ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัตถ์เทพสังหาร

    ลำดับตอนที่ #2 : เข้าเมืองหลวง

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 48


    บทที่ 1



        ใบไม้ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำลำธารที่อยู่รอบตัวอัครเรช ทำให้เขาไม่รู้สึกเหงาเลยแม่แต่นิดเดียว

    เขารู้สึกว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีแก่เขาตลอดมาในเวลา 6ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเป็นเพื่อนพวกมันยังเป็นอาจารย์ของเขาอีกด้วย ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝึกยุทธอย่างจริงจัง แต่ทุกสิ่งที่เขาทำมาก็ทำให้เขามีร่างกายที่กำยำ แข็งแรง กว่าคนทั่วไป ด้วยความพยายามที่มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าทำให้เขามีสิ่งนี้ได้  แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขา 6ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยเหยียบย่ำเข้าไปในเมืองหลวงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแม่เขาเคยสอนว่า มันเป็นที่ๆโสมมมีแต่อบายมุข ถ้าไม่จำเป็นจริงๆไม่ควรที่จะเข้าไป

    “แต่ถ้าข้ามัวแต่ฟังคำของท่านแล้วข้าจะแก้แค้นให้ท่านได้อย่างไร” อัครเรชเงยหน้าแล้วพูดกับฟ้า

    เขากราบไหว้เพื่อขอขมาแม่ของเขา แล้วก็มุ่งหน้าสูเมืองหลวงอีกครั้งตามที่เขาเคยตั้งใจไว้

        

        ผู้คนพลุกพล่าน เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง บ้านเมืองที่ถูกสร้างอย่างปราณีต เติมเต็มด้วยสีสันของต้นไม้ ถูกสาดส่องด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ เป็นฉากบังหน้าที่บดบังอีกมุมหนึ่งของเมืองไว้ในความมืด เด็กกำพร้า คนแก่เฒ่า ถูกทิ้งให้อ้างว้าง อัครเรช คุ้นเคยกับภาพเหล่านี้ดี เขาสัญญากับตัวเองว่า ถ้าเขาเข้มแข็งกว่านี้เมื่อไหร่ เขาจะไม่ให้มีภาพเหล่านี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

        อัครเรช เดินผ่านฝูงชนนั่งพักในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยใช้ทรัพย์สินของเขาเลย เขาอยู่กินกับธรรมชาติตลอดมา เขานั่งลงและสั่งซาลาเปากับน้ำชามา เขาคิดว่าจะถามหาข่าวคราวของผู้ที่มีรอยแผลเป็นกลางหลัง ซึ่งเป็นหลักฐานที่จะบ่งชี้ถึงตัวฆาตกรที่ฆ่าล้างตระกูลของเขา รอยแผลนั้นพ่อของเขาเป็นคนฝากไว้ที่ตัวของโจรชั่วผู้นั้น นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่อัครเรชมองเห็นผ่านประตูห้องเก็บของก่อนที่เขาจะสลบไป

        เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาจากประตูห้องชั้นสอง บานประตูหลุดลอยออกมาพร้อมกับร่างของผู้ชาย2คน ตกลงมาบนโต๊ะของอัครเรช พอดี เบื้องหลังบานประตูเป็นร่างของชายผู้หนึ่งร่างกายไม่สูงเท่าไรนักประมาณไหล่ของเขา อัครเรช ประเมินจากสิ่งที่เห็น กระดาษแผ่นหนึ่งถูกซัดจากมือของชายที่อยู่เบื้องหลังประตูมาที่ตัวของเขา อัครเรช รับไว้และคลี่มันออก

    “วันที่16เดือนเดียวกันนี้ ร้านเดิม”  อัครเรช ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้จึงเงยหน้าขึ้นมอง

    ชายคนนั้นส่งสายตาเป็นเชิงสงสัย

    “ขอโทษที่รบกวนการกินของเจ้าแล้วข้าจะชดใช้ให้” ชายผู้นั้นพูด แล้วก็กระโดดออกไปทางกระจกด้านหลัง เสียงจอแจที่พูดถึงเหตุการณ์นี้ยังดังอยู่ในร้าน อัครเรช ไม่ชอบที่ๆมีเสียงดัง จึงจ่ายเงินให้กับเด็กยกอาหารแล้วรีบเดินออกไป คืนนั้นเขาพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไรนักกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาก็คือกระดาษแผ่นนั้น เขาดึงมันออกมาจากด้านในเสื้อ เขานั่งดูมันแล้วก็เผลอหลับไป

        วันรุ่งขึ้น เขาลุกขึ้นจากเตียง นั่งอยู่สักพักจึงรู้ตัวว่ากระดาษแผ่นนั้นหายไปแล้ว เขาหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอมัน สายตาของเขาเหลือบไปเห็นมันอยู่บนของหน้าต่าง เขารีบหยิบมันขึ้นมาดู

    แต่ข้อความข้างในได้เปลี่ยนไปแล้ว !!!

    “มาที่ร้านน้ำชาที่เดิม คืนนี้” ลายมือยังคงถูกเขียนด้วยคนเดิม

    อัครเรช ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง การที่กระดาษหายไปและถูกเปลี่ยน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อคืนมีคนเข้ามาเปลี่ยนมันไป และคงไม่ใช่ใคร

    “ต้องเป็นชายคนนั้นแน่นอน” อัครเรช คิด

        คืนนั้นอัครเรช ไปตามนัด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนไหนที่เชิญเขามา เขากวาดสายตามองหาคนที่สูงพอๆกับชายที่เขาเห็นวันนั้น เพราะวันนั้นเขามองไม่ชัดว่าชายคนนั้นมีหน้าตาอย่างไรระหว่างที่เขามองหาคนอยู่นั้นแขนเสื้อของเขาถูกรั้งเอาไว้ เขาจึงหันมามอง ชายหนุ่มที่มีหน้าตาสวยงามราวกับสตรี ใส่พ้าคลุมหัวเอาไว้ ท่าทางอายุน้อยกว่าเขาอยู่2-3ปี เป็นคนที่รั้งแขนเสื้อของเขาเอาไว้

    “ไม่ต้องมองหาที่ไหนหรอกข้าเอง ข้าชื่อ สาริน” สารินพูด

    อัครเรชนั่งลงตรงข้ามกับสารินพร้อมกับมองด้วยสายตาสำรวจ

    “เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นได้ไหม ข้ากดดันน่ะ” สารินพูด

    อัครเรช กล่าวขอโทษพร้อมกับถามสาเหตุที่เขาทำร้ายคนที่อยู่บนห้องชั้น2 เมื่อวาน

    สาริน บอกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นใช่ว่าไม่มีเหตุผล เหตุที่เขาทำร้ายพวกนั้นก็เพราะว่าพวกเขาขู่จะฆ่าพ่อค้าคนหนึ่งที่ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้

        ผู้ชายที่ สาริน จัดการไป เป็นอันธพาลที่คุมย่านการค้าแถวนี้คอยเรียกเก็บค่าคุ้มครองต่างจากพ่อค้าแม่ค้าต่างๆ ทำแต่เรื่องเลวร้ายโฉดช้าสามาน อย่าง ข่มขืนหรือขู่กรรโชกทรัพย์ และคนที่คอยคุมพวกมันเป็นขุนนางชั้นสูง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับตัวขุนนางได้

        อัครเรช ยอมรับข้อตกลงที่จะช่วยเหลือเขาหาหลักฐานที่จะมัดตัวขุนนาง เพราะเขาคิดว่าอาจจะเป็นการสืบสานไปหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขาได้  คืนนั้นทั้งสองคนอยู่ในชุดดำลอบเข้าไปในจวนขุนนางที่ สาริน พูดถึง ด้วยความที่ อัครเรช ไม่มีวิชาตัวเบาอย่าง สาริน จึงต้องอาศัยสาริน

    กระโดดข้ามกำแพงด้านหลังเข้าไป ทั้งสองคนแยกย้ายกันไป โดยที่ อัครเรช จะไปยังห้องสมุด ส่วนสาริน จะไปยังห้องเก็บของ โดยตกลงกันว่าอีกหนึ่งชั่วยาม(1ชั่วยามเท่ากับ3ชั่วโมง)ให้หลังจะไปเจอกันที่โรงน้ำชา

        อัครเรช  ปีนเข้าห้องสมุดทางหลังคาหย่อนตัวลงไปด้วยเชือกที่พกติดตัวมา เขาพยายามค้นหาหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของขุนนางเพื่อที่จะหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการทำชั่วของขุนนาง

    เมื่อหาไปได้สักพักเขาพบว่ามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เขาไม่สามารถนำมันออกมาจากที่ๆมันวางอยู่ได้เขาจึงพยายามหมุนซ้ายขวาไปมา “กริ๊ก!!!” เสียงดังขึ้นพร้อมกับทางลับที่ถูกเปิดออก เมื่อชั้นวางหนังสือถูกเคลื่อนออกไป เขามองดูลาดเลาให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินเสียงกลไก แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปในห้องลับอย่างระมัดระวัง เมื่อผ่านทางเดินเล็กๆมา เพดานห้องก็เริ่มสูงขึ้น ปรากฏเป็นห้องเก็บของห้องหนึ่งมีหีบอยู่หลายหีบถูกเก็บอยู่ที่นั่น เขาพยายามเปิดดู ภายในเป็นอาวุธและหนังสือต่างๆที่ถูกเก็บไว้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สะดุดสายตาของเขาเข้า ในหีบใบที่4ที่เขาเปิดออกมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งวางอยู่ล่างสุดมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครเปิดอ่านมันเป็นเวลานาน เขานำมันมาปัดฝุ่นออก หนังสือถูกเย็บเป็นอย่างดี หน้าปกเขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า “หัตถ์ภูผา” เขาเปิดอ่านมันทีละหน้าๆ ถึงเขาจะไม่เข้าใจคำบางคำ แต่จากรูปคนที่ถูกวาดขึ้น เต็มไปด้วยจุดชีพจรต่างๆ ทำให้เขามั่นใจว่ามันคือคัมภีรยุทธ เขาอ่านมันทีละหน้าๆ โดยลืมไปว่าเขามีเวลาเพียงสามชั่วยาม

    เมื่อเขารู้ตัวแล้วจึงรีบเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อและรีบออกมาจากห้องลับ เมื่อเขาปิดกลไกแล้ว ไฟทั้งหมดก็ถูกจุดขึ้น!!! มันสายไปเสียแล้ว ขุนนางพร้อมกับทหารอารักขา และ สาริน ที่ถูกจับตัว

    ยืนประจันหน้ากับเขา

    “ส่งของที่เจ้าเอาไปคืนมาเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีการหลั่งเลือดกัน” ขุนนางพูดพร้อมกับสายตาเย้ยหยัน อัครเรช รีบปฏิเสธแต่คงยากนักที่จะมีคนเชื่อ เพราะทุกคนเพิ่งจะเห็นเขาออกมาจากห้องลับ

    อัครเรช ไม่มีทางเลือก เขาประเมินสถานการณ์ดู เขาเสียเปรียบตรงที่อีกฝ่ายมีคนมากกว่า แต่เขาคิดว่าถ้าให้สารินช่วยคงไม่ยากนักที่จะฝ่าออกไป เขามีเวลาไม่มากนักก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้  เขารีบตรงประเคนหมัดใส่ทหารที่จับสารินอยู่ พร้อมตะโกนบอกให้รีบหนี ทั้งสองคนรีบวิ่งไปทางประตูหลัง และหายตัวไปกับความมืด การค้นหาตัวพวกเขาสองคนยังมีอยู่จนถึงเช้า

    “นี่ข้ากลายเป็นคนที่ถูกทางการตามจับไปแล้วหรือนี่”อัครเรช บ่นพึมพำ

    สาริน รีบกล่าวขอโทษขอโพย พร้อมกับยอมรับผิด แต่ความจริงอัครเรช ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก

    เขาจึงหยิบคัมภีร์ยุทธที่เขาได้มาจากห้องลับให้สารินดู เมื่อสาริน อ่านจบแล้วปิดหนังสือลงก็บอกกับอัครเรช ว่ามันคือคัมภีร์ยุทธอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ามีสาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปไม่ฝึกมันเพราะคนที่จะฝึกมันได้ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยฝึกยุทธมาก่อน ทั้งสองคนมองหน้ากัน................!!!!

    อัครเรชขอให้สารินช่วยสอนวิธีโคจรพลังและเรื่องเกี่ยวกับจุดชีพจรให้ เพื่อที่ตัวเขาจะสามารถฝึกวรยุทธจากในคัมภีร์นั่นได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×