คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 2 KILLING IS NOT FUN
CHAPTER 2 KILLING IS NOT FUN
เสียงฝีเท้าที่ไม่แปลกหูสำหรับคนในองค์กรดังขึ้นตามทางเดิน
มีเพียงแค่ความเร็วของรองเท้าหนังที่ก้าวอยู่เท่านั้นที่ดูรีบเร่งมากกว่าปกติ
ชายในชุดสูทสีดำถือแฟ้มงานบางอย่างมาพร้อมกับสีหน้าที่นิ่งเรียบตามปกติ
เขาเปิดประตูเสียงดังทำให้ฟอร์ซีสะดุ้งเล็กน้อย
“คุณฟอร์ซีครับ
ทำไมคุณไฮเดรนเยียถึงเอาอุปกรณ์รุ่นทดลองของผมไปใช้ล่ะครับ
มันยังไม่เสถียรเลยนะครับ เดี๋ยวก็มีคนตายหรอกครับ”
เลม่อนพูดเสียงแข็งก่อนวางเอกสารของโรสแมรี่ชิ้นนั้นลงบนโต๊ะ
พิมพ์เขียวของขาโลหะขนาดกลางที่ซ่อนใบมีดคมกริบไว้ด้านใน
นั่นเป็นของทดลองที่เคยเกือบทำคนตายมาแล้ว
ทั้งความไม่เข้ากันของเซลล์และความหนักของมัน
แต่สมาชิกหน้าใหม่กลับหยิบมันไปใส่ได้หน้าตาเฉย ฟอร์ซีมองงานนั้นเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวลงกับเก้าอี้นวมของตัวเอง
“ก็ดีแล้วนี่นาเลม่อน
ไม่งั้นงานโหดๆของนายคงได้กองเป็นเศษเหล็กไร้ค่าขนาดใหญ่แหง ทั้งที่ทำงานดีแต่เ_ือกทำอะไรที่มันเกินรับไหวตลอด น่าจะดีใจที่มีคนใช้ได้นะ”
ฟอร์ซียิ้มก่อนจะกระดกกาแฟ
แม้หัวหน้าจะยินดีแต่เลม่อนกลับไม่ค่อยนัก
เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่อยากให้คนที่ตัวเองไม่รู้จักเอาของๆเขาไปใช้โดยไม่ขอ
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เสียแล้ว เลม่อนถอดใจที่จะงี่เง่าและทิ้งแฟ้มงานไว้ก่อนกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง
ห้องทำงานรวมที่มีแต่วิศวกรทำให้เขารู้สึกอึดอัดในบางครั้ง
แม้จะทำงานได้แข็งแรงและทรงพลัง
แต่กลับไม่มีใครที่ออกแบบให้กระชับใช้ได้จริงเสียเท่าไร
หน้าที่กำหนดขอบเขตและออกแบบส่วนมากจึงถูกโยนมาที่โต๊ะของเขา
โดยเฉพาะงานของสาวมือใหม่อย่างฮันนี่ ที่ไอเดียดีแต่ทำยากเสมอๆ
“...แบบแป้นอีกแล้วหรอครับ คุณฟอร์ซีไม่อยากให้ทำแบบแป้นคุณก็น่าจะรู้”
เลม่อนพูดก่อนจะโยนเอกสารเสนอโรสแมรี่ชิ้นใหม่ของฮันนี่ลงถังขยะข้างโต๊ะทำงานของเขา
“รุ่นพี่!
ไม่เห็นต้องใจร้ายขนาดนั้นเลยนี่นา”
“องค์กรเราอยู่ได้ด้วยอวัยวะกลสำหรับคนที่เงินไม่พอหรือไม่อยากไปเสี่ยงตายกับสโนว์ดร็อปนะครับ
เอาเวลาออกแบบอาวุธไม่เสถียรพวกนี้ไปทำของให้ลูกค้าดีกว่าไหมครับ”
เลม่อนพูดโดยไม่สนใจว่าฮันนี่จะรู้สึกยังไง
แม้งานนี้จะเป็นเพียงงานเสริมของเขา
แต่เขาก็ไม่ชอบคนที่สร้างประโยชน์ให้องค์กรไม่ได้อยู่ดี
แต่ระหว่างที่เขากำลังหัวเสียนั้นเอกสารปึกใหญ่ก็ถูกวางลงที่โต๊ะอีกครั้ง
“เลม่อนนนน
ฉันทำโปรเจ็ควิจัยการขยับของกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวแบบต่างๆมาแล้วนะ
สินค้าที่จะพัฒนาเพื่อกิจกรรมเฉพาะต้องใช้มันใช่ไหมล่ะ”
วิสเทอร์เรียพูดอย่างร่าเริงแต่ก็ต้องสงบเมื่อเลม่อนมองเธอด้วยสายตานิ่งเฉย
แล้วหันไปอ่านเอกสารของเธอเงียบๆก่อนถอนหายใจ
“ดีมากครับ
แบบนี้สิถึงจะน่ารักน่ะครับ”
เลม่อนลูบผมสีชมพูอย่างใจดีแม้สีหน้าจะยังเหมือนเดิมทำให้วิสเทอร์เรียโล่งใจที่ไม่ถูกด่าหรือเคือง
เธอที่มักจะดีใจเมื่อถูกชม วิสเทอร์เรียดึงเลม่อนเข้ามากอดและถูแก้มของเธอกับผมของเขาโดยไม่รู้เลยว่าใต้สีหน้านิ่งตายของเลม่อนนั้นกำลังรำคาญผมฟูนุ่มสีชมพูของเธอที่ตีหน้าของเขาเอามากๆจนอยากจับเธอโกนหัว
“แหม เลม่อนเนี่ย
หน้านิ่งยังกับสัตว์สตาฟเลยนะ”
อเลิสที่อยู่ในห้องพูดกับชายผู้มีสีหน้านิ่งเรียบตลอดเวลาแม้จะรู้ว่าพูดไปเขาก็คงไม่เปลี่ยนสีหน้าก็ตาม
แต่ในระหว่างที่บรรยากาศปกติยังดำเนินไปนั้น ทุกอย่างก็เงียบลงเมื่อประตูของห้องเปิดออก
แดนดิไลออนเดินเข้ามาพร้อมกับสมาชิกใหม่
เธอได้รับหน้าที่ให้พาเฟลซเดินสำรวจที่ต่างๆในวันนี้
เลม่อนมองขาของเฟลซด้วยแววตาขุ่นเคืองก่อนจะสลัดวิสเทอร์เรียออกและหันไปทำงานตามปกติ
“เด็กใหม่หรอ ยินดีที่รู้จักน้า
ฉันวิสเทอร์เรีย เป็นพนักงานพาร์ทไทม์แผนกตรวจสอบศักยภาพสินค้าล่ะ”
หญิงสาวจับมือของเฟลซเขย่าแรงเพื่อทำความรู้จักทำให้ชายหนุ่มต้องแนะนำตัวกลับอย่างช่วยไม่ได้
“โทษทีนะ
วิสเทอร์เรียมักจะร่าเริงแบบนี้แหละ ฉันอเลิส ส่วนนี่หัวหน้างานออกแบบ เลม่อน
กับวิศวกรฝึกหัด ฮันนี่”
“วิศวกรฝึกหัด? เด็กชงกาแฟมากกว่ามั้งครับ”
เลม่อนพูดเหน็บเมื่ออเลิสแนะนำตัวเด็กฝึกงานได้ดูดีเกินไป
อเลิสได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนมองเฟลซด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่าขอโทษที่ที่นี่เป็นแบบนี้เสมอๆ
เลม่อนลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงมาหาเฟลซด้วยสีหน้านิ่งเรียบที่ดูจริงจังนั้น
“ขาของคุณน่ะ
เป็นงานของผมเพราะงั้นกรุณาให้เกียรติมันด้วยนะครับ”
“เอ๊ะ? จริงหรอ
มิน่าล่ะขาอันนี้ถึงเก็บงานสวยเด่นกว่าอันอื่นเลย
เพราะคุณหัวหน้าฝ่ายออกแบบเป็นคนทำนี่เอง งั้นผมจะพยายามรักษาให้ดีนะครับ”
เฟลซพูดและยิ้มออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ชายผู้นิ่งขรึมรู้สึกแปลกใจและต้องเขินอายกับคำยอนั้น
เพราะปกติไม่ค่อยมีคนชมงานของเลม่อนอย่างชัดเจนขนาดนี้นัก
เลม่อนรีบเดินออกจากห้องทันทีก่อนที่ความร้อนจะขึ้นบนใบหน้าของเขา
หัวหน้างานออกแบบเดินออกไปปล่อยให้คนอื่นแอบหัวเราะในใจและคิดว่าเด็กใหม่นี่ช่างอยู่เป็นเสียจริงๆ
หลังจากดูงานนั่นนี่ในห้องทำงานของวิศวกรไปแล้วแดนดิไลออนก็พาเฟลซมาที่ห้องทำงานรวมซึ่งมีสภาพเหมือนสำนักงานทั่วๆไป
ต่างกันตรงที่โต๊ะของแต่ละคนห่างกันพอสมควรและแต่ละโต๊ะก็มีเอกสารของตัววางกองสุมราวภูเขา
“ปกติแดนเองก็จะอยู่ห้องนี้นะคะ
ถ้ามีอะไรให้มาหาคนที่ห้องนี้ก่อนนะคะ เพราะกล้องวงจรปิดเองก็อยู่ห้องนี้
ถ้าจะหาตัวใครจะได้รู้ตำแหน่งได้เร็วๆ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างใจดีก่อนจะพาเฟลซไปแนะนำให้คนในห้องรู้จัก
“นี่คุณวินเซนท์ค่ะ งานค่อนข้างยุ่งไม่ค่อยออกไปไหนหรอกค่ะ”
ชายหนุ่มสวมแว่นไม่สนใจจะเงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อยเมื่อแดนดิไลออนแนะนำเขา
“ส่วนสองโต๊ะด้านนั้นคือโต๊ะของแดน
กับคุณอาเธอร์ค่ะ แต่คุณอาเธอร์เขาไม่ค่อยมาหรอกนะคะ
จำไว้แค่ว่าเป็นผู้ชายผมแดงสวมสูทที่นานๆจะเห็นตัวสักทีก็พอ”
แดนดิไลออนแนะนำที่นั่งฝั่งตรงข้ามของวินเซนท์ ซึ่งในตอนนี้ไม่มีใครนั่งอยู่เพราะคนหนึ่งอยู่อยู่ข้างตัวชายหนุ่มและอีกคนก็ดูเหมือนจะหาตัวยากซะเหลือเกิน
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากห้องนั้นเองเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงประกาศที่คุ้นหูของฟอร์ซี
“มีสัญญากาฮิจิ74%ที่เขต3 ไม่ใช่พื้นที่โล่งแต่อยู่นอกอาคาร
คาดว่าจะเป็นตรอก ผู้รับภารกิจกดยืนยันตัวตนด้วย ขอย้ำมีสัญญากาฮิจิที่เขต3 ไม่ใช่... ตอนนี้ได้ผู้รับภารกิจแล้ว ทิวลิป เจเนรอลและอเลิส
อลามจะส่งข้อมูลให้เดี๋ยวนี้”
เสียงประกาศตามสายสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น ก่อนที่แดนดิไลออนจะนึกอะไรดีๆขึ้นได้และดึงมือของเฟลซไปอย่างรวดเร็ว
ในรถที่ขับด้วยความเร็วสูง
อเลิสนั่งตัวติดเบาะเพราะแรงขับเคลื่อนของรถจากฝีมือการขับของหญิงสาวหน้าใหม่ที่มาทำงานกับเขา
“งานนี้ไกลชิบ
แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมพวกเธอสองคนต้องมาด้วยยะ?!”
ทิวลิปพูดพลางมองแดนดิไลออนและเฟลซผ่านกระจกหลัง
หญิงสาวผู้อยู่เบาะหลังได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีราวไม่รู้ร้อนรู้หน้า
“ก็มาดูงานไงคะ จะต้องสนุกแน่ๆเลย”
“...จ้ะ”
ทิวลิปเหยียบมิดจนยางรถแทบไหม้แต่ทั้งสี่ก็มาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
ทันทีที่ลงจากรถยังไม่ทันจะทำอะไรอเลิสก็สำรอกอาหารเช้าของเขาออกมาทันที
เขาสาบานกับตัวเองว่าชีวิตนี้จะไม่ขึ้นรถที่อีเจ๊คนนี้ขับอีกแล้ว
ระหว่างที่เขากำลังตั้งสติอีกสามคนก็วิ่งไปหาเป้าหมาย
ร่างสูงใหญ่ที่ดูบิบเบี้ยวไปทั้งตัวทำให้เฟลซต้องเว้นระยะห่างจากเป้าหมายพอสมควร
ร่างกายมนุษย์ที่บิดเบี้ยวนั้นหักงอจนแทบไม่เป็นรูป
เลือดสีสดที่อาบอยู่บนร่างนั้นหาได้มาจากรอยแผลบนตัวของอดีตมนุษย์คนนี้
มันกลับมาจากศพของร่างในชุดนักกีฬาที่นอนอยู่ไม่ไกล
ทิวลิปหายใจเข้าเพื่อให้ใจของเธอนิ่งก่อนจะชี้นิ้วยิงเข็มใส่ร่างสูง แม้ยาพิษจะไม่สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ขยับช้าลงเสียหน่อยก่อนที่อเลิสจะวิ่งเข้าใส่
แขนเหล็กข้างขวาของเขามีเหล็กแหลมแทงออกมา
ปลายเหล็กแหลมแทงทะลุท้องของศัตรูอย่างง่ายดายแต่ก็ไม่มากพอจะฆ่ามันได้
แขนที่บิดงอกลับด้านสะบัดร่างของอเลิสจนกระแทกเข้ากับกำแพง แต่ก่อนที่จะรู้ตัว
ระหว่างที่มันมัวแต่สนใจการโจมตีโง่ๆของชายหนุ่ม
คู่หูของเขาก็ได้ติดระเบิดเข้าที่หัวของมันด้วยปืนเฉพาะทางขนาดเล็กเสียแล้ว
เสียงปิ๊บๆเป็นสัญญาณบอกว่าหมดเวลาแห่งความทรมานนี้ลงแล้ว
ระเบิดบดขยี้หัวของสัตว์ประหลาดทำให้เศษเนื้อกระจายไปทั่ว
“ทิวลิปพูด
จัดการเป้าหมายเรียบร้อย”
หญิงสาวพูดกับนาฬิหาข้อมือทรงเหลี่ยมรูปร่างประหลาดของเธอเพื่อรายงานข้อมูลกลับฐานให้ฟอร์ซีได้รับทราบ
เธอเดินกลับไปที่รถโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นหลังกระแทกกับผนัง
อเลิสไม่พูดอะไร เขาหยิบกระเป๋าของศพผู้โชคร้ายที่ตายอยู่ขึ้นมาเปิดดูก่อนจะเก็บมันให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
เขานั่งยองลงก่อนจะประกบมือทั้งสองข้างเขาด้วยกัน
“ยกโทษให้เพื่อนของเธอด้วยนะเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก
แล้วก็ถึงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ยกโทษให้เราที่ฆ่าเขาด้วย
คราวหน้าพวกเธอจะต้องได้เตะบอลด้วยกันอีกแน่ๆฉันสัญญา”
ชายหนุ่มพึมพำเช่นทุกครั้งที่เขาทำงานเสร็จ
มันไม่ใช่การสวดส่งหรือกราบกราน
เป็นเพียงสิ่งที่เขาทำได้หลังจากที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้วเท่านั้น
อเลิสถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นและเดินกลับไปจากตรงนั้น
ปล่อยให้เหลือเพียงซากศพที่เขาไม่อาจช่วยอะไรได้อยู่ในตรอกแห่งนั้นอย่างสงบ
“เรากลับกันเถอะค่ะ
เดี๋ยวต้องไปเอาอุปกรณ์ของคุณอีกนะ”
แดนดิไลออนพูดขึ้นเพื่อเรียกสติชายหนุ่มที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ
เขาเดินกลับไปที่รถโดยไม่หันมองมันอีกเป็นครั้งที่สอง ความรู้สึกขัดแย้งกันเองในใจของเขานั้นไม่อาจหาทางแก้ได้เลย
ในรถเฟลซที่นั่งอยู่เบาะหลังมองอเลิสที่ดูนิ่งเงียบไม่เปลี่ยนด้วยความชื่นชมปนสงสัย
เขาแอบคิดในใจว่าชายคนนี้รู้สึกยังไงถึงทำแบบนั้นลงไป แต่คำถามของเขาก็ไม่ได้ถูกถามอะไร
หลังกลับถึงฐาน
เฟลซคุยกับทิวลิปเล็กน้อยก่อนที่จะถูกแดนดิไลออนดึงตัวไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ทั้งสองไปที่ห้องซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่ากรุณาเคาะประตูก่อนเสมอ
ชายหนุ่มมองลูกบิดที่เต็มไปด้วยหนามก่อนจะเคาะประตู
เมื่อเขาเคาะประตูแล้วหนามที่ลูกบิดก็หายไป
แดนดิไลออนบอกว่าบางห้องก็ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ถึงจะดูเยอะไปหน่อยก็ตาม
ทั้งคู่เข้าไปด้านในห้อง ห้องสีครีมเรียบๆมีโต๊ะแค่สามตัว
แต่กลับมีลิ้นชักมากมายเต็มผนังที่เขียนรหัสบางอย่างเอาไว้
เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านในนั้นโบกมือให้ทั้งสองอย่างเป็นมิด
“พาเด็กใหม่มาหาอุปกรณ์เสริมสินะคะ
พี่แดน”
“อื้อ ฝากด้วยนะคะ
เพราะแดนต้องไปทำธุระหน่อยน่ะค่ะ”
แดนดิไลออนพูดพลางตบบ่าของเฟลซและเดินจากไป
เฟลซมองเด็กหญิงตัวเล็กที่ไม่กล้าสบตาเขาอยู่สักพัก
ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบก่อนที่เธอจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“นะ...หนูชื่อเดลต้าค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผมเฟลซ ฝากตัวด้วยครับ”
เฟลซยิ้มแม้เด็กสาวจะยังกลัวเขาก็ตาม
เดลต้าถามว่าเขาต้องการอะไรบ้างแต่พอเขาตอบว่ายังไม่ได้อะไรซักอย่างเธอก็เดินไปหยิบของมากมายมาให้เขาเลือก
นาฬิกาข้อมือหลายรูปแบบถูกกองไว้ตรงหน้าของเขาก่อนที่เธอจะบอกให้เขาเลือกมัน
“อันนี้ห้ามถอดนะคะ
มันกันน้ำเพราะงั้นใส่ได้ตลอด เอาไว้สำหรับระบุตำแหน่งของพี่เฟลซค่ะ
แล้วก็เป็นเหมือนโทรศัพท์ขององค์กรเราด้วยค่ะ มันสามารถโทรหานาฬิกาของใครก็ได้ในองค์กรเลยนะคะ
อ๊ะ...แล้วก็มีGPSสำหรับนำทางไปหาเป้าหมายด้วยนะคะถ้าจะเปิดให้กดปุ่มสีทองด้านขวา
ถ้ามีงานเข้าแล้วจะรับภารกิจให้กดปุ่มสีเงินด้านซ้ายเพื่อระบุรับงาน ถ้าเสียหายหรือพังให้มาเปลี่ยนใหม่ที่ห้องนี้ได้ตลอดค่ะ
แต่อย่าลืมเคาะประตูนะคะ”
“ขอบใจนะ
เดลต้าเนี่ยดูเด็กมากแต่พึ่งพาได้จริงๆเลยนะ”
คำชมทำให้เด็กสาวเขินขึ้นมาเล็กน้อยแต่เธอก็รีบเบี่ยงประเด็นด้วยการชวนเข้าเรื่องงานอีกครั้ง
“คะ...ความจริงถ้าอยากได้อาวุธก็มาเบิกที่ห้องนี้ได้นะคะ
เพราะห้องนี้เป็นห้องเบิกพัสดุ แต่ถ้าอาวุธต้องลงชื่อนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าจะฆ่าคนได้รึเปล่า ถ้าสนุกกับมันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้”
“ไม่ได้นะคะ!”
เด็กสาวตวาดอย่างลืมตัวทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย
ท่าทางจริงจังของเธอนั้นสื่อว่าเรื่องที่เขาพูดออกไปโดยไม่คิดอะไรนั้นสำคัญขนาดไหน
“...ขอโทษค่ะ
ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียง แต่ที่นี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนแบบนั้นหรอกนะคะ
ถึงคุณฟอร์ซีจะดูไม่สนใจอะไรและแสดงออกได้แย่เสมอ
แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ที่นี่เป็นที่ของฆาตกรบ้าเลือดหรอกค่ะ เพราะงั้นได้โปรดทำงานอย่างตั้งใจและเคารพทุกศพที่ตายด้วยนะคะ”
เฟลซมองเดลต้าที่พูดอย่างตั้งใจก่อนจะขยี้ผมของตัวเองอย่างรู้สึกผิดที่คิดอะไรแผลงๆไป
“ครับ ผมจะพยายาม
ขอบใจสำหรับคำแนะนำนะ”
“ค่ะ พี่เฟลซ”
เด็กสาวยิ้มโดยแทบลืมไปเลยว่าตอนแรกเธอระแวงชายแปลกหน้าคนนี้ขนาด
แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก
สาวน้อยผู้สะเพร่าไม่รู้เลยว่าตัวเองลืมตัดสายที่คุยกับคนบางคนอยู่ก่อนที่แดนดิไลออนจะเข้ามา
ชายวัยกลางคนผู้รู้ตัวมาพักใหญ่ๆแล้วว่าเดลต้านั้นลืมว่าคุยงานกับเขาอยู่กดตัดสายโดยไม่บอกอะไร
“Oh man... แอบดีใจที่มีคนเข้าใจหรอ
ฟอร์ซี”
ดาเลียที่อยู่ในห้องทำงานของฟอร์ซีด้วยและได้ยินทุกอย่างและแอบขำกับท่าทางทำตัวไม่ถูกของวิศวกรผู้ขี้เก๊ก
“เงียบน่าดาเลีย
ทำไมเธอถึงต้องมาอยู่ในสถาการณ์ที่ฉันดูแย่ตลอดเลยนะ”
“ไม่เอาน่า นายออกจะcuteนะตอนนี้ ฮ่าๆๆๆ แต่ก็จริงนี่ฟอร์ซี เพราะถ้านายไม่เป็นคนแบบที่เดลต้าพูด
ฉันคงฆ่านายไปนานแล้ว”
ดาเลียพูดพลางลูบผมของฟอร์ซีเบาๆ
แม้องค์กรนี้จะชะโลมด้วยความแค้นเต็มไปหมด ทุกคนสูญเสีย ร้องไห้ สิ้นหวัง
แล้วก็ไล่ล่า โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ก่อตั้งทั้งสองหาได้มีเจตนาเช่นนั้น
แม้หญิงสาวผู้ริเริ่มสร้างที่นี่จะดูเหมือนแค้นเคืองแต่ใจจริงเธอเพียงแค่อยากพิสูจน์และไม่อยากให้คนอื่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ส่วนชายผู้ดูเหมือนอมนุษย์ที่บ้าคลั่งงานวิจัยก็เพียงแค่ฉาบภายนอกของตัวเองด้วยความบิดเบี้ยวเพื่อบิดเบือนความจริงที่เขาไม่อยากบอกเพียงเท่านั้น
“ไม่เป็นไรน่า
เรารู้ดีว่าคนในองค์กรแต่ละคนเป็นแบบไหน และถ้าใครบังอาจมาทำให้อุดมการณ์ของที่นี่ต้องผิดเพี้ยน
เหลือแค่เกมส์ฆ่าสัตว์ประหลาดเอาสะใจตัวเอง มันจะต้องรับกรรมของตัวเอง”
“ขอบใจนะดาเลีย
แต่จริงๆเธอน่ะเป็นคนที่เกลียดการฆ่าที่สุดเลยไม่ใช่หรอ”
“ก็จริง แต่...The world is
not the way we want จริงไหม”
ฟอร์ซีถอนหายใจเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะผิดหวังหรือไม่ไว้ใจ
แต่เขากลับรู้สึกผิดที่มอบหมายงานทำลายเชื้อโรคในองค์กรให้ชายคนนี้
ชายผู้เกลียดการสูญเสียแต่กลับต้องเป็นผู้ฆ่าซะเอง
แม้จะสงสารและเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่สามารถมอบงานนี้ให้ใครได้
ทำให้คำขอโทษที่เขาอยากจะกล่าวนั้นต้องถูกเก็บเอาไว้จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง
ความคิดเห็น