ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nb1 :)

    ลำดับตอนที่ #18 : ทวีปยุโรป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.83K
      23
      24 ส.ค. 55

    ทวีปยุโรป

     

    ที่ตั้งและสภาพภูมิศาสตร์

                ทวีปยุโรปตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือ ระหว่างละติจูดที่ 35 - 70 องศาเหนือ และลองจิจูดที่ 9 องศาตะวันตก 66 องศาตะวันออก ประกอบด้วยที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง เทือกเขา และมีคาบสมุทรจำนวนมากทางตอนใต้

                ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่มีผืนแผ่นดินติดต่อกับทะเล และมีชายฝั่งทะเลยาวมาก อีกทั้งบางประเทศก็ตั้งอยู่บนเกาะ จึงทำให้ทวีปยุโรปเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมการประมงและการเดินเรือ ทวีปยุโรปเป็นทวีปเดียวที่ไม่มีอากาศแห้งแล้งแบบทะเลทราย

                ทวีปยุโรปมีเนื้อที่ประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยมีอาณาเขตติดต่อดังนี้

                - ทิศเหนือ ติดต่อกับมหาสมุทรอาร์กติกและน่านน้ำทางตอนเหนือของทวีปยุโรป

                 - ทิศตะวันออก ติดต่อกับทวีปเอเชีย

                - ทิศตะวันตก ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก

                - ทิศใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ และเอเชียกลาง

                ทวีปยุโรปมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นตั้งแต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงตอนใต้แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมและแอตแลนติกเหนือ

     

    พัฒนาการและการสร้างสรรค์ด้านต่างๆ ของทวีปยุโรป

                1) พัฒนาด้านการเมืองการปกครอง : ในอดีตดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปมีกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด เรียกว่า ซีซาร์หรือจักรพรรดิ เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ยุโรปได้เข้าสู่สมัยกลาง บ้านเมืองแตกแยกจากการเข้ารุกรานของพวกอนารยชนเผ่ากอท เกิดเป็นกฎหมายระบบฟิวดัลหรือการปกครองแบบกระจายอำนาจที่อำนาจการปกครองตกอยู่ในมือขุนนาง

                ซึ่งพระราชอำนาจในการปกครองของกษัตริย์ในดินแดนต่างๆ มีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนี้

     ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ : ในอังกฤษ พระเจ้าจอห์นทรงยอมรับแมกนาร์ตาที่ขุนนาง พระ พ่อค้า และประชาชนรวมตัวกันบีบบังคับให้พระองค์ยอมรับข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการกำจัดพระราชอำนาจไม่ให้เกินขอบเขตในการเก็บภาษี การลงโทษ และอื่นๆ

     ระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ : หลังจากสงครามสามสิบปี ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนด์สิ้นสุดลง ประเทศฝรั่งเศส ปรัสเซีย และออสเตรียก็จัดการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจให้อยู่ในมือของกษัตริย์

     

    2) พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ : สมัยกลางตอนต้น ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ต่างสูญเสียอิสรภาพและกลายเป็นทาสติดที่ดิน ต้องอยู่ในสังกัดของขุนนางเจ้าของที่ดินและดำรงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์ ซึ่งเศรษฐกิจในเขตแมเนอร์เป็นเศรษฐกิจแบบพอเลี้ยงตนเอง

                การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคมยุโรป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามครูเสด พ่อค้าอิตาลีที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ มาร์ค โปโล ชาวเวนิสที่ได้เดินทางไปเมืองจีนและกลับมาเล่าวัฒนธรรมของโลกตะวันออกจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย

                ในปลายสมัยกลาง การค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และ วาสโก ดา กามา ที่แล่นเรืออ้อมทวีปแอฟริกาสู่อินเดียทำให้เกิดการปฏิวัติทางการค้าขึ้น

              เศรษฐกิจแบบพาณิชนิยม : เป็นรูปแบบของเศรษฐกิจระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-18 โดยรัฐเข้าควบคุมอุตสาหกรรมและการค้าภายในประเทศ ส่งเสริมสินค้าส่งออกแต่กีดกันการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

              เศรษฐกิจแบบทุนนิยม : ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เกิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองคือแนวคิดไลส์เซ-แฟร์และแนวคิดการค้าเสรี ของอดัม สมิธ ที่กำหนดให้อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวกำหนดกลไกตลาด

              เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม : พัฒนามาจากแนวความคิดทางการเมืองของคาร์ล มากซ์ เกิดขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขาต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล และให้มีการจัดการทางการผลิตโดยชนชั้นแรงงาน

     

    3) พัฒนาการด้านสังคมและศิลปวัฒนธรรม มีดังนี้

    กำเนิดของชนชั้นกลาง : สังคมยุโรปสมัยกลางแต่เดิมจะมี 3 ชนชั้นคือ กษัตริย์-ขุนนาง นักบวช และชาวไร่-ชาวนา ต่อมาเมื่อเมืองเจริญขึ้นก็เกิดชนชั้นกลางที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาจารย์ นักศึกษา ลูกจ้าง

    การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม : การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เด่นชัดขึ้นในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19

    การสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม : ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเริ่มขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทำให้มีศิลปะในแบบต่างๆ ตามมา คือ ศิลปะแบบบาโรก ศิลปะโรโกโก ศิลปะเรียลลิสต์ ศิลปะอิมเพรสชันนิสต์ ฯลฯ

              การปฏิวัติครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป : มี 3 เหตุการณ์สำคัญได้แก่

    - การปฏิวัติวิทยาศาสตร์(คริสต์ศตวรรษที่ 17)

    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติทางภูมิปัญญา(คริสต์ศตวรรษที่ 18) ทำให้เกิดนักปรัชญาเมธีที่สำคัญได้แก่ จอห์น ลอก, มงเตสกีเยอ, วอลแตร์ และรูโซ

    - การปฏิวัติฝรั่งเศส(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18)

     

    อิทธิพลของทวีปยุโรปต่อสังคมโลก

    กรีก-โรมัน : อุดมการณ์ประชาธิปไตยของกรีกถือเป็นแม่แบบของการปกครองแบบประชาธิปไตย กฎหมายสิบสองโต๊ะของโรมันกลายเป็นแม่แบบของกฎหมายทั่วโลก และงานศิลปะแขนงต่างๆ ของสมัยกรีกและโรมันก็ถือเป็นต้นแบบในงานสร้างสรรค์ทั่วโลก

    สมัยกลาง : เมืองในสมัยกลางของยุโรปได้กลายเป็นแม่แบบของเมืองในปัจจุบัน เช่น การเก็บภาษี การจัดธนาคาร การจัดตลาดนัด และอื่นๆ

    การปฏิรูปศาสนาและการปฏิวัติต่างๆ : ทำให้ยุโรปก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลก และทำให้สังคมตะวันตกก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ มากกว่าดินแดนอื่นๆ ในโลก

     

     

    สาระน่ารู้อื่นๆ

     

    ศิลปินเอกสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เช่น

           เลโอนาร์โด ดา วินชี ผลงานที่โด่งดัง เช่น ภาพโมนา ลิซ่า และ พระกระยาหารมื้อสุดท้าย

           มีเกลันเจโล(ไมเคิลแองเจอโล) เช่น รูปปั้นเดวิด, โมเสส, ปีเอตา

           ราฟาเอล ผลงานที่สำคัญคือ The Sistine Madonna

     

    สงครามโลก

    ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศมหาอำนาจยุโรปได้เกิดความขัดแย้งกันและเผชิญกับปัญหาต่างๆ จนต้องเข้ารอบกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945)

       ทำให้ประเทศมหาอำนาจยุโรปเก่า ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรีย และเยอรมนี ต่างสูญเสียบทบาทผู้นำและเปิด โอกาสให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำของโลกแทน หลังจากนั้นก็เกิดการจัดตั้งสหภาพยุโรปและองค์การแห่งสหประชาชาติขึ้น

     

    ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

    หมายถึง การเกิดใหม่หรือการรื้อฟื้น ศิลปวิทยาของกรีกและโรมันแบ่งเป็นระยะ ได้แก่

     1. ระยะคลาสสิก : การย้อนกลับไปสู่โรม

     2. ระยะมนุษยธรรม : การย้อนกลับไปสู่เอเธนส์

     3. ระยะศาสนา : การย้อนกลับไปสู่เยรูซาเล็ม

     4. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการทางเหนือ : มีลักษณะพิเศษของตัวเองแบบเยอรมันแตกต่างจากโรมัน

     

    มรดกอารยธรรมกรีก

    ด้านสถาปัตยกรรม เช่น วิหารพาร์เธนอน, Stoa of Attalus

    ด้านการเมืองการปกครอง เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในนครรัฐเอเธนส์, ระบอบคณาธิปไตยในนครรัฐสปาร์ต้า

    ด้านประติมากรรม มีลักษณะของการสะท้อนธรรมชาติ งานในยุคแรกจะตรงๆ แข็งทื่อ ต่อมาในสมัยคลาสสิกจะเริ่มพลิ้วไหวและในสมัยหลังจะแสดงความทรมานของมนุษย์

    ด้านจิตรกรรม ในยุคแรกนิยมพื้นสีแดง คนสีดำ วาดบนภาชนะ ในยุคเฮเลนิสติกมีการนำกระเบื้องสีมาประดับ เรียกว่า โมเสก

    ด้านนาฏกรรม การละครของกรีกเป็นการร้องประสานเสียง ในพิธีเฉลิมฉลองบูชาเทพเจ้าจะแสดงละครประเภทโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม

    ด้านการแพทย์ ฮิปโปเครตีส ได้รับการยกย่องเป็น บิดาแห่งการแพทย์ และมีแนวคิดว่าโรคไม่ได้เกิดจากพระเจ้าบันดาลให้เป็น

    ด้านวรรณกรรม โฮเมอร์ ได้ประพันธ์เรื่อง มหากาพย์อีเลียดและ มหากาพย์โอดิสซีเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้า, นิทานอีสป

    นักปรัชญา นักปราชญ์ที่สำคัญของกรีก ได้แก่

    - เฮโรโดตุส Herodotus 484-420 B.C.
    - โซเครตีส
    Socrates 470-399 B.C.
    - อริสโตเติ้ล
    Aristotle 384-322 B.C.
    - เพลโต
    Plato 328-247 B.C.

     

    มรดกอารยธรรมโรมัน

    ด้านการเมืองการปกครอง ในระยะแรกโรมันอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองโดยพวกอีทรัสกัน ต่อมาชาวโรมันขับไล่กษัตริย์อีทรัสกันแล้วเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ เมื่อ 27 B.C. จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบจักรวรรดิมีจักรพรรดิปกครองสูงสุด

    ด้านการทหาร กองกำลังทหารฟาลังส์เป็นกองทหารรบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในยุโรป เมื่อออกรบจะได้ค่าจ้าง พักรบก็ประกอบอาชีพตามเดิม

    ด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สนามกีฬาโคลอสเซียม, ถนนโรมัน, ท่อส่งน้ำและประตูชัย, โรมันฟอรัม, น้ำพุเทรวี, มหาวิหารแพนธีออน ฯลฯ

    ด้านอักษรศาสตร์ มี อักษรโรมันหรือ อักษรละตินเป็นอักษรเก่าแก่ของอารยธรรมโลก เป็นรากฐานของอักษรชนชาติอิตาลี, อังกฤษ, อเมริกา, เยอรมัน เป็นต้น

    ผู้นำคนสำคัญของโรมัน ได้แก่ จูเลียส ซีซาร์, ออคตาเวียน(ออกัสตุส ซีซาร์), จักรพรรดิอัสเดเรียน, จักรพรรดิจัสติเนียน

     

    เทพเจ้าของกรีก-โรมัน

    โดยความเชื่อนี้มาจากชนชาติกรีก ชื่อของคณะเทพที่สำคัญที่สุดทั้ง 12 องค์คือ เทพโอลิมปัสชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าสูงสุดนั้นมีชื่อว่า เซอุส หรือ ซุส (Zeus) ซึ่งเป็นเทพแห่งสรวงสวรรค์และสายฟ้า และหลังจากอารยธรรมกรีกได้ล่มสลายไป โรมันก็รับความเชื่อเรื่องเทพเจ้านี้มา แต่เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ จากเทพเซอุสกลายเป็นจูปิเตอร์ จากโพไซดอน(เทพเจ้าแห่งท้องทะเล) เป็นเนปจูน จากเฮร่า(ราชินีแห่งสรวงสวรรค์และเป็นเทพีแห่งการแต่งงาน)เป็นจูโน เป็นต้น

     

     

    ข้อมูล ณ ที่แห่งนี้ ได้ผ่านการทำงานเป็นพาวเวอร์พอยท์มาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลแบบย่อ เหมาะสำหรับใช้เป็นคำตอบแบบคร่าวๆ หรืออ่านก่อนสอบ

    หากมีประโยชน์ก็ช่วยคอมเม้นท์ด้วยค่ะ ;)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×