คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มาถึงลั่วหยาง
มาถึงลั่วหยาง
ขบวนเดินทางที่นำโดยเจ้าบ้านตระกูลอวี้ออกจากเมืองหลวงเป่ยจิงสิงไจ้ทันเวลาปิดประตูเมืองตอนค่ำพอดิบพอดี
เพราะนี่เป็นการกระทำที่ไม่อาจให้ผู้คนรับรู้จึงพาบ่าวรับใช้ที่ร่างกายกำยำติดตามมาเพียงไม่กี่คน
อวี้เหวินหยางปล่อยบ่าวรับใช้ที่เหลือให้คอยดูแลตึกตระกูลในเมืองหลวงให้ดี แม้ว่าทรัพย์สมบัติที่เหลือจะถูกนำมาใช้เป็นทุนรอนในการเดินทางและค่ากินอยู่ของผู้คนหมดสิ้นแล้ว
แต่อย่างไรเสียตัวตึกก็ต้องมีคนอยู่ดูแลไม่อาจละทิ้ง
สุสานบรรพชนตระกูลอวี้ตั้งอยู่ที่เมืองลั่วหยางดังนั้นขบวนเดินทางจึงมุ่งลงสู่ใต้
เดินทางโดยทางน้ำ ใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็มาถึงเมืองโบราณที่ยังคงความเจริญรุ่งเรืองเอาไว้ได้ในที่สุด
เมืองลั่วหยางผ่านการเป็นเมืองหลวงมาหลายราชวงศ์
อาจนับได้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง เซี่ย โจว
มีความเป็นมายาวนานไม่แพ้ฉางอานหรือหางโจว นับแต่จักรพรรดิสุยหยางตี้ระดมแรงงานผู้คนขุดคลองต้ายวิ่นเหอเชื่อมแม่น้ำห้าสายบรรจบจนเป็นเหตุให้สิ้นชาติ
สุดท้ายผลที่ได้คือเมืองลั่วหยางกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้ามานับแต่นั้น
เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโหอันยิ่งใหญ่
ทิศเหนือพิงภูเขาหมางซาน ทิศใต้คือแม่น้ำลั่วสุ่ย
ในทิศตะวันออกที่เพิ่งขึ้นเรือผ่านมาคือเมืองหู่เหลา
ทิศตะวันตกเป็นด่านหู่กวนที่มีชื่อ รอบด้านของเมืองล้วนเป็นภูเขาล้อมรอบ แม่น้ำสี่สายไหลผ่านไม่ขาด
ขณะเดียวกันแม้เป็นภูมิประเทศที่อันตรายแต่กลับมีทิวทัศน์ที่งดงามสดใส
ผืนดินอุดมสมบูรณ์ คล้ายเป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเทพเซียนก็ไม่ปาน
บรรพชนรุ่นแรกของตระกูลอวี้อยู่ในยุคถังซึ่งการค้าแปดดินแดนเจริญรุ่งเรือง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าตึกตระกูลดั่งเดิมจะอยู่ที่เมืองลั่วหยางอันมั่งคั่งแห่งนี้
แต่เพราะต้องอพยพโยกย้ายตามสงครามความวุ่นวายและเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาที่ผันผ่าน
ที่นี่จึงเหลือไว้เพียงสุสานบรรพชนที่ยังคงอยู่
เรือโดยสารเข้าเทียบท่า
อวี้เหวินหยางพร้อมด้วยพ่อบ้านปี้หวังและบ่าวรับใช้ห้าหกนายก้าวลงมาจากเรือ เจ้าบ้านหนุ่มเงยหน้ามองดูทิวทัศน์งดงามของเมืองโบราณ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยเมืองแห่งนี้ก็ยังคงกลิ่นอายของเมืองการค้าอันดับหนึ่งไม่เสื่อมคลาย
“นายท่าน ข้าว่าพวกเราควรหาโรงเตี๊ยมเข้าพักกันก่อน” ปี้หวังเสนอขึ้นมา
การอยู่บนเรือแม้ไม่ต้องทำอะไรแต่ก็ทำให้ล้าไม่น้อย อย่างน้อยคืนนี้หากจะเริ่มแผนการก็ควรพักผ่อนเอาแรงให้มาก
สุสานบรรพชนของตระกูลอวี้ไม่ใช่ว่าอยากแตะต้องแล้วจะแตะต้องได้ง่ายๆ
อวี้เหวินหยางผงกศีรษะเห็นด้วย พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “พวกเราไปกัน”
มองเห็นรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยความครึกครื้น แม้จะเริ่มค่ำแต่แผงค้าขายข้างทางก็ยังไม่ลดน้อยลงไปพอๆกับผู้คนที่ออกมาเดินจับจ่ายอยู่เบื้องนอก
เหวินหยางเดินดูไปอย่างคุ้นชิน แม้ว่าตึกตระกูลอวี้จะอยู่ที่เมืองหลวงเป่ยจิง ทว่าในทุกๆปีตนเองต้องมาขึ้นเขาไหว้สุสานที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว
ภาพพวกนี้จึงเห็นจนชินตา
จวบจนเดินผ่านมาถึงย่านผู้คนพลุกพล่านซึ่งเป็นบริเวณที่มีร้านค้าและโรงเตี๊ยมตั้งเรียง
ค่อยเห็นโรงเตี๊ยมหลังหนึ่งมีคนเดินเข้าออกมากกว่าที่อื่นเป็นพิเศษ เหวินหยางชะงักเท้ามองดูโรงเตี๊ยมนั้นอย่างเจ็บปวดใจ
มัน ‘เคย’ เป็นโรงเตี๊ยมภายใต้ชื่อของตระกูลอวี้ ทว่าบัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
ปี้หวังมองดูสีหน้าที่หม่นหมองของท่านเจ้าบ้านหนุ่ม ได้แต่ถอนหายใจ “นายท่าน
ข้าว่าพวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นจินกันเถอะขอรับ” ปี้หวังชี้ไปที่โรงเตี๊ยมที่ประตูหน้าเล็กกว่าโรงเตี๊ยมชิงหัวซึ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างเห็นได้ชัด
เพราะรู้ว่านายท่านยังไม่สามารถทำใจกับความผิดพลาดของตนเองได้ หากจะให้เข้าพักที่นั่นก็เหมือนเป็นการตอกย้ำจิตใจให้ชอกช้ำกว่าเดิม
อวี้เหวินหยางผงกศีรษะ ความจริงด้วยเงินที่พวกตนพกมาตอนนี้ก็ไม่พอที่จะพักในโรงเตี๊ยมระดับนี้ได้นานอยู่แล้ว
การพักที่โรงเตี๊ยมขนาดเล็กจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
ทว่าขณะที่ทั้งหมดกำลังเบี่ยงหน้าไปทางโรงเตี๊ยมอวิ๋นจินที่ซบเซา
หน้าประตูโรงเตี๊ยมชิงหัวกลับมีเสียงดังขึ้นว่า “โอ้
นั่นไม่ใช่เจ้าบ้านตระกูลอวี้หรอกหรือ?”
บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมา บนหัวสวมหมวกสีน้ำเงินเข้ากับอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม
ในมือถือพัดที่คลี่ออกมาเป็นภาพนารีร่ายร่ำกลางหมู่ผกาพร้อมคำกลอนวรรคหนึ่ง อวี้เหวินหยางเขม็งตามองคนตรงหน้าอย่างเคียดแค้น
“มู่กวนจง!” คนผู้นี้คือหนึ่งในคุณชายตระกูลมู่ที่คืนนั้นเหวินหยางท้าพนันด้วย!
“ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านอวี้ท่านมาทำอะไรที่ลั่วหยาง?”อีกฝ่ายเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“แต่เอาเถอะในเมื่อมาแล้วเหตุใดไม่เข้ามาพักที่โรงเตี๊ยมชิงหัวของตระกูลมู่เราเล่า
เรื่องการปรนนิบัติไม่ต้องให้เราบอกท่านก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าดีเลิศเพียงไร”
อวี้เหวินหยางหน้าดำคล้ำ คำว่าโรงเตี๊ยมชิงหัวของตระกูลมู่ของอีกฝ่ายแทบทำให้มันสิ้นสติเข้าไปเสี่ยงชีวิตกับคนเบื้องหน้า
ด้านหลังมองเห็นบ่าวในโรงเตี๊ยมหลายคนชะโงกหน้าออกมาดูพร้อมกับแขกเรือจำนวนหนึ่ง
คนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าอวี้เหวินหยางเป็นใคร ซึ่งเมื่อเช้ามู่กวนจงผู้นี้เดินทางมาจากเมืองหลวงเพื่อชูสัญญารับช่วงต่อกิจการ
แม้ตระกูลอวี้จะมีบุญคุณทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจกินต่างข้าว
ดังนั้นทั้งหมดยินยอมอยู่ทำงานต่อแม้ว่าจะเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว
มาตอนนี้มองเห็นเจ้าบ้านอวี้ปรากฏตัว ถึงจะกระอักกระอวนแต่ก็ยังไม่กล้าแสดงตัวว่ารู้จักอวี้เหวินหยาง
ทั้งหมดจึงหลบสายตา ทำตัวเรียบๆร้อยๆอยู่เบื้องหลังมู่กวนจง
ส่วนแขกเรือที่มาพักล้วนได้ข่าวมาบ้างว่าตระกูลอวี้ถูกตระกูลมู่ริบกิจการจนหมดสิ้น
มาตอนนี้เห็นเจ้าบ้านที่กำลังตกเป็นข่าวหน้าดำคล้ำอยู่เบื้องนอกก็ได้แต่พากันนินทาอย่างสนุกปาก
ยิ่งมีคำพูดของมู่กวนจงที่พูดขึ้นมาเสียงหัวเราะก็ดังมากกว่าเดิม
“มู่กวนจง อย่าคิดว่าตระกูลมู่เจ้าใช้วิธีสกปรกแล้วจะสามารถทำลายตระกูลอวี้ของพวกเราจนย่อยยับได้!
เจ้ารอดูเถอะนายท่านของข้าจะต้องกอบกู้ตระกูลให้กลับคืนมาอีกครั้งได้แน่นอน!”
ปี้หวังที่อยู่ด้านข้างทนให้ผู้คนหัวเราะนายท่านไม่ได้อีก จึงชี้นิ้วตะโกนใส่คนเบื้องหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่กวนจงเลิกคิ้วพูดว่า “วิธีสกปรก?”
“ใช่! เพราะเจ้าใช้วิธีสกปรกกับนายท่าน ไม่อย่างนั้นมีหรือที่ท่านเจ้าบ้านของพวกเราจะพลาดพลั้งให้กับพวกเจ้าถึงเพียงนี้!!”
“เฮอะ! ถ้าเจ้าบ้านพวกเจ้ามีความสามารถเท่าเสี้ยวหนึ่งของผู้เป็นบิดาเรื่องเช่นนี้มีหรือจะเกิดขึ้นได้?”
มู่กวนจงเปลี่ยนจากร้อยยิ้มที่เสแสร้งกลายเป็นเหยียดหยามในพริบตา
มองดูอวี้เหวินหยางที่ร่างสั่นเทิ่มด้วยความโกรธอยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า "นี่ต้องโทษเจ้าบ้านพวกเจ้าไร้ความสามารถ ไม่ใช่พวกข้าที่ใช้วิธีสกปรก ฮึ!"
“เจ้า!” ปี้หวังแยกเขี้ยวคิดพุ่งเข้าไปเสี่ยงชีวิตกับอีกฝ่ายเสียตอนนั้น
ทว่ามือเหวินหยางเอื้อมมือมาคว้าต้นแขนไว้
“ปี้หวัง...ไปเถอะ” อวี้เหวินหยางเบี่ยงหน้าไปทางโรงเตี๊ยมอวิ๋นจิน
ในดวงตาปรากฏแววรู้สึกผิด คำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย
หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตนเองไร้ความสามารถ
“นายท่าน!” ปี้หวังเบิกตา
เห็นเจ้าบ้านหนุ่มหดหู่พ่อบ้านเช่นตนย่อมมีหน้าที่ปลอบประโลมผู้เป็นนาย “ท่านอย่าไปฟังคำพูดของมู่กวนจง
ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าเพราะพวกมันหลอกล่อท่าน”
ยิ่งพูดยิ่งทำให้เสียงหัวเราะรอบตัวเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
อวี้เหวินหยางหน้าซีดบีบต้นแขนของพ่อบ้านตนเองแน่น
“เจ้าบ้านอวี้ ท่านก็บอกพ่อบ้านของท่านไปสิว่าท่านถูกพวกเราทำอะไร
คนเขารู้กันทั้งเมืองหลวง ไม่สิ
รู้กันจนทวนทั่วว่าในคืนนั้นท่านเป็นคนตะโกนออกปากขึ้นมาเองว่าจะพนันกับพี่ใหญ่มู่เรา
คำพูดที่บอกว่าจะนำการค้าทั้งหมดของตระกูลลงพนันก็เป็นท่านที่เอ่ยปาก พวกเราหาใช่บังคับขู่เข็ญท่านไม่?”
ปี้หวังอ้าปากค้าง จ้องมองใบหน้าที่เผือดซีดของอวี้เหวินหยาง บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาเบื้องหลังหันไปสบตากัน
ทั้งหมดรอให้เจ้าบ้านที่ไร้ประสบการณ์ผู้นี้ปฏิเสธออกมาว่าสิ่งที่มู่กวนจงพูดออกมานั้นไม่จริง
ทว่าอวี้เหวินหยางเพียงพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ” จากนั้นก้าวนำหน้าผู้คนไปยังโรงเตี๊ยมหลังเล็กที่อยู่ตรงข้าม
ปี้หวังย่นหัวคิ้ว มองดูมู่กวนจงที่ยิ้มเยาะเย้ยอยู่ด้านหน้าสลับกับนายท่านที่เดินห่างออกไป
สุดท้ายตัดสินใจพาคนเดินตามนายท่านไปโรงเตี๊ยมอวิ๋นจินฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าคับแค้นใจ
มู่กวนจงเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ ตะโกนตามหลังมาว่า “เจ้าบ้านอวี้
เห็นแก่ที่เคยเป็นคู่ค้ากันมา ท่านก็เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมเราเถอะ
รับรองข้าจะดูแลท่านอย่างดี!”
เหวินหยางชะงักเท้า ทว่าไม่หันกลับมาก็ตะโกนว่า “ไปดูแลบิดาเจ้าเถอะ!”
จากนั้นเดินเข้าประตูโรงเตี๊ยมไปท่ามกลางสายตาผู้คน
มู่กวนจงร้องฮึขึ้นจมูก พ่นคำออกมาว่า “อวดดีไปเถอะ!” ตบพัดที่คลี่ลงกับฝ่ามือ ขมวดคิ้วคราหนึ่งหันไปถามบ่าวรับใช้ของโรงเตี๊ยมที่ก้มหัวหลบอยู่เบื้องหลัง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าบ้านอวี้ถึงมาที่นี่”
บ่าวที่โดนถามสะดุ้ง มองหน้ามู่กวนจงอย่างโอดครวญ คนมันก็เพิ่งเห็นพร้อมท่านแล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายมาทำอะไร
ดังนั้นส่ายหน้าพรืดไม่อาจให้คำตอบได้
มู่กวนจงถามไม่ได้คำตอบก็สะบัดพัดคราหนึ่ง
ไล่บ่าวรับใช้ให้กลับไปทำงาน ตนเองหันกลับไปมองทางโรงเตี๊ยมตรงข้ามแวบหนึ่ง
คำพูดที่พ่อบ้านโอหังกล่าวมาเมื่อครู่ว่าจะกอบกู้ตระกูลกลับคืนนั้นแสดงว่าเจ้าบ้านอวี้ยังคงดิ้นรนกระเสือกกระสนที่จะกลับมา
‘ไม่ได้การ ต้องจับตาดูไว้เสียแล้ว...’
คิดแล้วก็เรียกบ่าวที่ติดตามมาจากบ้านใหญ่ให้คอยจับตาดูเจ้าบ้านอวี้ผู้นั้นให้ดี
‘ชักลากให้ตกลงมาเกลือกโคลนถึงเพียงนี้ไม่ง่าย
ใครจะปล่อยให้ตระกูลอวี้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งกันเล่า’ รอยยิ้มชั่วร้ายผุดออกมาหลังจากนั้น
ก่อนมู่กวนจงจะกลับเข้าโรงเตี๊ยมชิงหัวที่ตนอาสามาจัดการ
พรุ่งนี้ยังต้องตามไปตรวจดูกิจการอื่นๆที่ริบมาจากตระกูลอวี้อีกหลายสิบที่...
ปี้หวังก้าวเข้ามาภายในห้องพักที่แคบกว่าที่คิดไว้
ปิดประตูลงกลอนแผ่วเบาค่อยเข้ามาถึงห้องด้านในมองเห็นเจ้าบ้านหนุ่มนั่งอยู่ริมเตียงด้วยสีหน้าอมทุกข์
“นายท่าน...” เพิ่งเปิดปากอวี้เหวินหยางก็พูดขึ้นว่า “ปี้หวัง ข้ามันไม่ได้เรื่อง”
“ท่านพ่อคงผิดหวังที่ข้าเป็นเช่นนี้ และพวกเจ้า...ก็คงจะผิดหวังในตัวข้าเช่นเดียวกัน”
ปี้หวังขมวดคิ้ว รีบส่ายหน้ากล่าวว่า “นายท่าน ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลย
เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปอย่าได้เก็บมาคิดอีก
ที่สมควรคิดตอนนี้คือหาทางกอบกู้การค้าของตระกูลทั้งหมดกลับคืน!”
เหวินหยางเงยหน้าขึ้นมองพ่อบ้านของตนเอง “เจ้าว่าข้าจะสามารถทำให้ตระกูลของเรากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่?”
ปี้หวังเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าผู้เป็นนาย
นับแต่มันยังเด็กมันก็ถูกอบรมสั่งสอนเรื่องราวมากมายเพื่อในภายหน้าจะได้รับสืบทอดเป็นพ่อบ้านใหญ่
คอยช่วยเหลือเจ้าบ้านตระกูลอวี้นำพาตระกูลรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข มีเรื่องหลายเรื่องที่มันได้ฟัง
ทั้งยังมีบันทึกเกี่ยวกับตระกูลมากมาย บางเรื่องเป็นประวัติที่ถูกจารึกแต่บางเรื่องก็เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน
โดยเฉพาะเรื่องเล่าที่บอกว่าตระกูลอวี้ถูกคุ้มครองโดยวิญญาณบรรพบุรุษ
ต่อให้เผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงใดก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมธูปในศาลบรรพชนถึงถูกจุดไว้ไม่ให้ดับมาตลอดหลายร้อยปี
นั่นก็เพื่อคอยเรียกวิญญาณบรรพชนไม่ให้ลงสู่ปรภพ
แต่ว่า...เรื่องเช่นนี้ออกจะหลอกลวงผู้คนเกินไป ถึงปี้หวังจะถูกกำชับให้จดจำและบอกต่อสู่พ่อบ้านรุ่นต่อไปทว่าตัวมันก็ไม่ได้เชื่อถือเรื่องเช่นนี้แม้แต่น้อย
มาตอนนี้เพื่อปลอบประโลมผู้เป็นนายจึงได้พูดว่า “นายท่าน
ท่านมีสายเลือดของตระกูลอวี้ ไม่มีอะไรที่ตระกูลอวี้เราทำไม่ได้ถ้าคิดจะทำ
ข้าเชื่อว่า...วิญญาณบรรพชนต้องคอยคุ้มครองช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
เพื่อให้เจ้าบ้านเลิกคร่ำครวญ
พ่อบ้านเช่นปี้หวังย่อมต้องใช้ทุกอย่างที่มีทำให้ผู้เป็นนายกลับมาฮึดสู้
ใครจะไปคิดเจ้าบ้านหนุ่มกลับคิดไปอีกทาง
อวี้เหวินหยางได้ฟังคำพูดของพ่อบ้านของตนแล้วต้องยิ้มออก แววตากลับมาเป็นประกายอีกครั้ง
ลุกขึ้นอย่างฉับพลันทันใดพร้อมกับพูดว่า “ใช่แล้ว ไปหาบรรพชนให้ช่วยเหลือกันเถอะ!”
อวี้เหวินหยางกลับมามีชีวิตชีวา พอคิดถึงสมบัติในสุสานเหล่านั้นแล้ว
ต่อให้มีตระกูลมู่อีกสักสิบก็ไม่สามารถฉุดรั้งความยิ่งใหญ่ของตระกูลอวี้ได้!
ที่ปี้หวังพูดออกมานั้นอวี้เหวินหยางใช่คิดถึงวิญญาณบรรพชนเสียที่ไหน
สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤติได้ก็มีแต่สมบัติมหาศาลเท่านั้นแหละ!
ความคิดเห็น