ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    - AF8 - | 'อมยิ้ม' [TaoKacha] Short Fiction

    ลำดับตอนที่ #14 : 'MAYA {end}

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 58







    MAYA

     

     

                    “พี่คชา โลกจะแตกแล้วนะ” เสียงใสๆ ที่ดังขึ้น ทำเอาคนที่นั่งจัดข้าวของอยู่บนเตียงอยู่สะดุ้งเล็กน้อย

     

                    “วันนี้เอาอะไรมาสอนอีกละเนี่ย” เอ่ยปากตอบทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคนพูด

     

                    “ก็วันนี้พุทราเรียนประวัติศาสตร์สากลมา ไอ้เรื่องโลกแตกที่เค้าพูดกันทุกวันนี้อะเป็นความเชื่อของชาวมายัน ปฏิทินของชนเผ่ามายามีถึงวันที่ 21 ธันวา 2012 เท่านั้นเองนะ เค้าเชื่อกันว่าวันนั้นเป็นวันสิ้นโลก” เด็กหญิงยังพูดเจื้อยแจ้วถึงสิ่งที่ตนเพิ่งได้เรียนมาเหมือนกับทุกๆ วัน ที่จะเอาเรื่องที่ได้เรียนมาเล่าให้พี่ชายคนนี้ฟัง ซึ่งพี่คชาเองก็ดูจะมีความสุขกับการฟังน้องเล่า ...รู้สึกดีที่เด็กสมัยนี้ยังเห็นคุณค่าของการเรียนหนังสือ

     

    พุทรา เป็นน้องสาวข้างบ้านของคชา ที่มักจะมาเล่นกับคชาเสมอๆ ตั้งแต่เล็ก จนคชาเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ

     

    “แล้วพุทราเชื่อรึเปล่าล่ะ ว่าวันนั้นโลกจะแตกจริงๆ” วางมือจากกระเป๋าเดินทางที่เก็บเสร็จเรียบร้อย มานั่งคุยกับน้องสาวคนนี้

     

    “อืม...ไม่รู้สิ แต่พุทราก็เคยเห็นเขาบอกกันว่า จริงๆ แล้วนักประวัติศาสตร์ชาวยุโรปแค่ตีความปฏิทินชาวมายาผิด โลกอาจจะไม่ได้แตก แค่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แค่นั้นเอง” เด็กหญิงทำหน้าตาครุ่นคิด ก่อนจะถามพี่ชายต่อ

     

    “แล้วถ้าโลกมันจะแตกจริงๆ พี่คชาอยากทำอะไร”

     

    “อืม...” ครุ่นคิดราวกับมีคำตอบในใจ แต่คำตอบกลับมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอพร้อมรอยยิ้มบางๆ และกลับกลายเป็นฝ่ายย้อนถามน้องสาวแทน “ช่างถามนะเราน่ะ แล้วเราล่ะอยากทำอะไร”

     

    “ถ้าโลกจะแตกหรอ...พุทราก็คงอยู่กับแม่ กับพี่คชา กับคุณป้า พุทราจะไม่ยอมให้แม่กับพี่คชาแล้วก็คุณป้าไปไหนเลย” ใบหน้าพุทรายังคงฉาบด้วยรอยยิ้มที่สดใส มือเรียวลูบผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู

     

    “พี่คชาไม่อยู่พุทราต้องเหงาแน่ๆ เลย” เริ่มเปิดประเด็นใหม่อีกครั้งหลังจากเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของพี่คชาที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     

    “พี่ไปไม่นานหรอก” ยิ้มให้กับน้องสาวอีกครั้ง ขณะที่มือยังคงลูบผมนุ่มอยู่เรื่อยๆ

     

    “ไปเชียงใหม่อย่าลืมเอาหลินปิงกลับมาฝากพุทรานะ”

     

    “พี่ได้โดนทับตายก่อนจะเอากลับมาให้เราได้ก่อนน่ะสิ” ตอบอย่างขำๆ พลางนึกถึงที่ๆ ตนกำลังจะไป

     

    “ก็พุทราอยากได้นี่ เอาสตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่ๆ ด้วยนะ” ทำปากยู่ไม่ต่างจากพี่ชายเวลาจะอ้อนใคร

     

    “โอเคๆ แต่ตอนนี้ลงไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพี่เคลียร์ของอีกแป๊บนึง” ขยี้ผมน้องจนยุ่ง ก่อนเด็กหญิงจะเดินออกไปอย่างว่าง่าย... เป็นปกติที่พุทราจะมาฝากท้องไว้กับคุณแม่ของคชา

     

    ใบหน้าหวานระบายยิ้มให้กับตนเองหลังจากน้องสาวเดินออกไป ก่อนจะหยิบสมุดไดอารี่ที่สอดอยู่ใต้หมอนขึ้นมามองด้วยสายตาแห่งความรัก

     

     

     

     

    คิดถึงจัง..

     

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    มือขาวประคองแก้วกาแฟที่ปรากฏฟองครีมขาวเป็นรูปใบไม้สวยงามไปวางลงบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ และส่งยิ้มให้ผู้ที่นั่งอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับมาทางเคาน์เตอร์เช่นที่ยืนอยู่แต่แรก

     

                    ดวงตาคมเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะด้านหลังเคาน์เตอร์ ...ปฏิทินที่มีรูปใครบางคนหนีบอยู่

     

                    ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆ ให้กับตนเองและคนในรูป ไล่มองกากบาทสีแดงบนตัวเลขในแต่ละช่องของปฏิทิน

     

                   

     

     

                ...เมื่อไหร่จะถึงวันนั้นสักที...

     

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    มื้ออาหารเย็นสิ้นสุดลงด้วยเวลาเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีใครบางคนที่ต้องรีบออกเดินทาง แก้มป่องๆ โดนคนเป็นแม่หอมฟอดใหญ่จนเกือบช้ำ

     

                    “เดินทางปลอดภัย ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก”

     

                    “ครับ หม่าม๊าก็เหมือนกันนะ”

     

                    “พี่คชาอย่าลืมคิดถึงพุทรานะ” เด็กหญิงที่ยืนข้างๆ พี่ชายยังส่งเสียงเจื้อยแจ้ว

     

                    “พี่ไม่ลืมหรอกน่า ม๊าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ก้มลงตอบน้องก่อนจะกลับมาคุยกับแม่อีกครั้ง

     

                    “ไม่หรอกลูก” หญิงวัยกลางคนตอบลูกชายด้วยรอยยิ้ม

     

                    “ถ้าอย่างนั้นคชาไปนะครับ” หอมแก้มหม่าม๊าฟอดใหญ่ทั้งสองข้าง ก่อนจะก้มลงจุ๊บหน้าผากน้องสาวตัวดีอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหิ้วกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านไป

     

                    “คุณป้า พี่คชาจะลืมเอาหลินปิงกลับมาฝากพุทราไหมคะ” เด็กหญิงหันไปพูดกับคุณป้าผู้เป็นที่รักอย่างน่ารัก

     

                    “พี่เค้าจะเอากลับมาให้เรายังไงล่ะ แพนด้านะลูกไม่ใช่หนูแฮมสเตอร์” หัวเราะอย่างเอ็นดูหลานสาวที่รักเหมือนหลานแท้ๆ ก่อนจะเดินพาไปส่งเข้าบ้าน

     

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    “กลับมาแล้วครับ” ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ในบ้านไม้สีขาวหลังไม่ใหญ่นัก พร้อมกับถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออก พลางเอ่ยปากบอกแม่ด้วยความเคยชิน

     

                    “มาแล้วเหรอลูก กินอะไรมารึยัง” หญิงสาววัยกลางคนเดินออกมาจากหลังบ้าน และนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

     

                    “กินแล้วครับ เริ่มหนาวจัดแล้วนะแม่”

     

                    “นั่นสิ หนาวเร็วนะ โลกชักจะแปลกๆ ไปกันใหญ่แล้ว”

     

                    “เพราะโลกใกล้แตกแล้วมั้งครับ 2012 น่ะ”

     

                    “เออ แล้วโลกมันจะแตกจริงๆ รึเปล่าลูก”

     

                    “อืม...อันนี้เต๋าก็ไม่รู้เหมือนกันแม่ แล้วถ้าโลกแตกแม่จะทำอะไรก่อนโลกแตก”

     

                    “อันนี้คือปัญหาโลกแตกใช่ไหม”

     

                    “ฮ่าๆ เต๋าถามจริงๆ แม่อยากทำอะไร”

     

                    “อืม...ไม่รู้สิ คงไม่ทำอะไรละมั้ง ทุกวันนี้แม่ก็มีความสุขดี แล้วเต๋าล่ะ”

     

                    “เต๋า...อยากเจอคชา” น้ำเสียงแผ่วเบาเมื่อเอ่ยถึงคนที่คิดถึงอยู่ทุกวี่วัน ทำให้ผู้เป็นแม่อดไม่ได้ ที่จะลูบหัวลูกชายเบาๆ

     

                    “อยากเจอ..ก็ไปหาสิลูก” ผู้เป็นแม่ว่ายิ้มๆ

     

                    “แต่ร้านเต๋าเพิ่งเปิดได้ไม่นานนะครับ จะทิ้งไปได้ยังไง”

     

                    “กลัวอะไรลูก แม่ยังอยู่ทั้งคน” แอบยักคิ้วให้ลูกชายหนึ่งที ทางฝั่งลูกชายก็ทำตาแวววาวทันทีที่ได้ยิน

     

                    “อืม...ถ้างั้นเต๋าไปเก็บของก่อนนะครับ” พูดจบก็รีบลุกออกไปทันที

     

                    “นี่ จะไปเดี๋ยวนี้เลยรึไง” ทำได้เพียงตะโกนไล่หลัง เพราะลูกชายตัวดีวิ่งขึ้นห้องไปแล้ว

     

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

     

                    ท้องฟ้ายามนี้มืดสนิท มีเพียงแสงจากดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่าง วงแขนเล็กกอดสมุดไดอารี่ไว้แนบตัวอย่างหวงแหน เสื้อคลุมตัวหนาถูกใช้เป็นผ้าห่มชั่วคราว ขณะที่ศีรษะกลมเอียงพับซบกับเบาะรถไฟ เปลือกตาสวยปิดลงด้วยความเมื่อยล้าจากการนั่งรถไฟมานานหลายชั่วโมง พร้อมกับสติที่ถูกตัดขาดเช่นกัน หากแต่ยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ระบายบนใบหน้าแม้ในยามหลับ

     

    ...คงเป็นเพราะจุดหมายปลายทาง...

     

    เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองจนดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงประกายอีกครั้ง คนที่นอนหลับคอพับคออ่อนมาทั้งคืนก็เริ่มรู้สึกตัว

     

                    ร่างบางบิดตัวเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งหลับท่าแปลกๆ มาทั้งคืน ก่อนจะแปลงร่างเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นผ้าห่มให้กลับมาทำหน้าที่เดิม

     

                    รู้สึกตัวได้เพียงไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อเดินลงจากรถไฟขบวนยาวที่นั่งมากว่าสิบสองชั่วโมงเต็มก็บิดขี้เกียจเต็มที่ พร้อมสูดอากาศยามเช้าเข้าเต็มปอด พระอาทิตย์ที่เริ่มส่องแสงสว่างมากขึ้นไม่ได้ทำให้ความอบอุ่นเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด.. ที่นี่อากาศหนาวจัดมากแล้ว

     

                    อยู่ที่สถานีรถไฟเพียงไม่นาน คชาก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ต้องการ..

     

                    ...บ้านของคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ...

     

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    “เต๋าไปแล้วนะแม่ จะรีบกลับมานะครับ” คนตัวโตหอมแก้มผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่

     

                    “จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก” แม่ก็หอมแก้มลูกชายคืนจนชื่นใจ “อย่าลืมเอาคริสปี้ครีมมาฝากแม่นะ”

     

                    “หึ โอเคครับ” กอดแม่อีกครั้งก่อนจะถือกระเป๋าเดินทางออกไป...จะไปหาคนที่คิดถึงเหลือเกิน...

     

     

                    ...กลัวโลกแตกแล้วจะไม่ได้เจอกัน...

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

                   

                    ขาเรียวก้าวเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้สีขาวหลังไม่ใหญ่ เอ่ยปากเรียกคนที่อยู่ในบ้านเสียงไม่ดังนัก

     

                    “มีใครอยู่ไหมครับ” เพียงไม่นาน หญิงวัยกลางคนก็เดินออกมา ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความตกใจ

     

                    “อ้าวคชา! มาได้ยังไงลูก แล้วจะมาทำไมไม่บอกกันก่อน” มือก็ไขกุญแจเปิดประตูรั้วไม้สีขาวให้อีกคนเข้ามาในบ้าน

     

                    “คือ...คชาว่าจะมาเซอร์ไพรส์เต๋าเขาน่ะครับ ว่าแต่ เต๋าอยู่ไหนเหรอครับ” ถามพร้อมรอยยิ้ม ...ก็มีความสุขที่มาจนถึงแล้ว

     

                    “เต๋าเขาออกไปแล้วลูก” สีหน้าวิตก เหมือนกำลังหาทางแก้ปัญหา

     

                    “ไป..ไปไหนครับ” คิ้วขมวดอย่างงุนงง ก็ยังเช้าอยู่เลย จะไปไหน

     

                    “คชารีบตามไปเร็ว เต๋าเพิ่งออกไปเมื่อกี๊ ถ้ารีบตามไปคงทัน” รีบพูดอย่างไม่ทันได้หายใจ

     

                    “ตาม..ตามที่ไหนครับ แล้วเต๋าออกไปไหน” คิ้วยิ่งพันกันเข้าไปอีก

     

                    “รถไฟ สถานีรถไฟ ไปเร็วลูก อย่าเพิ่งถาม”

     

                    “อ้าว...แล้ว...”

     

                    “ไปเร็วๆ ลูก เดี๋ยวไม่ทัน เอาของทิ้งไว้นี่แหละ” ดึงกระเป๋าของคชามาถือไว้ ก่อนจะดันหลังให้รีบไปตามลูกชายโดยเร็วที่สุด ส่วนคชาที่แรมต่ำประมวลผลไม่ทันนั้น ก็ได้แต่รีบออกไปตามที่แม่บอกมา

     

     

     

     

                    ร่างบางหยุดอยู่ริมชานชาลา มือสองข้างเท้าบนเข่าทั้งสอง เสียงหอบหายใจดังจนคนที่ยืนใกล้ๆ หันมามอง

     

                   

    ...รถไฟเพิ่งออกไป... เพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เอง...

     

     

                    ตอนนี้สมองยังประมวลผลไม่ถูก... สถานการณ์แบบนี้แปลว่าจะไม่เจอเต๋าใช่ไหม?

     

     

                    คชายืดตัวขึ้นตรง หันซ้ายหันขวา และเดินก้มหน้าก้มตากลับไปทางเดิม.. คงต้องกลับไปบอกแม่ว่ามาไม่ทันเต๋า

     

     

                    แต่เดินมายังไม่ทันได้ออกจากบริเวณชานชาลาก็ชนกับใครบางคนเข้าอย่างจังจนตัวเองเซถอยหลังจนหลับตาปี๋ ยิ่งบวกกับสมองมึนๆ งง ยิ่งทรงตัวยาก ล้มแน่!

     

                   

    แต่ทำไม..รู้สึกเหมือนมีใครดึงไว้

     

                   

    เปลือกตาที่ปิดอยู่จึงค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ...ก่อนจะต้องเบิกกว้างเป็นสองเท่า

     

                   

    “เต๋า!

     

                    “คชา!!

     

                    “เต๋า!!!

     

                    “คชา!!!!

     

                    “เต๋า!!!!!

     

                    “คชา!!!!!!

     

                    “เอ่อ...เต๋า ปล่อยก่อน ขอยืนก่อน” เมื่อนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในท่าเกือบล้มจึงยืนตรงให้เป็นปกติ

     

                    “ชามาได้ไง!” รีบเปิดประเด็นถามทันที

     

                    “ก็..คิดถึง เลยมาหา”

     

                    “ฮะ?” ไม่ค่อยแน่ใจว่าฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า

     

                    “ฟังไม่ผิดหรอก คิดถึงเต๋าไง ก็เลยมาหา” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน่ารักเหมือนที่เคยทำเสมอ

     

                    “แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา”

     

                    “ก็อยากเซอร์ไพรส์”

     

                    “เฮ้ย แล้วถ้าคลาดกันจะทำไง”

     

                    “ก็ไม่ได้คิดว่าเต๋าจะไปไหนนี่ เออแล้วเต๋าจะไปไหนอะ”

     

                    “ไปหาชานั่นแหละ!

     

                    “ฮะ?”

     

                    “ก็คิดถึงอะ อยากไปหาบ้างไม่ได้รึไง”

     

                    “ฮ่าๆๆ”

     

                    “หัวเราะไร”

     

                    “ก็แค่คิดว่าคงตลกดีถ้าสวนกันจริงๆ ต่างคนต่างจะไปหากันโดยไม่ยอมบอกกันก่อน”

     

                    “ก็ชานั่นแหละที่มาไม่บอกอะ นึกว่าจะมาปีใหม่เหมือนเดิม”

     

                    “ทนความคิดถึงไม่ไหวเลยต้องมาก่อน”

     

                    “อย่ามาทำปากหวาน เดี๋ยวปั๊ดชิมกลางสถานีรถไฟ”

     

                    “บ้า!

     

                    “แล้วนี่เพิ่งมาถึงเหรอ”

     

                    “เปล่า ไปบ้านมาแล้ว แม่บอกว่าเต๋าออกมาแล้ว ให้รีบตามมา ก็เลยตามมาเลย วิ่งมาโคตรเหนื่อย เมื่อกี๊เห็นรถไฟเพิ่งออก นึกว่าจะไม่เจอแล้ว”

     

                    “อ้าว แล้วทำไมไม่โทรมาบอก ถ้ารู้ว่าชาอยู่บ้านเต๋าก็กลับบ้านไปแล้ว”

     

                    “เออ...ลืม แม่บอกให้รีบตามก็ตาม”

     

                    “แรมต่ำเอ๊ย! แม่ก็อีกคน” ขยี้ผมนุ่มอย่างมันเขี้ยว จนคนโดนกระทำต้องปัดมือออก

     

                    “กลับบ้านได้ยังอะ”

     

                    “กลับดิๆ ว่าแต่..ค่าตั๋วรถไฟเต๋า ใครจะรับผิดชอบอะ”

     

                    “โหย ต๋าวววว”

     

                    “ฮ่าๆ ล้อเล่น ไปกลับบ้านกัน เดี๋ยวเต๋าพาไปที่ร้านด้วย”

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    ร่างบางก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาอบขนมปังหลังร้านกาแฟเล็กๆ มือบางเอื้อมไปจับถาดขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ อุณหภูมิที่สูงจัดกว่าร้อยองศาเซลเซียสทำให้ต้องรีบชักมือกลับมาและเผลอร้องเสียงดัง

     

                    “คชา!” ร่างสูงรีบวิ่งเข้ามาจากหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งยังตะโกนเรียกชื่ออีกคนจนลูกค้าในร้านเกือบได้ยิน

     

    “เป็นอะไร” ถามอย่างร้อนรนเมื่อเห็นคชาทำหน้าเหยเกดูดนิ้วตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เลยตัดสินใจเดินเข้าไปดึงมือที่เจ้าตัวอมอยู่มาดู

     

    เมื่อเห็นแผลพองเป็นรอยแดงที่นิ้วเรียว พร้อมกับที่สายตาเหลือบไปเห็นถาดขนมปังที่ถูกดึงยื่นออกมาจากเตาอบเล็กน้อยก็เข้าใจแจ่มแจ้ง จึงรีบดึงเอามือเรียวนั้นไปที่ก๊อกน้ำก่อนจะเปิดน้ำใส่ทันที

     

                    “โอ๊ย เต๋า” เผลอร้องออกมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกปวดแสบปวดร้อน พร้อมทั้งเอามืออีกข้างจิกที่ไหล่ของคนที่กำลังจับมือตัวเอง

     

                    “แสบมากไหม” ถามเสียงเบาขณะมือกำลังปิดน้ำ

     

                    “นิดหน่อย” ปล่อยมือออกจากไหล่กว้าง ตอบเสียงเบาไม่ต่างกัน

     

                    “เฮ้ย!..ต..” กำลังจะโวยวายเมื่อเห็นอีกคนดึงมือตัวเองขึ้นมาใกล้ๆ ปาก แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงการกระทำนั้น

     

                    “เต๋า..” ลมหายใจอุ่นๆ ถูกเป่ารดลงบนผิวบางที่เป็นรอยแดงอย่างทะนุถนอม

     

                    “เดี๋ยวเต๋าไปหายามาทาให้ รอแป๊บนึง” พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้คนที่ยืนอยู่หน้าร้อนผ่าวอยู่คนเดียว

     

                    “ดีนะที่เต๋ามียาติดไว้ที่ร้านนี่ ไม่งั้นจะทำยังไงหืม” ปากก็พูดขณะที่มือก็บรรจงทายาลงบนนิ้วเรียวอย่างเบาที่สุด

     

                    “ขอบคุณนะเต๋า” ยิ้มบางๆ ให้

     

                    “หึ ซนจริงๆ เลยนะ”

     

                    “ก็เห็นมันสุกแล้วไง ก็เลยจะเอาออกมาให้”

     

                    “อยู่นิ่งๆ นั่นแหละ ไม่ต้องหยิบจับอะไรแล้ว”

     

                    “ชาก็อยากช่วยบ้างนี่นา”

     

                    “ช่วยนั่งเป็นกำลังใจให้เต๋าก็พอแล้วครับ” พูดจบก็ฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่มๆ ทีหนึ่งก่อนจะชิงเดินออกไป ...ทิ้งคนแรมต่ำนิ่งค้างอยู่ที่เดิม

     

     

     

       ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    บนที่นอนนุ่มภายในห้องนอนเล็กๆ คชาตกอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนาของเต๋า แน่นเสียจนการหายใจยังเป็นเรื่องยาก.. ไฟดวงใหญ่กลางห้องไม่ได้ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง มีเพียงแสงดาวจากภายนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาพอให้เห็นโครงหน้าของอีกคนในความมืด

     

                    “เต๋า...”

     

                    “ครับ”

     

                    “โลกจะแตกแล้วนะ”

     

                    “อืม...”

     

                    “ถ้าพรุ่งนี้โลกแตก วันนี้เต๋าจะทำอะไร”

     

                    “ทำแบบที่ทำอยู่นี่ไง”

     

                    “หืม?”

     

                    “กอดคชา...”

     

                    “บ้า..”

     

                    “แล้วชาล่ะ ถ้าพรุ่งนี้โลกแตกจะทำอะไร”

     

                    “ไม่ตอบได้ป้ะ”

     

                    “ขี้โกงนี่”

     

                    “ตรงไหน”

     

                    “ก็เต๋าตอบชา แต่ชาไม่ตอบเต๋าอะ”

     

                    “อืม...”

     

                    “เต๋าเสียเปรียบนะเนี่ย”

     

                    “แล้วถ้าไม่ตอบ... แต่ทำเลยล่ะ”

     

                    “ฮะ?”

     

                    ใบหน้าหวานยื่นเข้าใกล้ใบหน้าของเจ้าของอ้อมแขนที่ล้อมรอบตัวอยู่ ริมฝีปากอิ่มประกบลงกับริมฝีปากของอีกคนช้าๆ...

     

    เบาบาง... แต่อบอุ่น...

     

    ..เพียงไม่นาน ริมฝีปากทั้งสองก็ถอนออกจากกัน

     

    “รักเต๋านะ...” เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู...คำตอบที่แสนชัดเจน

     

     

    ถ้าพรุ่งนี้โลกแตก...คงไม่เสียใจ

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

    ชายหนุ่มร่างสูงถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ถุงใส่สตรอว์เบอร์รี่สีแดงสด ถุงใส่ตุ๊กตาหมีแพนด้าตัวน้อย และถุงใส่ขนมเบเกอรี่ถุงใหญ่ๆ อีกถุงหนึ่ง ยืนอยู่ริมชานชาลา

     

    “ไดอารี่ อย่าลืมเขียนนะ” คชายังคงพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย

     

    “แต่ยังไม่ครบปีเลยนี่”

     

    “ก็ตอบเท่าที่ชาเขียน แล้วก็เขียนวันที่เหลือต่อจากที่ชาเขียน แล้วชาก็จะตอบเท่าที่เต๋าเขียน แล้วเขียนต่อในเล่มของเต๋า โอเคป้ะ”

     

    “อ่า...โอเคๆ”

     

    “ไดอารี่ปีนี้ก็จะมีทั้งเรื่องเต๋าทั้งเรื่องชาไง”

     

    “เออดีๆ ...จะกลับแล้วยังไม่หายคิดถึงเลยอะ”

     

    “คิดถึงเมื่อไหร่ก็โทรมาดิ”

     

    “งั้นคงต้องโทรวันละ..เอ่อ..ยี่สิบสี่คูณหกสิบคูณหกสิบรอบ”

     

    “ฮะ? คือ?”

     

    “ก็วันนึงมียี่สิบสี่ชั่วโมง ชั่วโมงนึงมีหกสิบนาที นาทีนึงมีหกสิบวินาที เต๋าก็ต้องโทรวันละยี่สิบสี่คูณหกสิบคูณหกสิบรอบ เพราะเต๋าคิดถึงชาทุกวินาทีไง”

     

    “เว่อร์ละต๋าว”

     

    “ฮ่าๆ โทรคุยกันมันไม่เหมือนเจอหน้านี่ ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่ได้จับมือ ไม่ได้กอด ไม่ได้..จูบ”

     

    “เดี๋ยวปีใหม่ก็มา อีกไม่กี่เดือนเอง”

     

    “จริงนะ”

     

    “จริงดิ”

     

    “เฮ้ย แล้วถ้าโลกแตกก่อนอะ”

     

    “ก็...เออ..ทำไงดีอะ”

     

    “ชาก็มาก่อนปีใหม่สิ”

     

    “ทำงาน”

     

    “แล้วไมทีงี้มาได้อะ”

     

    “ลาพักร้อนมา”

     

    “ลาอีกดิ”

     

    “ลาอะไรกันบ่อยๆ เล่า โดนไล่ออกดิ”

     

    “โหย ชาอ้ะ ถ้าโลกแตกแล้วเราไม่เจอกันทำไง”

     

    “เต๋าก็ไปหาชาบ้างดิ ให้ชามาหาอยู่คนเดียว”

     

    “เออจริง โอเค งั้นก่อนวันโลกแตกเจอกัน เต๋าจะไปหา”

     

    “หึ ถ้าไม่เจอโดนแน่”

     

    “แล้วโลกมันจะแตกวันไหนอะชา”

     

    21 ธันวา”

     

    “รู้ได้ไงอะ”

     

    “น้องบอกมา”

     

    “แล้วน้องชารู้ได้ไง”

     

    “มันเรียนมา”

     

    “หรอ...แสดงว่ามันจะแตกจริงๆ ป้ะ”

     

    “รถไฟมาแล้ว”

     

    “ยังไม่ออกหรอก คุยกันก่อน”

     

    “รู้สึกว่าก็คุยเยอะแล้วนะ หึ”

     

    “ไม่อยากคุยกับเต๋าแล้วรึไง”

     

    “ไม่ต้องมาทำงอนเลย”

     

    “ฮ่าๆ สรุปว่า 21 ธันวาใช่ป้ะ เต๋าจะได้ไปก่อน”

     

    “เออ ให้จริงนะเว่ย ถ้าคอยเก้อนะโดนแน่”

     

    “จะทำอะไร ยอมให้ทำทุกอย่างเลย”

     

    “เยอะแล้วๆ ไปดีกว่า”

     

    “จะไปแล้วหรอคชาจ๋า~

     

    “ไม่ต้องอ้อนเลย เดี๋ยวตกรถ”

     

    “มากอดทีก่อน” เมื่อขอ..คชาก็ยอมให้กอดแต่โดยดี

     

    “พอแล้ว” เมื่อบอก...คิดเหรอว่าเต๋าจะยอมปล่อยแต่โดยดี

     

    “ขออีกแป๊บสิ”

     

    “ฮื่อ...เต๋า คนมอง”

     

    “ช่างเค้าสิ”

     

    “พอแล้วเต๋า เดี๋ยวตกรถ”

     

    “ตกก็ดี ได้ไม่ต้องกลับ”

     

    “ต๋าวววว” เมื่อเริ่มขัดขืนจึงต้องยอมปล่อย ถ้าไม่ติดว่าถือของเยอะจะรัดจริงๆ ด้วยเอ้า!

     

    “เดินทางปลอดภัยนะครับ” ส่งของทั้งหลายคืนให้

     

    “อื้ม...แล้วไว้โทรคุยกันนะ”

     

    “ไปถึงแล้วโทรหาด้วยนะ”

     

    “ครับ”

     

    “รักคชานะ”

     

    “รู้แล้ว..รักเหมือนกัน”

     

     

     

    รถไฟเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ รอยยิ้มสดใสยังถูกส่งมาผ่านหน้าต่างถึงคนที่ยืนอยู่ที่ชานชาลา มือที่มีพลาสเตอร์พันรอบนิ้วโบกไปมาให้อีกคนที่โบกตอบเช่นกัน

     

     

     

    ------------------------MAYA-------------------------

     

     

     

                    ...ที่ไม่ได้ตอบพุทรา...เพราะอยากให้เต๋ารู้คนเดียวยังไงล่ะ!

     

     

     

     

    -------------------------End--------------------------

     

     

    Talk,,

    Orz

    แต่งนานที่สุดเท่าที่เคยแต่งมา หลายวันมากจริงๆ TT

    จริงๆ พล็อตวันสิ้นโลกนี้คิดมานานมากแล้ว ตั้งแต่เรียนประวัติศาสตร์สากล ยังบอกเพื่อนเลยว่าจะแต่ง

    แต่งไปแล้วด้วยแหละ สองหน้า ในคอมโรงเรียน เอา flash drive เสียบ

    ปรากฏว่าคอมโรงเรียน .. ไวรัส .. สองหน้านั้นหายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

    ที่สำคัญคือสองหน้านั้นพล็อตต่างกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกันเล้ยยย

    ทีนี้ก็จะแต่งใหม่ตั้งนานละ แต่ก็ไม่ได้แต่งสักที

    จนกระทั่ง “ทนความคิดถึงไม่ไหว”

    แบบพี่เต๋ากลายเป็นหนุ่มเชียงใหม่ไปแล้ว คิดถึงพี่เต๋า ;___;

    ก็เลยเริ่มแต่งๆ มา ปรากฏว่าก็แต่งไม่จบสักที จนพี่คชาไปเกาหลี

    คราวนี้คิดถึงแบบ กร๊อชชชช (มันเป็นเรื่องของความรู้สึกค่ะ55555)

    แต่งมาเรื่อยๆ แบบไม่มีพล็อต คิดอะไรได้ก็เขียน

    พี่เต๋าไปถ่าย Coffee Prince ก็จับพี่เต๋าเป็นเจ้าของร้านกาแฟแม่มมม5555555

    ในที่สุดก็ออกมาเป็นงี้แหละค่ะ

    ไม่เสียใจเลยถ้าไม่เวิร์ค เพราะมันเป็นฟิคที่มาจากความ “ คิดถึง” !!!
     

    ปล. ทอล์คยาวมาก มีคนไม่อ่านแน่เลย ขอบคุณทุกคนที่อ่านด้วยค่ะ55555

    ปลล.ขอบคุณทุกวิวทุกเม้นท์ในตอนที่ผ่านมา ชื่นใจมากค่ะ รัก <3

    ปลลล. การมีคนบอกว่า “อย่าลืมแต่งมาอีกนะ” แม่งโคตรรู้สึกดี :)
     

    ปล.สุดท้าย >>  ใครไป Krungsri Comedy Awards บ้างงงงง? ใครไปเจอกัน! ทักได้ถ้าหาเจอ5555555

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×