ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฒ่าแก่พันปี {บันทึกลับตระกูลอวี้รุ่นที่ 59}

    ลำดับตอนที่ #7 : วิญญาณหวนคืน 3

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 61


    วิญญาณหวนคืน 3


    ต่อให้ไม่ใช่คนคิดมากเจอเรื่องเช่นนี้ไม่คิดก็ต้องคิด หยกแท้ๆก้อนหนึ่งถึงมีลมพัดก็คงหลุดออกมาเองไม่ได้กระมั้ง?


    เหวินหยางหน้าซีด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในที่ปิดแน่นไร้ทางออกเช่นนี้จะมีลมไปได้เลย!


    นายท่าน ข้าไม่สบายใจเลย พวกเรารีบไปหากระบี่มางัดประตูกันเถอะขอรับปี้หวังพูดอย่างหวาดๆ ในใจคิดไปถึงเรื่องราวลี้ลับทั้งหลายที่เคยได้ฟังมา สุสานเป็นที่ของคนตาย ใช่ที่ที่คนเป็นจะเข้ามาเสียที่ไหน


    งั้นรีบเถอะเจ้าบ้านหนุ่มขมวดคิ้วเคร่งเครียด สาวเท้าจะเดินต่อแต่หยุดชะงักอีก เดี๋ยวก่อนนะแม้ไม่เข้าใจว่าหยกหลุดออกมาได้อย่างไรแต่เพื่อความสบายใจจึงก้าวกลับไปหยิบหยกห้าเหลี่ยมขึ้นมา ลังเลเล็กน้อยค่อยยัดกลับเข้าไปยังที่เดิม กันเหนียวไว้ก่อน


    ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังอีกฟากของห้องหลัก เดินเข้าไปในห้องปีกข้างที่ใช้วางของฝังร่วมฝั่งขวา ทันทีที่เข้ามา แสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่างจนทวนทั่ว มองเห็นสภาพภายในก็ถึงกับผงะถอยหลัง ปี้หวังโผเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นนายอย่างลืมตัว


    ในห้องนี้แตกต่างจากห้องก่อนหน้า แม้ใช้วางของฝังร่วมเช่นกัน ทว่าสิ่งที่ฝังไม่ใช่สมบัติแต่เป็นร่างไร้ชีวิตของคนผู้หนึ่ง


    แท่นใหญ่พอๆกับเตียงหนึ่งหลังวางร่างที่แห้งจนหนังติดกระดูกไปแล้วเอาไว้ แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงสีสัน ดูก็รู้ว่าใช้เนื้อผ้าอย่างดีในการตัดเย็บ รอบห้องวางกระเบื้องลายครามและเครื่องเรือนหลากหลายจนแทบกองพะเนินเต็มห้อง ดูไปเป็นของใช้ของคนผู้นี้ก่อนตาย


    ยังดีที่ศพวางหน้ากากหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคงได้ตกใจจนปัสสาวะเรี่ยราดไปแล้ว


    นายท่าน ที่แท้สุสานนี้ใช้คนฝังร่วมด้วย!”


    ในอดีตมีธรรมเนียมใช้คนเป็นๆฝังไปพร้อมกับเจ้าของสุสาน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ บ่าวรับใช้หรือแม้แต่ภรรยาของผู้เป็นเจ้าของสุสานเอง เพื่อให้เมื่อตายไป คนเหล่านี้จะได้ตามไปรับใช้ผู้เป็นนายในปรภพ แต่เพราะการทำเช่นนี้โหดร้ายทั้งยังใช้เงินทองในการจัดสร้างมากมาย เมื่อศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาในจงหยวนธรรมเนียมเช่นนี้จึงถูกยกเลิก เพียงใช้สิ่งของเป็นตัวแทน เช่นหุ่นดินเผาหรือภาพวาด


    คนผู้นี้คงเป็นบ่าวรับใช้ของท่านผู้เฒ่าที่นอนอยู่ในโลงแน่


    นั่นสิขอรับปี้หวังถอนหายใจ อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้เมื่อนึกว่าตนเองก็มีสถานะเดียวกันกับคนผู้นี้ ยามเป็นติดตามไม่ห่างกาย ยามตายอยู่รับใช้ถึงโลกหน้า หากเป็นมัน...จะยอมให้ตนเองถูกฝังไปพร้อมกับผู้เป็นนายหรือไม่?


    เหวินหยางคล้ายรู้สึกถึงความหดหู่ในน้ำเสียงของปี้หวัง จึงตบฝ่ามือลงที่ไหล่ของพ่อบ้านหนุ่ม จากนั้นเดินเข้าไปใกล้แท่นวางศพ ดูจากลักษณะการวางของฝังร่วม รวมทั้งชุดที่สวมใส่ซึ่งมีแต่ของอย่างดี คาดว่ายามมีชีวิตอยู่คนผู้นี้มีสถานะไม่ด้อย


    มือของศพถูกวางไขว้กันไว้บนหน้าอก เหมือนว่าโอบกอดบางอย่างเอาไว้ ชะโงกหน้าเข้าไปดูจนแทบชิดจึงเห็นว่าของสิ่งนั้นเป็นป้ายไม้สลักอักษรเอาไว้


    ติดตามรับใช้ ผู้เป็นนาย...สู่แดนเซียนหน้ากากทองเหลืองเมื่อต้องแสงบังเกิดเงาที่แปลกประหลาดดูลี้ลับ


     พออ่านตัวอักษรบนป้ายไม้ออกมาถึงกับรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นจริงจังในคำพูดนี้จนขนลุก


    เอาละ เรามาหากระบี่กันเถอะเจ้าบ้านหนุ่มม้วนแขนเสื้ออีกรอบ กวาดตาดูทั่วห้อง มองเห็นข้าวของเครื่องใช้กองพะเนิน แต่สองนายบ่าวพลิกข้าวของหาจนทวนทั่วแล้วไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอ เหวินหยางยืดตัวขึ้น คราวนี้ทำสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวว่า ท่านน้าผู้นี้ หากท่านรับใช้ผู้เป็นนายอยู่จริงก็ให้เรายืมดาบหรือกระบี่เถอะ อย่างน้อยเป็นมีดสั้นสักเล่มก็ยังดี ไม่อย่างนั้นนายของท่านคงได้ถูกพวกข้ารบกวนแน่ นี่พวกข้าเอ่ยด้วยความหวังดี เพราะไม่อยากรบกวนท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในโลงหรอกนะ!”


    นายท่าน! ท่านกล่าวอะไรขอรับ!” ปี้หวังรู้สึกว่าเหวินหยางช่างละเล่นได้ไม่เลือกเวลา สถานที่เช่นนี้ใครเขาพูดแบบนี้กัน


    ปี้หวัง ข้าแค่กำลังเจรจากับท่านน้าผู้นี้อยู่!” เหวินหยางชี้นิ้วไปยังศพที่นอนอยู่บนแท่นอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้มันรู้สึกร้อนใจเจียนจะบ้าตายแล้ว


    ตอนนั้นเอง ลมพัดผ่านใบหน้าวูบหนึ่ง เสียงเคร้งพลันดังขึ้นยังจุดที่เหวินหยางชี้ไป หันขวับไปมองอย่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง พบว่ามีมีดสั้นสีเงินวาวตกอยู่ข้างศพ ตัวมีดยังสั่นเพราะตกลงมากระทบพื้นหินไม่หาย


    มีดสั้นที่อยู่ๆก็ตกลงมาทำเอาสามวิญญาณจิตเจ็ดวิญญาณกายของสองนายบ่าวหลุดลอยไปแล้ว ปี้หวังตัวแข็งทื่อ ชี้นิ้วที่สั่นสะท้านไปยังมีดสั้นปลายแหลมคมที่ยังแวววับ หาฝักไม่เจอ


    ตายโหงแล้ว หรือว่าโลกนี้มีผีจริงๆ!’ อวี้เหวินหยางเหลียวซ้ายขวามองรอบห้องอย่างหวาดผวา ในใจร่ำร้องบ้าคลั่งว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ไม่ปกติแล้ว!


    นะ นายท่าน อย่าเพิ่งตระหนกขอรับ! บางทีมันอาจหลุดออกมาจากศพ...ถึงปากจะพูดเช่นนั้น แต่สองมือเกาะแขนเหวินหยางแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่รู้ว่าที่พูดออกไปนั่นพูดเพื่อปลอบผู้เป็นนายหรือเพื่อตนเองกันแน่


    นะ นั่นสิเหวินหยางผงกศีรษะระรัว แม้ว่าใจตนเองจะไม่รู้สึกเชื่อในคำอธิบายนี้แม้แต่น้อยก็ตามที หาของงัดประตูได้แล้วเราก็รีบไปเถอะ อย่ารบกวนท่านผู้เฒ่าทั้งสองอีกเลย!” ทำใจกล้าคว้ามีดสั้นข้างศพมาอย่างรวดเร็ว ตาจ้องมองศพบนแท่นเดินถอยหลังออกไปยังห้องสุสานหลักอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนปลุกผู้ที่นอนอยู่บนแท่นให้ตื่น พอออกมาได้ก็รีบส่งมีดสั้นให้ปี้หวัง พ่อบ้านหนุ่มก็วิ่งอย่างลืมตายไปยังประตูหินสุสาน สอดมีดเข้าร่องหินพยายามงัดประตูให้เปิดออกอย่างเร่งรีบราวถูกไฟลนก้นก็ไม่ปาน


    อวี้เหวินหยางถือไข่มุกราตรี มองสลับไปมาระหว่างปี้หวัง ประตูห้องฝังร่วมที่เพิ่งออกมาและโลงศพหินใหญ่กลางห้อง ความไม่สบายใจรุมเร้าไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนบรรยากาศภายในห้องสุสานอึดอัดมากกว่าเดิม


    ตั้งแต่หยกท้ายโลงหลุดออกมาเอง จนถึงมีดสั้นที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้แม้แต่น้อย!


    หรือเราจะทำให้บรรพชนไม่พอใจจริงๆคิดจนเหงื่อตก หลังจากสลับมองปี้หวัง ห้องฝังร่วมที่มีศพแห้งกรังและโลงใหญ่ไปมาอีกสองสามครั้ง เหวินหยางค่อยปลุกกำลังขวัญ ล้วงก้านธูปที่หักแทบใช้การไม่ได้ออกมาจากอกเสื้อ เพราะเมื่อครู่กระแทกลงมาจนทำธูปหักไปหมด หลังเลือกดูเห็นมีเพียงก้านเดียวที่ยังอยู่ในสภาพใช้การได้ แต่ว่ามันดันลืมไป พวกมันไม่ได้พกหินจุดไฟมาด้วย!


    แม้แต่เทียนยังไม่มีปัญญาจุดขึ้นมาใหม่ นับประสาอะไรกับธูปในมือ โคลงศีรษะไปมาอย่างช่วยไม่ได้ เช่นนั้นก็ปักธูปเปล่าๆไปเลยก็แล้วกัน


    ปี้หวังเจ้างัดประตูไป ข้าจะไปกราบขอขมาบรรพบุรุษใหญ่เสียหน่อยหันไปบอกปี้หวังคำหนึ่งก่อนเดินไปหน้าโลงศพใหญ่ คุกเข่าลงพร่ำพูดในใจว่า


    ขอบรรพชนที่นอนอยู่ในโลงอย่าได้ถือสาหาความ พวกข้าเข้ามาในสุสานก็เพื่อหยิบยืมเงินทองไปฟื้นฟูกิจการของตระกูล หากการค้ากลับมาราบรื่นมั่นคงจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้พวกท่านมากๆ ส่วนไข่มุกราตรีที่ยืมไป...คาดว่าคงไม่สามารถนำกลับมาใช้คืนได้ แต่ท่านอย่าห่วง! ในปรโลกไข่มุกราตรีไม่ค่อยมีค่าเท่าใด กระดาษเงินกระดาษทองสิมีค่ากว่า เชื่อข้านะขอรับ!’


    กล่าวจบก็ปักธูปลงดินอย่างมุ่งมั่น คิดว่าบรรพบุรุษคงพอจะเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง


    ไม่คาด...


    พอปักธูปลงไป หยกท้ายโลงที่เมื่อครู่ตนเองเป็นคนยัดเข้าที่เดิมกับมือพลันพุ่งออกมากระแทกกำแพงสุสานแตกเป็นเสี่ยงๆต่อหน้าต่อตา อวี้เหวินหยางปากอ้าตาค้าง หงายหลังก้นกระแทกพื้น ไร้เรี่ยวแรงขยับกายโดยสิ้นเชิง


    หลังจากหยกแตกกระจาย โลงหินใหญ่เบื้องหน้าพลันบังเกิดเสียงดังปังดูทึมทึบคล้ายของบางอย่างในโลงถูกกระแทกแตกหัก เหวินหยางหน้าซีดเผือด ว่ากันว่าโลงใหญ่เช่นนี้จะเรียกว่าโลงชั้นนอก ภายในโลงศพยังมีโลงชั้นในอีก...


    เสียงปังดังขึ้นอีกที คราวนี้ขาสองข้างของเหวินหยางสั่นกระตุก โลงชั้นที่หนึ่ง...ต่อมาก็เป็นโลงชั้นที่สอง ถ้าอย่างนั้น...


    ปี้หวังที่ได้ยินเสียงผิดปกติหันกลับมา พอมองเห็นตัวโลงชัดตาถึงกับตาเหลือกลาน มีดในมือหล่นกระทบฟื้นหินเสียงดังเคร้ง


    คราวนี้โลงหินใหญ่เริ่มขยับแล้ว...


    อา...อ้าก!” เจ้าบ้านหนุ่มส่งเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด เมื่อโลงหินหนักที่สมควรปิดสนิทขยับเขยื้อนขึ้นมา ใจต้องการลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี ทว่าร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง สุดท้ายพานคิดถึงบ่าวคนสนิทเรียกให้มันมาลากตนเองไปโดยด่วน ปะ ปี้หวัง ปี้หวัง! ช่วยข้าด้วย!”


    ปี้หวังก็ใช่จะมีสภาพที่ดีกว่าเท่าไหร่ พ่อบ้านหนุ่มขาสั่นพับๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นนายเรียกร้องให้ช่วยเหลือก็พลันฮึด หลับหูหลับตาวิ่งเข้าไปลากผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นมา อย่างทุลักทุเลค่อยประคองกันเอาหลังมาชิดประตูที่ยังปิดสนิทแนบแน่น


    ปี้หวัง! บ๊ะจ่าง บ๊ะจ่างจะออกจากโลงแล้ว!”


    นายท่าน! เมื่อครู่ท่านไปขอขมาอย่างไรถึงทำให้ท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นมาได้ละขอรับ!” ปี้หวังน้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ อยากกัดลิ้นตนเองตายเสียเดี่ยวนั้น


    ข้าก็ไม่รู้...ก็บอกว่าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ หรือว่าท่านผู้เฒ่าไม่ต้องการเงินทอง?


    นายท่าน! แค่กระดาษเงินกระดาษทองหรือ? ท่านดูของฝังร่วมที่ห้องข้างสิขอรับ หีบหกใบนั่นมีใบใดบ้างที่ไร้ค่า แต่ท่านเพียงบอกว่าจะเผาแค่กระดาษเงินกระดาษงั้นหรือขอรับ!”


    ข้าผิดไปแล้ว...เหวินหยางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้อย่างนี้น่าจะบอกว่าจะเอาทองคำหีบใหญ่มาคืนแทน ยิ่งเห็นฝาโลงหินเริ่มขยับเขยื้อนช้าๆก็ยิ่งสติแตก ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อยากตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษใหญ่ มันยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องสืบทอดตระกูลอยู่ จะมาตายที่นี่ได้อย่างไร! เห็นมีดสั้นตกอยู่ปลายเท้าอวี้เหวินหยางก็รีบคว้าขึ้นมา หันไปงัดประตูหินอย่างเอาเป็นเอาตาย


    ปี้หวัง ช่วยข้างัดประตูเร็วเข้า!”


    แม้หน้าเลอะไปด้วยน้ำหูน้ำตา แต่ทั้งสองก็ช่วยกันงัดประตูอย่างลืมตาย จวบจนรู้สึกได้ว่าว่าประตูหินเริ่มขยับแล้ว ความยินดีค่อยเอ่อล้นเต็มหัวใจ นายท่าน ประตูขยับแล้ว!”


    เหวินหยางกำลังจะบอกว่าดี รีบช่วยกันเปิด เบื้องหลังพลันได้ยินเสียงแตกกระแทกของหิน จากนั้นรู้สึกถึงแรงลมวูบ เศษฝาโลงที่แตกหักปลิวตรงมายังพวกมันที่ช่วยกันงัดประตูอยู่


    ปี้หวังไม่สนถึงความสมควร ยกเท้าขึ้นมาถีบเหวินหยางจนหงายหลัง สองคนต่างคนต่างล้มก้นกระแทกพื้น พอดีกับที่ฝาโลงปลิวผ่านปลายจมูก กระแทกเข้ากับประตูหินเสียงโครม


    กลืนน้ำลายเสียงดังอึก อากาศอับชื้นจากด้านนอกโชยเข้ามา แต่ทั้งๆที่ประตูหินเปิดแล้ว สองนายบ่าวกลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย


    ค่อยๆหันใบหน้าซีดเผือดที่ตกใจจนแข็งทื่อมองไปยังโลงศพกลางห้อง ไข่มุกราตรีเม็ดโตที่ถูกวางทิ้งไว้เบื้องหลังยังคงเรืองแสงสว่างราวแสงจันทรา ส่องต้องมือขาวซีดที่ค่อยๆเอื้อมช้าๆขึ้นมาเกาะขอบโลง เล็บสีขาวที่ยาวจนโค้งงอดูน่าหวาดผวา เพราะมันบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ด้านในไม่มีทางเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเด็ดขาด


    ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมดำยาวดูแห้งกรังผุดตามขึ้นมาหลังจากนั้น จวบจนเมื่อใบหน้าขาวซีดโผล่พ้นออกมาจนหมดสิ้น ปี้หวังก็ตาเหลือกหมดสติไปแล้ว


    อา...เสียงครางยานค้างอันน่าหวาดผวาพอดัง เหวินหยางก็คลานถอยอย่างลนลาน แต่ฉับพลันนั้นได้ยินเสียงแกรกกรากดังขึ้นมาเบื้องหลัง ที่แท้มารพันวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในประตูหินกลวงถูกฝาโลงกระแทกปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน


    เหวินหยางเบ้ปากจะร้องไห้ นี่ต้องบอกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน เคราะห์แรกยังไม่หายเคราะห์ต่อไปก็ก้าวมาหา หรือวันนี้ตระกูลอวี้ต้องสิ้นสุดลงที่เจ้าบ้านผู้ไร้สามารถอย่างมันแล้วจริงๆ?


    ตะขาบตัวโตเท่าต้นขาคลานออกมาจากเศษซากประตูหินที่แตกละเอียด มุ่งตรงไปยังปี้หวังที่นอนหมดสติ เหวินหยางกัดฟัน ไม่สนใจว่าข้างหน้าจะเป็นตะขาบพิษหรือข้างหลังจะมีศพฟื้นของบรรพบุรุษพันปี ถ้าหากต้องตายแล้วแต่ยังถูกตราหน้าว่าเป็นเจ้าบ้านที่ใช้การไม่ได้ แม้แต่บ่าวรับใช้คนหนึ่งยังไม่สามารถปกป้อง เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่มันจะไปรายงานตัวกับบรรพบุรุษทั้งหลายในปรโลก


    ดังนั้นเหวินหยางกระทำการที่โง่เขลาอีกครั้ง คว้าเศษหินข้างตัวขว้างใส่ตะขาบพิษที่กำลังเลื้อยเข้าหาปี้หวัง ผลคือ ตะขาบตัวนั้นเปลี่ยนเป้าหมายเข้ามาหามันแทนแล้ว


    เอาเถอะ! จะโดนตะขาบพิษกัดหรือโดนบ๊ะจ่างหักคอ ทางไหนก็ตายเช่นกัน!’


    มีดวาววับข้างมือถูกหยิบขึ้นมาถือมั่น ตระเตรียมสู้ตายกับตะขาบยักษ์ตรงหน้า ส่วนบรรพบุรุษใหญ่ด้านหลัง...เหลือไว้ให้ปี้หวังจัดการเองก็แล้วกัน เจ้าบ้านผู้นี้จะขอไปสบายก่อนแล้ว!


    ตะขาบยักษ์เลื้อยเข้ามาอย่างดุร้ายหมายขวัญ เหวินหยางยกมีดในมือขึ้นมาพร้อมกับสูดลมหายใจจนเต็มปอด แต่สูดไปได้ครึ่งทางก็ชะงักจนแทบกระอัก กลิ่นเครื่องหอมประหลาดฉุนรุนแรงกระทบจมูกจนแทบสิ้นชีวา ยังมีเงาดำสูงใหญ่ที่ทาทับอยู่เบื้องหลัง ดูก็รู้ว่าไม่ได้เป็นของปี้หวังที่นอนสลบอยู่อีกด้านแน่นอน


    เหวินหยางผู้นี้ยอมรับว่าไร้ความสามารถ ทั้งยังผิดไปแล้วที่เข้ามาขุดสุสานบรรพชน แต่ข้ายอมเผชิญหน้ากับตะขาบขนาดนี้ ท่านยังไม่ปล่อยข้าไปสบายแบบเงียบๆบ้างเลยหรือ ข้าก็ยกปี้หวังให้ท่านไว้ใช้เล่นแล้วไง! โฮ...หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน คนก็เป็นเช่นนี้เอง พอรู้ว่าตนเองต้องตายจริงๆแล้วไม่รู้ไปเอาความสงบมาจากที่ใด อวี้เหวินหยางมองดูตะขาบเบื้องหน้าที่มุ่งตรงเข้ามาไม่ชะงักสักเสี้ยววิ ทาทับด้วยเงาของบรรพบุรุษใหญ่ที่ยืนจังกาอยู่เบื้องหลัง เอาเถิด พวกเจ้าอยากหมาหมู่ก็เอาเลย! ข้าเหวินหยางขาหมดแรงคร้านลุกหนีแล้ว!


    หลับตาปลดปลง รู้สึกได้ถึงลมไหววูบที่หลังคอ กำลังคิดว่าความตายจะเจ็บปวดหรือไม่ โลกหลังความตายจะเป็นเช่นไร ต้นคอกลับรู้สึกตึงวูบ ทั้งตัวถูกแรงมหาศาลกระชากขึ้นมาจากพื้นจนเบาโหว่งวูบหนึ่ง แต่อาการเบาโหวงนั้นมีอยู่เพียงเสี้ยววิ ที่ตามมาคือเสียงดังพลักพร้อมร่างที่กระแทกเข้ากับฐานโลงศพจนกระดูกแทบหักร้าว


    อ้าก...เจ็บ!” ก็คิดอยู่หรอกว่าคงไม่ได้ไปแบบสบายๆ แต่เหตุใดถึงได้กระทำรุนแรงเช่นนี้เล่า มันก็ไม่ได้ขัดขืนเสียหน่อย!?


    ฝืนลืมตาขึ้นมามอง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่รู้จะต้องหน้าซีดเผือด ปากอ้าค้างหรือร้องไห้เรียกหาบิดาดี


    หลังจากโยนเหวินหยางมาทิ้งตรงนี้ บ๊ะจ่างใหญ่ก็เอื้อมมือคว้าตะขาบยักษ์ขึ้นมาด้วยสองมือ จากนั้น...ฉีกร่างที่หยึกหยักน่ารังเกียจทิ้งด้วยมือเปล่า


    อย่าบอกนะว่าพวกเราก็ต้องโดนเช่นนั้นด้วย...สุ้มเสียงสั่นเทาดังข้างหูจนเหวินหยางตกใจแทบสิ้นสติ หันขวับไปมองกลับเป็นปี้หวังที่ลุกขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ซึ่งที่จริงแล้วปี้หวังรู้สึกตัวตั้งแต่ตะขาบพิษนั่นเลื้อยออกมาแล้ว แต่พอเหวินหยางโยนหินล่อมันไปก็รู้สึกซาบซึ้งใจ คิดว่าในเมื่อผู้เป็นนายมอบโอกาศมันก็ไม่สมควรปฏิเสธให้เสียน้ำใจ ก็เลยแกล้งสลบต่อไป ไม่คาด บรรพบุรุษใหญ่กลับโผล่มาโยนเหวินหยางทิ้งจนปลิวหวือ ตนเองจะนอนต่อไปก็ใช่ที่ มีทั้งตะขาบทั้งผีดิบ ดังนั้นลุกขึ้นวิ่งกลับมาสมทบกับผู้เป็นนายในที่สุด


    แม้เหวินหยางจะรู้สึกคลางใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจ


    ปี้หวัง เจ้าว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปดี!”


    ปี้หวังมองดูตะขาบที่ถูกกระชากไส้ออกมาทีละเล็กละน้อย กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่ทันพูดบรรพบุรุษใหญ่เบื้องหน้าก็ทิ้งตะขาบที่เหลือเพียงหัวที่ขยับอย่างทุรนทุรายลงกับพื้น จากนั้นยกเท้าขึ้นมา กระทืบหัวตะขาบจนแหลกเละในเท้าเดียว


    นัยน์ตาทึมทึบไร้ประกายหันกลับมา ใบหน้าซีดขาวยิ่งต้องแสงนวลจากไข่มุกราตรียิ่งเพิ่มเติมให้ใบหนาไร้สีเลือดยิ่งกว่าเดิม


    ร่างไร้อาภรณ์ราวชีเปลือยนั้นเริ่มขยับ หันกลับมาทั้งตัว เส้นผมแห้งกรังดำยาวถึงข้อเท้าขยับพลิ้วน้อยๆบดบังสัดส่วนบางอย่างไปบ้าง สองเท้าขยับก้าวเข้าหาพวกมันทั้งสองที่นั่งพิงโลงด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×