คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER 5 UNSTABLE BASE
CHAPTER 5 UNSTABLE BASE
สัญญาณวิทยุดับไปพร้อมเครื่องส่งสัญญาณชีพจรที่วิ่งเป็นเส้นตรงของสมาชิกสองคนที่ถูกส่งเข้าไปทำงานยาวนานถึงสองปี
หญิงสาวทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างหัวเสียเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นได้ล้มเหลวในการพยายามสืบหาข้อมูลที่จะเอาผิดเป้าหมายอีกแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เวโรนิก้าจะได้สบถอะไรออกมาจากปากเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับหมายเลขปลายสายที่ชวนให้เธอนั้นไม่อยากรับสายนัก
แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายช่างตื้อขนาดไหน
“สวัสดีค่ะ ฟรีแมนพูด”
“ไง งานล่มอีกแล้วหรอจ๊ะ
บอกแล้วไงให้จ้างพวกเราด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เธอมีน่ะ
ถึงเราจะไม่เข้ากันแต่ถ้าเรื่องธุรกิจเนี่ยน่าจะไปด้วยกันได้ดีน้า
ทำงานด้วยกันดีกว่าส่งคนไปตายเล่นเยอะ”
“ไม่ล่ะ คุณซินเนีย
ฉันไม่ทำงานกับพวกหัวการค้าแบบพวกคุณหรอกนะ”
เวโรนิก้าพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะตัดสายไปในทันที
เธอที่หัวเสียอยู่แล้วยิ่งไม่พอใจหนักเมื่อรู้ว่าคนของเซรานเทมัมนั้นแอบแฮ็คระบบของเธอเพื่อดูความเคลื่อนไหวภายในของกลุ่มเธออีกแล้ว
และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอไม่ยินดีจะคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ซินเนียเรียกว่าธุรกิจ
“อีเวรนั่นกล้าดียังไงตัดสายใส่ฉันเนี่ย?!
คิดว่าเป็นหัวหน้าสมาคมสิทธิมนุษยชนแล้วจะมาตัดสายใส่ฉันได้รึไง?!!”
“ใจเย็นๆน่าบอส
บ่นไปงานก็ไม่เดินหรอกนะ”
ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มกวนๆให้เจ้านายสาวที่กำลังหัวเสียขั้นสุด
บางทีเขาก็นึกขำที่คนหัวร้อนแบบซินเนียนั้นพยายามจะทำงานร่วมกับโคตรคนหัวร้อนแบบเวโรนิก้า
มันช่างเป็นส่วนผสมที่แย่ราวกินน้ำเต้าหู้ใส่โซดา
“หุบปากไป!
คารันโชถ้าว่างนักก็ไปทำงานไป!”
คำพูดของซินเนียทำให้เด็กหนุ่มมัธยมปลายเดินหนีไปหลังร้านในทันที
ปล่อยเจ้าของร้านสาวนั่งเซ็งอยู่ที่โซฟายาวไม่ไกลจากเคาน์เตอร์
“แหม ใจเย็นๆก่อนนะ
บอสหัวร้อนบ่อยๆแบบนี้ ไล่ลูกค้าไปหมดกันพอดี”
บาริสต้าสาวที่เคาน์เตอร์พูดด้วยสีหน้าเรียบๆ
เธอบ่นไปทั้งๆที่รู้ว่าบ่นไปก็ไม่ได้อะไร
เพราะเจ้านายของเธอนั้นไม่เก่งในการควบคุมอารมณ์เอาเสียเลย
ทางเดียวที่เธอทำได้คือรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ซินเนียเผื่อเธอจะสงบลง
“อัลมอนด์ เธอลืมแช่น้ำหรอ”
“เรื่องมากจริง น้ำน่ะแช่แค่10นาทีมันไม่เย็นหรอกนะ อย่าพูดเหมือนตัวเองเติมน้ำในตู้เย็นนานแล้วสิ”
อัลมอนด์บ่นเมื่อเจ้านายพูดเอาแต่ใจเช่นทุกครั้งก่อนจะจับที่แก้วของเธอ
ไม่นานเกินรอแก้วที่ถูกหญิงสาวสัมผัสก็มีไอเย็นลอยขึ้นมาพร้อมกับอุณหภูมิน้ำที่ลดลงอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากอุณหภูมิร่างกายของหญิงสาว
“พอใจแล้วสินะ
ฉันจะได้ไปทำงานต่อซักที”
อัลมอนด์พูดอย่างเหนื่อยหน่าย และหวังว่าซินเนียจะไม่ทำพฤติกรรมชวนไล่ลูกค้าอีก
เพราะมันทำให้งานของเธอลำบากขึ้น
ด้านหลังร้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องแคบๆที่มีเพียงบันได
เขาเดินลงไปตามทางที่มืดสลัดก่อนจะถึงขั้นสุดท้ายของบันไดโลหะเสียงดังน่ารำคาญนั้น
ตรงหน้าของเขาคือประตูที่เป็นเหมือนประตูลิฟต์ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานต่างๆ
แต่ต่างกันตรงที่ลิฟนี้จะขยับไปไปตามรางราวกับรถรางที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนชวนอ้วก
และด้วยเหตุนั้นเองทำให้ฮ็อคต้องเพิ่มปุ่มกดอีกปุ่มเพื่อให้มันขยับด้วยความเร็วที่ไม่มากจนเกินไป
แม้จะทำให้เสียเวลา เพราะความไกลของจุดเริ่มต้นกับจุดหมาย แต่ก็ไม่ทำให้ใครตายก่อนถึงฐาน
ถ้าคิดจะเข้าที่ทำงานจากทางเข้าใต้ดินนี้
คารันโชเดินเข้าไปด้านในก่อนจะกดปิดประตู
แต่ในขณะที่ประตูกำลังจะปิดก็มีนิ้วโลหะมาขัดประตูเอาไว้ทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบกดเปิดประตู
ประตูลิฟต์เปิดออกให้เห็นสมาชิกหน้าใหม่ผู้รีบวิ่งมาหยุดประตูไว้โดยไม่สนใจว่านิ้วโลหะของเธอนั้นจะเสียหายหรือเปล่า
“ทิวลิป? ทำไมไม่ตะโกนเรียกล่ะ”
คารันโชถามก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้ามาด้านในแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อย
“แหม ก็มันรีบนี่นา นี่วิ่ง4x100มาเลยนะ”
“เว่อร์ เธอวิ่งช้าจะตาย”
เด็กหนุ่มพูดพลางกดปิดประตูลิฟต์
ลิฟต์กล่องสี่เหลี่ยมเคลื่อนที่ไปตามปกติด้วยความเร็วที่ไม่ได้ต่างจากรถรางจริงๆมากนัก
มันทำให้ทั้งคู่มีเวลามากพอที่จะไร้สาระกันในบรรยากาศที่เงียบสุดๆแบบนี้
“คราวหน้าคงต้องให้ฮ็อคติดลำโพงสำหรับเปิดเพลงในนี้แล้วมั้งเนี่ย”
คารันโชพูดขึ้นทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดระหว่างทั้งสอง
แม้เขาจะทำเหมือนพูดลอยๆแต่ไม่ว่าใครก็คงรู้ว่าเขาพยายามจะเริ่มบทสนทนา
“ฮ่าๆ
ถ้าเป็นฮ็อคล่ะก็จะต้องเป็นเพลงที่แย่สุดๆแน่ๆเลยล่ะ”
หญิงสาวยิ้มออกมาพลางกอดอกแล้วพิงผนังฝั่งหนึ่ง
แต่ก่อนที่มีจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงประกาศที่คุ้นหูของหัวหน้าวิศวกรก็ดังขึ้น
“มีสัญญาณกาฮิจิ63%ที่เขต7 พื้นที่ภายอาคารชั้น2อพาร์ตเมนต์XXX
จำนวนผู้อยู่อาศัย52คน
ผู้รับภารกิจกดยืนยันตัวตนด้วย ขอย้ำ... ผู้รับภารกิจ คิโรกะ มิคุโตะ และลี
เวินโหรว จะส่งข้อมูลให้และผังอาคารให้เดี๋ยวนี้”
เสียงประกาศทำให้บรรยากาศที่เกือบจะดีนั้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด
ความรู้สึกชวนอึดอัดกลับมาอีกครั้งแต่ไม่ใช่เพราะการอยู่ในพื้นที่แคบๆกับคนไม่รู้จัก
แต่เป็นเพราะความถี่ของภารกิจในช่วงนี้ที่แทบจะมีประกาศทุกๆสามวัน
เรื่องที่บานปลายมากจนดูไร้ทางแก้นั้นชวนให้รู้สึกเหมือนพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แม้จะพยายามขนาดไหนก็ตาม
“เมื่อกี้...เขาเรียกชื่อหลี่ผิดล่ะ”
เด็กหนุ่มผู้เห็นสีหน้าไม่ดีของหญิงสาวผู้จริงจังพูดขึ้นทำให้เธอหลุดยิ้มออกมา
“นั่นสิ นั่นสิ
ชื่อต้นของเวินโหรวน่ะ มีคนเรียกผิดเยอะสุดๆเลย”
“ใช่ไหม?! แบบว่ามันมีวิธีออกเสียงที่น่ารำคาญชะมัด
สำเนียงจีนนี่มันแย่สุดๆเลย”
“แต่ก็ดีกว่าออกเสียงชื่อเล่นนะ
แบบว่า...เวินโหรวกับอวี้โหรว ฮ่าๆๆ ชีวิตอยู่ยากจังเลย”
เสียงหัวเราะเล็กๆน้อยๆทำให้บรรยากาศที่ชวนกังวลคลายลงไปบ้าง
และมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อคารันโชอยู่
แม้จริงๆเขาจะไม่ใช่คนที่เฮฮาและมองอะไรเป็นเรื่องเล่นๆแต่เขามักจะดูเป็นแบบนั้นเสมอเมื่อสถานการณ์ตึงเครียด
การทำงานในสถานที่ที่กดดันตลอดเวลานั้นทำให้เขารู้ดีว่าควรวางตัวยังไงกับเพื่อนร่วมงานที่ดูจริงจังเกินไป
ก่อนที่พวกนั้นจะเป็นโรคเครียดกัน
ระหว่างที่บทสนทนาคุยเล่นกำลังดำเนินไปด้วยดีประตูก็เปิดออก
เพื่อบอกพวกเขาว่าถึงเวลาที่จะต้องทำงานแล้ว
คารันโชโบกมือลาหญิงสาวก่อนจะเดินไปที่บันไดเพื่อไปห้องทำงานของเขาตามปกติ
และคิดว่าคงมีโอกาสไม่มากที่ทั้งสองจะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอีก
หญิงสาวเดินไปตามทางสีขาวของตึกทรงกระบอกที่มีรูปร่างคล้ายประภาคาร
เธอมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ป่าและนึกในใจว่าแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทางเข้าของที่นี่จะเชื่อมกับร้านกาแฟชานเมืองด้านล่างของภูเขาที่มีแต่ป่าทึบแบบนี้ได้
ระหว่างที่เธอกำลังเดินไปเหม่อไปอยู่นั่นเองก็มีเสียงบางอย่างดังออกมาจากห้องน้ำรวมระหว่างทางที่เธอกำลังเดินไป
เสียงของมือที่ทุบผนังปูนเบาๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เธอลองเคาะประตู
“อ๊ะ ขอโทษทีครับ”
เสียงที่ตอบกลับมานั้นช่างคุ้นหูก่อนที่ประตูจะเปิดออก
ทำให้เห็นว่าคนที่อยู่ด้านในก็คือดาเลีย
ชายหนุ่มดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะขยี้ผมหลากสีของเขาตัวเอง
“จะเข้าห้องน้ำหรอเจ๊
เดี๋ยวผมจะไปพอดีเลย”
“ดาเลีย เป็นอะไรรึเปล่า”
ทิวลิปคว้าแขนเรียวเล็กของชายหนุ่ม และรั้งเขาไว้ได้อย่างง่ายดายก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง
“Nothing, ผมโอเคน่า”
“ไม่ นี่รู้จักกันมาตั้งนานแล้วนะ
คิดว่าพี่ดูแกไม่ออกรึไง”
ชายหนุ่มสลัดแขนออกก่อนจะส่ายหน้าและยิ้ม แม้ในรอยยิ้มนั้นให้ความรู้สึกชวนขัดแย้ง
แววตาของเขานั้นดูโกรธอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ใบหน้าประทับรอยยิ้มที่แสนใจดี
“ผมต้องไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว See
ya”
ดาเลียพูดก่อนเดินจากไป
ปล่อยให้ทิวลิปยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ทั้งที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแต่ตอนนี้ดาเลียนั้นกลับดูห่างเหินราวคนไม่รู้จัก
แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือเขาทำให้เธอมีคำถามว่าเขาเปลี่ยนไปหรือเธอไม่เคยเห็นตัวตนของเขากันแน่
ชายผู้ปลีกตัวออกมาถอนหายใจกับตัวเอง ดาเลียรู้ตัวดีว่าทิวลิปนั้นได้ยินพฤติกรรมแปลกๆของเขา
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะเสียให้กับความกังวลนั้นแล้ว
ดาเลียเดินกลับไปที่รถของเขาด้านนอกก่อนจะขับมันมาจอดให้ใกล้อาคารที่สุด
เขามองซ้ายขวาแล้วลากกระสอบขนาดใหญ่บางอย่างใส่หลังรถของตัวเอง
แต่แม้เขาจะพยายามทำงานนี้ด้วยตัวคนเดียวมากเท่าไร
โชคชะตาก็ไม่อำนวยและลากให้ชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้าอยู่ดี
“ดาเลีย ศพหรอ ให้ช่วยไหม”
เสียงถามของวินเซนท์ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองรอยยิ้มของวินเซนท์
ไม่ทันจะได้พูดอะไรชายสวมแว่นก็ยกกระสอบขึ้นใส่ท้ายรถของดาเลียโดยไม่ต้องรับคำ
“ถึงจะเป็นสุดยอดคนจัดการเชื้อโรคขององค์กรก็เถอะ
แต่ร่างกายบอบบางแบบนี้ยังไงก็ยกศพลำบากอยู่ดีใช่ไหม
ยิ่งเป็นศพคนที่เพิ่งดื่มกาแฟด้วยกันเมื่อเช้าด้วย”
วินเซนท์ปัดมือของตัวเองที่เพิ่งจับกระสอบใส่ศพอย่างรังเกียจ
เขารู้ทุกอย่างว่าถ้าใครก็ตามที่แอบทำอะไรผิดกฎในองค์กรจะถูกดาเลียผู้เป็นราวยมทูตกำจัดในทันที
ที่ลงเอยแบบนี้ก็เพราะฟอร์ซีเห็นว่าการอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าคนๆหนึ่งทำอะไรลงไปนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก
อีกทั้งสายสัมพันธ์จะยิ่งทำให้มีคนคัดค้านการกระทำแบบนี้อีกด้วย นั่นจึงทำให้หัวหน้าวิศวกรผู้ขี้รำคาญตัดปัญหาด้วยการบอกว่าคนๆนั้นลาออกและให้ดาเลียจัดการฆ่าทิ้งไป
แต่กรณีนี้ก็ยกเว้นกับคนที่ทุกคนลงความเห็นว่ามีสิทธิ์จะทรยศตลอดเวลาอย่างชัดเจนที่จะถูกสวมปลอกคอยาพิษเอาไว้
และหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้รับปลอกคอของฟอร์ซีก็คือตัวของวินเซนท์ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเอง
ชายผู้น่าสงสัยโอบเอวของดาเลียเข้ามาใกล้ก่อนจะก้มลงใกล้ๆคอของเขา
เสียงสูดอากาศหายใจของวินเซนท์ทำให้ดาเลียรู้สึกขยะแขยงและรีบผลักเขาออก
“อ่า...ดอกรักเร่
น้ำหอมราคาแพงไม่สามารถกลบกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วของนายได้เลยนะ ทำเป็นยอมทำหน้าที่น่ารังเกียจเพื่อช่วยองค์กร
แต่จริงๆแล้วนายก็สนุกกับการฆ่าใช่ไหมล่ะ หรือว่าเพื่อเอาใจฟอร์ซีที่เป็น...”
ยังไม่ทันสิ้นคำดีดาเลียก็จับแขนของวินเซนท์
เมื่อร่างกายสัมผัสกันโดยตรง
ชายหนุ่มผู้กำลังสนุกกับการปั่นหัวของดาเลียก็ต้องทรุดลง ความรู้สึกมากมายถูกยัดเยียดเข้ามาในจิตใจของวินเซนท์
ตัวเขาไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ความเศร้า กลัว โกรธ แค้น
ประดังเข้ามาพร้อมกันไม่เว้นช่วงแม้ให้เขาหายใจจนดาเลียปล่อยมือออก
“มึงคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ?
การรู้มากเกินไปไม่ทำให้มึงมีสิทธิพิเศษในการจะมายุ่งกับคนแบบกูหรอกนะ”
ชายหนุ่มพูดแม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายที่สภาพจิตใจอยู่ในอาการสับสนไม่สามารถรับรู้สิ่งรอบตัวในตอนนี้ได้ก็ตาม
ดาเลียปิดท้ายรถก่อนจะขับรถออกไปโดยไม่หันไปสนใจวินเซนท์เลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตาของซินเนียผู้เฝ้ามองกล้องวงจรปิดตลอดเวลา
แต่เธอก็ไม่คิดจะทำอะไรกับสถานการณ์นี้ ในความเป็นจริงต้องเรียกว่าเธอไม่สามารถทำอะไรได้เสียมากกว่าเพราะวินเซนท์นั้นก็เป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง
“ให้ตายสิครับ
การจะรักษาสมดุลขององค์กรรวมตัวประหลาดแบบนี้มันยุ่งยากซะจริง เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงไม่อยากให้ทุกคนได้พลังไปง่ายๆ”
ชายหนุ่มผมแดงผู้ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้นพลางวางแขนลงบนพนักพิงสูงของเก้าอี้ทำงานที่ซินเนียนั่งอยู่
“เป็นปัญหาที่จัดการไม่ได้สักทีแบบนี้ตลอด
แต่ก็นะคนเรามันไม่ใช่คนดีกันทุกคนนี่ ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าคนดีเนี่ยมันเป็นยังไง”
“ไม่เอาน่า
พูดยังกับเป็นหัวหน้าองค์กรกู้ชาติเลยนะครับ
การที่คนเรามีอะไรบางอย่างในมือเนี่ยมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องหลงระเริงให้ของที่ตัวเองมีบ้าง
คุณก็ทำดีแล้วที่ไม่ปล่อยให้ตัวปัญหาบ้าอำนาจหรือเอาข้อมูลไปขายหาค่าขนมตัวเองนะครับ”
อาเธอร์พูดพลางขยี้ผมสีฟ้าครามของซินเนียอย่างสนิทสนม
เขานั้นไม่ค่อยห่วงเรื่องการตัดสินใจเพื่อกำจัดปัญญานี้เสียเท่าไร แม้จะแอบคิดว่าการที่หญิงสาวใช้ดาเลียผู้ไม่เคยปฏิเสธคำขอของเธอในเรื่องแบบนี้อาจจะไม่ต่างกับตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองเสียเท่าไร
“อาเธอร์ มีอะไรอยากจะพูดหรอ”
หญิงสาวถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทางครุ่นคิดของอาเธอร์ แต่เขาก็ส่ายหน้าเพราะเขารู้ดีกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นจะไม่เป็นการดีกับความเป็นผู้นำที่ไม่มากพอในตอนนี้ของเจ้านาย
ความคิดเห็น