ว่าแต่ถ้ามันเป็นของแท้ทำใมนักเลงนั่นถึงตายล่ะ  ออ ไอ้ที่ว่าป้องกันอันตรายแบบถึงตายได้1ครั้ง เป็นแบบนี้นี่เอง คือกันได้แค่นัดแรกว่างั้น


    มาคิดดูเพราะผมตกลงในน้ำ มันเลยนับว่าเป็นอันตรายแบบถึงตายแค่ครั้งเดียวซินะ แต่ถ้าผมตกใส่ต้นไม้แล้วร่วงมากระแทกดินล่ะ คงไปสวรรค์แหงๆ แบบนั้น อูย พูดแล้วขนลุก


    “ตามปรกติแล้ว พวกของขลังที่ใช้กันตายพวกนี้ จะพังเมื่อโดนใช้งาน แต่การที่ของเอ็งยังไม่พังนี่ แสดงว่าคนสร้างมันขึ้นมาต้องเป็นจอมขมังเวทย์ที่มีอาคมแก่กล้าทีเดียวล่ะ ระวังอย่าให้หาย หรือให้ใครเห็นจะดีกว่านะ เพราะมันเป็นของที่มีค่ามิใช่น้อยทีเดียว”


    ออ อาจโดนขโมยหรือถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้หลายตังอยู่ซินะ


    “และทีสำคัญ ช่วงนี้อย่าพึ่งไปหาเรื่องฆ่าตัวตายที่ใหนละกันเพราะไม่งั้นเอ็งได้ตายจริงๆแน่ เพราะตระกรุดมันยังใช้ไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสัก2-3วันถึงจะฟื้นคืนพลัง” ลุงอินทรีย์อธิบายเกี่ยวกับตะกรุดให้ฟัง


    มีระยะเวลาฟื้นคืนพลังด้วยแฮะ ตั้ง2-3วันเลยเหรอ นานจัง ไม่ซินี่ก็เข้าท่าแล้ว เพราะคงไม่มีไอ้โง่ที่ใหนไปหาเรื่องตายได้ทุกวันหรอกน่า


    “ครับผมจะจำไว้”

    “ว่าแต่เอ็งไปทำอะไรมารึ ถึงได้ตกมาจากฟ้าลงมาแบบนั้นพิชัย อย่าบอกนะว่าเอ็งแอบขึ้นไปตีท้ายครัวเมียพญาครุฑบนวิมาณเมฆ เขาจับได้เลยโยนลงมา”


    อื้อหือ สัญนิฐานซะผมเป็นคนธรรพ์ ในนิทานชาดกเรื่องกากีเลยครับ ลุงอินทรีย์ หนวดงาม คืออย่าว่าแต่ตีท้ายครัวเมียคนอื่นเลยครับ แค่มือผู้หญิงผมยังไม่เคยจับเล้ย พูดแล้วจะร้อง ซิกๆ


    พักเรื่องหดหู่นี่ไว้ก่อน ตอนนี้ผมควรจะตอบยังไงดีเรื่องที่ผมตกมาจากฟ้านี่ ถ้าผมบอกความจริงผมจะถูกจับไปเผาเอาไม้เสียบก้น ฐานเป็นพวกลักลอบเข้าดาวรึเปล่า เพราะที่นี่ค่อนข้างโบราณ อาจมีความเชื่อแปลกๆอย่างพวกที่มาจากต่างโลกว่าเป็นพวกชั่วร้ายอะไรแบบนี้ก็ได้ ในหนังรึในการ์ตูนก็เคยมีอธิบายอะไรแบบนี้ไว้นี่นะ เอาไงดีหว่า


    “เอ่อ…. ผมหนีคนร้ายที่พยายามจะฆ่าผม เลยโดดลงในคูน้ำ มันกลายเป็นอุโมงพาผมไปโผล่บนท้องฟ้า แล้วก็ตกลงมา อย่างที่เห็นครับ” เล่ามันกำปั้นทุบดินแบบนี้ล่ะฟระ


    “ออ เข้าใจล่ะ”


    เห เข้าใจด้วยเหรอครับลุง?  


    “งั้นเอ็งก็กลับบ้านไม่ได้งั้นซิ แล้วเรื่องที่พักล่ะจะทำยังไงล่ะ”


    เออ นั่นซิผมจะอยู่ยังไง นอนที่ใหน เงินทองไม่มีติดตัวซักกะบาท แถวนี้มีวัดใหมหว่า ไปขอข้าวก้นบาตร อาศัยวัดนอนน่าจะไหวอยู่มั้ง เพราะผมไม่ได้เรื่องมากเรื่องกินเรื่องนอนอยู่แล้ว


    “เอางี้งั้นเอ็งอาศัยที่บ้านข้าซักพัก จนกว่าจะหาที่อยู่หรือหาทางกลับบ้านได้ล่ะกัน”


    ผมยังไม่ทันพูดอะไร ลุงอินทรีย์ก็เสนอมาเอง


    “เห จะดีหรือครับให้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างผมอยู่ด้วย?”


    “ต้องดีซิวะ เพราะเอ็งข้าถึงได้ฉายาที่เหมาะกับตัวเอง ถือซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณละกัน”


    อื้อหือเป็นบุญคุณขนาดนั้นเลยรึนั่น ดีเหมือนกันมีหลังคาคุ้มกะบาลแล้ว งั้นไม่เกรงใจล่ะครับ


    “ขอบคุณครับ ลุงอินทรีย์ หนวดงาม” ผมไหว้ขอบคุณลุงอินทรีย์ และย้ำเน้นๆตรงคำว่าหนวดงาม


    “ฉันไม่ยอมรับดอกพ่อ!!” เสียงกังวาลใสนั่น ตะแบงออกมาอีกครั้ง คราวนี้เจ้าของเสียงออกมาด้วย


    เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวผมดำขลับ รูปร่างกระทัดรัด สูงราวๆ 150ซ.ม ดูจากอายุน่าจะซัก 13-14 ปีเห็นจะได้ ช่วงอกคาดด้วยสไบสีแดง ด้านหลังชุดมัดเป็นรูปโบว์ เปิดเผยให้เห็นเอวคอดกิ่วไรไขมัน ช่วงล่างใส่ผ้าถุงแต่ค่อนค้างสั้นจนเผยให้เห็นเรียวขาขาว ดูแล้วเป็นชุดไทยแบบไม่โบราณประมาณแฟชั่นไทยประยุกต์สมัยใหม่เลยก็ว่าได้


    และที่สำคัญใบหน้านั่น ดวงตากลมโตใสแป๋ว คิ้วหนานิดๆ จมูกนิด ปากหน่อย ที่มุมปากมีเขี้ยว บอกได้คำเดียวว่า น่ารักโครตๆ ถ้าได้เป็นแฟนล่ะคงพูดได้ว่าไม่เสียชาติเกิดเลยชีวิตนี้


    “นี่ลูกสาวข้าเองชื่อ ไอยรา” ลุงอินทรีย์ แนะนำ


    แทบจะไถลไปตามพื้นแบบการ์ตูนตลก เดี๋ยวนะครับไอยรานี่มันแปลว่าช้างไม่ใช่เรอะลุงอินทรีย์ ทำใมตั้งชื่อลูกสาวแบบนั้นล่ะคร้าบ


    “ทนฟังมานานล่ะ ไม่ทงถามความเห็นฉันซักคำ อยู่ๆมาตัดสินใจกันเอาเองแบบนี้ใช้ได้ที่ใหน” ไอยราโวยออกมาอีกครั้ง


    นั่นซินะจู่ๆจะให้ลูกสาวมาอยู่ร่วมชายคากับชายแปลกหน้า ใครมันจะไปยอม


    “อินทรีย์ หนวดงามอะไรกันเป็นฉายาที่ไม่เหมาะกับพ่อซักนิด สู้อันที่ฉันตั้งให้พ่อก็ไม่ได้!!”


    หง่ะ ไอ้ที่บอกไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอกเรอะครับ


    “อินทรีย์ ปราบศัตรูพ่ายตายยกป่า ไม่ก็ อินทรีย์ ลุ่มแม่น้ำท่าประดู่ประตูวัง หรือ อินทรีย์ เทพประทานพรป้องโพยภัย แต่ละอันข้าใช้เวลาคิดพิจารณาอย่างดีเป็นแรมเดือน เข้าท่ากว่าหนวดงามเป็นใหนๆ” ไอยราพูดชื่อฉายาพ่อของเธอออกมาอย่างภูมิใจ


    “เจ้าล่ะเห็นเป็นไงพิชัย” เธอถามผม


    อา..ดวงตาใสแป๋วนั้นจ้องมองมาที่ผม น่ารักอะไรอย่างนี้ ถ้าแต่งงานขอมีลูกซัก3คนนะที่รัก. อ๊ะเพ้อเจ้อไปใหญ่ล่ะผม


    เห็นผมเป็นเด็กช่างกลแบบนี้ ผมก็เป็นสุภาพบุรุษสุดๆเหมือนกันนะเออ ครั้นจะให้ตอบแบบหักหาญน้ำใจสาวน้อย ผมคงทำไม่ลง


    “ฉายายาวเป็นคลองส่งน้ำเลยครับ กว่าจะพูดชื่อฉายาจบพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากันพอดี” ผมตอบไปอย่างสุภาพ


    “อุ๊บ๊ะพูดถูใจข้าจริงๆ พิชัย ฮ่ะๆๆๆ” ลุงอินทรีย์ตบเข่าหัวเราะชอบใจ


    “งึ...งึ ……” ไอยราเม้มริมฝีปากและจ้องเขม็งมาที่ผม ในตาเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมา อาตอนนี้ก็ยังน่าร้าก


    “อยากใช้ฉายายังไง ก็ตามใจพ่อแล้วกัน ฉันไม่ยุ่งแล้ว แง้ ...” เธอวิ่งร้องให้ลงจากบ้านไป น่ารักเข้าไปใหญ่


    เอ….. ผมพูดอะไรผิดไปหว่า


    ตอนนั้นเองก็มีผู้ชายคนนึง วิ่งหน้าตาตื่นมา


    “มีหมูป่า หลุดมาจากป่าสมิงกำลังตรงมาทางนี้ น้าอินทรีย์” ชายคนนั้นตะโกนบอก


    และผมก็ได้เห็นหมูป่าตัวที่ว่านั่น คือรูปร่างมันก็เหมือนหมูป่าที่โลกของผมล่ะนะ ที่จะต่างหน่อยก็ตรงเขี้ยวมันใหญ่ยังกะงาช้าง ออและขนาดตัวมัน ก็พอๆกับช้าง ครับ….


    เฮ่ย!!นี่มันผิดปรกติแล้ว หมูป่าบ้าอะไรจะตัวใหญ่ขนาดนั้นฟระ แถมทางที่มันวิ่งผ่านมาทั้งต้นไม้ทั้งก้อนกระจุยหมด เรียกว่าราบเป็นนาบกลอง ไม่ต้องสืบเลยว่าถ้ามาถึงบ้านตรงนี้จะสภาพเป็นไง คาดว่าผมคงได้ตายอีกรอบแหงๆ


    ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมยืนอยู่ข้างๆชายที่มีคาถาอาคม ใช้ข้าวสารเสกล้มยักษ์วัดแจ้งในครั้งเดียว เอาเลยครับลุงอินทรีย์ หนวดงาม ร่ายคาถาดับชีพหมูป่าตัวนี้เลยครับ


    “อินทรีย์ หนวดงาม นั่นชื่อเต็มข้า ไปบอกชาวบ้านคนอื่นให้เรียกตามนี้ด้วยล่ะ” ลุงอินทรีย์ตอบกลับไปอย่างใจเย็น


    ลุงคร้าบเวลานี้ยังจะสนใจแต่ฉายาของลุงอยู่อีก ภัยจะมาถึงตัวแล้ว


    และตอนนั้นไอยราก็ออกไปยืนหน้าบ้านตรงเส้นทางที่เจ้าหมูป่ายักษ์นั่น กำลังวิ่งตรงมา


    “เดี๋ยวฉันจัดการมันเองพ่อ กำลังอยากอัดใครซักคนอยู่พอดี”


    เห จัดการเองนี่นะ จะไหวรึครับ ไอ้หมูนั่นตัวมันใหญ่กว่าช้างอีกนะครับ


    “ไอยรานี่มีอาคมเหมือน ลุงอินทรีย์ หนวดงามด้วยรึครับ?” ผมถามลุงอินทรีย์


    “หืม นังหนูของข้าไม่มีอาคมแบบข้าดอก”


    อ้าว แล้วลุงยอมให้เธอไปขวางหมูตกมันนั่นทำใมครับ


    “เพียงแต่….” ลุงอินทรีย์พูดยังไม่ทันจบประโยค ผมก็ได้ยินเสียงดังตึง  พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนตามมา


    เสียงนั่นมาจากการที่เท้าไอยรากระทืบพื้น เธอกำลังตั้งท่าเตรียมชก และผมก็ได้เห็นแสงสีแดงไปรวมที่กำปั้นของไอยรา


    “เปรี้ยง!!”


    เสียงกำปั้นไอยราต่อยหมูป่านั่นดังสนั่น เจ้าหมูป่าตัวนั้นลอยละลิ่วเป็นว่าวสายป่านขาดไปใกลกว่า30เมตรก่อนจะกระแทกต้นสักทองที่ใหญ่ราว2คนโอบหักโค่น คือถ้าไม่มีต้นสักกันไว้ เจ้าหมูป่าชะตาขาดนี่อาจลอยไปใกลเป็นร้อยๆเมตรเป็นแน่


    “มันมีกำลังเทียบเท่าคนพันคนเท่านั้นล่ะ นังหนูของข้า” ลุงอินทรีย์อธิบายให้ฟังในขณะที่ผมกำลังตกตะลึงอ้าปากค้างจากภาพที่เห็น


    ถึงว่า ลุงแกไม่ห่วงเรื่องที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกับลูกสาวแกเลย คือถ้าผมไปคิดมิดีมิร้ายกับเธอ คาดว่าผมคงกระดูกป่นทั้งตัวเห็นๆ


    ไอยราที่แปลว่าช้างงั้นรึ


    ชื่อเหมาะกับเธอกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วล่ะครับ












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×