คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : วิญญาณหวนคืน 1
วิญญาณหวนคืน 1
เสียงจอบเสียมดังต่อเนื่องยาวนานท่ามกลางความมืดมิด
หมู่ดาวริบรี่ มีเพียงดวงจันทร์กลมโตที่สุกสกาวกว่าสิ่งใด
ในที่สุดจอบเสียมที่ถูกใช้จนมือจับชื้นเหงื่อก็กระทบถูกของแข็งชนิดหนึ่ง
ปี้หวังสั่งให้ทั้งหมดถอยห่างออกไป ตนเองเข้าไปใช้มือกวาดเศษดินที่หลงเหลือ จนกระทั่งมองเห็นอิฐแดงก่อเป็นกำแพงอยู่ด้านใน
อิฐสุสานมีส่วนผสมของฉือเฉียว
แต่นอกจากร่องรอยสีแดงจางของวัสดุกันชื้นก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
คาดว่ายามที่ฝั่งศพเป็นช่วงกลียุคจึงไม่มีการปิดอิฐก่อด้วยโลหะเหลวอีกชั้น หรือเพิ่มกับดักเพลิงแดงเพื่อกันโจรสุสานพังทางเข้า
นี่นับว่าเป็นโชคดีของพวกมันแล้ว
“นายท่าน
โชคดีนักที่ไม่มีโลหะเหลวหรือเพลิงแดง!” หันไปกล่าวกับผู้เป็นนายอย่างยินดี
อวี้เหวินหยางก็ผงกศีรษะติดกันหลายคราอย่างตื่นเต้น อันที่จริงใครบอกว่ามันไม่กลัว
นำคนเข้ามาขุดสุสานบรรพชน ถึงบอกว่าเป็นบรรพบุรุษของตนเองก็เถอะ
แต่ไม่รู้ว่าวิญญาณบรรพบุรุษเหล่านั้นพอตายเป็นผีไปแล้วจะยังจำลูกหลานของตนได้อยู่หรือไม่
ไม่ต้องพูดถึงบุตรหลานที่สมควรตายเช่นมันเลย
หวังว่าข้างในจะไม่มีบ๊ะจ่างใหญ่รอมันอยู่หรอกนะ!
ปี้หวังลงมืองัดก้อนอิฐออกด้วยตนเอง อย่างยากเย็นในที่สุดทางเข้าสุสานก็เปิด
ลมเย็นที่หนาวยะเยือกพัดกรูผ่านลำตัวไปอย่างข่มขวัญ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่
คล้ายลมเย็นนั้นจะพัดมาจากข้างในแทนที่จะเป็นอากาศที่ไหลมาจากเบื้องนอก
มองดูทางเข้าที่มืดมิดคล้ายทางเข้ายมโลกอวี้เหวินหยางก็เกิดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
ทว่าเพื่อตระกูลอวี้ที่ต้องกอบกู้กลับคืน เรื่องเพียงเท่านี้ต้องสามารถฝ่าฟันไปได้
เจ้าบ้านหนุ่มหันไปคว้าโคมไฟที่อยู่ในมือของบ่าวคนหนึ่งมาถือไว้ พูดว่า “พวกเจ้ารออยู่เบื้องนอก
หากว่าข้าเรียกแล้วค่อยตามเข้าไป” เพื่อไม่ให้มีคนเข้าไปรบกวนบรรพชนที่หลับใหล
เหวินหยางและปี้หวังต้องเป็นผู้ขนสมบัติมาไว้ตรงทางเดินเอง แค่คิดก็ชวนปาดเหงื่อแล้ว...
“ขอรับนายท่าน” ทั้งหมดขานรับอย่างพร้อมเพรียง เป็นเรื่องดีไม่น้อยที่ตนไม่ต้องเข้าไปในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้
“ปี้หวัง เข้าไปกันเถอะ” หันไปเรียกพ่อบ้านคนสนิท ปี้หวังผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ก่อนจะก้าวตามผู้เป็นนายเข้าไปภายใน
แสงโคมวูบวาบเพราะอากาศที่ยังไม่ถ่ายเท
หลังจากมุดเข้ามาภายในไม่นานทางเดินแรกก็ปรากฏสู่สายตา
รูปแบบของสุสานยึดตามผังสถานที่อยู่อาศัยของผู้ตายยามมีชีวิตอยู่
นับจากทางเข้าที่แรกสมควรเป็นห้องรับแขกในตัวตึกใหญ่ มีห้องนอนซึ่งตั้งศพและห้องข้างที่ใช้วางของฝังร่วมอยู่ปลายสุดของทางเดิน
อวี้เหวินหยางกลืนน้ำลายที่หนืดเหนี่ยวเสียงดังอึก
เดินนำปี้หวังที่ตามอยู่ด้านข้างผ่านทางเดินสุสานเข้าไป
ลองใช้โคมไฟส่องโดยรอบด้วยความอยากรู้
ค่อยเห็นว่ากำแพงทางเดินมีภาพเขียนที่สีสันยังสดใหม่ ล้วนเป็นภาพเทพยดากำลังเหยียบเมฆโปรยดอกไม้
นี่เป็นลายมงคลที่เป็นที่นิยมวาดในสุสานช่วงราชวงศ์ถัง ผ่านมาถึงยุคสือกั๋วรูปแบบนี้ก็ยังคงไม่เสื่อมความนิยม
เพียงแต่เมื่อเดินผ่านมาเรื่อยๆเริ่มพบว่าตัวภาพค่อยๆจืดจางไป คาดว่าเพราะถูกลมภายนอกพัดเข้ามาปรับเปลี่ยนสภาพภายใน
บรรยากาศภายในวังเวงชวนขนหัวลุกยิ่ง
ดังนั้นอวี้เหวินหยางจึงชวนพ่อบ้านคนสนิทคุยเพื่อระงับอาการขวัญผวา
“ปี้หวัง เจ้าดูผังสุสานนี่สิ
ข้าว่าตึกตระกูลในยุคของเจ้าบ้านรุ่นที่หกต้องใหญ่มากแน่ๆ”
ปี้หวังได้ฟังก็ผงกศีรษะเห็นดีด้วย
ใช้ดวงตาคมกวาดสำรวจดูโดยรอบ แม้เป็นเพียงทางเดินสุสานแต่ก็คงไว้ซึ่งลวดลายเทพยดาได้อย่างปราณีต
เห็นได้ชัดว่าถึงจะอยู่ในช่วงกลียุค
แต่ตระกูลอวี้ยังมีความพร้อมจัดสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้
“เจ้าบ้านรุ่นที่หกไม่ยุ่งเกี่ยวราชสำนัก
ไม่ติดต่อโจรกบฏ แต่ก็ยังคงนำความสงบสุขมาสู่ตึกตระกูล
ทั้งไม่ถูกกวาดต้อนด้วยผู้มีอิทธิพลและภัยสงคราม
แสดงถึงความสามารถของท่านยิ่งขอรับ” ปี้หวังชื่นชมอย่างจริงใจ
หากจะบอกแล้วคงพูดได้ว่าในยุคที่ไฟสงครามอุ่นระอุถึงเพียงนั้นแต่ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างหมดจด
เห็นชัดว่าเจ้าบ้านรุ่นที่หกเป็นพวกรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางอย่างแท้จริง
เดินชมภาพวาดริมผนังจนมาถึงประตูใหญ่ที่ปิดทางเข้าห้องสุสานหลักเอาไว้
สองนายบ่าวสบตากัน ก่อนที่ปี้หวังจะรับโคมไฟในมือผู้เป็นนายมาถือ
น้อมตัวให้อวี้เหวินหยางก้าวเข้าไปหน้าบานประตู
“ประตูสุสานเป็นหินสกัด
เจ้าว่าจะมีพวกกลไกทรายไหลพวกนี้หรือไม่?” ลองสำรวจดูหน้าประตูสุสานอย่างละเอียดด้วยสีหน้าหนักใจ
ลวดลายด้านหน้าเป็นสัตว์วิเศษปี้เซียะคาบแก้ว
หากมองดูเผินๆคล้ายมังกรคาบแก้วก็ไม่ปาน
แต่หากทำเป็นประตูมังกรจริงทั้งตระกูลคงได้โดนตัดหัวแล้ว
“ไม่น่าจะมีนะขอรับ ตัวสุสานเดิมทีก็เจาะภูเขาอยู่แล้ว
ถ้าหากเพิ่มกลไกขนาดใหญ่เช่นนั้นเข้าไปอีกต้องยุ่งยากมาก
เกรงว่าท่านเจ้าบ้านรุ่นต่อมาจะไม่มีเวลามากพอ” ถึงตระกูลอวี้จะร่ำรวยมากก็เถอะ
แต่สร้างกลไกขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นคิดว่าไม่มีความสามารถจะกระทำได้
เหวินหยางผงกศีรษะ ยกมือลูบคางอย่างชังใจ แล้วประตูหินใหญ่ถึงเพียงนี้พวกมันสองคนจะเปิดออกได้อย่างไร
หรือว่าจะต้องกลับไปเรียกบ่าวไพร่พวกนั้นให้ตามมาทุบประตูทิ้ง?
“นายท่าน
ประตูนี้อย่างน้อยหนักพันจิ่น แต่ถ้าช่วยกันดันก็อาจเปิดได้” ปี้หวังลองเสนอความเห็น
แต่เห็นได้ชัดว่าประตูหนาเพียงนี้ย่อมไม่สามารถเปิดได้ด้วยแรงเพียงสองคน
อย่างไรก็ตาม หากเลี่ยงไม่ให้คนนอกเข้ามาเห็นผังสุสานได้ก็ถือเป็นเรื่องดี
“งั้นลองดันประตูดู” พูดแล้วก็ลงมือ ปี้หวังก็ไม่ได้ยืนเปล่า หันตัวใช้ไหล่ดันช่วยผู้เป็นนายอย่างขึงขัง
ไม่คาดคิด
ทั้งที่ประตูทำจากหินตันดูหนักหนาถึงเพียงนั้น
แต่พอสองแรงลงมือยังไม่ทันทำอะไรก็รู้สึกไหล่มือที่ออกแรงไปวูบโหว่ง
สองนายบ่าวพากันล้มโครมไปพร้อมกับประตูที่อ้ากว้างออกอย่างง่ายดาย
“บัดซบ! ประตูหินอะไรกันว่ะ!”
เหวินหยางสบถออกมา นอนแผ่หลาอยู่หน้าประตูอย่างสิ้นท่า
รู้สึกคล้ายโดนหลอกลวงอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเพิ่งสบถอย่างหัวเสียไป
เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกของปี้หวังก็ดังขึ้นมา
“นะ นายท่าน นี่มันเป็นหินกลวง โอ้
เกือบไปแล้ว! ถ้าหากทุบทิ้งต้องมีปัญหาแน่!” เห็นปี้หวังที่นอนล้มลุกคลุกคลานอยู่ด้านข้างไม่ต่างจากตนมีสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
พอถามว่าหมายความว่าอย่างไรพ่อบ้านหนุ่มก็บอกว่า “ข้าเคยอ่านในตำรา
หินกลวงชนิดนี้เกิดจากการคว้านเนื้อหินภายในออกไปจนเหลือเพียงผิวนอก จากนั้นนำสัตว์มีพิษใส่เอาไว้จนเต็มค่อยปิดหิน
สัตว์เหล่านั้นจะกัดกินกันเองจนในที่สุดก็เหลือเพียงตัวเดียวที่สามารถรอดชีวิตได้
นายท่าน! สัตว์พิษนี้ถูกเรียกว่ามารพันวิญญาณ
ร้ายกาจยิ่งกว่างูพิษหรือตะขาบพิษที่พบเห็นอยู่ทั่วไปเสียอีก
ถ้าหากมีคนคิดทำลายประตูหินโดยการทุบ
มารพันวิญญาณที่ถูกขังอยู่ด้านในจะต้องออกมาทำร้ายผู้คนอย่างแน่นอน!”
พูดไปขนกายก็ยิ่งลุกชูชัน เหวินหยางพอได้ยินก็หน้าซีดเผือดแทบเป็นลมล้มพับไป
ถือว่าสวรรค์คุ้มครองที่เมื่อครู่มันไม่เรียกพวกบ่าวไพร่เบื้องนอกให้เข้ามาทุบประตูหินทิ้ง!
สองคนกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา ปัดเนื้อปัดตัวที่เปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่น ปี้หวังรีบดูโคมไฟที่เกือบมอด
ยังดีที่ถือขึ้นมาทันก่อนเทียนจะมอด
ไม่อย่างนั้นหากต้องอยู่ภายในสุสานที่มืดมิดโดยไร้แสงไฟคงได้ฝันร้ายไปตลอดทั้งชีวิตแล้ว
อวี้เหวินหยางมองประตูหินอย่างหวาดๆอีกคราหนึ่งจากนั้นละสายตากลับไปมองภายในห้องสุสานอย่างสำรวจตรวจตรา
เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังขึ้นทันทีที่หันกลับไปมอง
พ่อบ้านหนุ่มวาดแขนที่ถือโคมไฟไปโดยรอบอย่างตื่นเต้น
ภาพที่ปรากฏขึ้นคือห้องโถงที่กว้างหลายจั้ง ถือเป็นห้องสุสานที่ดีเลิศนัก!
“นายท่าน ดูสิขอรับ
เป็นห้องสุสานหลักที่ยิ่งใหญ่มาก!”
แสงเทียนส่องไปยังกำแพง
ปรากฏภาพเขียนที่บรรยายถึงประวัติของเจ้าของสุสานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ภาพเหตุการณ์ที่ดึงดูดทั้งคู่ที่สุดคือทหารม้านับพันซึ่งกำลังควบม้าผ่านทุ่งหญ้า
ไล่ล่าคนผู้หนึ่งที่ขี่ม้านำหน้าผู้คนออกไป
“นี่สมควรเป็นเจ้าบ้านรุ่นที่หกขอรับ
นายท่านดูนี่ นี่เป็นเหตุการณ์หนีทัพม้าอาณาจักรเหลียวของท่านเจ้าบ้าน
ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติเจ้าบ้าน!”
ในช่วงอู๋ไต้สือกั๋ว(ห้าราชวงศ์สิบแคว้น)แผ่นดินวุ่นวายอย่างยิ่ง
หลังถังล่มสลายก็มีอาณาจักรต่างๆแตกแยกออกไปหลายสิบอาณาจักร
แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
แต่กว่าเจ้าควงอิ้นจะสามารถปราบปรามและรวบรวมอาณาจักรที่แตกแยกออกไปกลับมารวมตัวกัน
สถาปนาราชวงศ์ซ่งให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลากว่ายี่สิบปีเลยทีเดียว
และในช่วงเวลานี่เอง
ตระกูลอวี้ที่หยั่งรากอยู่ในแผ่นดินซึ่งอุ่นระอุด้วยไอศึกสงครามต้องเผชิญกับการต่อสู้อันวุ่นวาย
เจ้าบ้านรุ่นที่หกใช้ความสามารถที่เลิศล้ำนำผู้คนลี้ภัยออกจากตึกตระกูลที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรเหลียวเพราะไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายของการแย่งชิงแผ่นดิน
ทว่ามีหรือที่เจ้าแคว้นเหลียวจะปล่อยตระกูลที่มั่งคั่งอย่างตระกูลอวี้ให้หลุดรอดไปได้
ทันทีที่รู้ว่าตระกูลอวี้คิดอพยพก็สั่งกองกำลังม้าศึกกว่าพันนายไล่ติดตามขบวนเดินทางของตระกูลอวี้ทันที
แต่เจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องย่อมมีหนทางรับมือ
ท่านเจ้าบ้านนำผู้คนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อทหารม้าเหล่านี้ไป ก่อนจะพาทั้งหมดเข้าสู่กับดักของผู้บัญชาการศึกแห่งราชวงศ์โจว
คนผู้นี้คือเจ้าควงอิ้นเอง
ด้วยการช่วยเหลือของผู้บัญชาการองค์รักษ์เจ้าควงอิ้น
ทหารม้าพันนายที่ติดตามเจ้าบ้านรุ่นที่หกถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก
หลังจากนั้นเจ้าควงอิ้นเปิดศึกชิงอำนาจจากราชวงศ์โจว สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าซ่งไท่จูแห่งราชวงศ์ซ่ง
นับแต่นั้นราชวงศ์เหลียวและซ่งก็กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา รบพุ่งกับนับสิบปี
สุดท้ายราชวงศ์เหลียวก็ถูกล้มล้างไปในที่สุด
พร้อมกับที่ราชวงศ์ซ่งสามารถรวบรวมอาณาจักรที่แตกแยกออกไปกลับคืนมา
รวมแผ่นดินได้อีกครั้ง
นับว่าท่านเจ้าบ้านรุ่นที่หกสามารถเอาตัวรอดได้โดยยืมมือศัตรูของศัตรู
บ่งบอกถึงสติปัญญาที่เฉียบแหลมของท่านอย่างแท้จริง
ไล่ตาดูภาพเขียนบนผนังจนถึงภาพสุดท้าย พบว่าภาพนี้แปลกประหลาดยิ่ง
เป็นเหตุการณ์ของเจ้าบ้านรุ่นที่หกกำลังคุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชน
ด้านหลังมีทั้งฮูหยินใหญ่และบ่าวรับใช้ทั้งหมดกำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจ
ที่แท้นี่เป็นภาพแสดงถึงวาระสุดท้ายของผู้นำตระกูลอวี้รุ่นที่หก
“ปี้หวัง ทำไมท่านรุ่นที่หกถึงได้คุกเข่าหน้าศาลแล้วตายไปเช่นนี้
นี่คงไม่ใช่เหตุการณ์จริงกระมั้ง” พูดไปก็รู้สึกขนลุก หากเป็นเรื่องจริงก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
ปี้หวังก็มองดูอย่างไม่แน่ใจ
ทว่าในบันทึกประวัติเจ้าบ้านแต่ละรุ่นล้วนบรรยายวาระสุดท้ายของเจ้าบ้านไว้อย่างละเอียด
เท่าที่จำได้ในประวัติของเจ้าบ้านรุ่นที่หกเขียนไว้ว่า ‘เหตุฟ้าพิโรธฟาดมังกรหยกร่ำไห้
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความรุ่งเรืองของลูกหลาน ยอมสละกายเปิดเนินดินถิ่นแดนเซียน
ใช้เวลาทาบทับนับเป็นประสงค์ฟ้า แต่นี้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข
รักษากายทิพย์แก่นมังกรสืบไป’
นี่นับเป็นประโยคเดียวที่ไม่ถูกอธิบายจนกระจ่างชัด
อย่างไรก็ตามปี้หวังขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กเพิ่งรู้ความ
แม้อ่านออกเขียนได้ก็ไม่ใคร่ใส่ใจวิเคราะห์จนลึกซึ้ง มาวันนี้นึกขึ้นได้ค่อยรู้สึกว่าการตายของเจ้าบ้านรุ่นที่หกแปลกประหลาดที่สุดแล้ว
แต่ยังไม่ทันคิดจนแตกฉาน อวี้เหวินหยางที่รออยู่ด้านข้างไม่คิดรอให้ไขปริศนานี้จนกระจ่างแล้ว
ที่พวกมันมาจุดประสงค์ก็เพื่อทรัพย์สมบัติกอบกู้ตระกูล
ไม่ใช่มาแก้ปริศนาเหล่านี้เสียหน่อย
ดังนั้นเจ้าบ้านหนุ่มตบบ่าพ่อบ้านผู้รู้ใจ
กล่าวว่า “เอาเถอะ รีบไปหาสมบัติที่ห้องข้าง อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกเลย!”
สองนายบ่าวหันขวับกลับมายังกลางห้องโถง
เดินลึกเข้าไปภายในอีกเล็กน้อยจึงเห็นโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องหลักอันกว้างขวาง
ตัวโลงสร้างจากไม้หนานมู่เนื้อแข็งที่เติบโตจากแดนหนานจิง
สีแดงของฉือเฉียวดูสดใหม่ราวสีเลือดก็ไม่ปาน
อวี้เหวินหยางสูดหายใจเข้าลึกเพิ่มความกล้าให้ตนเอง
ก้าวเข้าไปใกล้โลงศพด้วยท่าทีเคารพยำเกรง
หากจะไปยังห้องข้างก็ต้องผ่านโลงศพใหญ่เบื้องหน้าไป จะผ่านไปเฉยๆก็รู้สึกกระไร
ดังนั้นล้วงเอาธูปที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก คิดจุดธูปบอกกล่าวบรรพบุรุษอีกรอบหนึ่ง
หวังว่าวิญญาณบรรพชนจะไม่ขัดขวางการกอบกู้ตระกูลในครานี้
‘ท่านรุ่นที่หก ผู้เป็นเหลนขับขันจำเป็นถึงได้มาขอหยิบยืมเงินทองของท่านก่อน
หวังว่าท่านจะไม่คิดดอกมากเกินไปนัก
หลังจากนำตระกูลกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองได้ข้าจะนำทรัพย์สมบัติมาคืนแน่นอน!’
ธูปถูกจุดขึ้นมา กลิ่นหอมแปลกประหลาดลอยอวลกลางอากาศที่เย็นเยียบ
อวี้เหวินหยางคุกเข่าลงหน้าแท่นที่วางไว้ด้วยหลุมศพ ขณะกำลังจะก้มลงคารวะ
จู่ๆแผ่นหินที่คุกเข่าลงก็ยุบลงไป
ไม่ทันรู้ตัวทั้งร่างพลันวูบโหว่ง
เสียงร้องยังไม่ทันหลุดออกมาสักแอะหนึ่ง ตัวของเจ้าบ้านหนุ่มก็ผลุบหายเข้าไปใต้แผ่นหินที่พลิกเปิดเสียแล้ว
ปี้หวังตระหนกตกใจ ไม่ทันคิดก็เอื้อมมือกอดเอวผู้เป็นนาย
ไม่คาด แผ่นหินที่ตนเหยียบอยู่ก็พลิกเปิดขึ้นเช่นกัน
สองนายบ่าวหล่นตุบตับลงไป
ในใจของทั้งสองลอบด่าทออย่างไร้เสียง
‘มารดามันเถอะ!! ช่างทำสุสานคนใดมันมาทำช่องลับอยู่หน้าแท่นคารวะโลงศพกันว่ะ! อย่าให้รู้ พวกข้าจะไปถล่มบ้านเจ้า!’
ความคิดเห็น