คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : วิญญาณหวนคืน 2
วิญญาณหวนคืน 2
หล่นตุบลงไปในช่องลับ กลิ้งหลุนๆอีกสองสามตลบ
สองนายบ่าวค่อยพลิกตัวที่ระบมรวดร้าวไปทั้งร่างก่อนลุกขึ้นมาอย่างยากเย็น
พ่อบ้านหนุ่มพอรู้สึกตัวก็รีบคลำรอบด้าน
พบโคมไฟเพียงดวงเดียวถูกดับไปเสียแล้ว
แต่ยังไม่ทันร่ำร้องอย่างเสียสติก็พบว่าแม้เทียนจะดับไปแต่ตนยังสามารถมองเห็นสภาพภายในได้กระจ่าง
ที่แท้ภายในมีแสงเรืองสาดส่องอยู่
ปี้หวังเงยหน้ามองพื้นที่โดยรอบอย่างสำรวจตรวจตราก่อนจะต้องปากอ้าตาค้างอย่างตะลึงลาน
“โอ้ย...ปี้หวัง
นี่เป็นหลุมกับดักอะไร ข้านึกว่าจะโดนมีดดาบเสียบแทงร่างตายไปแล้ว บิดามันเถอะ!
ใครเป็นผู้คิดค้นกับดักในสุสานนี้กัน!”
อวี้เหวินหยางร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด
เมื่อครู่ที่ตกลงมาใช้ตะโพกกระแทกกับพื้นหินไปเสียเต็มที่
ตอนนี้ราวกับกระดูกร้าวไปหมดทั้งตัว
แต่ร้องโอดครวญไปแล้ว กลับไม่มีเสียงของพ่อบ้านคนสนิทขานรับกลับมาค่อยตื่นตระหนกกลัวว่าบ่าวรับใช้จะเป็นอะไรไป
รีบกวาดตาดูจึงเห็นปี้หวังนั่งอยู่ด้านข้างไร้อันตรายใดๆ
ขมวดคิ้วร้องเรียกมันอีกครา คราวนี้พ่อบ้านหนุ่มตอบรับขึ้นมาแล้ว
“นะ นายท่าน! นี่ไม่ใช่หลุมกับดัก...” ปี้หวังยังตะลึงลาน
หันใบหน้าที่ซีดขาวกลับมามองผู้เป็นนาย
“ไม่ใช่หลุมกับดัก?” ถ้าไม่ใช่หลุมกับดักแล้วเป็นอะไร
“ท่านดูนั่น” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังเบื้องหลังของเหวินหยาง
เจ้าบ้านหนุ่มเลิกคิ้วฉงนก่อนจะหันกลับไปมองตาม
พอเห็นภาพเบื้องหน้าคางก็พลันตกลงจนแทบชิดอก “คาดว่านี่เป็นห้องลับใต้สุสาน”
ปี้หวังกล่าวเสียงเบา
เพดานของห้องนี้สูงไม่ถึงสองจั้ง
ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นมังกรตัวหนึ่งขดงออยู่บนเพดานราวกับมีชีวิต ฝีมือที่ประณีตนี้แทบยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงหินแกะสลักไว้
ในปากของมังกรที่อ้าออกคือไข่มุกราตรีขนาดใหญ่กว่าสองฝ่ามือกำรอบ
เป็นต้นกำเนิดของแสงเรืองที่ส่องสว่างทำให้เห็นสภาพของภายในสุสานอย่างแจ่มชัด ขาข้างหนึ่งของมังกรยื่นออกมา
กรงเล็บห้ากรงที่คมกริบมีคราบเขม่าควันสีดำติดอยู่ คล้ายกับเคยถูกแผดเผาด้วยไฟ
ปี้หวังลองเพ่งตามองให้ชัดค่อยเห็นว่าในแต่ละกรงเล็บมีร่องเล็กๆสายหนึ่งถูกเซาะไว้
ร่องนี้ยาวเป็นสายจนไปบรรจบกันบนท่อนขาที่ติดอยู่บนเพดาน
จากการคาดเดาคิดว่านี่มีไว้จุดตะเกียงพันปี ร่องนั้นคือตัวนำน้ำมันที่ใส่อยู่ในตัวมังกรลงมายังไฟที่ถูกจุด
ทว่าบัดนี้ไฟมอดดับไปแล้ว คงเป็นเพราะน้ำมันเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น
เลื่อนตาลงมายังด้านล่าง พบกับโลงศพหินขนาดใหญ่ โลงศพนี้ใหญ่กว่าโลงศพไม้หนานมู่ที่ตั้งอยู่ด้านบนเสียอีก
สองนายบ่าวหันมาสบตากันก่อนที่จะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ
เจ้าบ้านหนุ่มก้าวเข้าไปเบื้องหน้าสองก้าว
มองดูโลงศพหินใหญ่ที่สูงท่วมหัวอย่างละเอียด พบลวดลายแกะสลักอย่างประณีต
แต่กลับมองไม่ออกว่ามันเป็นลวดลายอะไร ยังมีตัวอักษรยึกยื้ออีกแถบหนึ่ง
ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ตัวหนังสือราชการของหมิง คาดว่าเป็นตัวอักษรของแคว้นใดแคว้นหนึ่งในอดีตแล้ว
วนดูโลงศพหินรอบหนึ่ง เห็นหัวท้ายของโลงศพใส่ไว้ด้วยหยกขนาดเท่ากำปั้น
แต่ดูแล้วเป็นเพียงหยกอ่อนธรรมดา แม้แต่สีเขียวของหยกยังกระดำกระดากสีไม่เท่ากัน
เป็นที่คาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดตระกูลอวี้ซึ่งร่ำรวยถึงขนาดนำเอาไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เพียงนี้มาวางในห้องได้
แต่กลับใช้เพียงเศษหยกไร้ราคามาติดโลง
“นี่แปลกมาก
ด้านบนมีโลงศพของเจ้าบ้านรุ่นที่หกอยู่โลงหนึ่งแล้ว
แล้วด้านล่างนี่เป็นโลงศพของใครอีก?” เหวินหยางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันไปกล่าวกับพ่อบ้านคนสนิท “ปี้หวัง
หรือว่าข้างบนนั่นเป็นโลงศพหลอก” ในสุสานบางสุสานก็มีโลงศพหลอกอยู่
เพื่อป้องกันโจรสุสานทำลายศพของผู้ตาย
“นายท่าน ข้าคิดว่าไม่ใช่”
ปี้หวังตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจยิ่ง
อวี้เหวินหยางเลิกคิ้วแปลกใจ หันไปมองพ่อบ้านคนสนิท
ค่อยเห็นปี้หวังไม่ได้ตามตัวเองมาดูโลงศพแต่กลับเดินเข้าไปดูกำแพงสุสานที่มีภาพเขียนสีสันสดใสวาดเอาไว้แทน
“ไม่ใช่หรือ?
หรือว่าเจ้ารู้อะไรแล้ว” เหวินหยางเดินเข้าไปหาปี้หวัง
กวาดตามองดูภาพวาดบนกำแพงรอบหนึ่ง พบว่าลวดลายบนผนังแม้สดใหม่แต่ลายเส้นดูเก่าแก่กว่าที่วาดบนกำแพงสุสานด้านบน
เหมือนว่าเป็นคนละยุคกัน
“นายท่าน นี่เป็นรูปแบบการวาดในยุคราชวงศ์เหนือใต้
แต่ดูให้ดีแล้วจะเห็นการแต่งกายของผู้คนในภาพเป็นของถัง
คาดว่าสุสานนี้สร้างในต้นราชวงศ์ถังขอรับ”
ยุคเหนือใต้และถังห่างกันเพียงมีราชวงศ์สุยขวางกั้น
ราชวงศ์สุยตั้งอยู่เพียงไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยถัง ในช่วงเวลานี้ประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างสามราชวงศ์ยังคงเชื่อมต่อกันจึงไม่แปลกหากสุสานราชวงศ์สุยจะยังมีลักษณะของราชวงศ์ก่อนหน้าหลงเหลืออยู่
“ถ้าสร้างในราชวงศ์ถัง
อย่างนั้นก็ไม่ใช่ของเจ้าบ้านรุ่นที่หกน่ะสิ”
แน่นอนอยู่แล้ว
เจ้าบ้านรุ่นที่หกอยู่ในยุคอู๋ไต้สือกั๋ว ห่างจากยุคต้นราชวงศ์ถังสองร้อยกว่าปี
ไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าบ้านรุ่นที่หกได้
“ดูภาพนี้สิขอรับ
นางระบำร่ายรำอยู่บนแท่นพิธีการ ดูเหมือนนี่เป็นงานเลี้ยงในวัง” ปี้หวังชี้ให้ดูภาพเขียนเบื้องหน้า เป็นภาพนางรำจริงๆ ลองดูภาพจนละเอียด
สลับกับมองเทียบภาพอื่นดู ค่อยชี้ไปยังบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ในภาพ “คนผู้นี้คงจะเป็นเจ้าของสุสานนี่แล้ว...”
ในแต่ละภาพจะมีคนผู้หนึ่งยืนหันหลังมองบรรยากาศภายในภาพทั้งหมด
แต่ไม่มีภาพใดที่เห็นหน้าคนผู้นี้ชัดๆ
ทั้งที่บุคคลอื่นล้วนถูกวาดใบหน้าออกมาจนแทบคล้ายคนจริงๆ
“นายท่าน ดูจากภาพเขียนทั้งหมด
ทั้งจากยุคสมัย หากไม่ใช่เจ้าบ้านรุ่นที่หนึ่งก็ต้องเป็นเจ้าบ้านรุ่นที่สอง...”
ปี้หวังกล่าวเสียงเบา
กลืนน้ำลายอึกหนึ่งหันมามองผู้เป็นนายคล้ายกับจะร่ำไห้ “แต่บันทึกประวัติเจ้าบ้านรุ่นแรกๆค่อนข้างเก่า
แม้ชำระเขียนขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ก็มีเนื้อความจำนวนไม่น้อยตกหล่นไปมาก
ข้าจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นของบรรพบุรุษท่านใด อาจบางที...จะไม่ใช่สักท่านก็เป็นได้”
ฟังคำของปี้หวังใจของอวี้เหวินหยางก็เริ่มตุ่มๆต่อมๆขึ้นมา
บรรพบุรุษรุ่นหลังยังพอพูดคุยกันได้
แต่ถ้าเป็นเจ้าบ้านรุ่นแรกจริงมันไม่ถูกสิบแปดชั่วโคตรทั้งหลายสาปแช่งเอาหรือ
“ปี้หวัง...เจ้าลองดูภาพเขียนพวกนี้ให้ดี
บางทีเจ้าอาจจำยุคสมัยผิดไป!”
พ่อบ้านหนุ่มแทบร่ำไห้อยู่รอมร่อ
คว้าแขนเหวินหยางไปอีกด้านหนึ่ง ชี้ภาพเขียนเบื้องหน้าพูดขึ้นว่า “ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าใจผิด
ท่านดู นี่เป็นเหตุการณ์ ณ ประตูเสวียนอู่เหมินนะขอรับ!”
อวี้เหวินหยางเบิกตา
ก่อนผู้เป็นบิดาจะถูกโจรดักปล้นสิ้นชีพไป
ตนเองต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านเพื่อร่ำเรียนตระเตรียมสอบจอหงวน
ในช่วงเวลานั้นมีหนังสือเล่มใดบ้างที่ไม่เคยอ่าน
การปกครองของราชวงศ์ถังคือหนึ่งในนั้น
แน่นอนว่าในตำราย่อมมีเหตุการณ์ฆ่าพี่น้องของจักรพรรดิถังไท่จงหลี่ซื่อหมินอยู่ด้วย
“นายท่าน
นี่เป็นภาพที่ถูกเขียนอยู่ในนี้ แสดงว่าเจ้าของสุสานต้องอยู่ในยุคเริ่มต้นของถัง
ซ้ำอาจจะอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย”
ในภาพมีรูปแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งอยู่จริง
แต่จากมุมมองของภาพคล้ายคนผู้นี้นั่งอยู่บนเหลาสุรามองลงไปยังด้านล่างที่กำลังเกิดการนองเลือด
เพราะมองไม่เห็นใบหน้าและแววตาจึงไม่รู้ว่าคนผู้นี้รู้สึกอย่างไร
แต่บรรยากาศในภาพดูสงบยิ่ง
คนข้างกายที่คล้ายเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทค้อมตัวรินชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
แตกต่างจากผู้คนโดยรอบที่วิ่งวุ่นวายไปทั่ว
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเจ้าบ้านรุ่นแรกจริงๆ?”
ปี้หวังส่ายหน้า แสดงแววตาว่าไม่มั่นใจนัก “ประวัติเจ้าบ้านรุ่นแรกและรุ่นที่สอง
เท่าที่ข้าจำได้ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้บันทึกไว้ขอรับ
แต่ถ้าหากบอกว่าตกหล่นไปเพราะการชำระบันทึกก็อาจเป็นไปได้...”
ยิ่งคิดยิ่งปวดศีรษะ
เจ้าบ้านหนุ่มดึงทึ้งหมวกบนหัวอย่างหงุดหงิด สุดท้ายพานพูดว่า “ช่างเถอะ! รู้ไปแล้วก็ไม่ใช่จะช่วยอะไรได้ ตอนนี้ข้าว่าหาทางออกจากที่นี่ก่อน”
ปี้หวังมองผู้เป็นนายอย่างระอา
แต่ก็จริงอย่างที่ว่า ตอนนี้สมควรหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน
สองนายบ่าวเลิกสนใจภาพวาดบนผนังแล้ว
หันกายไปโดยรอบเพื่อหาทางออกจากที่นี่ พบว่าสามด้านของโลงศพมีประตูอยู่ มีประตูเพียงบานเดียวที่ถูกปิดด้วยหิน
ทั้งสองยินดียิ่ง รีบก้าวเข้าไปยังประตูที่ปิดแน่น
คาดว่านี่เป็นทางออกของสุสานแล้ว
อวี้เหวินหยางดันประตูหินให้เปิด
ทว่าประตูกลับไม่ขยับ
พอคิดดูแล้วประตูบานพับเช่นนี้สมควรออกแบบมาให้สามารถเปิดได้จากด้านนอก ตอนนี้พวกมันอยู่ด้านในหากจะเปิดก็ต้องดึง
แต่แผ่นประตูหินนี้นอกจากลวดลายที่สลักอย่างละเอียดก็ไร้ซึ่งมือจับยึด
แล้วจะเปิดออกได้อย่างไร?
“ข้าจะไปหาของมาทุบประตู” เหวินหยางกำลังจะกลับไปหาสิ่งของ
แต่ปี้หวังรั้งไว้เมื่อนึกถึงประตูหินของสุสานด้านบนขึ้นมาได้
พ่อบ้านหนุ่มลองเคาะประตูหินดูเพื่อทดสอบว่าเป็นประตูหินกลวงอย่างสุสานด้านบนหรือไม่
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้ายที่ประตูเป็นหินกลวงจริงๆ เหวินหยางลองใช้หูแนบกับประตู
ฉับพลันนั้นได้ยินเสียงกรากแกรกเคลื่อนไปมาอยู่ด้านใน ขนบนต้นคอลุกชูชันขึ้นทันที
“อยู่มาก็พันปีแล้ว นี่มันยังมีชีวิตอยู่อีก!”
แทบอยากสบถด่าคนคิดค้นวิธีนี้ขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
ตอนนี้เปิดจากด้านในก็ไม่ได้ จะทุบทิ้งก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
‘สุสานเจ้าบ้านรุ่นที่หกเชื่อมกับสุสานนี้ไม่รู้ว่ามีความสำคัญอะไรหรือไม่...’
ปี้หวังขมวดคิ้ว ถอยกลับมาด้านใน มองดูช่องที่ตนตกลงมากับนายท่าน
สุสานทั้งสองต้องมีความเกี่ยวโยงกันแน่นอน ผังสุสานแบ่งแยกกัน
แต่ประตูหินทั้งสองกลับเป็นแบบเดียวกัน ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
“ปี้หวัง หาอะไรมางัดประตูดีหรือไม่?”
ตอนนี้ก็มีแต่ต้องหาของมางัดประตูเท่านั้นแล้ว
สองนายบ่าวก้าวกลับมาภายใน พบว่าสิ่งที่วางอยู่มีเพียงกระถางทองแดงสามขา
และไหดินเผาเก่าๆฝุ่นจับ “อะไรกัน
ถึงขนาดมีไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่โตประดับเพดานแต่ไม่มีของฝังร่วมอย่างอื่นเลยหรือ?”
“นายท่าน
ลองเข้าไปดูในห้องฝังร่วมสิขอรับ” ห้องฝังร่วมเป็นห้องปีกข้างที่ไม่มีบานประตูปิดไว้
แต่ว่าภายในนั้นมืดสนิทไร้แสงไฟ ไข่มุกราตรีบนเพดานเพียงส่องถึงห้องหลักเท่านั้น
ความมืดมิดนั่นชวนขวัญผวา
เหวินหยางกลืนน้ำลายดังอึกพูดกับพ่อบ้านผู้รู้ใจว่า “ปี้หวัง
เทียนก็ดับไปแล้ว จะเข้าไปหาของได้ยังไง!” หันกลับไปมองโลงศพใหญ่ที่เลี่ยงแตะต้องมาตั้งแต่แรกแวบหนึ่ง
ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “ข้าว่าเจ้าของสุสานนี้ดูเป็นผู้มีวิชาฝีมือ
ปี้หวัง ข้าว่าในโลงศพนั่นอย่างน้อยก็ต้องมีกระบี่หรือดาบสักเล่มละ
ถ้าใช้กระบี่ต้องงัดประตูหินได้แน่!”
“ท่าน...จะเปิดโลงหรือขอรับ!”
เห็นอวี้เหวินหยางผงกศีรษะพ่อบ้านก็หนุ่มส่ายหน้าพรืด
ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้อย่างยิ่ง
“ปี้หวัง! ถ้าไม่เปิดก็ไม่รู้จะออกไปยังไงแล้ว
หรือเจ้าจะอยู่ข้างล่างนี่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษใหญ่! เอาน่า
ยังไงแต่แรกก็มาเพื่อยืมเงินทองอยู่แล้ว ยืมกระบี่อีกสักเล่มจะเป็นไร?”
คำก็บอกว่ายืม สองคำก็บอกว่ายืม
ถามว่าเจ้าของเขาให้ยืมแล้วหรือไม่?
“นะ นายท่าน เอาอย่างนี้
เรางัดไข่มุกราตรีด้านบนลงมาใช้เป็นแสงไฟก่อน
ถ้าเข้าไปหาในห้องข้างแล้วไม่มีของพองัดประตูได้ค่อยกลับมาเปิดโลง” ให้ตายอย่างไรปี้หวังก็ไม่ยอมเปิดโลง เหวินหยางจึงต้องคล้อยตามไป
สองนายบ่าวมองดูไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ที่ฝังอยู่ด้านบน
ดูๆแล้วเพดานสุสานนี้เตี้ยยิ่ง เหวินหยางชี้ไปยังกระถางทองแดงขนาดสูงเท่าเอวคน
บอกว่า “พวกเราขึ้นไปยืนบนนี้แล้วต่อตัวขึ้นไปเถอะ”
“ไม่ไหวนายท่าน! ถึงต่อตัวไปก็ไม่ถึง ข้าว่า...” ลังเลชั่วขณะหนึ่งปี้หวังค่อยชี้ไปที่ตัวโลงที่ตั้งอยู่
“ขึ้นไปบนโลงเถอะขอรับ” โลงศพสูงเท่าตัวคนซ้ำยังวางบนแท่นสูง
ไข่มุกราตรีนั่นก็อยู่เหนือโลงศพไปพอดี นับว่าเหมาะเป็นที่หยั่งเท้าอย่างยิ่ง
“อ่า...” เหวินหยางหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
แต่แค่ปีนโลงศพมีอะไรน่ากลัวกัน!
ดังนั้นสองนายบ่าวม้วนแขนเสื้อ
เดินขึ้นแท่นวางโลงศพด้วยกัน
“นายท่าน ระวังนะขอรับ!” พ่อบ้านหนุ่มมองดูผู้เป็นนายปีนขึ้นไปบนแท่นอย่างนึกห่วง โลงศพแกะสลักเป็นลวดลายเล็กละเอียดยิบ
แทบไม่มีที่วางเท้า
เหวินหยางมองไปรอบๆค่อยจำได้ว่าหัวท้ายโลงมีหยกไร้ค่าสองก้อนฝังอยู่
ดังนั้นเดินวนไปยังหัวโลง หยกสีเขียวกระดำกระด่างถูกสกัดเป็นรูปห้าเหลี่ยมเสียบไว้ในร่อง
ลองขยับหยกดูพบว่าสามารถโยกคลอนได้
ขยับไปมาอีกสองสามทีหยกห้าเหลี่ยมที่ฝังอยู่ก็หลุดออกมาเสียแล้ว
ทันทีที่หยกหลุดออก
ลมเย็นกลุ่มหนึ่งพลันพัดผ่านหลังคอจนรู้สึกหนาวสะท้าน “ปะ ปี้หวัง
เจ้าว่าลมในสุสานนี้มันมาจากไหนกันน่ะ?”
“ลมหรือขอรับ?” ปี้หวังหน้าเผือดซีด ในสุสานจะไปมีลมได้อย่างไร!
“เอาเถอะ! ข้าหาที่ปีนได้แล้ว”
สะบัดศีรษะไล่ความคิดวุ่นวายในหัว
แต่ไหนแต่ไรเหวินหยางก็ไม่ใช่คนคิดมาก เรื่องผีสางยิ่งไม่อยู่ในหัว
ไม่เช่นนั้นจะกล้ามาขุดสุสานบรรพชนตนเองได้อย่างไร
สอดหยกห้าเหลี่ยมเก็บไว้ในอกเสื้อ
ยืดเส้นสายแล้วค่อยสอดเท้าเข้าไปในร่องห้าเหลี่ยมที่เคยใส่หยกไว้
อย่างลำบากยากเย็นค่อยปีนขึ้นโลงสูงได้ในที่สุด
“นายท่านระวังนะขอรับ
ข้าจะคอยดูอยู่ด้านล่าง!” ปี้หวังจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของผู้เป็นนาย
คอยรับหากอวี้เหวินหยางเกิดพลัดตกลงมา
เจ้าบ้านหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือออกไปหาไข่มุกราตรีที่ติดอยู่
หลังจากเขย่งปลายเท้าจนสุดค่อยสัมผัสตัวไข่มุกที่อยู่ในปากมังกรได้
ตัวไข่มุกไม่ได้ถูกฝังจนติดอยู่กับหิน
ดังนั้นเพียงแค่ขยับไม่กี่คราไข่มุกก็อยู่ในมือของเหวินหยางอย่างง่ายดาย
“ได้มาแล้ว!” ที่จริงแค่ไข่มุกราตรีเม็ดนี้ก็แทบซื้อกิจการทั้งหมดกลับมาได้ในคราเดียว
เหวินหยางถือไข่มุกไว้มั่นด้วยสองมือ ประคองส่งให้ปี้หวังที่รอรับอยู่ด้านล่าง
หลังจากปีนลงมาแล้วสองนายบ่าวก็พากันไปยังห้องปีกข้างที่วางของฝั่งร่วมมีค่า
ทว่าห้องฝั่งซ้ายที่เข้ามามีเพียงหีบเหล็กหลายใบ
ดูจากขนาดไม่น่าใส่สิ่งของอย่างกระบี่ไว้ได้ เปิดดูแล้วก็พบกับกองผ้าเปื่อยยุ่ย
ล้วนเป็นผ้าไหมที่ผ่านกาลเวลามายาวนานทั้งสิ้น ขณะขมวดคิ้วคิดหนัก
ปี้หวังที่เปิดหีบใบอื่นก็ร้องเรียกขึ้นมา “นายท่าน ดูนี่สิขอรับ!”
หีบใบที่ปี้หวังเปิดออกก็เป็นหีบอาภรณ์เช่นกัน
ทว่าม้วนผ้าพับที่อยู่ภายในแตกต่างกว่าหีบอื่น มันกลับเป็นผ้าพับที่ดิ้นด้วยด้ายทองคำทั้งผืน!
“ไม่คิดว่านายท่านใหญ่เจ้าของสุสานนี้จะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”
เหวินหยางลูบเนื้อผ้าทองคำในหีบอย่างตะลึง
อาภรณ์ดิ้นทองนั้นเคยได้ยินว่ามีแต่ฮ่องเต้ที่ได้สวม
แต่แม้จะเป็นด้ายทองก็ไม่ใช่ทองทั้งผืนเช่นนี้ ผ้าพับนี่ต้องใช้ระยะเวลาและทองบริสุทธิ์กี่หีบถึงจะสามารถทอขึ้นมาได้!
ผ้านี่ไม่ได้ตัดก็ถูกเก็บลงหีบกลายเป็นของฝั่งร่วมเสียแล้ว
ช่างน่าเสียดายยิ่ง!
“เจ้าลองดูหีบอื่นอีก!”
หีบหกใบถูกเปิดออก
คราวนี้ปี้หวังถึงกับเข่าอ่อนล้มพับลงไป
“นายท่าน
ไข่มุกราตรีที่นำลงมาสู้ไม่ได้เลยขอรับ!” ทั้งห้องสว่างขึ้นทันทีที่เปิดหีบใบสุดท้ายออก
ไข่มุกขนาดเท่าศีรษะมนุษย์วางอยู่ภายใน
แสงที่ส่องออกมาแทบเทียบเท่ากับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างยามกลางวัน
เหวินหยางผงกศีรษะตามอย่างลืมตัว
สายตาจับจ้องที่หยกสีเหลืองอ่อนขนาดเท่าสองมือกำรอบ ตัวหยกถูกแกะสลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมดูคล้ายตราประทับ
บนที่จับแกะเป็นรูปมังกรทอง ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา
หยิบตราประทับนั้นขึ้นมาดู
เห็นตัวอักษรที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง แต่ทว่า...เหวินหยางอ่านไม่ออก
“ปี้หวัง เจ้าดูตราหยกนี่
มันเขียนว่าอะไร” ส่งยื่นให้พ่อบ้านผู้มากความสามารถดู
พอปี้หวังเห็นเท่านั้นก็ร้องว่า “นี่! นี่เป็นลัญจกรสืบแผ่นดิน
โอ้! ของนี้มีค่ายิ่งกว่าเมืองทั้งเมือง
แทบเปลี่ยนแผ่นดินได้เลยนะขอรับ!” ปี้หวังเกือบเป็นลมไปแล้ว
สมบัติแต่ละอย่างที่อยู่ในนี้ปี้หวังสามารถยืนยันได้เลยว่าแม้แต่สุสานฮ่องเต้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็ยังไม่สามารถฝังของล้ำค่ายิ่งกว่านี้ลงไปได้
“ตัวอักษรจ้วนของฉิน
สิ่งนี้ถูกสั่งทำขึ้นโดยพระประสงค์ของจิ๋นซีฮ่องเต้
ว่ากันว่าผู้ใดได้ครอบครองแผ่นดินจะตกเป็นของผู้นั้น
ฌ้อปาอ๋องแย่งชิงแผ่นดินกับหลิวปังแต่ก็ต้องพ่ายแพ้เพราะหยกนี้ถูกหลิวปังชิงมาได้ก่อน
ประวัติของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เต็มไปด้วยโลหิต ทว่าพอถึงยุคถังก็หายสาบสูญไป
ไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้”
“ปี้หวัง เจ้าจะชอบอ่านอะไรไร้สาระมากไปหน่อยกระมั้ง
หากที่บอกว่าผู้ใดได้ครอบครองได้แผ่นดินเป็นเรื่องจริง ป่านนี้ตระกูลอวี้คงได้เป็นฮ่องเต้
ครองบัลลังก์มังกรตั้งแต่พันปีที่แล้วได้แล้ว” พูดก็คือ
หยกนี่ก็เป็นเพียงของแทนใจไว้ดูต่างหน้าของฮ่องเต้จิ๋นซี ดูเถิด
ขนาดจิ๋นซีผู้สั่งทำหยกขึ้นยังครองแผ่นดินได้ไม่ถึงห้าสิบปีก็ขึ้นสวรรค์แล้ว
ราชวงศ์ของพระองค์ก็ถูกล้มล้างอยู่ไม่ยืนยาว
นี่แสดงว่าตำนานนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้
ปี้หวังถูกว่าให้เช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
แต่ที่นายท่านพูดก็จริง เรื่องตำนานเล่าลือเช่นนี้ฟังให้น้อยหน่อยก็ดี “เอาเถอะขอรับ
มันก็คงเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ แต่ตัวอักษรของตราประทับนี้เขียนว่า ‘น้อมรับบัญชาสวรรค์ อายุนิรันดร์วัฒนา’ ในใต้หล้านี้ไม่มีตราหยกใดสลักด้วยคำนี้อีกแล้ว”
สองนายบ่าวมองดูสมบัติล้ำค่าอย่างเงียบงันอีกครั้ง
แต่ว่านอกจากหีบที่ใส่ไข่มุกราตรีและลัญจจรสืบแผ่นดินแล้ว
นอกนั้นก็เป็นเศษซากของหนังสือที่ถูกเก็บจนกระดาษเหลืองกรอบ
หากยกออกมาดูคงเปื่อยยุ่ยขาดคามือ ยังมีกระเบื้องเคลือบที่ดูล้ำค่าอีกหีบหนึ่ง
เปิดดูภายในปรากฏกลิ่นหอมรัญจวน ไม่รู้ว่าเป็นเหล้าหมักบ่มหรือน้ำยาอันใด
“ถ้าดูจากของล้ำค่าอย่างลัญจกรและไข่มุก
ยังมีผ้าผืนทองอีก คิดว่าของที่อยู่ในหีบทุกใบต้องเป็นสมบัติล้ำค่ามากแน่ขอรับ
หนังสือที่เปื่อยยุ่ยควรเป็นวิชาอะไรสักอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้
ส่วนขวดกระเบื้องเคลือบเหล่านี้อาจเป็นยาวิเศษในตำนาน” ปี้หวังวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
น่าเสียดายที่หนังสือนี้เปราะบางจนไม่สามารถหยิบออกมาดูได้แล้ว
ส่วนยาวิเศษ...ใครจะกล้าพิสูจน์ดูกันเล่า?
“แล้วหีบผ้าหีบนั้นละ?
ดูไปก็เป็นแค่หีบผ้าธรรมดาไม่ใช่หรือ” เหวินหยางชี้ไปยังหีบใบแรกที่ตนเปิดดู
ปี้หวังเดินเข้าไปก้มมอง เห็นเศษผ้าเก่าขาดกว่าที่ควรจะเป็นจึงเอื้อมมือหยิบของภายในออกมา
เนื้อผ้าเปื่อยยุ่ยอย่างยิ่ง เพียงสัมผัสก็กลายเป็นผงแล้ว
แต่ผ้าที่เปื่อยยุ่ยไปนั้นก็เผยให้เห็นสายผ้าคาดเอวที่ประดับด้วยหยก
“นายท่าน ดูคล้ายนี่จะเป็นชุดขอรับ”
ใช้มือเขี่ยอีกสองสามที ยังมีทองแดงที่เป็นเครื่องประดับอีก
แต่เพราะผ้าเปื่อยยุ่ยไปหมดจึงไม่รู้ว่าทองแดงนี่ถูกประดับอยู่ส่วนใดของชุดกันแน่
“เจ้าไม่บอกข้าก็รู้น่า!”
“ไม่ใช่ชุดธรรมดานะขอรับ
นี่เป็นชุดพิธีการของขุนนาง นายท่านลองดูนี่
ขุนนางฝ่ายบุ๋นจะไม่มีการประดับชุดด้วยโลหะ มีเพียงฝ่ายบู๋เท่านั้นที่ประดับไว้
และต้องเป็นยศที่สูงมาก อย่างน้อยแม่ทัพ มากสุดเป็นอ๋อง”
เจ้าบ้านหนุ่มปวดหัวตุบ “งั้นบรรพบุรุษที่ร่ำรวยผู้นี้ก็เป็นแม่ทัพน่ะสิ?”
เป็นแม่ทัพแต่ร่ำรวยขนาดนี้ อย่าบอกน่ะว่าเป็นพวกกังฉิน?
ปี้หวังส่ายศีรษะ “นอกนี้ข้าก็ไม่สามารถบอกได้แล้ว
แต่ว่านายท่าน ของเหล่านี้ที่ข้าคิดไว้ ทั้งหมดต้องเป็นสิ่งของมีค่าที่สุดสำหรับเจ้าของสุสาน
หรืออาจเป็นของที่ผู้ตายผูกพันมากจึงได้นำมาฝังไว้ พวกไข่มุกเหล่านี้เป็นของมีค่าแน่นอน
แต่ขวดกระเบื้อง ตำรา หรือชุดประจำตำแหน่งอาจเป็นสิ่งที่ผู้ถูกฝังใช้อยู่ประจำ”
“ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าบอก” เหวินหยางกอดอก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “แต่ที่นี่ไม่มีกระบี่!”
มีของล้ำค่าแล้วอย่างไร ออกไปก็ออกไม่ได้ ปี้หวังพอได้ฟังก็ตะลึงงัน พวกตนเข้ามาก็เพื่อหากระบี่ไปงัดประตู แต่ของมีค่ามีมากมาย ที่ขาดไปก็คือกระบี่ล้ำค่าสักเล่ม
“นายท่าน
ยังมีห้องข้างอีกห้องหนึ่ง!” กล่าวให้ความหวังกับตัวเอง
ปี้หวังไม่ต้องการงัดโลงศพท่านผู้เฒ่าที่ลึกลับผู้นี้ อย่างไรก็ไม่เด็ดขาด!
“ถ้างั้นไปดูเถอะ” สองนายบ่าวก้าวออกไปเบื้องนอกอีกครั้ง
เดินผ่านโลงศพใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
แต่เหวินหยางคล้ายมองเห็นสิ่งผิดปกติ ชะงักเท้าเรียกพ่อบ้านเดินย้อนกลับไปอีกครั้ง
“นายท่านมีอะไรหรือขอรับ?” เห็นผู้เป็นนายคล้ายพบเห็นอะไรเข้า หัวคิ้วขมวดแน่นจนแทบผูกเป็นปม
จึงมองตามสายตาไป แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
“ปี้หวัง
หยกท้ายโลง...หายไปไหนแล้ว” อวี้เหวินหยางกล่าวถามเสียงสะท้าน
เมื่อครู่จำได้ว่าตนเองเพื่อปีนขึ้นไปจึงดึงหยกบนหัวโลงออก ทว่าหยกท้ายโลงตนเองไม่ได้แตะต้อง
แล้วตอนนี้มันหายไปไหน?
“หยกหรือขอรับ?” ปี้หวังชะโงกหน้ามามอง เห็นช่องห้าเหลี่ยมที่เคยใส่ไว้ด้วยหยกไร้ราคาว่างโหว่งกลวงเปล่า
“ข้า..ข้าเปล่าแตะต้องนะขอรับ” กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
เหวินหยางก้าวไปด้านข้างโลงอีกเล็กน้อย พบว่าด้านล่างแท่นวางโลงศพ หยกเขียวห้าเหลี่ยมตกอยู่ในซอกหลืบราวกับถูกดันออกมา
สองคนสบตากัน
เส้นขนบนต้นคอลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ...
ความคิดเห็น