คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วิญญาณหวนคืน 3
วิญญาณหวนคืน 3
ต่อให้ไม่ใช่คนคิดมากเจอเรื่องเช่นนี้ไม่คิดก็ต้องคิด
หยกแท้ๆก้อนหนึ่งถึงมีลมพัดก็คงหลุดออกมาเองไม่ได้กระมั้ง?
เหวินหยางหน้าซีด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในที่ปิดแน่นไร้ทางออกเช่นนี้จะมีลมไปได้เลย!
“นายท่าน ข้าไม่สบายใจเลย
พวกเรารีบไปหากระบี่มางัดประตูกันเถอะขอรับ” ปี้หวังพูดอย่างหวาดๆ
ในใจคิดไปถึงเรื่องราวลี้ลับทั้งหลายที่เคยได้ฟังมา สุสานเป็นที่ของคนตาย
ใช่ที่ที่คนเป็นจะเข้ามาเสียที่ไหน
“งั้นรีบเถอะ” เจ้าบ้านหนุ่มขมวดคิ้วเคร่งเครียด สาวเท้าจะเดินต่อแต่หยุดชะงักอีก “เดี๋ยวก่อนนะ” แม้ไม่เข้าใจว่าหยกหลุดออกมาได้อย่างไรแต่เพื่อความสบายใจจึงก้าวกลับไปหยิบหยกห้าเหลี่ยมขึ้นมา
ลังเลเล็กน้อยค่อยยัดกลับเข้าไปยังที่เดิม กันเหนียวไว้ก่อน
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังอีกฟากของห้องหลัก
เดินเข้าไปในห้องปีกข้างที่ใช้วางของฝังร่วมฝั่งขวา ทันทีที่เข้ามา
แสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่างจนทวนทั่ว มองเห็นสภาพภายในก็ถึงกับผงะถอยหลัง ปี้หวังโผเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นนายอย่างลืมตัว
ในห้องนี้แตกต่างจากห้องก่อนหน้า
แม้ใช้วางของฝังร่วมเช่นกัน ทว่าสิ่งที่ฝังไม่ใช่สมบัติแต่เป็นร่างไร้ชีวิตของคนผู้หนึ่ง
แท่นใหญ่พอๆกับเตียงหนึ่งหลังวางร่างที่แห้งจนหนังติดกระดูกไปแล้วเอาไว้
แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงสีสัน ดูก็รู้ว่าใช้เนื้อผ้าอย่างดีในการตัดเย็บ รอบห้องวางกระเบื้องลายครามและเครื่องเรือนหลากหลายจนแทบกองพะเนินเต็มห้อง
ดูไปเป็นของใช้ของคนผู้นี้ก่อนตาย
ยังดีที่ศพวางหน้ากากหน้าเคร่งขรึมเอาไว้
ไม่อย่างนั้นทั้งสองคงได้ตกใจจนปัสสาวะเรี่ยราดไปแล้ว
“นายท่าน
ที่แท้สุสานนี้ใช้คนฝังร่วมด้วย!”
ในอดีตมีธรรมเนียมใช้คนเป็นๆฝังไปพร้อมกับเจ้าของสุสาน
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ บ่าวรับใช้หรือแม้แต่ภรรยาของผู้เป็นเจ้าของสุสานเอง เพื่อให้เมื่อตายไป
คนเหล่านี้จะได้ตามไปรับใช้ผู้เป็นนายในปรภพ แต่เพราะการทำเช่นนี้โหดร้ายทั้งยังใช้เงินทองในการจัดสร้างมากมาย
เมื่อศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาในจงหยวนธรรมเนียมเช่นนี้จึงถูกยกเลิก
เพียงใช้สิ่งของเป็นตัวแทน เช่นหุ่นดินเผาหรือภาพวาด
“คนผู้นี้คงเป็นบ่าวรับใช้ของท่านผู้เฒ่าที่นอนอยู่ในโลงแน่”
“นั่นสิขอรับ” ปี้หวังถอนหายใจ อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้เมื่อนึกว่าตนเองก็มีสถานะเดียวกันกับคนผู้นี้
ยามเป็นติดตามไม่ห่างกาย ยามตายอยู่รับใช้ถึงโลกหน้า
หากเป็นมัน...จะยอมให้ตนเองถูกฝังไปพร้อมกับผู้เป็นนายหรือไม่?
เหวินหยางคล้ายรู้สึกถึงความหดหู่ในน้ำเสียงของปี้หวัง
จึงตบฝ่ามือลงที่ไหล่ของพ่อบ้านหนุ่ม จากนั้นเดินเข้าไปใกล้แท่นวางศพ ดูจากลักษณะการวางของฝังร่วม รวมทั้งชุดที่สวมใส่ซึ่งมีแต่ของอย่างดี
คาดว่ายามมีชีวิตอยู่คนผู้นี้มีสถานะไม่ด้อย
มือของศพถูกวางไขว้กันไว้บนหน้าอก เหมือนว่าโอบกอดบางอย่างเอาไว้
ชะโงกหน้าเข้าไปดูจนแทบชิดจึงเห็นว่าของสิ่งนั้นเป็นป้ายไม้สลักอักษรเอาไว้
“ติดตามรับใช้ ผู้เป็นนาย...สู่แดนเซียน”
หน้ากากทองเหลืองเมื่อต้องแสงบังเกิดเงาที่แปลกประหลาดดูลี้ลับ
พออ่านตัวอักษรบนป้ายไม้ออกมาถึงกับรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นจริงจังในคำพูดนี้จนขนลุก
“เอาละ เรามาหากระบี่กันเถอะ”
เจ้าบ้านหนุ่มม้วนแขนเสื้ออีกรอบ กวาดตาดูทั่วห้อง
มองเห็นข้าวของเครื่องใช้กองพะเนิน แต่สองนายบ่าวพลิกข้าวของหาจนทวนทั่วแล้วไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอ
เหวินหยางยืดตัวขึ้น คราวนี้ทำสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวว่า “ท่านน้าผู้นี้ หากท่านรับใช้ผู้เป็นนายอยู่จริงก็ให้เรายืมดาบหรือกระบี่เถอะ
อย่างน้อยเป็นมีดสั้นสักเล่มก็ยังดี ไม่อย่างนั้นนายของท่านคงได้ถูกพวกข้ารบกวนแน่
นี่พวกข้าเอ่ยด้วยความหวังดี เพราะไม่อยากรบกวนท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในโลงหรอกนะ!”
“นายท่าน! ท่านกล่าวอะไรขอรับ!”
ปี้หวังรู้สึกว่าเหวินหยางช่างละเล่นได้ไม่เลือกเวลา
สถานที่เช่นนี้ใครเขาพูดแบบนี้กัน
“ปี้หวัง
ข้าแค่กำลังเจรจากับท่านน้าผู้นี้อยู่!” เหวินหยางชี้นิ้วไปยังศพที่นอนอยู่บนแท่นอย่างเคร่งเครียด
ตอนนี้มันรู้สึกร้อนใจเจียนจะบ้าตายแล้ว
ตอนนั้นเอง ลมพัดผ่านใบหน้าวูบหนึ่ง เสียงเคร้งพลันดังขึ้นยังจุดที่เหวินหยางชี้ไป
หันขวับไปมองอย่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง พบว่ามีมีดสั้นสีเงินวาวตกอยู่ข้างศพ
ตัวมีดยังสั่นเพราะตกลงมากระทบพื้นหินไม่หาย
มีดสั้นที่อยู่ๆก็ตกลงมาทำเอาสามวิญญาณจิตเจ็ดวิญญาณกายของสองนายบ่าวหลุดลอยไปแล้ว
ปี้หวังตัวแข็งทื่อ ชี้นิ้วที่สั่นสะท้านไปยังมีดสั้นปลายแหลมคมที่ยังแวววับ
หาฝักไม่เจอ
‘ตายโหงแล้ว
หรือว่าโลกนี้มีผีจริงๆ!’ อวี้เหวินหยางเหลียวซ้ายขวามองรอบห้องอย่างหวาดผวา
ในใจร่ำร้องบ้าคลั่งว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ไม่ปกติแล้ว!
“นะ นายท่าน อย่าเพิ่งตระหนกขอรับ!
บางทีมันอาจหลุดออกมาจากศพ...” ถึงปากจะพูดเช่นนั้น
แต่สองมือเกาะแขนเหวินหยางแน่นไม่ยอมปล่อย
ไม่รู้ว่าที่พูดออกไปนั่นพูดเพื่อปลอบผู้เป็นนายหรือเพื่อตนเองกันแน่
“นะ นั่นสิ” เหวินหยางผงกศีรษะระรัว
แม้ว่าใจตนเองจะไม่รู้สึกเชื่อในคำอธิบายนี้แม้แต่น้อยก็ตามที “หาของงัดประตูได้แล้วเราก็รีบไปเถอะ อย่ารบกวนท่านผู้เฒ่าทั้งสองอีกเลย!”
ทำใจกล้าคว้ามีดสั้นข้างศพมาอย่างรวดเร็ว
ตาจ้องมองศพบนแท่นเดินถอยหลังออกไปยังห้องสุสานหลักอย่างระมัดระวัง
ราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนปลุกผู้ที่นอนอยู่บนแท่นให้ตื่น พอออกมาได้ก็รีบส่งมีดสั้นให้ปี้หวัง
พ่อบ้านหนุ่มก็วิ่งอย่างลืมตายไปยังประตูหินสุสาน
สอดมีดเข้าร่องหินพยายามงัดประตูให้เปิดออกอย่างเร่งรีบราวถูกไฟลนก้นก็ไม่ปาน
อวี้เหวินหยางถือไข่มุกราตรี
มองสลับไปมาระหว่างปี้หวัง ประตูห้องฝังร่วมที่เพิ่งออกมาและโลงศพหินใหญ่กลางห้อง
ความไม่สบายใจรุมเร้าไปทั้งร่าง
รู้สึกเหมือนบรรยากาศภายในห้องสุสานอึดอัดมากกว่าเดิม
ตั้งแต่หยกท้ายโลงหลุดออกมาเอง จนถึงมีดสั้นที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้น
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้แม้แต่น้อย!
‘หรือเราจะทำให้บรรพชนไม่พอใจจริงๆ’
คิดจนเหงื่อตก หลังจากสลับมองปี้หวัง ห้องฝังร่วมที่มีศพแห้งกรังและโลงใหญ่ไปมาอีกสองสามครั้ง
เหวินหยางค่อยปลุกกำลังขวัญ ล้วงก้านธูปที่หักแทบใช้การไม่ได้ออกมาจากอกเสื้อ
เพราะเมื่อครู่กระแทกลงมาจนทำธูปหักไปหมด
หลังเลือกดูเห็นมีเพียงก้านเดียวที่ยังอยู่ในสภาพใช้การได้ แต่ว่ามันดันลืมไป
พวกมันไม่ได้พกหินจุดไฟมาด้วย!
แม้แต่เทียนยังไม่มีปัญญาจุดขึ้นมาใหม่
นับประสาอะไรกับธูปในมือ โคลงศีรษะไปมาอย่างช่วยไม่ได้
เช่นนั้นก็ปักธูปเปล่าๆไปเลยก็แล้วกัน
“ปี้หวังเจ้างัดประตูไป
ข้าจะไปกราบขอขมาบรรพบุรุษใหญ่เสียหน่อย” หันไปบอกปี้หวังคำหนึ่งก่อนเดินไปหน้าโลงศพใหญ่
คุกเข่าลงพร่ำพูดในใจว่า
‘ขอบรรพชนที่นอนอยู่ในโลงอย่าได้ถือสาหาความ
พวกข้าเข้ามาในสุสานก็เพื่อหยิบยืมเงินทองไปฟื้นฟูกิจการของตระกูล
หากการค้ากลับมาราบรื่นมั่นคงจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้พวกท่านมากๆ
ส่วนไข่มุกราตรีที่ยืมไป...คาดว่าคงไม่สามารถนำกลับมาใช้คืนได้ แต่ท่านอย่าห่วง!
ในปรโลกไข่มุกราตรีไม่ค่อยมีค่าเท่าใด
กระดาษเงินกระดาษทองสิมีค่ากว่า เชื่อข้านะขอรับ!’
กล่าวจบก็ปักธูปลงดินอย่างมุ่งมั่น
คิดว่าบรรพบุรุษคงพอจะเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง
ไม่คาด...
พอปักธูปลงไป หยกท้ายโลงที่เมื่อครู่ตนเองเป็นคนยัดเข้าที่เดิมกับมือพลันพุ่งออกมากระแทกกำแพงสุสานแตกเป็นเสี่ยงๆต่อหน้าต่อตา
อวี้เหวินหยางปากอ้าตาค้าง หงายหลังก้นกระแทกพื้น ไร้เรี่ยวแรงขยับกายโดยสิ้นเชิง
หลังจากหยกแตกกระจาย โลงหินใหญ่เบื้องหน้าพลันบังเกิดเสียงดังปังดูทึมทึบคล้ายของบางอย่างในโลงถูกกระแทกแตกหัก เหวินหยางหน้าซีดเผือด ว่ากันว่าโลงใหญ่เช่นนี้จะเรียกว่าโลงชั้นนอก ภายในโลงศพยังมีโลงชั้นในอีก...
เสียงปังดังขึ้นอีกที คราวนี้ขาสองข้างของเหวินหยางสั่นกระตุก
โลงชั้นที่หนึ่ง...ต่อมาก็เป็นโลงชั้นที่สอง ถ้าอย่างนั้น...
ปี้หวังที่ได้ยินเสียงผิดปกติหันกลับมา
พอมองเห็นตัวโลงชัดตาถึงกับตาเหลือกลาน มีดในมือหล่นกระทบฟื้นหินเสียงดังเคร้ง
คราวนี้โลงหินใหญ่เริ่มขยับแล้ว...
“อา...อ้าก!” เจ้าบ้านหนุ่มส่งเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
เมื่อโลงหินหนักที่สมควรปิดสนิทขยับเขยื้อนขึ้นมา ใจต้องการลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี
ทว่าร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง สุดท้ายพานคิดถึงบ่าวคนสนิทเรียกให้มันมาลากตนเองไปโดยด่วน
“ปะ ปี้หวัง ปี้หวัง! ช่วยข้าด้วย!”
ปี้หวังก็ใช่จะมีสภาพที่ดีกว่าเท่าไหร่
พ่อบ้านหนุ่มขาสั่นพับๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นนายเรียกร้องให้ช่วยเหลือก็พลันฮึด
หลับหูหลับตาวิ่งเข้าไปลากผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นมา
อย่างทุลักทุเลค่อยประคองกันเอาหลังมาชิดประตูที่ยังปิดสนิทแนบแน่น
“ปี้หวัง! บ๊ะจ่าง
บ๊ะจ่างจะออกจากโลงแล้ว!”
“นายท่าน! เมื่อครู่ท่านไปขอขมาอย่างไรถึงทำให้ท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นมาได้ละขอรับ!”
ปี้หวังน้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ อยากกัดลิ้นตนเองตายเสียเดี่ยวนั้น
“ข้าก็ไม่รู้...ก็บอกว่าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้
หรือว่าท่านผู้เฒ่าไม่ต้องการเงินทอง?”
“นายท่าน! แค่กระดาษเงินกระดาษทองหรือ?
ท่านดูของฝังร่วมที่ห้องข้างสิขอรับ หีบหกใบนั่นมีใบใดบ้างที่ไร้ค่า แต่ท่านเพียงบอกว่าจะเผาแค่กระดาษเงินกระดาษงั้นหรือขอรับ!”
“ข้าผิดไปแล้ว...” เหวินหยางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้อย่างนี้น่าจะบอกว่าจะเอาทองคำหีบใหญ่มาคืนแทน ยิ่งเห็นฝาโลงหินเริ่มขยับเขยื้อนช้าๆก็ยิ่งสติแตก ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อยากตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษใหญ่
มันยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องสืบทอดตระกูลอยู่ จะมาตายที่นี่ได้อย่างไร! เห็นมีดสั้นตกอยู่ปลายเท้าอวี้เหวินหยางก็รีบคว้าขึ้นมา
หันไปงัดประตูหินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ปี้หวัง ช่วยข้างัดประตูเร็วเข้า!”
แม้หน้าเลอะไปด้วยน้ำหูน้ำตา
แต่ทั้งสองก็ช่วยกันงัดประตูอย่างลืมตาย จวบจนรู้สึกได้ว่าว่าประตูหินเริ่มขยับแล้ว
ความยินดีค่อยเอ่อล้นเต็มหัวใจ “นายท่าน ประตูขยับแล้ว!”
เหวินหยางกำลังจะบอกว่าดี รีบช่วยกันเปิด
เบื้องหลังพลันได้ยินเสียงแตกกระแทกของหิน จากนั้นรู้สึกถึงแรงลมวูบ
เศษฝาโลงที่แตกหักปลิวตรงมายังพวกมันที่ช่วยกันงัดประตูอยู่
ปี้หวังไม่สนถึงความสมควร ยกเท้าขึ้นมาถีบเหวินหยางจนหงายหลัง
สองคนต่างคนต่างล้มก้นกระแทกพื้น พอดีกับที่ฝาโลงปลิวผ่านปลายจมูก
กระแทกเข้ากับประตูหินเสียงโครม
กลืนน้ำลายเสียงดังอึก
อากาศอับชื้นจากด้านนอกโชยเข้ามา แต่ทั้งๆที่ประตูหินเปิดแล้ว
สองนายบ่าวกลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย
ค่อยๆหันใบหน้าซีดเผือดที่ตกใจจนแข็งทื่อมองไปยังโลงศพกลางห้อง
ไข่มุกราตรีเม็ดโตที่ถูกวางทิ้งไว้เบื้องหลังยังคงเรืองแสงสว่างราวแสงจันทรา
ส่องต้องมือขาวซีดที่ค่อยๆเอื้อมช้าๆขึ้นมาเกาะขอบโลง เล็บสีขาวที่ยาวจนโค้งงอดูน่าหวาดผวา
เพราะมันบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ด้านในไม่มีทางเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเด็ดขาด
ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมดำยาวดูแห้งกรังผุดตามขึ้นมาหลังจากนั้น
จวบจนเมื่อใบหน้าขาวซีดโผล่พ้นออกมาจนหมดสิ้น ปี้หวังก็ตาเหลือกหมดสติไปแล้ว
“อา...” เสียงครางยานค้างอันน่าหวาดผวาพอดัง เหวินหยางก็คลานถอยอย่างลนลาน แต่ฉับพลันนั้นได้ยินเสียงแกรกกรากดังขึ้นมาเบื้องหลัง
ที่แท้มารพันวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในประตูหินกลวงถูกฝาโลงกระแทกปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน
เหวินหยางเบ้ปากจะร้องไห้ นี่ต้องบอกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน
เคราะห์แรกยังไม่หายเคราะห์ต่อไปก็ก้าวมาหา
หรือวันนี้ตระกูลอวี้ต้องสิ้นสุดลงที่เจ้าบ้านผู้ไร้สามารถอย่างมันแล้วจริงๆ?
ตะขาบตัวโตเท่าต้นขาคลานออกมาจากเศษซากประตูหินที่แตกละเอียด
มุ่งตรงไปยังปี้หวังที่นอนหมดสติ เหวินหยางกัดฟัน ไม่สนใจว่าข้างหน้าจะเป็นตะขาบพิษหรือข้างหลังจะมีศพฟื้นของบรรพบุรุษพันปี
ถ้าหากต้องตายแล้วแต่ยังถูกตราหน้าว่าเป็นเจ้าบ้านที่ใช้การไม่ได้
แม้แต่บ่าวรับใช้คนหนึ่งยังไม่สามารถปกป้อง
เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่มันจะไปรายงานตัวกับบรรพบุรุษทั้งหลายในปรโลก
ดังนั้นเหวินหยางกระทำการที่โง่เขลาอีกครั้ง
คว้าเศษหินข้างตัวขว้างใส่ตะขาบพิษที่กำลังเลื้อยเข้าหาปี้หวัง ผลคือ
ตะขาบตัวนั้นเปลี่ยนเป้าหมายเข้ามาหามันแทนแล้ว
‘เอาเถอะ! จะโดนตะขาบพิษกัดหรือโดนบ๊ะจ่างหักคอ
ทางไหนก็ตายเช่นกัน!’
มีดวาววับข้างมือถูกหยิบขึ้นมาถือมั่น
ตระเตรียมสู้ตายกับตะขาบยักษ์ตรงหน้า
ส่วนบรรพบุรุษใหญ่ด้านหลัง...เหลือไว้ให้ปี้หวังจัดการเองก็แล้วกัน เจ้าบ้านผู้นี้จะขอไปสบายก่อนแล้ว!
ตะขาบยักษ์เลื้อยเข้ามาอย่างดุร้ายหมายขวัญ เหวินหยางยกมีดในมือขึ้นมาพร้อมกับสูดลมหายใจจนเต็มปอด
แต่สูดไปได้ครึ่งทางก็ชะงักจนแทบกระอัก กลิ่นเครื่องหอมประหลาดฉุนรุนแรงกระทบจมูกจนแทบสิ้นชีวา
ยังมีเงาดำสูงใหญ่ที่ทาทับอยู่เบื้องหลัง
ดูก็รู้ว่าไม่ได้เป็นของปี้หวังที่นอนสลบอยู่อีกด้านแน่นอน
‘เหวินหยางผู้นี้ยอมรับว่าไร้ความสามารถ
ทั้งยังผิดไปแล้วที่เข้ามาขุดสุสานบรรพชน แต่ข้ายอมเผชิญหน้ากับตะขาบขนาดนี้
ท่านยังไม่ปล่อยข้าไปสบายแบบเงียบๆบ้างเลยหรือ
ข้าก็ยกปี้หวังให้ท่านไว้ใช้เล่นแล้วไง! โฮ...’ หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน คนก็เป็นเช่นนี้เอง พอรู้ว่าตนเองต้องตายจริงๆแล้วไม่รู้ไปเอาความสงบมาจากที่ใด
อวี้เหวินหยางมองดูตะขาบเบื้องหน้าที่มุ่งตรงเข้ามาไม่ชะงักสักเสี้ยววิ
ทาทับด้วยเงาของบรรพบุรุษใหญ่ที่ยืนจังกาอยู่เบื้องหลัง เอาเถิด
พวกเจ้าอยากหมาหมู่ก็เอาเลย! ข้าเหวินหยางขาหมดแรงคร้านลุกหนีแล้ว!
หลับตาปลดปลง รู้สึกได้ถึงลมไหววูบที่หลังคอ
กำลังคิดว่าความตายจะเจ็บปวดหรือไม่ โลกหลังความตายจะเป็นเช่นไร ต้นคอกลับรู้สึกตึงวูบ
ทั้งตัวถูกแรงมหาศาลกระชากขึ้นมาจากพื้นจนเบาโหว่งวูบหนึ่ง
แต่อาการเบาโหวงนั้นมีอยู่เพียงเสี้ยววิ
ที่ตามมาคือเสียงดังพลักพร้อมร่างที่กระแทกเข้ากับฐานโลงศพจนกระดูกแทบหักร้าว
“อ้าก...เจ็บ!” ก็คิดอยู่หรอกว่าคงไม่ได้ไปแบบสบายๆ
แต่เหตุใดถึงได้กระทำรุนแรงเช่นนี้เล่า มันก็ไม่ได้ขัดขืนเสียหน่อย!?
ฝืนลืมตาขึ้นมามอง
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่รู้จะต้องหน้าซีดเผือด ปากอ้าค้างหรือร้องไห้เรียกหาบิดาดี
หลังจากโยนเหวินหยางมาทิ้งตรงนี้ บ๊ะจ่างใหญ่ก็เอื้อมมือคว้าตะขาบยักษ์ขึ้นมาด้วยสองมือ
จากนั้น...ฉีกร่างที่หยึกหยักน่ารังเกียจทิ้งด้วยมือเปล่า
“อย่าบอกนะว่าพวกเราก็ต้องโดนเช่นนั้นด้วย...”
สุ้มเสียงสั่นเทาดังข้างหูจนเหวินหยางตกใจแทบสิ้นสติ
หันขวับไปมองกลับเป็นปี้หวังที่ลุกขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ซึ่งที่จริงแล้วปี้หวังรู้สึกตัวตั้งแต่ตะขาบพิษนั่นเลื้อยออกมาแล้ว
แต่พอเหวินหยางโยนหินล่อมันไปก็รู้สึกซาบซึ้งใจ คิดว่าในเมื่อผู้เป็นนายมอบโอกาศมันก็ไม่สมควรปฏิเสธให้เสียน้ำใจ
ก็เลยแกล้งสลบต่อไป ไม่คาด บรรพบุรุษใหญ่กลับโผล่มาโยนเหวินหยางทิ้งจนปลิวหวือ
ตนเองจะนอนต่อไปก็ใช่ที่ มีทั้งตะขาบทั้งผีดิบ ดังนั้นลุกขึ้นวิ่งกลับมาสมทบกับผู้เป็นนายในที่สุด
แม้เหวินหยางจะรู้สึกคลางใจเล็กน้อย
แต่ตอนนี้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจ
“ปี้หวัง
เจ้าว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปดี!”
ปี้หวังมองดูตะขาบที่ถูกกระชากไส้ออกมาทีละเล็กละน้อย
กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
ไม่ทันพูดบรรพบุรุษใหญ่เบื้องหน้าก็ทิ้งตะขาบที่เหลือเพียงหัวที่ขยับอย่างทุรนทุรายลงกับพื้น
จากนั้นยกเท้าขึ้นมา กระทืบหัวตะขาบจนแหลกเละในเท้าเดียว
นัยน์ตาทึมทึบไร้ประกายหันกลับมา
ใบหน้าซีดขาวยิ่งต้องแสงนวลจากไข่มุกราตรียิ่งเพิ่มเติมให้ใบหนาไร้สีเลือดยิ่งกว่าเดิม
ร่างไร้อาภรณ์ราวชีเปลือยนั้นเริ่มขยับ
หันกลับมาทั้งตัว เส้นผมแห้งกรังดำยาวถึงข้อเท้าขยับพลิ้วน้อยๆบดบังสัดส่วนบางอย่างไปบ้าง
สองเท้าขยับก้าวเข้าหาพวกมันทั้งสองที่นั่งพิงโลงด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง
ความคิดเห็น