คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ทิทเธอร์เนีย
ทิทเธอร์เนีย
“ไปเร็วซีเบลล์” โปเซียบอกกับซีเบลล์ที่กำลังยัดขนมปังเข้าปาก
“อู้แอ้วน่า เอ้าอิ่งไออ่อนเอย” (รู้แล้วน่า เจ้าวิ่งไปก่อนเลย)
ซีเบลล์รีบเคี้ยวขนมปังและยกแก้วนมสดกระดกดื่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่สองใบที่วางขวางทางตรงบันไดเอาไว้ไปที่หน้าประตูบ้านซึ่งโปเซียยืนรออยู่นานแล้ว
“ไปเร็ว เราสายมากแล้ว” โปเซียบอกกับซีเบลล์ที่ทำหน้าเหมือนอยากจะอ๊วกเพราะยัดไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังกับนมที่ไม่แน่ใจว่าเธอได้เคี้ยวบ้างหรือเปล่าอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที
“ไปนะโอลดิส” พวกหันมาโบกมือให้กับผู้เป็นตาที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ก่อนจะลากกระเป๋าใบใหญ่คนละสองใบออกจากบ้านและวิ่งไปตามทางในตลาดที่มีคนเดินพลุกผ่าน
เมื่อคืนโอลดิสวานให้ดอร์มินิกกับทีเนียสช่วยอุ้มสองพี่น้องที่นอนสลบอยู่ชั้นล่างไปบนห้องก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับบ้าน สภาพบ้านในตอนนั้นมีรอยไหม้และมีของฟังอยู่หลายอย่าง แต่โอลดิสก็ใช้เวทย์มนต์เก็บกวาดซ่อมแซมจนมันเป็นเหมือนเดิมและปกติที่สุด
โปเซียหลับยาวตั้งแต่เขายังไปกลับมา ส่วนซีเบลล์หลังจากที่สลบไปก็นอนหลับสนิทเช่นเดียวกัยโปเซีย ซึ่งหลังจากที่ตื่นมาแล้ว เหตุการณ์ตอนที่ซีเบลล์อาระวาด ควบคุมพลังธาตุของตัวเองไม่ได้เธอได้ลืม จำไม่ได้และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอลดิสเองก็ไม่คิดจะบอกให้เธอรู้เรื่องนี้เพียงแต่บอกให้เธอกับโปเซียตั้งใจเรียนวิชาเกี่ยวกับการควบคุมธาตุเป็นพิเศษ
จากการเหน็ดเหนื่อยจนหมดแรงของทั้งคู่เมื่อวานทำให้ทั้งซีเบลล์และโปเซียใช้เวลานอนนานกว่าปกติ โอลดิสเองก็ใช้พลังเวทย์ในการเก็บกวาดและซ่อมแซมของไปมากจนเหนื่อย เลยตื่นสายไม่ทันปลุกสองพี่น้อง ข้าวของที่ต้องเตรียมไปอยู่หอที่โรงเรียนก็ยังไม่ได้จัด เช้ามาในบ้านของโอลดิสจึงมีเสียงสว่างวิบวับลอยเต็มไปหมด จากการใช้เวทย์มนต์เรียกของมาจัดเข้าที่ในกระเป๋าของสองพี่น้อง
ผู้คนในตลาดที่จับจ่ายซื้อของบ้างหลบทาง บ้างก็บ่นไม่พอใจ บ้างก็งงกับซีเบลล์และโปเซียที่วิ่งไม่สนใครมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนอย่างรีบร้อน เพราะตอนนี้พวกเธอสายมาเกือบคึ่งชั่วโมงแล้ว ตามกำหนดการ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก พวกเธอจะต้องมาเข้าร่วมปฐมนิเทศน์เวลา 8.00 น.
แต่ดูเหมือนว่าสองสาวจะมาเลทเกินไป ประตูรั้วสีเงินขนาดใหญ่ได้ปิดล็อคสนิททำให้พวกเธอไม่สามารถเข้าไปได้ ท้องฟ้าบริเวณโรงเรียนครึ้มไปหมดแตกต่างจากในเมืองที่สว่างสดใส บ่งบอกถึงอาณาเขตที่มีพลังเวทย์ขั้นสูงกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
“ทำไงดี รั้วปิดแล้ว” โปเซียถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ซีเบลล์วางกระเป๋าใบใหญ่สองใบลงและใช้ความคิดอย่างใจร้อน ก่อนจะหันไปถามน้องสาว
“โอลดิสได้ให้ไม้กายสิทธิ์มารึเปล่า!?”
“ไม่นะ ไม้กายสิทธิ์มีแต่ของโอลดิส เขาไม่มีทางให้พวกเราหรอก”
“จิ๊! ข้ากะว่าจะใช้คาถาสะเดาะกลอนเปิดมันซะหน่อย” ซีเบลล์บ่นพึมพำ
เวลาที่โอลดิสไม่อยู่บ้านแล้วลืมให้กุญแจเธอก็มักจะใช้คาถาสะเดาะกลอนตามที่โอลดิสสอนไว้เผื่อวันไหนเขากลับบ้านดึก แต่เวทย์มนต์ของซีเบลล์กับโปเซียยังไม่แข็งนัก พวกเธอยังเรียกใช้พลังไม่เก่งเท่าไหร่ จึงจำเป็นต้องมีไม้กายสิทธิ์มาเสริม ซึ่งก็มีแค่ของโอลดิสคนเดียวในบ้าน เพราะพวกเธอไม่ได้จำเป็นต้องใช้มันมากนัก
เธอยังคงใช้ความคิดต่อไปเรื่อยๆ เดินวนไปมาหน้ารั้วโรงเรียน โปเซียเองยืนมองพี่สาวด้วยความกังวล พวกเธอไม่อยากประเดิมวันแรกของการเรียนด้วยการมาสายเลยจริงๆ
“ตะโกนให้คนมาเปิดเลยสิ” ซีเบลล์ว่า
“ไม่มีใครมาเปิดให้หรอก เค้าเข้าหอประชุมกันหมดแล้วล่ะ” โปเซียค้าน
“งั้นเหลือทางเดียวแล้วล่ะ....”
“อะไร” เธอมองซีเบลล์อย่างข้องใจ
ซีเบลล์ไม่พูดอะไรแต่มองไปที่รั้วสีงานบานใหญ่อย่างมีเลศนัย
“ปีน!! -_-+”
“ไม่นะซีเบลล์ เราอยู่ในชุดยูนิฟอร์ม ปีนไม่ได้นะ >_<” โปเซียจินตนาการภาพที่ตัวเองปีนกำแพงในชุดยูนิฟอร์มกระโปรงสั้นอย่างน่าหวาดเสียว
“แล้วจะให้ข้าทำไงเล่า” ซีเบลล์คิด
แอด~
ขณะที่ซีเบลล์กำลังสนทนากับน้องสาวประตูรั้วสีเงินบานใหญ่ก็เปิดออกเอง โดยที่ไม่มีใครเป็นคนบงการ นี่คงจะเป็นเวทย์มนต์ของใครบางคนที่ช่วยเปิดประตูรั้วให้สองพี่น้องเป็นแน่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธออยากรู้อะไรเท่าไหร่ มันไม่ใช่เวลาที่เธอจะสงสัย อยากไขปริศนา พวกเธอควรที่จะฉวยโอกาสไว้ก่อน ทั้งสองมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีปฐมนิเทศ
ซีเบลล์และโปเซียไม่รอช้ารีบลากกระเป๋าเดินเข้าไปในทิทเธอร์เนีย ประตูรั้วค่อยๆปิดลงเมื่อทั้งสองเดินผ่านพ้นไป สองพี่น้องเดินลากกระเป๋าตรงไปยังหอประชุมซึ่งอยู่ในหอคริสตัลอย่างรีบร้อน
ทางเดินในอาคารหอประชุมเป็นกระจกใส มองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ เห็นตึกอาคารเรียนต่างๆที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่รอบๆ มีดอกไม้สีต่างๆประดับอยู่ริมทางเดิน ส่งกลิ่นหอมมาเตะจมูกของคนเดินผ่านไปมา สุดทางของหอคริสตัลคือประตูไม้บานใหญ่ตกแต่งด้วยลายสลักรูปดวงดาวต่างๆและจักรวาล
โปเซียเอื้อมมือไปเปิดประตูช้าๆและเบาที่สุด เพื่อให้ไม่มีเสียงเปิดประตูดังจนเป็นที่สนใจว่าใครเป็นคนเปิดมัน เธอแย้มประตูนิดๆโผล่หน้าเข้าไปมองในห้องประชุมก็เห็นนักเรียนนั่งเก้าอี้เรียงตามแถวที่จัดไว้ให้ฟังอาจารย์ในชุดจอมเวทย์พูดอยู่บนเวทีด้านหน้า
‘เฮ้อ~ทางสะดวก’ โปเซียคิด
โปเซียหันไปพยักหน้าให้ซีเบลล์และค่อยๆเปิดประตูกว้างขึ้น เดินย่องลากกระเป๋าใบใหญ่ตามเข้าไป แล้วค่อยๆปิดมันให้เบาที่สุด
“อรุณสวัสดิ์คุณบลาซทั้งสอง”
‘เฮือก!! 0-0’
ซีเบลล์และโปเซียสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนกล่าวทักทายเรียกชื่อสกุลของเธอทั้งสองเสียงแข็ง เธอค่อยๆหันไปมองพร้อมๆกันก็พบกับ ‘บีวิลลี’ อาจารย์สอนพฤษศาสตร์และเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธออีกด้วย
อาจราย์บีวิลลีเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าสอนวิชาพฤษศาสตร์ได้น่าเบื่อมาก แถมชอบบ่นจู้จี้จุกจิกนักเรียนเป็นประจำ จนนักเรียนนบางคนแทบจะคลั่งตายเพราะรำคาญหล่อน พวกเธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกับบีวิลลีในเวลากระชั้นชิดแบบนี้เลย
“อ...เอ่อ...อรุณสวัสดิ์บีวิลลี^^” แฝดทั้งสองพูดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายพลางยิ้มแหยๆให้คนตรงหน้าที่ทำหน้านิ่งไม่พอใจจนพวกเธอเกิดอาการอึดอัด
“ทำไมถึงมาสายกัน” บีวิลลีถาม
“อ๋อ ก็แค่ตื่นสายนิดหน่อยน่ะ ^^” ซีเบลล์ตอบ
“มันไม่ใช่คุณสมบัติที่นักเรียนในรั้วทิทเธอร์เนียจะมีเลยสักนิด แค่เปิดเรียนวันแรกพวกเธอก็มาสายแล้ว ต่อไปพวกเธอจะอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วคุณเข้ามาได้ยังไงกัน ประตูโรงเรียนะปิดเมื่อการประชุมเริ่มขึ้นตามในในใบสมัครที่แจ้งเอาไว้ ในเมื่อคุณสมบัติข้อแรกที่ว่าต้องตรงตต่อเวลาพวกเธอยังทำกันไม่ได้!!”
บีวิลลีใส่มาเป็นชุดจนซีเบลล์กับโปเซียหน้าเหวอไปเลย เสียงของบีวิลลีที่เป็นเอกลักษณ์ดังจนนักเรียนและอาจารย์ในหอประชุมหันมามองทางพวกเธอเป็นจุดเดียว บีวิลลีจ้องหน้าแฝดท้องสองเขม็ง อย่างไม่ละสายตา
เสียงอาจารย์ที่ขึ้นไปกล่าวพูดคุยกับนักเรียนเงียบลง แต่มีเสียงนักเรียนเข้ามาแทนที่ ซุบซิ๊บ นินทากันจนเสียงดังเกี่ยวกับเรื่องที่นักเรียนมาสายในวันแรกของการเรียนและโดนบีวิลลีแผงฤทธิ์ใส่
เสียงพวกนี้ดูเหมือนจะทำให้บีวิลลีรู้ตัวว่าทุกคนกำลังจับจ้องมาทางเธอและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเธอในแง่ร้าย เธอนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลบทางให้สองพี่น้องผ่านทางเข้าไปนั่งในที่ๆจัดเตรียมไว้ให้ แล้วเดินเชิดกลับไปนั่งที่ๆจัดไว้สำหรับอาจารย์ด้านบนระเบียงมุข ถ้ามองลงมาแล้วจะเห็นทุกคนในหอประชุมนี้ได้อย่างชัดเจน ก่อนการประชุมจะดำเนินต่อไป
สองพี่น้องเลือกที่นั่งท้ายสุดใกล้ๆกับเด็กนักเรียนหญิงท่าทางนิ่งๆ ใส่แว่นตากรอบสีดำหนาเตอะ ผมหน้าม้าปล่อยรกรุงรังจนมองไม่เห็นหน้า ผมที่ยาวประบ่าถูกถักเป็นเปียแกละสองข้างอย่างน่ารัก เธอเอาแต่ก้มหน้ามองกระดาษที่มีการแจ้งกำหนดต่างๆของโรงเรียนที่แจกให้ก่อนเริ่มการประชุมอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับใคร ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์ที่พูดอยู่บนเวที
ซีเบลล์และโปเซียวางกระเป๋าลงข้างๆเก้าอี้ตัวที่อยู่ริมสุดไว้ แล้วนั่งฟังอาจารย์พูดอย่างเงียบๆไม่ปริปากอะไร อย่างตั้งใจ ซึ่งโปเซียก็ไม่ลืมว่าการจดบันทึกคือสิ่งที่เธอควรทำ หากมีการแจ้งให้จำอะไรหลายๆอย่างมากมายเช่นนี้
โปเซียหยิบสมุดโน้ตเล่มเก่าสีน้ำตาลเล่มเล็กๆขึ้นมานั่งจดบันทึกกำหนดการที่อาจารย์ได้แจ้งไว้ ต่างจากซีเบลล์ที่จะนั่งกอดอกนิ่งไม่สนใจอะไรสักเท่าไหร่ เธอก็เหลือบไปเห็นบีวิลลีที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งอาจารย์ด้านข้างจับจ้องมาที่พวกเธออย่างไม่ละสายตา เธอทำเป็นเมินมองไม่เห็น ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจบีวิลลี ทำให้บีวิลลีที่มีอคติกับพวกเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นไม่พอใจกำมือแน่ด้วยความหมันไส้
ซีเบลล์นั่งหัวเราะในใจอย่างมีความสุขเมื่อเห็นบีวิลลีโมโหแต่ก็ทำอะไรตนไม่ได้ นั่งยิ้มเย้ยมองอาจารย์บนเวทีไม่สนใจคนที่กำลังเดือดดานตรงที่นั่งข้างๆด้านบน เธอไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว อาจารย์ก็อาจารย์เถอะ สะใจซะอย่างนี่นะ
หลังเสร็จการประชุม นักเรียนวิชาเวทย์แต่ละคนในหอประชุม ทั้งในเมืองและต่างเมือง ต่างก็พากันขนสัมภาระของตนออกจากตึกคริสตัลไปที่สนามหญ้าหน้าตึกเพื่อรอพบครูประจำชั้นและพาไปที่หอพัก
สนามหญ้ามีหญ้าสีเขียวชอุ่มนุ่มปูทั่วบริเวณสนามขนาดกว้าง ต้นหญ้าเล็กๆที่น่าสงสารถูกเหยียบย่ำและโดนสัมภาระต่างๆของนักเรียนวางทับไปทั่วจนต้นช้ำไปหมด ซีเบลล์และโปเซียเดินลากกระเป๋ามาอยู่กลางสนาม พลางมองดูคนแปลกหน้ารุ่นราวคราวเดียวกันรอบๆ
ซีเบลล์นั่งลงบนกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมใบใหญ่ของเธอแล้วมองลงพื้นหญ้าเงียบๆ พลางหยิบแอปเปิ้ลในกระเป๋าขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่คุยกับใครเพราะถือที่คติที่ว่า ‘จะไม่มีทางทักใครก่อนทั้งนั้น!!’
“นี่ๆทำไมคนนั้นหน้าเหมือนเธอจังเลย” เสียงใสๆเอ่ยถามขึ้นโปเซียที่อยู่ในวงล้อมของนักเรียนรุ่นเดียวกันที่อยากรู้จักกับสองพี่น้องฝาแฝด จนมันเหมือนเป็นไทยมุงน้อยๆขึ้นมา
“ก็เราเป็นฝาแฝดกันนี่นา ^^” โปเซียตอบพลางยิ้มหวานอย่างเป็นมิตร
“แล้วฝาแฝดต้องหน้าเหมือนกันด้วยหรอ??”
“อื้ม! เป็นฝาแฝดก็ต้องหน้าเหมือนกันสิ ก็เราอยู่ในท้องแม่ด้วยกันนี่นา^^”
ในโลกเวทย์มนต์ ถือว่าการมีเด็กฝาแฝดเป็นเรื่องที่น่าแปลกและหาได้ยากมาก บางตำราก็กล่าวถึงฝาแฝดในทางต่างๆให้ได้น่าสนใจ แต่ทว่าบางเมืองเองก็ไม่มีเด็กฝาแฝดเกิดมาเลย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่ในโลกเวทย์มนต์จะไม่ค่อยเห็นฝาแฝดและรู้จักมากนัก [เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆคือ พวกเธอแปลก!]
“แล้วเธอชื่อไรอ่ะ มาจากไหน”
“โปเซียจ้า มาจากหมู่บ้านทางตะวันออกจ่ะ”
“งั้นพี่ของเธอก็ต้องชื่อโปเซียหมือนกันสินะ ใช่มั้ยๆ”
“ซีเบลล์จ้า”
“อ้าว! เป็นฝาแฝดทำไมชื่อไม่เหมือนกันล่ะ??”
คำถามจากเพื่อนๆยังคงยิงกระหน่ำมาถามโปเซียไม่หยุด แต่เธอก็ตอบทุกคำถามอย่างสนุกสนาน ถือเป็นก้าวแรกของการทำความรู้จักและผูกมิตรกับเพื่อนใหม่เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ด้านหนึ่งของสนามหญ้าโต๊ะม้านั่งเหมาะกับการจิบชายามเช้าเป็นที่สุด แต่นี่สายจนเกือบเที่ยงแล้วมันจึงกลายเป็นโต๊ะสำหรับวางของสัมภาระของนักเรียนหญิงจากตระกูลสูงของกรีฟาเนียร์ที่ไม่ต้องการเข้ากลุ่มกับใครนั่งกอดอกรออาจารย์อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เสียงของคนคุยกันดังทั่วบริเวณ นักเรียนเริ่มจับกันเป็นกลุ่มๆทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนม ต่างคนต่างแนะนำ เล่าเรื่องของตนและเมืองของตนอย่างเป็นกันเอง แต่เวลานั้นช่างสั้นเหลือเกิน อาจารย์ประจำชั้นของแต่ละห้องมาแล้ว แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี...
“เฮ้ย! บีวิลลีมาแล้ว” เสียงนักเรียนชายคนหนึ่งตะโกนเมื่อเห็นบีวิลลีอาจารย์คนดังของโรงเรียนเดินมากับอาจารย์คนอื่นๆตรงมาที่สนามหญ้า
แปะๆ
“ทุกคน มาเข้าแถวให้เป็นระเบียบกันหน่อยสิ!” เสียงปรบมือเรียกความสนใจของนักเรียนจากบีวิลลีดังขึ้นพร้อมคำสั่ง
กลุ่มนักเรียนที่กระจายกันทั่วสนามหญ้าเมื่อสักครู่เดินเข้าแถวเต็มสนามหญ้าคละห้องกันมั่วไปหมด เพราะยังไม่อยากแยกจากเพื่อนใหม่ พร้อมกับสัมภาระของตัวเองวางไว้ข้างๆตัว แม้ว่าจะมีเสียงซุบซิบบ่นของนักเรียนบ้างก็ตาม นั
ซีเบลล์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายพลางกัดแอปเปิ้ลคำสุดท้ายก่อนจะโยนมันไปไกลแล้วลากกระเป๋ามาเข้าแถวเป็นคนสุดท้ายพอดี
“โปเซีย มาอยู่นี่ๆ” แขนของโปเซียถูกดึงเอาร่างของเธอเข้าไปแทรกในแถวโดยเพื่อนสาวที่เพิ่งทำความรู้จักกันได้ไม่นานมานี้
แถวนักเรียนเริ่มเป็นระเบียบในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เสียงคุยซุบซิบก็เงียบลง อาจารย์แต่ละคนยืนเรียงหน้ากระดานทักทายนักเรียนด้วยท่าทางเคร่งขรึมน่าอึดอัด
“เอาล่ะ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ทิทเธอร์เนียของเรา พวกเธอคงจะอยากเข้าเรียนกันแย่แล้วสินะ” บีวิลลีกล่าว
“อยากออกจากที่นี่มากกว่าล่ะถ้าเจอเธอ” กลุ่มนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงแถวกันหันมาพูดตลกๆเกี่ยวกับบีวิลลีกับเพื่อน หัวเราะกันคิกคักอย่างสนุกสนาน
แต่ทว่า เสียงหัวเราะเล็กๆนั้นก็ดังถึงหูผู้ที่ถูกเย้ยอย่างบีวิลลีโดยที่นักเรียนกลุ่มนั้นไม่ทันได้รู้ตัว ในมือของบีวิลลีหยิบไม้กายสิทธิ์อันเรียวขึ้นมาชี้ไปทางกลุ่มนักเรียนกลุ่มนั้นก่อนจะกล่าวคาถาสั้นๆเสียงดังออกมา
“สไปร์แอคโค!”
สิ่งมีชีวิตแปดขาสีดำที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนปรากฏอยู่บนบ่าของนักเรียนชายคนที่พูดถึงบีวิลลีเมื่อสักครู่ จนนักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆเห็นถึงกับกรี๊ดลั่นถอยห่างจากตรงนั้นทันที
“เฮ้ย! แมงมุม เหวอ~” นักเรียนชายคนนั้นเริ่มโวยวายอย่างตื่นตระหนัก มือก็ไล่บัด ไล่ตะครุบแมงมุมตัวใหญ่สีดำที่เดินไปมาบนผ้าคลุมของตนอย่างทุลักทุเล และเริ่มวิ่งหาเพื่อนให้ช่วยเอาออก แต่กลับได้ผลตรงกันข้าม เพื่อนของของต่างพอกันวิ่งหนีไปทางอื่นด้วยความขยะแขยง
“เฮ้ย! ออกไปๆ” เขาร้องลั่น ทำท่าประหลาดๆน่าตลก
พรึบ!!
แมงมุมสีดำตัวใหญ่ที่เดินผ้าคลุมเมื่อสักครู่สลายกลายเป็นเศษฝุ่นบนผ้าคลุม ทำมห้เจ้าตัวเกิดอาการงง ดึงผ้าคลุมมาสำรวจดูให้แน่ในว่ามันหายไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
“น่าเสียดายจังนะ ชีล็อบอยู่ได้แค่สองนาทีเอง” บีวิลลีพูด
“ขอโทษครับๆ” นักเรียนชายคนนั้นก้มหัวขอโทษบีวิลลีอย่างยกใหญ่ด้วยความกลัว
“เอาล่ะ พอละ นักเรียนทุกคนกลับมาเข้าแถวเหมือนเดิมได้” บีวิลลีกล่าว
นักเรียนที่ผวากับชีล็อบแมงมุมสีดำตัวใหญ่วิ่งไปคนละทางเริ่มเดินกลับมาเข้าแถวกันอย่างว่าง่าย โดยปราศจากเสียง เพราะคงไม่มีใครอยากจะเล่นกับสัตว์มีพิษตัวใหญ่น่ากลัวอย่างชีล็อบแน่
“เราจะจับคู่ให้กับนักเรียนทุกคนเพื่อเข้าพักหอของโรงเรียนเราโดยใช้วิธีจับฉลาก”
อาจารย์ผู้ชายใส่แว่นตากรอบสีดำกับอาจารย์ผู้หญิงหน้าหวานผมลอน หน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับเด็กนักเรียที่ยืนเข้าแถวในสนามถือกล่องไม้สีน้ำตาลสองกล่อง ตกแต่งด้วยแผ่นโลหะแกสลักเดินมายืนข้างๆบีวิลลี ไม่ต้องให้เธอได้พูดถึงรายละเอียดของกล่องไม้แต่อย่างใด นักเรียนทุกคนก็พอเดาได้ว่าในนั้นมีฉลากให้จับ
“คงไม่ต้องบอกนะว่าในกล่องมีอะไร จะเริ่มจับตั้งแต่แถวแรกเลยละกัน นักเรียนชายจับฉลากในกล่องของอาจารย์แลนคูส ส่วนนักเรียนหญิงจับในกล่องของอาจารย์แคสเชอร์ แล้วเดินมาหาครู เราจะได้ประกาศหาคู่ให้”
พูดจบนักเรียนหญิงนักเรียนชายคู่แรกก็เดินออกไปจับฉลากด้านหน้า ก่อนจะเดินกำกระดาษในมือไปหาบีวิลลี หล่อนเปิดกระดาษออกแล้วประกาศชื่อของนักเรียนที่อยู่ในแถวให้เดินแบกสำภาระออกมายืนจับคู่กับเพื่อนแยกคนแถวจากคนที่ยังไม่ได้จับฉลาก และตามไปด้วยคู่อื่นๆ
คู่แล้วคู่เล่าที่ออกไปกันเรื่อยๆจนมาถึงคนสุดท้ายของแถว นั่นก็คือซีเบลล์ เธอเดินออกไปด้านหน้ามองไปรอบๆหาคู่ที่เธอจะต้องขึ้นมาจับพร้อมกัน แต่ตรงกันหมด ตอนนี้ตรงหน้าเธอนั้น กลับว่างเปล่า ทุกคนยืนจับคู่ตามที่จับฉลากได้ นั่นหมายความว่า เธอเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ และ...คงต้องนอนคนเดียวตลอดปีการศึกษานี้
“ดูเหมือนเธอจะต้องอยู่คนเดียวนะ” บีวิลลีพูดขึ้น และถ้าสายตาของซีเบลล์ไม่เพี้ยนล่ะก็ เธอคิดว่าเธอเห็นแววตาที่ดูเหมือนการเย้ยเธอน้อยๆจากบีวิลลี
“ตราบใดที่ฉลากยังมีให้ข้าจับ ความคิดของท่านก็ไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก” ซีเบลล์กล่าวหน้านิ่งและลวงมือเข้าไปในกล่องไม้ขณะที่ใบหน้ายังจับจ้องที่อาจารย์ตรงหน้า
เธอล้วงมือลงไปสัมผัสกับพื้นกล้องไม้ที่แข็งและหยาบ เธอใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นักสำหรับการควานหาม้วนเศษกระดาษในกล่องไม้ที่มืดมิด และหยิบมันออกมาโชว์บีวิลลีให้เห็นอย่างเต็มตา
เธอคลี่กระดาษสีเหลืองที่ดูเก่าออกมา เผยให้เห็นหมึกปากกาสีดำเขียนชื่อใครบางคนเอาไว้ ขอบกระดาษเมีกริสเตอร์สีชมพูวิบวับตกแต่งไว้อย่างน่ารัก
“ลูเซีย ฟอแคลส” เธออ่านชื่อในกระดาษพลางมองหาเจ้าของชื่อ แต่เธอลืมไปว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครที่ไม่มีคู่เหลืออยู่แล้ว แล้วใครกันล่ะ...
“ลูเซีย ฟอแคลส” บีวิลลีที่ชะเง้อมามองในกระดาษใบน้อยของซีเบลล์เอ่ยเชื่อและมองไปรอบๆหานักเรียนตามชื่อ
ทุกคนในสนามส่งเสียงฮือฮากันไปทั่วเมื่อไม่เห็นนักเรียนคนที่ว่าในบริเวณเลย หรือเธอจะมาสายกันนะ ซีเบลล์คิดว่าเธอกับน้องสาวมาสายที่สุด ช้ากว่าคนอื่นแล้ว แต่ว่ายังจะมีคนมาสายกว่าเธออีกหรอ จะเป็นไปไดมั้ยว่าจะมีคนสละสิทธิ์ในการเข้าเรียนที่นี่
“สงสัยว่าเธอคงจะต้องอยู่คนเดียวแล้วล่ะ” บีวิลลีกล่าว
“ดะ..เดี๋ยวค่ะ!!”
ซีเบลล์ บีวิลลี และทุกคนในสนามหญ้ามองหน้ากันอย่างงๆเมื่อมีเสียงปริศนาดังมาจากที่ไหนสักแห่ง โดยที่ไม่ปรากฏเจ้าของ พวกเขาพยายามมองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่พบ นี่เป็นเสียงใครกัน ใช่สิ่งมีชีวิตรึเปล่า หรือจะเป็น...สิ่งที่ ‘เคย’มีชีวิต
ความคิดเห็น