ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฒ่าแก่พันปี {บันทึกลับตระกูลอวี้รุ่นที่ 59}

    ลำดับตอนที่ #5 : วิญญาณหวนคืน 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 60


    วิญญาณหวนคืน 1


    เสียงจอบเสียมดังต่อเนื่องยาวนานท่ามกลางความมืดมิด หมู่ดาวริบรี่ มีเพียงดวงจันทร์กลมโตที่สุกสกาวกว่าสิ่งใด


    ในที่สุดจอบเสียมที่ถูกใช้จนมือจับชื้นเหงื่อก็กระทบถูกของแข็งชนิดหนึ่ง ปี้หวังสั่งให้ทั้งหมดถอยห่างออกไป ตนเองเข้าไปใช้มือกวาดเศษดินที่หลงเหลือ จนกระทั่งมองเห็นอิฐแดงก่อเป็นกำแพงอยู่ด้านใน


    อิฐสุสานมีส่วนผสมของฉือเฉียว แต่นอกจากร่องรอยสีแดงจางของวัสดุกันชื้นก็ไม่มีอย่างอื่นอีก คาดว่ายามที่ฝั่งศพเป็นช่วงกลียุคจึงไม่มีการปิดอิฐก่อด้วยโลหะเหลวอีกชั้น หรือเพิ่มกับดักเพลิงแดงเพื่อกันโจรสุสานพังทางเข้า นี่นับว่าเป็นโชคดีของพวกมันแล้ว


    นายท่าน โชคดีนักที่ไม่มีโลหะเหลวหรือเพลิงแดง!” หันไปกล่าวกับผู้เป็นนายอย่างยินดี อวี้เหวินหยางก็ผงกศีรษะติดกันหลายคราอย่างตื่นเต้น อันที่จริงใครบอกว่ามันไม่กลัว นำคนเข้ามาขุดสุสานบรรพชน ถึงบอกว่าเป็นบรรพบุรุษของตนเองก็เถอะ แต่ไม่รู้ว่าวิญญาณบรรพบุรุษเหล่านั้นพอตายเป็นผีไปแล้วจะยังจำลูกหลานของตนได้อยู่หรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงบุตรหลานที่สมควรตายเช่นมันเลย


    หวังว่าข้างในจะไม่มีบ๊ะจ่างใหญ่รอมันอยู่หรอกนะ!


    ปี้หวังลงมืองัดก้อนอิฐออกด้วยตนเอง อย่างยากเย็นในที่สุดทางเข้าสุสานก็เปิด ลมเย็นที่หนาวยะเยือกพัดกรูผ่านลำตัวไปอย่างข่มขวัญ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ คล้ายลมเย็นนั้นจะพัดมาจากข้างในแทนที่จะเป็นอากาศที่ไหลมาจากเบื้องนอก


    มองดูทางเข้าที่มืดมิดคล้ายทางเข้ายมโลกอวี้เหวินหยางก็เกิดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าเพื่อตระกูลอวี้ที่ต้องกอบกู้กลับคืน เรื่องเพียงเท่านี้ต้องสามารถฝ่าฟันไปได้ เจ้าบ้านหนุ่มหันไปคว้าโคมไฟที่อยู่ในมือของบ่าวคนหนึ่งมาถือไว้ พูดว่า พวกเจ้ารออยู่เบื้องนอก หากว่าข้าเรียกแล้วค่อยตามเข้าไปเพื่อไม่ให้มีคนเข้าไปรบกวนบรรพชนที่หลับใหล เหวินหยางและปี้หวังต้องเป็นผู้ขนสมบัติมาไว้ตรงทางเดินเอง แค่คิดก็ชวนปาดเหงื่อแล้ว...


    ขอรับนายท่านทั้งหมดขานรับอย่างพร้อมเพรียง เป็นเรื่องดีไม่น้อยที่ตนไม่ต้องเข้าไปในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้

    ปี้หวัง เข้าไปกันเถอะหันไปเรียกพ่อบ้านคนสนิท ปี้หวังผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะก้าวตามผู้เป็นนายเข้าไปภายใน


    แสงโคมวูบวาบเพราะอากาศที่ยังไม่ถ่ายเท หลังจากมุดเข้ามาภายในไม่นานทางเดินแรกก็ปรากฏสู่สายตา


    รูปแบบของสุสานยึดตามผังสถานที่อยู่อาศัยของผู้ตายยามมีชีวิตอยู่ นับจากทางเข้าที่แรกสมควรเป็นห้องรับแขกในตัวตึกใหญ่ มีห้องนอนซึ่งตั้งศพและห้องข้างที่ใช้วางของฝังร่วมอยู่ปลายสุดของทางเดิน อวี้เหวินหยางกลืนน้ำลายที่หนืดเหนี่ยวเสียงดังอึก เดินนำปี้หวังที่ตามอยู่ด้านข้างผ่านทางเดินสุสานเข้าไป


    ลองใช้โคมไฟส่องโดยรอบด้วยความอยากรู้ ค่อยเห็นว่ากำแพงทางเดินมีภาพเขียนที่สีสันยังสดใหม่ ล้วนเป็นภาพเทพยดากำลังเหยียบเมฆโปรยดอกไม้ นี่เป็นลายมงคลที่เป็นที่นิยมวาดในสุสานช่วงราชวงศ์ถัง ผ่านมาถึงยุคสือกั๋วรูปแบบนี้ก็ยังคงไม่เสื่อมความนิยม เพียงแต่เมื่อเดินผ่านมาเรื่อยๆเริ่มพบว่าตัวภาพค่อยๆจืดจางไป คาดว่าเพราะถูกลมภายนอกพัดเข้ามาปรับเปลี่ยนสภาพภายใน


    บรรยากาศภายในวังเวงชวนขนหัวลุกยิ่ง ดังนั้นอวี้เหวินหยางจึงชวนพ่อบ้านคนสนิทคุยเพื่อระงับอาการขวัญผวา


    ปี้หวัง เจ้าดูผังสุสานนี่สิ ข้าว่าตึกตระกูลในยุคของเจ้าบ้านรุ่นที่หกต้องใหญ่มากแน่ๆ


    ปี้หวังได้ฟังก็ผงกศีรษะเห็นดีด้วย ใช้ดวงตาคมกวาดสำรวจดูโดยรอบ แม้เป็นเพียงทางเดินสุสานแต่ก็คงไว้ซึ่งลวดลายเทพยดาได้อย่างปราณีต เห็นได้ชัดว่าถึงจะอยู่ในช่วงกลียุค แต่ตระกูลอวี้ยังมีความพร้อมจัดสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้


    เจ้าบ้านรุ่นที่หกไม่ยุ่งเกี่ยวราชสำนัก ไม่ติดต่อโจรกบฏ แต่ก็ยังคงนำความสงบสุขมาสู่ตึกตระกูล ทั้งไม่ถูกกวาดต้อนด้วยผู้มีอิทธิพลและภัยสงคราม แสดงถึงความสามารถของท่านยิ่งขอรับปี้หวังชื่นชมอย่างจริงใจ หากจะบอกแล้วคงพูดได้ว่าในยุคที่ไฟสงครามอุ่นระอุถึงเพียงนั้นแต่ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างหมดจด เห็นชัดว่าเจ้าบ้านรุ่นที่หกเป็นพวกรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางอย่างแท้จริง


    เดินชมภาพวาดริมผนังจนมาถึงประตูใหญ่ที่ปิดทางเข้าห้องสุสานหลักเอาไว้ สองนายบ่าวสบตากัน ก่อนที่ปี้หวังจะรับโคมไฟในมือผู้เป็นนายมาถือ น้อมตัวให้อวี้เหวินหยางก้าวเข้าไปหน้าบานประตู


    ประตูสุสานเป็นหินสกัด เจ้าว่าจะมีพวกกลไกทรายไหลพวกนี้หรือไม่?ลองสำรวจดูหน้าประตูสุสานอย่างละเอียดด้วยสีหน้าหนักใจ ลวดลายด้านหน้าเป็นสัตว์วิเศษปี้เซียะคาบแก้ว หากมองดูเผินๆคล้ายมังกรคาบแก้วก็ไม่ปาน แต่หากทำเป็นประตูมังกรจริงทั้งตระกูลคงได้โดนตัดหัวแล้ว


     “ไม่น่าจะมีนะขอรับ ตัวสุสานเดิมทีก็เจาะภูเขาอยู่แล้ว ถ้าหากเพิ่มกลไกขนาดใหญ่เช่นนั้นเข้าไปอีกต้องยุ่งยากมาก เกรงว่าท่านเจ้าบ้านรุ่นต่อมาจะไม่มีเวลามากพอถึงตระกูลอวี้จะร่ำรวยมากก็เถอะ แต่สร้างกลไกขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นคิดว่าไม่มีความสามารถจะกระทำได้


    เหวินหยางผงกศีรษะ ยกมือลูบคางอย่างชังใจ แล้วประตูหินใหญ่ถึงเพียงนี้พวกมันสองคนจะเปิดออกได้อย่างไร หรือว่าจะต้องกลับไปเรียกบ่าวไพร่พวกนั้นให้ตามมาทุบประตูทิ้ง?


    นายท่าน ประตูนี้อย่างน้อยหนักพันจิ่น แต่ถ้าช่วยกันดันก็อาจเปิดได้ปี้หวังลองเสนอความเห็น แต่เห็นได้ชัดว่าประตูหนาเพียงนี้ย่อมไม่สามารถเปิดได้ด้วยแรงเพียงสองคน อย่างไรก็ตาม หากเลี่ยงไม่ให้คนนอกเข้ามาเห็นผังสุสานได้ก็ถือเป็นเรื่องดี


    งั้นลองดันประตูดูพูดแล้วก็ลงมือ ปี้หวังก็ไม่ได้ยืนเปล่า หันตัวใช้ไหล่ดันช่วยผู้เป็นนายอย่างขึงขัง


    ไม่คาดคิด ทั้งที่ประตูทำจากหินตันดูหนักหนาถึงเพียงนั้น แต่พอสองแรงลงมือยังไม่ทันทำอะไรก็รู้สึกไหล่มือที่ออกแรงไปวูบโหว่ง สองนายบ่าวพากันล้มโครมไปพร้อมกับประตูที่อ้ากว้างออกอย่างง่ายดาย


    บัดซบ! ประตูหินอะไรกันว่ะ!” เหวินหยางสบถออกมา นอนแผ่หลาอยู่หน้าประตูอย่างสิ้นท่า รู้สึกคล้ายโดนหลอกลวงอย่างไรอย่างนั้น


    ทว่าเพิ่งสบถอย่างหัวเสียไป เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกของปี้หวังก็ดังขึ้นมา


    นะ นายท่าน นี่มันเป็นหินกลวง โอ้ เกือบไปแล้ว! ถ้าหากทุบทิ้งต้องมีปัญหาแน่!” เห็นปี้หวังที่นอนล้มลุกคลุกคลานอยู่ด้านข้างไม่ต่างจากตนมีสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด พอถามว่าหมายความว่าอย่างไรพ่อบ้านหนุ่มก็บอกว่า ข้าเคยอ่านในตำรา หินกลวงชนิดนี้เกิดจากการคว้านเนื้อหินภายในออกไปจนเหลือเพียงผิวนอก จากนั้นนำสัตว์มีพิษใส่เอาไว้จนเต็มค่อยปิดหิน สัตว์เหล่านั้นจะกัดกินกันเองจนในที่สุดก็เหลือเพียงตัวเดียวที่สามารถรอดชีวิตได้ นายท่าน! สัตว์พิษนี้ถูกเรียกว่ามารพันวิญญาณ ร้ายกาจยิ่งกว่างูพิษหรือตะขาบพิษที่พบเห็นอยู่ทั่วไปเสียอีก ถ้าหากมีคนคิดทำลายประตูหินโดยการทุบ มารพันวิญญาณที่ถูกขังอยู่ด้านในจะต้องออกมาทำร้ายผู้คนอย่างแน่นอน!”


    พูดไปขนกายก็ยิ่งลุกชูชัน เหวินหยางพอได้ยินก็หน้าซีดเผือดแทบเป็นลมล้มพับไป ถือว่าสวรรค์คุ้มครองที่เมื่อครู่มันไม่เรียกพวกบ่าวไพร่เบื้องนอกให้เข้ามาทุบประตูหินทิ้ง!


    สองคนกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา ปัดเนื้อปัดตัวที่เปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่น ปี้หวังรีบดูโคมไฟที่เกือบมอด ยังดีที่ถือขึ้นมาทันก่อนเทียนจะมอด ไม่อย่างนั้นหากต้องอยู่ภายในสุสานที่มืดมิดโดยไร้แสงไฟคงได้ฝันร้ายไปตลอดทั้งชีวิตแล้ว


    อวี้เหวินหยางมองประตูหินอย่างหวาดๆอีกคราหนึ่งจากนั้นละสายตากลับไปมองภายในห้องสุสานอย่างสำรวจตรวจตรา


    เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังขึ้นทันทีที่หันกลับไปมอง พ่อบ้านหนุ่มวาดแขนที่ถือโคมไฟไปโดยรอบอย่างตื่นเต้น ภาพที่ปรากฏขึ้นคือห้องโถงที่กว้างหลายจั้ง ถือเป็นห้องสุสานที่ดีเลิศนัก!


    นายท่าน ดูสิขอรับ เป็นห้องสุสานหลักที่ยิ่งใหญ่มาก!”


    แสงเทียนส่องไปยังกำแพง ปรากฏภาพเขียนที่บรรยายถึงประวัติของเจ้าของสุสานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ภาพเหตุการณ์ที่ดึงดูดทั้งคู่ที่สุดคือทหารม้านับพันซึ่งกำลังควบม้าผ่านทุ่งหญ้า ไล่ล่าคนผู้หนึ่งที่ขี่ม้านำหน้าผู้คนออกไป


    นี่สมควรเป็นเจ้าบ้านรุ่นที่หกขอรับ นายท่านดูนี่ นี่เป็นเหตุการณ์หนีทัพม้าอาณาจักรเหลียวของท่านเจ้าบ้าน ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติเจ้าบ้าน!”


    ในช่วงอู๋ไต้สือกั๋ว(ห้าราชวงศ์สิบแคว้น)แผ่นดินวุ่นวายอย่างยิ่ง หลังถังล่มสลายก็มีอาณาจักรต่างๆแตกแยกออกไปหลายสิบอาณาจักร แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่กว่าเจ้าควงอิ้นจะสามารถปราบปรามและรวบรวมอาณาจักรที่แตกแยกออกไปกลับมารวมตัวกัน สถาปนาราชวงศ์ซ่งให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลากว่ายี่สิบปีเลยทีเดียว


    และในช่วงเวลานี่เอง ตระกูลอวี้ที่หยั่งรากอยู่ในแผ่นดินซึ่งอุ่นระอุด้วยไอศึกสงครามต้องเผชิญกับการต่อสู้อันวุ่นวาย เจ้าบ้านรุ่นที่หกใช้ความสามารถที่เลิศล้ำนำผู้คนลี้ภัยออกจากตึกตระกูลที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรเหลียวเพราะไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายของการแย่งชิงแผ่นดิน ทว่ามีหรือที่เจ้าแคว้นเหลียวจะปล่อยตระกูลที่มั่งคั่งอย่างตระกูลอวี้ให้หลุดรอดไปได้ ทันทีที่รู้ว่าตระกูลอวี้คิดอพยพก็สั่งกองกำลังม้าศึกกว่าพันนายไล่ติดตามขบวนเดินทางของตระกูลอวี้ทันที


    แต่เจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องย่อมมีหนทางรับมือ ท่านเจ้าบ้านนำผู้คนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อทหารม้าเหล่านี้ไป ก่อนจะพาทั้งหมดเข้าสู่กับดักของผู้บัญชาการศึกแห่งราชวงศ์โจว คนผู้นี้คือเจ้าควงอิ้นเอง


    ด้วยการช่วยเหลือของผู้บัญชาการองค์รักษ์เจ้าควงอิ้น ทหารม้าพันนายที่ติดตามเจ้าบ้านรุ่นที่หกถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก หลังจากนั้นเจ้าควงอิ้นเปิดศึกชิงอำนาจจากราชวงศ์โจว สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าซ่งไท่จูแห่งราชวงศ์ซ่ง นับแต่นั้นราชวงศ์เหลียวและซ่งก็กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา รบพุ่งกับนับสิบปี สุดท้ายราชวงศ์เหลียวก็ถูกล้มล้างไปในที่สุด พร้อมกับที่ราชวงศ์ซ่งสามารถรวบรวมอาณาจักรที่แตกแยกออกไปกลับคืนมา รวมแผ่นดินได้อีกครั้ง


    นับว่าท่านเจ้าบ้านรุ่นที่หกสามารถเอาตัวรอดได้โดยยืมมือศัตรูของศัตรู บ่งบอกถึงสติปัญญาที่เฉียบแหลมของท่านอย่างแท้จริง


    ไล่ตาดูภาพเขียนบนผนังจนถึงภาพสุดท้าย พบว่าภาพนี้แปลกประหลาดยิ่ง เป็นเหตุการณ์ของเจ้าบ้านรุ่นที่หกกำลังคุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชน ด้านหลังมีทั้งฮูหยินใหญ่และบ่าวรับใช้ทั้งหมดกำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจ ที่แท้นี่เป็นภาพแสดงถึงวาระสุดท้ายของผู้นำตระกูลอวี้รุ่นที่หก


    ปี้หวัง ทำไมท่านรุ่นที่หกถึงได้คุกเข่าหน้าศาลแล้วตายไปเช่นนี้ นี่คงไม่ใช่เหตุการณ์จริงกระมั้งพูดไปก็รู้สึกขนลุก หากเป็นเรื่องจริงก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว


    ปี้หวังก็มองดูอย่างไม่แน่ใจ ทว่าในบันทึกประวัติเจ้าบ้านแต่ละรุ่นล้วนบรรยายวาระสุดท้ายของเจ้าบ้านไว้อย่างละเอียด เท่าที่จำได้ในประวัติของเจ้าบ้านรุ่นที่หกเขียนไว้ว่า เหตุฟ้าพิโรธฟาดมังกรหยกร่ำไห้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความรุ่งเรืองของลูกหลาน ยอมสละกายเปิดเนินดินถิ่นแดนเซียน ใช้เวลาทาบทับนับเป็นประสงค์ฟ้า แต่นี้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข รักษากายทิพย์แก่นมังกรสืบไป


    นี่นับเป็นประโยคเดียวที่ไม่ถูกอธิบายจนกระจ่างชัด อย่างไรก็ตามปี้หวังขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กเพิ่งรู้ความ แม้อ่านออกเขียนได้ก็ไม่ใคร่ใส่ใจวิเคราะห์จนลึกซึ้ง มาวันนี้นึกขึ้นได้ค่อยรู้สึกว่าการตายของเจ้าบ้านรุ่นที่หกแปลกประหลาดที่สุดแล้ว


    แต่ยังไม่ทันคิดจนแตกฉาน อวี้เหวินหยางที่รออยู่ด้านข้างไม่คิดรอให้ไขปริศนานี้จนกระจ่างแล้ว ที่พวกมันมาจุดประสงค์ก็เพื่อทรัพย์สมบัติกอบกู้ตระกูล ไม่ใช่มาแก้ปริศนาเหล่านี้เสียหน่อย


    ดังนั้นเจ้าบ้านหนุ่มตบบ่าพ่อบ้านผู้รู้ใจ กล่าวว่า เอาเถอะ รีบไปหาสมบัติที่ห้องข้าง อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกเลย!”


    สองนายบ่าวหันขวับกลับมายังกลางห้องโถง เดินลึกเข้าไปภายในอีกเล็กน้อยจึงเห็นโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องหลักอันกว้างขวาง


    ตัวโลงสร้างจากไม้หนานมู่เนื้อแข็งที่เติบโตจากแดนหนานจิง สีแดงของฉือเฉียวดูสดใหม่ราวสีเลือดก็ไม่ปาน


    อวี้เหวินหยางสูดหายใจเข้าลึกเพิ่มความกล้าให้ตนเอง ก้าวเข้าไปใกล้โลงศพด้วยท่าทีเคารพยำเกรง หากจะไปยังห้องข้างก็ต้องผ่านโลงศพใหญ่เบื้องหน้าไป จะผ่านไปเฉยๆก็รู้สึกกระไร ดังนั้นล้วงเอาธูปที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก คิดจุดธูปบอกกล่าวบรรพบุรุษอีกรอบหนึ่ง หวังว่าวิญญาณบรรพชนจะไม่ขัดขวางการกอบกู้ตระกูลในครานี้


    ท่านรุ่นที่หก ผู้เป็นเหลนขับขันจำเป็นถึงได้มาขอหยิบยืมเงินทองของท่านก่อน หวังว่าท่านจะไม่คิดดอกมากเกินไปนัก หลังจากนำตระกูลกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองได้ข้าจะนำทรัพย์สมบัติมาคืนแน่นอน!’


    ธูปถูกจุดขึ้นมา กลิ่นหอมแปลกประหลาดลอยอวลกลางอากาศที่เย็นเยียบ อวี้เหวินหยางคุกเข่าลงหน้าแท่นที่วางไว้ด้วยหลุมศพ ขณะกำลังจะก้มลงคารวะ จู่ๆแผ่นหินที่คุกเข่าลงก็ยุบลงไป


    ไม่ทันรู้ตัวทั้งร่างพลันวูบโหว่ง เสียงร้องยังไม่ทันหลุดออกมาสักแอะหนึ่ง ตัวของเจ้าบ้านหนุ่มก็ผลุบหายเข้าไปใต้แผ่นหินที่พลิกเปิดเสียแล้ว


    ปี้หวังตระหนกตกใจ ไม่ทันคิดก็เอื้อมมือกอดเอวผู้เป็นนาย ไม่คาด แผ่นหินที่ตนเหยียบอยู่ก็พลิกเปิดขึ้นเช่นกัน


    สองนายบ่าวหล่นตุบตับลงไป ในใจของทั้งสองลอบด่าทออย่างไร้เสียง


    มารดามันเถอะ!! ช่างทำสุสานคนใดมันมาทำช่องลับอยู่หน้าแท่นคารวะโลงศพกันว่ะ! อย่าให้รู้ พวกข้าจะไปถล่มบ้านเจ้า!’

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×