ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฒ่าแก่พันปี {บันทึกลับตระกูลอวี้รุ่นที่ 59}

    ลำดับตอนที่ #2 : บรรพชนชี้ทาง(ตรงไหน)

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 60


    บรรพชนชี้ทาง(ตรงไหน)

     

    ตึกตระกูลอวี้แห่งตรอกเซี่ยงหวงมีผู้คนอาศัยเกือบร้อย ทว่าบัดนี้เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ นอกนั้นหากไม่รับเงินค่าจ้างเดือนสุดท้ายก็หนีออกไปพร้อมกับแจกันงดงาม หรือภาพวาดลือชื่อสักชิ้นหนึ่ง


    ตอนนี้ทุกห้องหับในบ้านแทบว่างเปล่าหมดสิ้น การที่เจ้าบ้านอย่างเหวินหยางออกไปร้องไห้คร่ำครวญข้างถนนถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนทำให้มีสมบัติหลายชิ้นถูกบ่าวไพร่ที่ไม่ซื่อสัตย์ขโมยหนีออกไป พอกลับมารวบรวมสิ่งของเพื่อนำไปขายเอาเงินทุนมาซื้อที่ดินกลับคืนสักที่หนึ่งก็เหลือสมบัติอยู่ไม่มากแล้ว


    นี่ต้องบอกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ต้นไม้ใหญ่ล้มฝูงวานรแตกกระจาย เหลือบ่าวไพร่ซื่อสัตว์ซึ่งพร้อมยอมอดไปกับตระกูลอวี้ที่เหลือเพียงชื่อสิบกว่าคน เห็นอย่างนี้เหวินหยางก็เริ่มโอดครวญ พุ่งเข้าศาลบรรพชนโขกศีรษะจนเลือดอาบหน้า คิดใคร่ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด


    ปี้หวังที่กำลังตรวจนับทรัพย์สินที่เหลืออย่างกลัดกลุ้มพอฟังว่านายท่านเข้าศาลบรรพชนไปร้องห่มร้องไห้ โขกศีรษะคิดจะตายก็ให้รู้สึกอยากเอาหัวพุ่งชนเสาตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเช่นกัน


    ม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างมาดมั่น กำลังจะเดินเข้าไปลากตัวเจ้าบ้านผู้นี้ออกมาจากศาลบรรพชน แต่ยังไม่ทันก้าวเข้าไปเหวินหยางกลับวิ่งตุบตับออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นราวกับพบเจอที่ซ่อนขุมสมบัติลับของตระกูล


    ปี้หวัง ข้าเห็นทางรอดแล้ว!”


    พูดไปเลือดบนหัวก็ยังไหลเป็นทาง พ่อบ้านหนุ่มรีบดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือด กลัวว่านายท่านของมันจะลาไปพบยมบาลซะก่อนที่จะได้บอกว่าตนพบทางรอดสายใด


    นายท่านคิดอะไรได้หรือขอรับ!” หรือว่าโขกศีรษะจนสมองภายในกลับด้าน จากผู้ไร้ความสามารถก็กลับเป็นมีความสามารถตามที่ผู้สืบทอดสายเลือดตระกูลอวี้ควรมีแล้ว?


    เจ้ามาดูนี่ มาดูนี่!” อวี้เหวินหยางรีบลากพ่อบ้านผู้รู้ใจของตนเองเข้าไปในศาลบรรพชนที่มืดทึบ มีเพียงธูปใหญ่หนึ่งก้านซึ่งคอยถูกจุดไว้ตลอดนับแต่ตระกูลอวี้ก่อร่างสร้างตัว ว่ากันว่านี่เป็นคำสั่งของบรรพบุรุษที่ไม่ให้ละเลย แต่แรกศาลบรรพชนจะมีบ่าวไพร่คอยต่อธูปโดยเฉพาะ ทว่าเวลานี้ตระกูลอวี้กำลังวิกฤติ คนรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลธูปก็หนีหายไปพร้อมกับกระถางชุบทองตั้งแต่แรกแล้ว


    เห็นธูปใกล้หมดก้านเต็มที ด้วยถูกปลูกฝังจากพ่อบ้านรุ่นก่อนมาอย่างเข้มงวด ปี้หวังก็รีบตาหลีตาเหลือกพุ่งเข้าไปต่อธูปที่กำลังจะมอดอย่างลืมตัว


    นะ นายท่าน ตกลงแล้วท่านให้ข้ามาจุดธูปหรอกหรือขอรับ!” ปี้หวังหันไปกล่าวกับเหวินหยางอย่างเหนื่อยใจ ทว่าอวี้เหวินหยางส่ายหัว ดึงโคมไฟที่อยู่ข้างเสามาส่องไปเบื้องหน้า ถึงตอนนี้ค่อยเห็นว่าโดยรอบเต็มไปด้วยป้ายเซ่นไหว้ที่สลักชื่อเจ้าบ้านแต่ละรุ่นเอาไว้


    เนื่องเพราะตระกูลอวี้สืบทอดไม่ขาดสายมานับพันปี ป้ายชื่อบรรพบุรุษที่มีจึงมีนับพันเช่นกัน ป้ายเหล่านี้ถูกวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไปจนแทบจรดคานขื่อ นี่เพียงเพราะแสงสว่างไม่เพียงพอ หากเทียนถูกจุดจนทั่วศาล ภาพป้ายที่ซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบล้วนทำเอาผู้คนตื่นตาจนแทบอยากคุกเข่าหมอบกราบเสียตอนนั้น


    เคยมีเรื่องเล่ากล่าวขานว่าในสมัยราชวงศ์หยวนเพิ่งสถาปนา มีคนสงสัยว่าตระกูลอวี้เล่นศาสตร์คุณไสย์ ตอนนั้นราชสำนักต่อต้านเรื่องเช่นนี้ยิ่ง ดังนั้นส่งคนมาตรวจสอบตึกตระกูลอย่างเข้มงวด ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นเข้ามาถึงศาลบรรพชน ไม่ว่าใครก็บังคับตัวไม่ให้คุกเข่าต่อหน้าป้ายชื่อเหล่านี้ได้


    คนแล้วคนเล่าล้วนออกไปอย่างสิ้นท่า ฮ่องเต้ที่ครองราชบัลลังก์ขณะนั้นเกิดระแวงว่าตระกูลอวี้จะมีมนต์ดำจริงๆ ไม่ว่าส่งคนไปกี่คนล้วนกลับมาพร้อมสีหน้าเคารพยำเกรง ดังนั้นตัดสินใจเสด็จมายังตึกตระกูลอวี้เพื่อตรวจสอบด้วยตนเอง


    แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นป้ายชื่อที่วางเรียง พระชานุทั้งสองข้างถึงกับสั่นสะท้าน ไม่อาจบังคับตัวให้ยืนสง่าต่อหน้าป้ายชื่อเหล่านี้ได้เลยแม้แต่น้อย


    จากนั้นพระองค์กลับไปร่างราชโองการ ยกย่องตระกูลอวี้สืบทอดสายเลือดนับพันปี ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นตระกูลที่อยู่คู่ฟ้าดิน


    ยิ่งคิดยิ่งทอดถอนใจ กาลก่อนตระกูลอวี้ยิ่งใหญ่จนถึงขนาดที่ฮ่องเต้ยังต้องร่างราชโองการกล่าวยกย่องเชิดชู มาตอนนี้เล่า เพราะเจ้าบ้านที่อ่อนด้อยอย่างอวี้เหวินหยาง ตระกูลอวี้จึงได้ตกต่ำถึงขนาดที่แทบไม่มีเงินมาซื้อธูปเพื่อจุดเซ่นไหว้บรรพชนแล้ว


    เจ้าดูป้ายชื่อเหล่านี้ เห็นอะไรแล้วหรือไม่?อวี้เหวินหยางยิ้มร่า รอดูพ่อบ้านที่รู้ใจมันที่สุดตอบคำ


    ปี้หวังมองดูป้ายชื่ออย่างมึนงง นั่นก็ป้ายของเจ้าบ้านรุ่นก่อนอวี้ฉางเกิน ปราดเปรื่องรอบรู้ นำพาการค้าตระกูลอวี้แตกสาขาไปทั่วแผ่นดิน นั่นก็เจ้าบ้านรุ่นที่เก้า อวี้หนานกง นอกจากเก่งการค้ายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกว๋อกงรับบำเหน็ดราชสำนัก นำพาตระกูลรุ่งเรืองยาวนานถึงสามรุ่น


    และนั่น ป้ายที่อยู่บนสุดของชั้นทั้งหมด แม้จะอยู่ในเงามืดทว่าไม่ต้องมองปี้หวังก็สามารถจำได้อย่างขึ้นใจ ผู้ก่อตั้งตระกูลอวี้รุ่นแรก อวี้เซี่ยหลงบรรพบุรุษที่คนซึ่งอยู่ใต้ชายคาตระกูลอวี้ไม่มีทางลืมนามเด็ดขาด


    ถึงนับเรียงไปทุกป้าย ปี้หวังก็ยังไม่สามารถรู้ว่านายท่านของมันต้องการให้มันเห็นอะไร


    เฮอะ! นี่เจ้ายังมองไม่ออกอีก?เหวินหยางเห็นพ่อบ้านคนนี้ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการจะสื่อ ดังนั้นจิปากทีหนึ่ง ยกชูโคมไฟส่องป้ายทั้งหลายโดยรอบ กล่าวว่า บรรพชนตระกูลอวี้มีนับพัน แต่ละรุ่นล้วนโดดเด่นทิ้งสินทรัพย์ไว้มากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะไม่กี่ปีนี้เพิ่งผ่านสงครามทำผู้คนอดอยาก คิดหรือว่าแค่ข้าเสียรู้พวกตระกูลมู่จะต้องถึงกับทำให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดมลายหาย


    แม้ปี้หวังออกจะไม่เห็นด้วยตรงที่นายท่านบอกว่าเสียรู้ ทว่าไม่อาจแย้งคำกล่าวที่บอกว่ากาลก่อนตระกูลอวี้มีทรัพย์สมบัติมากกว่านี้ เพียงแต่ผ่านสงครามผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์ สมบัติทั้งหลายจึงหายไปมากมาย ไม่อาจเรียกว่าร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าอย่างเช่นกาลก่อนอีก


    เจ้าบ้านรุ่นก่อนผู้เป็นบิดาของอวี้เหวินหยางก็เพิ่งก่อร่างเส้นสายตระกูลขึ้นใหม่ ขยายการค้าไปไกลถึงดินแดนตะวันตก ทั้งค้าขายกับพวกต่างชาติทางทะเล ทว่าอนิจจา ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องกลับถูกโจรดักปล้นกลางทางพร้อมกับฮูหยินใหญ่และพ่อบ้านใหญ่ ทั้งขบวนถูกฆ่าตายเหลือไว้เพียงศพ เมื่อสามปีก่อนตำแหน่งเจ้าบ้านจึงตกอยู่กับนายน้อยเพียงคนเดียวซึ่งคืออวี้เหวินหยาง ทว่านายผู้เฒ่ายังไม่ได้สอนสั่งบุตรชายให้มากพอ สุดท้ายเจ้าบ้านอายุสิบแปดปีผู้นี้ก็พาตระกูลมาถึงจุดตกต่ำในที่สุด


    นายท่านกล่าวถูกแล้ว บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนมีความสามารถ...แต่ว่าตอนนี้จะช่วยอะไรพวกเราได้หรือขอรับปี้หวังถามเสียงอ่อน ยังคงไม่เข้าใจความคิดของเหวินหยางอยู่ดี


    บรรพชนแต่ละรุ่นล้วนแต่ร่ำรวย ตอนบิดาข้าสิ้นทั้งตระกูลเศร้าโศก จัดขบวนยาวแปดลี้ส่งศพถึงลั่วหยาง ข้ายังจำได้ว่าในขบวนเหล่านั้นลำเลียงไว้ด้วยทรัพย์สมบัติใดบ้าง ไม่ต้องพูดถึงของทั้งหมด แค่ภาพ ฤดูใบไม้ผลิ ของยอดจิตรกรเอกแห่งยุคถังที่ท่านพ่อรักชอบที่สุดภาพเดียวก็ยังสามารถซื้อที่ดินสุดหัวมุมถนนกลับคืนมาได้!”


    ปี้หวังเบิกตาจนกลมกว้าง ได้ฟังคำพูดของเหวินหยางมันก็แทบอยากเป็นลมไปเสียฉิบ


    นะ นายท่าน ท่านคิดจะขโมยขุดสุสานท่านผู้เฒ่าหรือขอรับ!” ปี้หวังเข่าอ่อน แทบทรุดลงไปปกอดเข่าเหวินหยางร้องไห้คร่ำครวญให้มันคิดให้ดี


    เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าจะขโมยเสียที่ไหน แค่หยิบยืมก่อน หยิบยืมก่อนน่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่!” เห็นพ่อบ้านตนเองหน้าซีดเผือดเหวินหยางก็รีบพูดต่อทันที อีกอย่างข้าไม่ได้จะขุดของท่านพ่อ ที่เขาสุสานบรรพชนมีสุสานของเจ้าบ้านรุ่นอื่นอีกตั้งมาก ก็ลองขุดออกมาสักที่สองที่


    ปี้หวังตาเหลือกไปแล้ว ยังไม่คิดจะขุดที่เดียวอีกต่างหาก!


    เอาละข้าตัดสินใจแล้ว ไปบอกบ่าวไพร่ที่เหลือให้เตรียมตัว พรุ่งนี้เราจะเดินทางลงไปลั่วหยางกัน! ไม่สิไปตั้งแต่คืนนี้เลย!!”


    กล่าวจบไม่รอให้พ่อบ้านใหญ่ของตนเองคร่ำครวญอันใดอีก หันไปคว้าธูปใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงสามก้านสุดท้าย จุดธูปคุกเข่าลงหน้าป้ายนับพันเบื้องหน้า กล่าวว่า ขอบรรพชนทั้งหลายโปรดคุ้มครอง การเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อหยิบยืมทรัพย์สินจากผู้เฒ่าผู้แก่ ตอนนี้ตระกูลอวี้กำลังมีภัย หลังจากกลับมาข้าอวี้เหวินหยางจะฟื้นฟูตระกูลอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซื้อธูปเทียนกลับมาถวายพวกท่านเป็นสินน้ำใจแน่นอน! ตอนนี้ขอติดสินบนไว้ก่อนสามก้านก็แล้วกันนะขอรับ!!”


    กล่าวจบก็ปักธูปทั้งสามก้านลงไปบนกระถาง ถ้าหากวิญญาณบรรพชนได้ยินก็คงกระอักเลือดตายไปอีกรอบแล้ว เจ้าเด็กนี้กลับนึกว่าบรรพชนมันชอบกินธูปเป็นของเซ่นไหว้หรือไร...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×