คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : การเผชิญหน้า
ระยะทางจากโรงเรียนถึงบริษัทแม้ไม่ไกลมาก แต่ทว่าเพราะการจราจรที่ติดขัดจึงทำให้กว่าทั่งคู่จะถึงจุดหมายปลายทางก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงพิมพ์ลักษณ์ไม่รอให้เพื่อนเอ่ยปากคำใดออกมา หล่อนก็รีบฉุดแขนปณิธีให้เข้าบริษัท และรีบตรงไปขึ้นลิฟท์ โดยไม่สนใจบรรดาสายตาที่จับจ้องมาอย่างอยากรู้อยากเห็นของพนักงานในบริษัท เมื่อออกจากลิฟท์พิมพ์ลักษณ์ก็ตรงไปที่ห้องทำงานที่มีป้ายติดไว้ “กรรมการผู้จัดการ”
“พี่ก้องอยู่ใช่มั้ยคะคุณเก๋”
“ค่ะ” เลขาสาวหน้าห้องก้องภพตอบรับและยืนมือมาหยิบโทรศัพท์พร้อมพูดอะไรสักอย่างอยู่ครู่ก่อนที่จะหันกลับมาพูด “เชิญทางนี้ค่ะคุณพิมพ์เผอิญคุณก้องติดลูกค้าอยู่ให้รอสักครู่ค่ะ”
ทั้งสองถูกเชิญให้นั่งในห้องรับรองห้องหนึ่งพร้อมทั้งบริการน้ำส้มอีกคนละแก้ว ปณิธีซึ่งไม่เคยถูกใครปฏิบัติด้วยเช่นนี้เลยมาก่อนจึงวางหน้าไม่ถูก ชั่วไม่นาน จึงปรากฎร่างสูงแข็งแรงของชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องด้วยทีท่าสบายๆ ทั้งพิมพ์ลักษณ์ และปณิธีลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน จะต่างกันก็ตรงที่พิมพ์ลักษณ์นั้นนอกจากจะลุกขึ้นยืนแล้ว ยังโผเข้าไปกอดแขนก้องภพอย่างดีใจ ส่วนปณิธีเองนั้นยกมือขึ้นไหว้คำนับอย่างสุภาพและเมื่อมองหน้าชายหนุ่มก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาใบหน้าของก้องภพอยู่ไม่น้อย แต่แล้วหญิงสาวก็ตัวแข็งไปเมื่อพบกับสายตาคมกริบนั้นที่จ้องมองมาอย่างตะลึงค้างเช่นกัน พิมพ์ลักษณ์ซึ่งไม่รู้ถึงความผิดปกติที่อยู่ในห้องนี้จึงพูดเสียงแจ้วๆว่า
“
พี่ก้อง นี่ไงคะเพื่อนของพิมพ์ ปณิธี ที่พิมพ์เล่าให้ฟัง”จากอาการตกตะลึงของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นอาการบางอย่างซึ่งหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ทว่ามันสามารถทำให้หญิงสาวร้อนวูบไปทั้งหน้าเลยทีเดียว
“
พิมพ์ออกไปคอยพี่ข้างนอกก่อน พี่อยากจะคุยกับเพื่อนพิมพ์ตามลำพังสักครู่ มีคำถามบางคำถามที่พี่ต้องการถามถ้าเราอยู่บางทีเพื่อนของพิมพ์เขาอาจจะตอบคำถามพี่ได้ไม่ดีเท่าไหร่” ก้องภพเอ่ยกับพิมพ์ลักษณ์อย่างอ่อนโยนนี่เป็นอีกครั้งที่ปณิธีต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“
ได้ค่ะ” พิมพ์ลักษณ์รับคำยิ้มแย้ม และหันมาพูดกับปณิธี “ฉันไปคอยข้างนอกนะ” ก่อนจะเดินออกไปบรรยากาศในห้องดูจะยิ่งอึมครึมลงเป็นเท่าตัวเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นตามหลังพิมพ์ลักษณ์ที่เดินออกไปไป ก้องภพเดินเข้ามาใกล้ปณิธีอย่างช้าๆหญิงมองอย่างไม่เข้าใจ สายตาที่ตอนแรกหล่อนดูไม่ออกนั้น ยิ่งจะเพิ่มความลึกลับมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขาเอ่ยขึ้น
“เปลี่ยนชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่”
คำถามแรกนั้นทำให้หล่อนชะงักไป และนิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการอะไร ก้องภพจึงหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อหญิงสาวไม่ยอมเอ่ยปากตอบ
“ทำไมล่ะ หนึ่ง? จำผมไม่ได้แล้วหรือไง” เขากระชากเสียงใส่ ก้าวยาวๆไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวหญิงสาว แล้วคว้าต้นแขนกลมกลึงของหญิงสาวไว้ กระชากเข้ามาอย่างรุนแรงจนหญิงสาวถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
หล่อนเกือบจะพูดออกไปแล้วว่าเธอไม่ใช่คนที่เขาพูดกำลังเอ่ยถึงเพราะหนึ่งหรือปณิธินั้นได้ตายจากไปแล้ว และที่อยู่ตรงหน้าเขาคือปณิธีซึ่งเป็นแฝดผู้น้อง หากแต่ประโยคต่อมาทำให้หญิงสาวต้องชะงักคำพูดของตนเอาไว้
“คุณจำไม่ได้แล้วหรือว่าคุณทำอะไรกับผมไว้บ้างหลอกปั่นหัวผมเล่นให้ผมคลั่ง เสร็จแล้วก็ทิ้งไปเหมือนผมเป็นไอ้งั่งตัวหนึ่ง!” เขากัดกรามแน่น ระงับอารมณ์อย่างยากเย็น
ประโยคนี้ทำให้ปณิธีนึกไปถึงอัลบั้มรูปที่แฝดผู้พี่เคยให้ดูได้ ในนั้นอัดแน่นไปด้วยรูปภาพของบรรดาเพื่อนๆของเธอเต็มไปหมด และแน่นอนรวมถึง ‘เขา’ ด้วย หล่อนยังจำได้ยามที่ปณิธิเอ่ยถึงชายผู้นี้สีหน้าและน้ำเสียงของพี่สาวเธอจะอ่อนหวานหน้าฟังผิดกับยามปกติที่มักจะห้าวๆแข็งๆ หรือบางครั้งก็มีทีท่ากระฟัดกระเฟียดเมื่อยามหล่อนกลับมาถึงบ้านเพราะทะเลาะกับบ้างเล็กน้อย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ปณิธียังจำได้ดีเธอได้รู้ว่าพี่สาวป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดระยะสุดท้าย ในวันนั้นนั่นเอง ที่พี่สาวมาหาหล่อนในสภาพนกปีกหัก ปณิธิบอกเลิกกับคนรัก จากนั้นไม่นาน พี่สาวหล่อนก็เสียชีวิต สร้างความเสียใจให้กับผู้เป็นแม่และหล่อนมาก และหลังจากนั้นไม่นานแม่ของหล่อนก็ตามพี่สาวไปอีกคน เหลือเพียงพ่อและหล่อนเท่านั้นที่ต้องเผชิญชีวิตกันต่อไป
ถึงตอนนี้หล่อนเพิ่งรู้ชัดว่าคนรักของปณิธิที่แท้ก็คือพี่ชายของพิมพ์ลักษณ์นั่นเอง แขนที่บีบแน่นราวคีมเหล็กนั้นคลายลง เขาเปลี่ยนเป็นยืนหันหลังให้ ทวนคำถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“คุณเปลี่ยนชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่” ดูเหมือนประโยคนั้นจะเรียกสติของปณิธีให้กลับมาอีกครั้ง
“ฉัน ฉัน เปลี่ยนตอนขึ้นปีสอง” น้ำเสียงหญิงสาวดูจะสั่นๆ การโกหกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหล่อนเลย
“เหอะ! จะบอกว่าเปลี่ยนตอนที่มีแฟนใหม่ก็บอกผมมาเถอะ” เขาอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม
“ใช่” หล่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างฉุนๆ อยากตอกย้ำเรื่องเก่าดีนัก หล่อนก็จะให้สมใจเขา
ทว่าผิดคาด ชายหนุ่มในตอนนี้ดูจะเยือกเย็นมากกว่าในนาทีแรกที่พบหน้าหล่อนมาก นอกจากจะไม่สนใจแล้ว เขายังหัวเราะออกมา
“ท่าทางคุณเปลี่ยนไปเยอะนี่ ไม่แข็งๆเหมือนตอนนั้น”
“ฉันก็เป็นอย่างนี้” หล่อนเถียง
“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องดีกว่า” น้ำเสียงก้องภพเป็นการเป็นงานขึ้น เขาหันมาเผชิญหน้ากับหล่อนโดยตรง “พ่อคุณขายคุณให้กับเสี่ยนั่นเท่าไหร่”
คำถามที่พุ่งถูกจุดนั้น ส่งผลให้หญิงสาวมึนงงไปพักใหญ่ หล่อนเหมือนถูกตบหน้าด้วยของแข็งจนหน้าชาเลยทีเดียว หากหล่อนจะไม่หูฝาดไป หล่อนสัมผัสได้ถึงการเยาะหยันยามที่เขาเอ่ยคำว่า “ขาย”
“ฉันจะกลับ” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมกับคิดในใจว่าหล่อนไม่ต้องการที่จะรับความช่วยเหลือจากจากผู้ชายตรงหน้านี้เด็ดขาด และหล่อนก็ไม่ลังเลที่จะก้าวออกจากห้อง มือฉวยหยิบกระเป๋าได้ก็รีบตรงดิ่งไปหาประตู แต่นั่นก็ช้ากว่าชายหนุ่มที่รั้งเอวหล่อนเข้าหา กลายเป็นว่าขณะนี้หล่อนจึงตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยดุษณี
“จะกลับทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยน่ะหรือ” เขากระซิบแผ่วที่ข้างหูหล่อน หญิงสาวหน้าร้อนวาบ ชายหนุ่มแนบริมฝีปากลงบนต้นคอระหงของหล่อนอย่างถือวิสาสะ หล่อนกรีดร้องทันทีพลางดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย หากก็ไม่อาจต้านทานแรงของชายหนุ่มได้
“ปล่อยฉันนะ! คุณไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้กับฉัน!”
นอกจากเขาจะไม่หยุดแล้ว ยังเลื่อนริมฝีปากไปสัมผัสกับใบหน้านุ่มเนียนของหล่อนอีกด้วย ชายหนุ่มจัดการหันร่างบางมาเผชิญหน้า เชยคางหล่อนก่อนก้มลงจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มนั้นรวดเร็วปานพายุ ปณิธีตัวเกร็งไปหมด หากหล่อนสามารถละลายไปได้ หล่อนคงหลอมละลายอยู่ในอ้อมกอดที่รัดรึงรุนแรงนี้ไปแล้ว
“เอาล่ะ ทีนี้จะบอกผมได้หรือยัง” เขาถามขึ้นอีกครั้งเมื่อถอนริมฝีปากออก รอยยิ้มบางจุดขึ้นเล็กๆที่มุมปาก “พ่อคุณขายคุณไปเท่าไหร่ และถ้าคุณยังดื้อไม่บอกผม ทีนี้ผมจะไม่หยุดแค่ริมฝีปากคุณแล้วนะ”
แม้จะหวาดกลัวเพียงไรก็ตาม แต่หล่อนก็ไม่ยอมพูด หญิงสาวไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆจากผู้ชายตรงหน้านี้เธอต้องการให้เรื่องของชายผู้นี้จบไปพร้อมกับพี่สาวเธอ ดังนั้น หล่อนก็ต้องกรีดร้องอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มจัดการถอดกระดุมเสื้อสองสามเม็ดแรกเผยให้เห็นเนินทรวงอกรำไรที่ถูกปิดไว้ด้วยบราเซียตัวจิ๋วคราวนี้ เขาไล่ริมฝีปากระเรื่อยลงมา จากริมฝีปาก ลำคอขาวผ่อง และทำท่าจะล่วงเกินมากกว่านั้น หญิงสาวรีบละล่ำละลักบอกแทบไม่เป็นภาษา
“ห.. หนึ่งล้าน หนึ่งล้าน ได้ยินไหม!!” หล่อนพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาพร้อมกับก้อนสะอื้นที่กลั้นไม่อยู่
เขาหยุดทันทีเหมือนกัน และปล่อยตัวหล่อนอย่างไม่ใส่ใจ ปณิธีรีบถอบกรูดไปติดกำแพงด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มชายตามองหญิงสาวที่จัดการเสื้อผ้าให้เข้าที่ด้วยอาการสั่นเทานั้นอย่างเฉยเมย
“ค่าตัวไม่เลวเลยนี่” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะเยาะอยู่ในที น้ำตาที่กำลังจะเหือดหายจึงล้นทะลักออกมาอีกรอบ เห็นดังนั้นแล้ว วูบหนึ่ง ชายหนุ่มก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ แต่เพราะความแค้นที่คุกรุ่นอยู่ภายในทำให้เขาไม่สามารถเอ่ยคำขอโทษหรืออะไรที่ดูสุภาพกว่านี้ได้นอกจาก
“ไม่ต้องร้องไปหรอกน่า แค่นี้มันไม่สึกหรอเท่าไหร่หรอก” เสียงเขาดังพอควรทีเดียว
“ก็คุณเป็นผู้ชาย” หล่อนก็เสียงดังพอกัน จากความอับอายได้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวชักไม่มั่นใจว่าคนป่าเถื่อน ไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษเช่นนี้น่ะหรือ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของปณิธิ
“แล้วไง” เขายักไหล่ “ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณแล้ว แต่ว่าตอนนี้ผมมีข้อเสนอสำหรับคุณ”
“
..”เมื่อหญิงสาวเงียบ เขาจึงพูดต่อเสียงเรียบ
“ผมจะช่วยไถ่คุณคืนมาจากไอ้เสี่ยนั่นหนึ่งล้าน แถมด้วยเงินเดือนละห้าหมื่น แค่นี้พอไหม”
“หมายความว่าไง” สีหน้าหญิงสาวเอาเรื่องทีเดียวแม้ว่าจะเปื้อนคราบน้ำตาเป็นทางก็ตาม
“ก็หมายความง่ายๆว่า ผมยินดีช่วยเหลือคุณ เพียงแต่คุณต้องแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับผม ทีนี้เข้าใจแจ่มแจ้งหรือยัง”
“ไม่มีทาง!” ปณิธีสวนกับโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ความเจ็บใจทำให้หล่อนเกิดทิฐิ
“คุณก็ลองเอาไปคิดดูแล้วกัน ว่าระหว่างภรรยานักธุรกิจชื่อดังกับเมียเก็บเสี่ยกระจอกๆ คุณอยากจะเป็นอย่างไหน ตัวผมเองก็คงไม่มีสิทธิ์เลือกให้คุณ จริงไหม?” เขายิ้มที่มุมปากเป็นเชิงท้าทาย นัยน์ตาคมกริบนั้นแฝงประกายเจิดจ้า บ่งบอกถึงความต้องการเอาชนะชัดแจ้ง
ปณิธีตัวสั่นขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่ หล่อนไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่มีลักษณะนี้มาก่อน และยิ่งไม่เคยเจอผู้ชายคนใดที่กล้าดีขนาดนี้อีกด้วย เพราะเหตุนี้ หญิงสาวจึงสะบัดหน้า ก้าวออกไปจากห้องทันทีโดยมีเพียงสายตาชายหนุ่มเท่านั้นที่ติดตามไปจนกระทั่งประตูปิดลง
ความคิดเห็น