คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ทวีปยุโรป
ทวีปยุโรป
ที่ตั้งและสภาพภูมิศาสตร์
ทวีปยุโรปตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือ ระหว่างละติจูดที่ 35 - 70 องศาเหนือ และลองจิจูดที่ 9 องศาตะวันตก – 66 องศาตะวันออก ประกอบด้วยที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง เทือกเขา และมีคาบสมุทรจำนวนมากทางตอนใต้
ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่มีผืนแผ่นดินติดต่อกับทะเล และมีชายฝั่งทะเลยาวมาก อีกทั้งบางประเทศก็ตั้งอยู่บนเกาะ จึงทำให้ทวีปยุโรปเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมการประมงและการเดินเรือ ทวีปยุโรปเป็นทวีปเดียวที่ไม่มีอากาศแห้งแล้งแบบทะเลทราย
ทวีปยุโรปมีเนื้อที่ประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับมหาสมุทรอาร์กติกและน่านน้ำทางตอนเหนือของทวีปยุโรป
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับทวีปเอเชีย
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก
- ทิศใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ และเอเชียกลาง
ทวีปยุโรปมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นตั้งแต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงตอนใต้แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมและแอตแลนติกเหนือ
พัฒนาการและการสร้างสรรค์ด้านต่างๆ ของทวีปยุโรป
1) พัฒนาด้านการเมืองการปกครอง : ในอดีตดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปมีกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด เรียกว่า ซีซาร์หรือจักรพรรดิ เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ยุโรปได้เข้าสู่สมัยกลาง บ้านเมืองแตกแยกจากการเข้ารุกรานของพวกอนารยชนเผ่ากอท เกิดเป็นกฎหมายระบบฟิวดัลหรือการปกครองแบบกระจายอำนาจที่อำนาจการปกครองตกอยู่ในมือขุนนาง
ซึ่งพระราชอำนาจในการปกครองของกษัตริย์ในดินแดนต่างๆ มีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ : ในอังกฤษ พระเจ้าจอห์นทรงยอมรับแมกนาร์ตาที่ขุนนาง พระ พ่อค้า และประชาชนรวมตัวกันบีบบังคับให้พระองค์ยอมรับข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการกำจัดพระราชอำนาจไม่ให้เกินขอบเขตในการเก็บภาษี การลงโทษ และอื่นๆ
ระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ : หลังจากสงครามสามสิบปี ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนด์สิ้นสุดลง ประเทศฝรั่งเศส ปรัสเซีย และออสเตรียก็จัดการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจให้อยู่ในมือของกษัตริย์
2) พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ : สมัยกลางตอนต้น ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ต่างสูญเสียอิสรภาพและกลายเป็นทาสติดที่ดิน ต้องอยู่ในสังกัดของขุนนางเจ้าของที่ดินและดำรงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์ ซึ่งเศรษฐกิจในเขตแมเนอร์เป็นเศรษฐกิจแบบพอเลี้ยงตนเอง
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคมยุโรป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามครูเสด พ่อค้าอิตาลีที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ มาร์ค โปโล ชาวเวนิสที่ได้เดินทางไปเมืองจีนและกลับมาเล่าวัฒนธรรมของโลกตะวันออกจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
ในปลายสมัยกลาง การค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และ วาสโก ดา กามา ที่แล่นเรืออ้อมทวีปแอฟริกาสู่อินเดียทำให้เกิดการปฏิวัติทางการค้าขึ้น
เศรษฐกิจแบบพาณิชนิยม : เป็นรูปแบบของเศรษฐกิจระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-18 โดยรัฐเข้าควบคุมอุตสาหกรรมและการค้าภายในประเทศ ส่งเสริมสินค้าส่งออกแต่กีดกันการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
เศรษฐกิจแบบทุนนิยม : ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เกิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองคือแนวคิดไลส์เซ-แฟร์และแนวคิดการค้าเสรี ของอดัม สมิธ ที่กำหนดให้อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวกำหนดกลไกตลาด
เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม : พัฒนามาจากแนวความคิดทางการเมืองของคาร์ล มากซ์ เกิดขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขาต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล และให้มีการจัดการทางการผลิตโดยชนชั้นแรงงาน
3) พัฒนาการด้านสังคมและศิลปวัฒนธรรม มีดังนี้
กำเนิดของชนชั้นกลาง : สังคมยุโรปสมัยกลางแต่เดิมจะมี 3 ชนชั้นคือ กษัตริย์-ขุนนาง นักบวช และชาวไร่-ชาวนา ต่อมาเมื่อเมืองเจริญขึ้นก็เกิดชนชั้นกลางที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาจารย์ นักศึกษา ลูกจ้าง
การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม : การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เด่นชัดขึ้นในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
การสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม : ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเริ่มขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทำให้มีศิลปะในแบบต่างๆ ตามมา คือ ศิลปะแบบบาโรก ศิลปะโรโกโก ศิลปะเรียลลิสต์ ศิลปะอิมเพรสชันนิสต์ ฯลฯ
การปฏิวัติครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป : มี 3 เหตุการณ์สำคัญได้แก่
- การปฏิวัติวิทยาศาสตร์(คริสต์ศตวรรษที่ 17)
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติทางภูมิปัญญา(คริสต์ศตวรรษที่ 18) ทำให้เกิดนักปรัชญาเมธีที่สำคัญได้แก่ จอห์น ลอก, มงเตสกีเยอ, วอลแตร์ และรูโซ
- การปฏิวัติฝรั่งเศส(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18)
อิทธิพลของทวีปยุโรปต่อสังคมโลก
กรีก-โรมัน : อุดมการณ์ประชาธิปไตยของกรีกถือเป็นแม่แบบของการปกครองแบบประชาธิปไตย กฎหมายสิบสองโต๊ะของโรมันกลายเป็นแม่แบบของกฎหมายทั่วโลก และงานศิลปะแขนงต่างๆ ของสมัยกรีกและโรมันก็ถือเป็นต้นแบบในงานสร้างสรรค์ทั่วโลก
สมัยกลาง : เมืองในสมัยกลางของยุโรปได้กลายเป็นแม่แบบของเมืองในปัจจุบัน เช่น การเก็บภาษี การจัดธนาคาร การจัดตลาดนัด และอื่นๆ
การปฏิรูปศาสนาและการปฏิวัติต่างๆ : ทำให้ยุโรปก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลก และทำให้สังคมตะวันตกก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ มากกว่าดินแดนอื่นๆ ในโลก
สาระน่ารู้อื่นๆ
ศิลปินเอกสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เช่น
• เลโอนาร์โด ดา วินชี ผลงานที่โด่งดัง เช่น ภาพโมนา ลิซ่า และ พระกระยาหารมื้อสุดท้าย
• มีเกลันเจโล(ไมเคิลแองเจอโล) เช่น รูปปั้นเดวิด, โมเสส, ปีเอตา
• ราฟาเอล ผลงานที่สำคัญคือ The Sistine Madonna
สงครามโลก
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศมหาอำนาจยุโรปได้เกิดความขัดแย้งกันและเผชิญกับปัญหาต่างๆ จนต้องเข้ารอบกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945)
ทำให้ประเทศมหาอำนาจยุโรปเก่า ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรีย และเยอรมนี ต่างสูญเสียบทบาทผู้นำและเปิด โอกาสให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำของโลกแทน หลังจากนั้นก็เกิดการจัดตั้งสหภาพยุโรปและองค์การแห่งสหประชาชาติขึ้น
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
หมายถึง การเกิดใหม่หรือการรื้อฟื้น ศิลปวิทยาของกรีกและโรมันแบ่งเป็นระยะ ได้แก่
1. ระยะคลาสสิก : การย้อนกลับไปสู่โรม
2. ระยะมนุษยธรรม : การย้อนกลับไปสู่เอเธนส์
3. ระยะศาสนา : การย้อนกลับไปสู่เยรูซาเล็ม
4. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการทางเหนือ : มีลักษณะพิเศษของตัวเองแบบเยอรมันแตกต่างจากโรมัน
มรดกอารยธรรมกรีก
ด้านสถาปัตยกรรม เช่น วิหารพาร์เธนอน, Stoa of Attalus
ด้านการเมืองการปกครอง เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในนครรัฐเอเธนส์, ระบอบคณาธิปไตยในนครรัฐสปาร์ต้า
ด้านประติมากรรม มีลักษณะของการสะท้อนธรรมชาติ งานในยุคแรกจะตรงๆ แข็งทื่อ ต่อมาในสมัยคลาสสิกจะเริ่มพลิ้วไหวและในสมัยหลังจะแสดงความทรมานของมนุษย์
ด้านจิตรกรรม ในยุคแรกนิยมพื้นสีแดง คนสีดำ วาดบนภาชนะ ในยุคเฮเลนิสติกมีการนำกระเบื้องสีมาประดับ เรียกว่า โมเสก
ด้านนาฏกรรม การละครของกรีกเป็นการร้องประสานเสียง ในพิธีเฉลิมฉลองบูชาเทพเจ้าจะแสดงละครประเภทโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม
ด้านการแพทย์ ฮิปโปเครตีส ได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งการแพทย์” และมีแนวคิดว่าโรคไม่ได้เกิดจากพระเจ้าบันดาลให้เป็น
ด้านวรรณกรรม โฮเมอร์ ได้ประพันธ์เรื่อง “มหากาพย์อีเลียด” และ “มหากาพย์โอดิสซี” เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้า, นิทานอีสป
นักปรัชญา นักปราชญ์ที่สำคัญของกรีก ได้แก่
- เฮโรโดตุส Herodotus 484-420 B.C.
- โซเครตีส Socrates 470-399 B.C.
- อริสโตเติ้ล Aristotle 384-322 B.C.
- เพลโต Plato 328-247 B.C.
มรดกอารยธรรมโรมัน
ด้านการเมืองการปกครอง ในระยะแรกโรมันอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองโดยพวกอีทรัสกัน ต่อมาชาวโรมันขับไล่กษัตริย์อีทรัสกันแล้วเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ เมื่อ 27 B.C. จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบจักรวรรดิมีจักรพรรดิปกครองสูงสุด
ด้านการทหาร “กองกำลังทหารฟาลังส์” เป็นกองทหารรบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในยุโรป เมื่อออกรบจะได้ค่าจ้าง พักรบก็ประกอบอาชีพตามเดิม
ด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สนามกีฬาโคลอสเซียม, ถนนโรมัน, ท่อส่งน้ำและประตูชัย, โรมันฟอรัม, น้ำพุเทรวี, มหาวิหารแพนธีออน ฯลฯ
ด้านอักษรศาสตร์ มี “อักษรโรมัน” หรือ “อักษรละติน” เป็นอักษรเก่าแก่ของอารยธรรมโลก เป็นรากฐานของอักษรชนชาติอิตาลี, อังกฤษ, อเมริกา, เยอรมัน เป็นต้น
ผู้นำคนสำคัญของโรมัน ได้แก่ จูเลียส ซีซาร์, ออคตาเวียน(ออกัสตุส ซีซาร์), จักรพรรดิอัสเดเรียน, จักรพรรดิจัสติเนียน
เทพเจ้าของกรีก-โรมัน
โดยความเชื่อนี้มาจากชนชาติกรีก ชื่อของคณะเทพที่สำคัญที่สุดทั้ง 12 องค์คือ “เทพโอลิมปัส” ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าสูงสุดนั้นมีชื่อว่า เซอุส หรือ ซุส (Zeus) ซึ่งเป็นเทพแห่งสรวงสวรรค์และสายฟ้า และหลังจากอารยธรรมกรีกได้ล่มสลายไป โรมันก็รับความเชื่อเรื่องเทพเจ้านี้มา แต่เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ จากเทพเซอุสกลายเป็นจูปิเตอร์ จากโพไซดอน(เทพเจ้าแห่งท้องทะเล) เป็นเนปจูน จากเฮร่า(ราชินีแห่งสรวงสวรรค์และเป็นเทพีแห่งการแต่งงาน)เป็นจูโน เป็นต้น
ข้อมูล ณ ที่แห่งนี้ ได้ผ่านการทำงานเป็นพาวเวอร์พอยท์มาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลแบบย่อ เหมาะสำหรับใช้เป็นคำตอบแบบคร่าวๆ หรืออ่านก่อนสอบ
หากมีประโยชน์ก็ช่วยคอมเม้นท์ด้วยค่ะ ;)
ความคิดเห็น