ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฒ่าแก่พันปี {บันทึกลับตระกูลอวี้รุ่นที่ 59}

    ลำดับตอนที่ #6 : วิญญาณหวนคืน 2

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 61


    วิญญาณหวนคืน 2


    หล่นตุบลงไปในช่องลับ กลิ้งหลุนๆอีกสองสามตลบ สองนายบ่าวค่อยพลิกตัวที่ระบมรวดร้าวไปทั้งร่างก่อนลุกขึ้นมาอย่างยากเย็น


    พ่อบ้านหนุ่มพอรู้สึกตัวก็รีบคลำรอบด้าน พบโคมไฟเพียงดวงเดียวถูกดับไปเสียแล้ว แต่ยังไม่ทันร่ำร้องอย่างเสียสติก็พบว่าแม้เทียนจะดับไปแต่ตนยังสามารถมองเห็นสภาพภายในได้กระจ่าง


    ที่แท้ภายในมีแสงเรืองสาดส่องอยู่ ปี้หวังเงยหน้ามองพื้นที่โดยรอบอย่างสำรวจตรวจตราก่อนจะต้องปากอ้าตาค้างอย่างตะลึงลาน


    โอ้ย...ปี้หวัง นี่เป็นหลุมกับดักอะไร ข้านึกว่าจะโดนมีดดาบเสียบแทงร่างตายไปแล้ว บิดามันเถอะ! ใครเป็นผู้คิดค้นกับดักในสุสานนี้กัน!”


    อวี้เหวินหยางร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด เมื่อครู่ที่ตกลงมาใช้ตะโพกกระแทกกับพื้นหินไปเสียเต็มที่ ตอนนี้ราวกับกระดูกร้าวไปหมดทั้งตัว


    แต่ร้องโอดครวญไปแล้ว กลับไม่มีเสียงของพ่อบ้านคนสนิทขานรับกลับมาค่อยตื่นตระหนกกลัวว่าบ่าวรับใช้จะเป็นอะไรไป รีบกวาดตาดูจึงเห็นปี้หวังนั่งอยู่ด้านข้างไร้อันตรายใดๆ ขมวดคิ้วร้องเรียกมันอีกครา คราวนี้พ่อบ้านหนุ่มตอบรับขึ้นมาแล้ว


    นะ นายท่าน! นี่ไม่ใช่หลุมกับดัก...ปี้หวังยังตะลึงลาน หันใบหน้าที่ซีดขาวกลับมามองผู้เป็นนาย


    ไม่ใช่หลุมกับดัก?ถ้าไม่ใช่หลุมกับดักแล้วเป็นอะไร


    ท่านดูนั่นนิ้วเรียวยาวชี้ไปยังเบื้องหลังของเหวินหยาง เจ้าบ้านหนุ่มเลิกคิ้วฉงนก่อนจะหันกลับไปมองตาม พอเห็นภาพเบื้องหน้าคางก็พลันตกลงจนแทบชิดอก คาดว่านี่เป็นห้องลับใต้สุสานปี้หวังกล่าวเสียงเบา


    เพดานของห้องนี้สูงไม่ถึงสองจั้ง ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นมังกรตัวหนึ่งขดงออยู่บนเพดานราวกับมีชีวิต ฝีมือที่ประณีตนี้แทบยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงหินแกะสลักไว้


    ในปากของมังกรที่อ้าออกคือไข่มุกราตรีขนาดใหญ่กว่าสองฝ่ามือกำรอบ เป็นต้นกำเนิดของแสงเรืองที่ส่องสว่างทำให้เห็นสภาพของภายในสุสานอย่างแจ่มชัด ขาข้างหนึ่งของมังกรยื่นออกมา กรงเล็บห้ากรงที่คมกริบมีคราบเขม่าควันสีดำติดอยู่ คล้ายกับเคยถูกแผดเผาด้วยไฟ ปี้หวังลองเพ่งตามองให้ชัดค่อยเห็นว่าในแต่ละกรงเล็บมีร่องเล็กๆสายหนึ่งถูกเซาะไว้ ร่องนี้ยาวเป็นสายจนไปบรรจบกันบนท่อนขาที่ติดอยู่บนเพดาน จากการคาดเดาคิดว่านี่มีไว้จุดตะเกียงพันปี ร่องนั้นคือตัวนำน้ำมันที่ใส่อยู่ในตัวมังกรลงมายังไฟที่ถูกจุด ทว่าบัดนี้ไฟมอดดับไปแล้ว คงเป็นเพราะน้ำมันเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น


    เลื่อนตาลงมายังด้านล่าง พบกับโลงศพหินขนาดใหญ่ โลงศพนี้ใหญ่กว่าโลงศพไม้หนานมู่ที่ตั้งอยู่ด้านบนเสียอีก สองนายบ่าวหันมาสบตากันก่อนที่จะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ


    เจ้าบ้านหนุ่มก้าวเข้าไปเบื้องหน้าสองก้าว มองดูโลงศพหินใหญ่ที่สูงท่วมหัวอย่างละเอียด พบลวดลายแกะสลักอย่างประณีต แต่กลับมองไม่ออกว่ามันเป็นลวดลายอะไร ยังมีตัวอักษรยึกยื้ออีกแถบหนึ่ง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ตัวหนังสือราชการของหมิง คาดว่าเป็นตัวอักษรของแคว้นใดแคว้นหนึ่งในอดีตแล้ว


    วนดูโลงศพหินรอบหนึ่ง เห็นหัวท้ายของโลงศพใส่ไว้ด้วยหยกขนาดเท่ากำปั้น แต่ดูแล้วเป็นเพียงหยกอ่อนธรรมดา แม้แต่สีเขียวของหยกยังกระดำกระดากสีไม่เท่ากัน เป็นที่คาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดตระกูลอวี้ซึ่งร่ำรวยถึงขนาดนำเอาไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เพียงนี้มาวางในห้องได้ แต่กลับใช้เพียงเศษหยกไร้ราคามาติดโลง


    นี่แปลกมาก ด้านบนมีโลงศพของเจ้าบ้านรุ่นที่หกอยู่โลงหนึ่งแล้ว แล้วด้านล่างนี่เป็นโลงศพของใครอีก?เหวินหยางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันไปกล่าวกับพ่อบ้านคนสนิท ปี้หวัง หรือว่าข้างบนนั่นเป็นโลงศพหลอกในสุสานบางสุสานก็มีโลงศพหลอกอยู่ เพื่อป้องกันโจรสุสานทำลายศพของผู้ตาย


    นายท่าน ข้าคิดว่าไม่ใช่


    ปี้หวังตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจยิ่ง อวี้เหวินหยางเลิกคิ้วแปลกใจ หันไปมองพ่อบ้านคนสนิท ค่อยเห็นปี้หวังไม่ได้ตามตัวเองมาดูโลงศพแต่กลับเดินเข้าไปดูกำแพงสุสานที่มีภาพเขียนสีสันสดใสวาดเอาไว้แทน


    ไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจ้ารู้อะไรแล้วเหวินหยางเดินเข้าไปหาปี้หวัง กวาดตามองดูภาพวาดบนกำแพงรอบหนึ่ง พบว่าลวดลายบนผนังแม้สดใหม่แต่ลายเส้นดูเก่าแก่กว่าที่วาดบนกำแพงสุสานด้านบน เหมือนว่าเป็นคนละยุคกัน


    นายท่าน นี่เป็นรูปแบบการวาดในยุคราชวงศ์เหนือใต้ แต่ดูให้ดีแล้วจะเห็นการแต่งกายของผู้คนในภาพเป็นของถัง คาดว่าสุสานนี้สร้างในต้นราชวงศ์ถังขอรับ


    ยุคเหนือใต้และถังห่างกันเพียงมีราชวงศ์สุยขวางกั้น ราชวงศ์สุยตั้งอยู่เพียงไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยถัง ในช่วงเวลานี้ประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างสามราชวงศ์ยังคงเชื่อมต่อกันจึงไม่แปลกหากสุสานราชวงศ์สุยจะยังมีลักษณะของราชวงศ์ก่อนหน้าหลงเหลืออยู่


    ถ้าสร้างในราชวงศ์ถัง อย่างนั้นก็ไม่ใช่ของเจ้าบ้านรุ่นที่หกน่ะสิ


    แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าบ้านรุ่นที่หกอยู่ในยุคอู๋ไต้สือกั๋ว ห่างจากยุคต้นราชวงศ์ถังสองร้อยกว่าปี ไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าบ้านรุ่นที่หกได้


    ดูภาพนี้สิขอรับ นางระบำร่ายรำอยู่บนแท่นพิธีการ ดูเหมือนนี่เป็นงานเลี้ยงในวังปี้หวังชี้ให้ดูภาพเขียนเบื้องหน้า เป็นภาพนางรำจริงๆ ลองดูภาพจนละเอียด สลับกับมองเทียบภาพอื่นดู ค่อยชี้ไปยังบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ในภาพ คนผู้นี้คงจะเป็นเจ้าของสุสานนี่แล้ว...


    ในแต่ละภาพจะมีคนผู้หนึ่งยืนหันหลังมองบรรยากาศภายในภาพทั้งหมด แต่ไม่มีภาพใดที่เห็นหน้าคนผู้นี้ชัดๆ ทั้งที่บุคคลอื่นล้วนถูกวาดใบหน้าออกมาจนแทบคล้ายคนจริงๆ


    นายท่าน ดูจากภาพเขียนทั้งหมด ทั้งจากยุคสมัย หากไม่ใช่เจ้าบ้านรุ่นที่หนึ่งก็ต้องเป็นเจ้าบ้านรุ่นที่สอง...ปี้หวังกล่าวเสียงเบา กลืนน้ำลายอึกหนึ่งหันมามองผู้เป็นนายคล้ายกับจะร่ำไห้ แต่บันทึกประวัติเจ้าบ้านรุ่นแรกๆค่อนข้างเก่า แม้ชำระเขียนขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ก็มีเนื้อความจำนวนไม่น้อยตกหล่นไปมาก ข้าจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นของบรรพบุรุษท่านใด อาจบางที...จะไม่ใช่สักท่านก็เป็นได้


    ฟังคำของปี้หวังใจของอวี้เหวินหยางก็เริ่มตุ่มๆต่อมๆขึ้นมา บรรพบุรุษรุ่นหลังยังพอพูดคุยกันได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าบ้านรุ่นแรกจริงมันไม่ถูกสิบแปดชั่วโคตรทั้งหลายสาปแช่งเอาหรือ


    ปี้หวัง...เจ้าลองดูภาพเขียนพวกนี้ให้ดี บางทีเจ้าอาจจำยุคสมัยผิดไป!”


    พ่อบ้านหนุ่มแทบร่ำไห้อยู่รอมร่อ คว้าแขนเหวินหยางไปอีกด้านหนึ่ง ชี้ภาพเขียนเบื้องหน้าพูดขึ้นว่า ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าใจผิด ท่านดู นี่เป็นเหตุการณ์ ณ ประตูเสวียนอู่เหมินนะขอรับ!”


    อวี้เหวินหยางเบิกตา ก่อนผู้เป็นบิดาจะถูกโจรดักปล้นสิ้นชีพไป ตนเองต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านเพื่อร่ำเรียนตระเตรียมสอบจอหงวน ในช่วงเวลานั้นมีหนังสือเล่มใดบ้างที่ไม่เคยอ่าน การปกครองของราชวงศ์ถังคือหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าในตำราย่อมมีเหตุการณ์ฆ่าพี่น้องของจักรพรรดิถังไท่จงหลี่ซื่อหมินอยู่ด้วย


    นายท่าน นี่เป็นภาพที่ถูกเขียนอยู่ในนี้ แสดงว่าเจ้าของสุสานต้องอยู่ในยุคเริ่มต้นของถัง ซ้ำอาจจะอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย


    ในภาพมีรูปแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งอยู่จริง แต่จากมุมมองของภาพคล้ายคนผู้นี้นั่งอยู่บนเหลาสุรามองลงไปยังด้านล่างที่กำลังเกิดการนองเลือด เพราะมองไม่เห็นใบหน้าและแววตาจึงไม่รู้ว่าคนผู้นี้รู้สึกอย่างไร แต่บรรยากาศในภาพดูสงบยิ่ง คนข้างกายที่คล้ายเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทค้อมตัวรินชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน แตกต่างจากผู้คนโดยรอบที่วิ่งวุ่นวายไปทั่ว


    ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเจ้าบ้านรุ่นแรกจริงๆ?


    ปี้หวังส่ายหน้า แสดงแววตาว่าไม่มั่นใจนัก ประวัติเจ้าบ้านรุ่นแรกและรุ่นที่สอง เท่าที่ข้าจำได้ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้บันทึกไว้ขอรับ แต่ถ้าหากบอกว่าตกหล่นไปเพราะการชำระบันทึกก็อาจเป็นไปได้...


    ยิ่งคิดยิ่งปวดศีรษะ เจ้าบ้านหนุ่มดึงทึ้งหมวกบนหัวอย่างหงุดหงิด สุดท้ายพานพูดว่า ช่างเถอะ! รู้ไปแล้วก็ไม่ใช่จะช่วยอะไรได้ ตอนนี้ข้าว่าหาทางออกจากที่นี่ก่อน


    ปี้หวังมองผู้เป็นนายอย่างระอา แต่ก็จริงอย่างที่ว่า ตอนนี้สมควรหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน


    สองนายบ่าวเลิกสนใจภาพวาดบนผนังแล้ว หันกายไปโดยรอบเพื่อหาทางออกจากที่นี่ พบว่าสามด้านของโลงศพมีประตูอยู่ มีประตูเพียงบานเดียวที่ถูกปิดด้วยหิน ทั้งสองยินดียิ่ง รีบก้าวเข้าไปยังประตูที่ปิดแน่น คาดว่านี่เป็นทางออกของสุสานแล้ว


    อวี้เหวินหยางดันประตูหินให้เปิด ทว่าประตูกลับไม่ขยับ พอคิดดูแล้วประตูบานพับเช่นนี้สมควรออกแบบมาให้สามารถเปิดได้จากด้านนอก ตอนนี้พวกมันอยู่ด้านในหากจะเปิดก็ต้องดึง แต่แผ่นประตูหินนี้นอกจากลวดลายที่สลักอย่างละเอียดก็ไร้ซึ่งมือจับยึด แล้วจะเปิดออกได้อย่างไร?


    ข้าจะไปหาของมาทุบประตูเหวินหยางกำลังจะกลับไปหาสิ่งของ แต่ปี้หวังรั้งไว้เมื่อนึกถึงประตูหินของสุสานด้านบนขึ้นมาได้


    พ่อบ้านหนุ่มลองเคาะประตูหินดูเพื่อทดสอบว่าเป็นประตูหินกลวงอย่างสุสานด้านบนหรือไม่ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้ายที่ประตูเป็นหินกลวงจริงๆ เหวินหยางลองใช้หูแนบกับประตู ฉับพลันนั้นได้ยินเสียงกรากแกรกเคลื่อนไปมาอยู่ด้านใน ขนบนต้นคอลุกชูชันขึ้นทันที


    อยู่มาก็พันปีแล้ว นี่มันยังมีชีวิตอยู่อีก!” แทบอยากสบถด่าคนคิดค้นวิธีนี้ขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง ตอนนี้เปิดจากด้านในก็ไม่ได้ จะทุบทิ้งก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป


    สุสานเจ้าบ้านรุ่นที่หกเชื่อมกับสุสานนี้ไม่รู้ว่ามีความสำคัญอะไรหรือไม่...


    ปี้หวังขมวดคิ้ว ถอยกลับมาด้านใน มองดูช่องที่ตนตกลงมากับนายท่าน สุสานทั้งสองต้องมีความเกี่ยวโยงกันแน่นอน ผังสุสานแบ่งแยกกัน แต่ประตูหินทั้งสองกลับเป็นแบบเดียวกัน ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ


    ปี้หวัง หาอะไรมางัดประตูดีหรือไม่?


    ตอนนี้ก็มีแต่ต้องหาของมางัดประตูเท่านั้นแล้ว สองนายบ่าวก้าวกลับมาภายใน พบว่าสิ่งที่วางอยู่มีเพียงกระถางทองแดงสามขา และไหดินเผาเก่าๆฝุ่นจับ อะไรกัน ถึงขนาดมีไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่โตประดับเพดานแต่ไม่มีของฝังร่วมอย่างอื่นเลยหรือ?


    นายท่าน ลองเข้าไปดูในห้องฝังร่วมสิขอรับห้องฝังร่วมเป็นห้องปีกข้างที่ไม่มีบานประตูปิดไว้ แต่ว่าภายในนั้นมืดสนิทไร้แสงไฟ ไข่มุกราตรีบนเพดานเพียงส่องถึงห้องหลักเท่านั้น


    ความมืดมิดนั่นชวนขวัญผวา เหวินหยางกลืนน้ำลายดังอึกพูดกับพ่อบ้านผู้รู้ใจว่า ปี้หวัง เทียนก็ดับไปแล้ว จะเข้าไปหาของได้ยังไง!” หันกลับไปมองโลงศพใหญ่ที่เลี่ยงแตะต้องมาตั้งแต่แรกแวบหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมาว่า ข้าว่าเจ้าของสุสานนี้ดูเป็นผู้มีวิชาฝีมือ ปี้หวัง ข้าว่าในโลงศพนั่นอย่างน้อยก็ต้องมีกระบี่หรือดาบสักเล่มละ ถ้าใช้กระบี่ต้องงัดประตูหินได้แน่!”


    ท่าน...จะเปิดโลงหรือขอรับ!” เห็นอวี้เหวินหยางผงกศีรษะพ่อบ้านก็หนุ่มส่ายหน้าพรืด ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้อย่างยิ่ง

    ปี้หวัง! ถ้าไม่เปิดก็ไม่รู้จะออกไปยังไงแล้ว หรือเจ้าจะอยู่ข้างล่างนี่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษใหญ่! เอาน่า ยังไงแต่แรกก็มาเพื่อยืมเงินทองอยู่แล้ว ยืมกระบี่อีกสักเล่มจะเป็นไร?


    คำก็บอกว่ายืม สองคำก็บอกว่ายืม ถามว่าเจ้าของเขาให้ยืมแล้วหรือไม่?


    นะ นายท่าน เอาอย่างนี้ เรางัดไข่มุกราตรีด้านบนลงมาใช้เป็นแสงไฟก่อน ถ้าเข้าไปหาในห้องข้างแล้วไม่มีของพองัดประตูได้ค่อยกลับมาเปิดโลงให้ตายอย่างไรปี้หวังก็ไม่ยอมเปิดโลง เหวินหยางจึงต้องคล้อยตามไป


    สองนายบ่าวมองดูไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ที่ฝังอยู่ด้านบน ดูๆแล้วเพดานสุสานนี้เตี้ยยิ่ง เหวินหยางชี้ไปยังกระถางทองแดงขนาดสูงเท่าเอวคน บอกว่า พวกเราขึ้นไปยืนบนนี้แล้วต่อตัวขึ้นไปเถอะ


    ไม่ไหวนายท่าน! ถึงต่อตัวไปก็ไม่ถึง ข้าว่า...ลังเลชั่วขณะหนึ่งปี้หวังค่อยชี้ไปที่ตัวโลงที่ตั้งอยู่ ขึ้นไปบนโลงเถอะขอรับโลงศพสูงเท่าตัวคนซ้ำยังวางบนแท่นสูง ไข่มุกราตรีนั่นก็อยู่เหนือโลงศพไปพอดี นับว่าเหมาะเป็นที่หยั่งเท้าอย่างยิ่ง


    อ่า...เหวินหยางหน้าซีดเผือดเล็กน้อย แต่แค่ปีนโลงศพมีอะไรน่ากลัวกัน!


    ดังนั้นสองนายบ่าวม้วนแขนเสื้อ เดินขึ้นแท่นวางโลงศพด้วยกัน


    นายท่าน ระวังนะขอรับ!” พ่อบ้านหนุ่มมองดูผู้เป็นนายปีนขึ้นไปบนแท่นอย่างนึกห่วง โลงศพแกะสลักเป็นลวดลายเล็กละเอียดยิบ แทบไม่มีที่วางเท้า เหวินหยางมองไปรอบๆค่อยจำได้ว่าหัวท้ายโลงมีหยกไร้ค่าสองก้อนฝังอยู่ ดังนั้นเดินวนไปยังหัวโลง หยกสีเขียวกระดำกระด่างถูกสกัดเป็นรูปห้าเหลี่ยมเสียบไว้ในร่อง ลองขยับหยกดูพบว่าสามารถโยกคลอนได้ ขยับไปมาอีกสองสามทีหยกห้าเหลี่ยมที่ฝังอยู่ก็หลุดออกมาเสียแล้ว


    ทันทีที่หยกหลุดออก ลมเย็นกลุ่มหนึ่งพลันพัดผ่านหลังคอจนรู้สึกหนาวสะท้าน ปะ ปี้หวัง เจ้าว่าลมในสุสานนี้มันมาจากไหนกันน่ะ?


    ลมหรือขอรับ?ปี้หวังหน้าเผือดซีด ในสุสานจะไปมีลมได้อย่างไร!


    เอาเถอะ! ข้าหาที่ปีนได้แล้วสะบัดศีรษะไล่ความคิดวุ่นวายในหัว แต่ไหนแต่ไรเหวินหยางก็ไม่ใช่คนคิดมาก เรื่องผีสางยิ่งไม่อยู่ในหัว ไม่เช่นนั้นจะกล้ามาขุดสุสานบรรพชนตนเองได้อย่างไร


    สอดหยกห้าเหลี่ยมเก็บไว้ในอกเสื้อ ยืดเส้นสายแล้วค่อยสอดเท้าเข้าไปในร่องห้าเหลี่ยมที่เคยใส่หยกไว้ อย่างลำบากยากเย็นค่อยปีนขึ้นโลงสูงได้ในที่สุด


    นายท่านระวังนะขอรับ ข้าจะคอยดูอยู่ด้านล่าง!” ปี้หวังจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของผู้เป็นนาย คอยรับหากอวี้เหวินหยางเกิดพลัดตกลงมา


    เจ้าบ้านหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือออกไปหาไข่มุกราตรีที่ติดอยู่ หลังจากเขย่งปลายเท้าจนสุดค่อยสัมผัสตัวไข่มุกที่อยู่ในปากมังกรได้ ตัวไข่มุกไม่ได้ถูกฝังจนติดอยู่กับหิน ดังนั้นเพียงแค่ขยับไม่กี่คราไข่มุกก็อยู่ในมือของเหวินหยางอย่างง่ายดาย


    ได้มาแล้ว!” ที่จริงแค่ไข่มุกราตรีเม็ดนี้ก็แทบซื้อกิจการทั้งหมดกลับมาได้ในคราเดียว เหวินหยางถือไข่มุกไว้มั่นด้วยสองมือ ประคองส่งให้ปี้หวังที่รอรับอยู่ด้านล่าง


    หลังจากปีนลงมาแล้วสองนายบ่าวก็พากันไปยังห้องปีกข้างที่วางของฝั่งร่วมมีค่า ทว่าห้องฝั่งซ้ายที่เข้ามามีเพียงหีบเหล็กหลายใบ ดูจากขนาดไม่น่าใส่สิ่งของอย่างกระบี่ไว้ได้ เปิดดูแล้วก็พบกับกองผ้าเปื่อยยุ่ย ล้วนเป็นผ้าไหมที่ผ่านกาลเวลามายาวนานทั้งสิ้น ขณะขมวดคิ้วคิดหนัก ปี้หวังที่เปิดหีบใบอื่นก็ร้องเรียกขึ้นมา นายท่าน ดูนี่สิขอรับ!”


    หีบใบที่ปี้หวังเปิดออกก็เป็นหีบอาภรณ์เช่นกัน ทว่าม้วนผ้าพับที่อยู่ภายในแตกต่างกว่าหีบอื่น มันกลับเป็นผ้าพับที่ดิ้นด้วยด้ายทองคำทั้งผืน!


    ไม่คิดว่านายท่านใหญ่เจ้าของสุสานนี้จะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!” เหวินหยางลูบเนื้อผ้าทองคำในหีบอย่างตะลึง อาภรณ์ดิ้นทองนั้นเคยได้ยินว่ามีแต่ฮ่องเต้ที่ได้สวม แต่แม้จะเป็นด้ายทองก็ไม่ใช่ทองทั้งผืนเช่นนี้ ผ้าพับนี่ต้องใช้ระยะเวลาและทองบริสุทธิ์กี่หีบถึงจะสามารถทอขึ้นมาได้!


    ผ้านี่ไม่ได้ตัดก็ถูกเก็บลงหีบกลายเป็นของฝั่งร่วมเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่ง!


    เจ้าลองดูหีบอื่นอีก!”


    หีบหกใบถูกเปิดออก คราวนี้ปี้หวังถึงกับเข่าอ่อนล้มพับลงไป


    นายท่าน ไข่มุกราตรีที่นำลงมาสู้ไม่ได้เลยขอรับ!” ทั้งห้องสว่างขึ้นทันทีที่เปิดหีบใบสุดท้ายออก ไข่มุกขนาดเท่าศีรษะมนุษย์วางอยู่ภายใน แสงที่ส่องออกมาแทบเทียบเท่ากับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างยามกลางวัน


    เหวินหยางผงกศีรษะตามอย่างลืมตัว สายตาจับจ้องที่หยกสีเหลืองอ่อนขนาดเท่าสองมือกำรอบ ตัวหยกถูกแกะสลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมดูคล้ายตราประทับ บนที่จับแกะเป็นรูปมังกรทอง ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา


    หยิบตราประทับนั้นขึ้นมาดู เห็นตัวอักษรที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง แต่ทว่า...เหวินหยางอ่านไม่ออก


    ปี้หวัง เจ้าดูตราหยกนี่ มันเขียนว่าอะไรส่งยื่นให้พ่อบ้านผู้มากความสามารถดู พอปี้หวังเห็นเท่านั้นก็ร้องว่า นี่! นี่เป็นลัญจกรสืบแผ่นดิน โอ้! ของนี้มีค่ายิ่งกว่าเมืองทั้งเมือง แทบเปลี่ยนแผ่นดินได้เลยนะขอรับ!” ปี้หวังเกือบเป็นลมไปแล้ว สมบัติแต่ละอย่างที่อยู่ในนี้ปี้หวังสามารถยืนยันได้เลยว่าแม้แต่สุสานฮ่องเต้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็ยังไม่สามารถฝังของล้ำค่ายิ่งกว่านี้ลงไปได้


    ตัวอักษรจ้วนของฉิน สิ่งนี้ถูกสั่งทำขึ้นโดยพระประสงค์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ ว่ากันว่าผู้ใดได้ครอบครองแผ่นดินจะตกเป็นของผู้นั้น ฌ้อปาอ๋องแย่งชิงแผ่นดินกับหลิวปังแต่ก็ต้องพ่ายแพ้เพราะหยกนี้ถูกหลิวปังชิงมาได้ก่อน ประวัติของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เต็มไปด้วยโลหิต ทว่าพอถึงยุคถังก็หายสาบสูญไป ไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้


    ปี้หวัง เจ้าจะชอบอ่านอะไรไร้สาระมากไปหน่อยกระมั้ง หากที่บอกว่าผู้ใดได้ครอบครองได้แผ่นดินเป็นเรื่องจริง ป่านนี้ตระกูลอวี้คงได้เป็นฮ่องเต้ ครองบัลลังก์มังกรตั้งแต่พันปีที่แล้วได้แล้วพูดก็คือ หยกนี่ก็เป็นเพียงของแทนใจไว้ดูต่างหน้าของฮ่องเต้จิ๋นซี ดูเถิด ขนาดจิ๋นซีผู้สั่งทำหยกขึ้นยังครองแผ่นดินได้ไม่ถึงห้าสิบปีก็ขึ้นสวรรค์แล้ว ราชวงศ์ของพระองค์ก็ถูกล้มล้างอยู่ไม่ยืนยาว นี่แสดงว่าตำนานนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้


    ปี้หวังถูกว่าให้เช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว แต่ที่นายท่านพูดก็จริง เรื่องตำนานเล่าลือเช่นนี้ฟังให้น้อยหน่อยก็ดี เอาเถอะขอรับ มันก็คงเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ แต่ตัวอักษรของตราประทับนี้เขียนว่า น้อมรับบัญชาสวรรค์ อายุนิรันดร์วัฒนาในใต้หล้านี้ไม่มีตราหยกใดสลักด้วยคำนี้อีกแล้ว


    สองนายบ่าวมองดูสมบัติล้ำค่าอย่างเงียบงันอีกครั้ง แต่ว่านอกจากหีบที่ใส่ไข่มุกราตรีและลัญจจรสืบแผ่นดินแล้ว นอกนั้นก็เป็นเศษซากของหนังสือที่ถูกเก็บจนกระดาษเหลืองกรอบ หากยกออกมาดูคงเปื่อยยุ่ยขาดคามือ ยังมีกระเบื้องเคลือบที่ดูล้ำค่าอีกหีบหนึ่ง เปิดดูภายในปรากฏกลิ่นหอมรัญจวน ไม่รู้ว่าเป็นเหล้าหมักบ่มหรือน้ำยาอันใด


    ถ้าดูจากของล้ำค่าอย่างลัญจกรและไข่มุก ยังมีผ้าผืนทองอีก คิดว่าของที่อยู่ในหีบทุกใบต้องเป็นสมบัติล้ำค่ามากแน่ขอรับ หนังสือที่เปื่อยยุ่ยควรเป็นวิชาอะไรสักอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้ ส่วนขวดกระเบื้องเคลือบเหล่านี้อาจเป็นยาวิเศษในตำนานปี้หวังวิเคราะห์อย่างรอบคอบ น่าเสียดายที่หนังสือนี้เปราะบางจนไม่สามารถหยิบออกมาดูได้แล้ว ส่วนยาวิเศษ...ใครจะกล้าพิสูจน์ดูกันเล่า?


    แล้วหีบผ้าหีบนั้นละ? ดูไปก็เป็นแค่หีบผ้าธรรมดาไม่ใช่หรือเหวินหยางชี้ไปยังหีบใบแรกที่ตนเปิดดู ปี้หวังเดินเข้าไปก้มมอง เห็นเศษผ้าเก่าขาดกว่าที่ควรจะเป็นจึงเอื้อมมือหยิบของภายในออกมา เนื้อผ้าเปื่อยยุ่ยอย่างยิ่ง เพียงสัมผัสก็กลายเป็นผงแล้ว แต่ผ้าที่เปื่อยยุ่ยไปนั้นก็เผยให้เห็นสายผ้าคาดเอวที่ประดับด้วยหยก


    นายท่าน ดูคล้ายนี่จะเป็นชุดขอรับใช้มือเขี่ยอีกสองสามที ยังมีทองแดงที่เป็นเครื่องประดับอีก แต่เพราะผ้าเปื่อยยุ่ยไปหมดจึงไม่รู้ว่าทองแดงนี่ถูกประดับอยู่ส่วนใดของชุดกันแน่


    เจ้าไม่บอกข้าก็รู้น่า!”


    ไม่ใช่ชุดธรรมดานะขอรับ นี่เป็นชุดพิธีการของขุนนาง นายท่านลองดูนี่ ขุนนางฝ่ายบุ๋นจะไม่มีการประดับชุดด้วยโลหะ มีเพียงฝ่ายบู๋เท่านั้นที่ประดับไว้ และต้องเป็นยศที่สูงมาก อย่างน้อยแม่ทัพ มากสุดเป็นอ๋อง


    เจ้าบ้านหนุ่มปวดหัวตุบ งั้นบรรพบุรุษที่ร่ำรวยผู้นี้ก็เป็นแม่ทัพน่ะสิ?เป็นแม่ทัพแต่ร่ำรวยขนาดนี้ อย่าบอกน่ะว่าเป็นพวกกังฉิน?


    ปี้หวังส่ายศีรษะ นอกนี้ข้าก็ไม่สามารถบอกได้แล้ว แต่ว่านายท่าน ของเหล่านี้ที่ข้าคิดไว้ ทั้งหมดต้องเป็นสิ่งของมีค่าที่สุดสำหรับเจ้าของสุสาน หรืออาจเป็นของที่ผู้ตายผูกพันมากจึงได้นำมาฝังไว้ พวกไข่มุกเหล่านี้เป็นของมีค่าแน่นอน แต่ขวดกระเบื้อง ตำรา หรือชุดประจำตำแหน่งอาจเป็นสิ่งที่ผู้ถูกฝังใช้อยู่ประจำ


    ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าบอกเหวินหยางกอดอก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กล่าวว่า แต่ที่นี่ไม่มีกระบี่!”


    มีของล้ำค่าแล้วอย่างไร ออกไปก็ออกไม่ได้ ปี้หวังพอได้ฟังก็ตะลึงงัน พวกตนเข้ามาก็เพื่อหากระบี่ไปงัดประตู แต่ของมีค่ามีมากมาย ที่ขาดไปก็คือกระบี่ล้ำค่าสักเล่ม


    นายท่าน ยังมีห้องข้างอีกห้องหนึ่ง!” กล่าวให้ความหวังกับตัวเอง ปี้หวังไม่ต้องการงัดโลงศพท่านผู้เฒ่าที่ลึกลับผู้นี้ อย่างไรก็ไม่เด็ดขาด!


    ถ้างั้นไปดูเถอะสองนายบ่าวก้าวออกไปเบื้องนอกอีกครั้ง เดินผ่านโลงศพใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องด้วยฝีเท้ารีบเร่ง แต่เหวินหยางคล้ายมองเห็นสิ่งผิดปกติ ชะงักเท้าเรียกพ่อบ้านเดินย้อนกลับไปอีกครั้ง


    นายท่านมีอะไรหรือขอรับ?เห็นผู้เป็นนายคล้ายพบเห็นอะไรเข้า หัวคิ้วขมวดแน่นจนแทบผูกเป็นปม จึงมองตามสายตาไป แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ


    ปี้หวัง หยกท้ายโลง...หายไปไหนแล้วอวี้เหวินหยางกล่าวถามเสียงสะท้าน เมื่อครู่จำได้ว่าตนเองเพื่อปีนขึ้นไปจึงดึงหยกบนหัวโลงออก ทว่าหยกท้ายโลงตนเองไม่ได้แตะต้อง แล้วตอนนี้มันหายไปไหน?


    หยกหรือขอรับ?ปี้หวังชะโงกหน้ามามอง เห็นช่องห้าเหลี่ยมที่เคยใส่ไว้ด้วยหยกไร้ราคาว่างโหว่งกลวงเปล่า ข้า..ข้าเปล่าแตะต้องนะขอรับกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เหวินหยางก้าวไปด้านข้างโลงอีกเล็กน้อย พบว่าด้านล่างแท่นวางโลงศพ หยกเขียวห้าเหลี่ยมตกอยู่ในซอกหลืบราวกับถูกดันออกมา


    สองคนสบตากัน เส้นขนบนต้นคอลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×