ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Diary บันทึกเส้นทางแห่งชีวิต

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ เรียนรู้โลกกว้างในตู้ปลา

    • อัปเดตล่าสุด 9 เม.ย. 55


    บทที่ ๒ เรียนรู้โลกกว้างในตู้ปลา
    หลังจากเริ่มต้นลมหายใจแรกในวัยแห่งความไร้เดียงสาที่สุดชีวิตนี้ก็เริ่มสะสมความทุกข์ยิ่งๆขึ้นไปจนแทบไม่รู้ตัวยิ่งได้เห็นคนที่เราใกล้ชิดสนิทสนมจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเราก็เริ่มเป็นทุกข์ทุกข์เพราะคิดว่าไม่อยากตายทุกข์เพราะไม่อยากเจ็บความคิดได้เช่นนี้น้อยคนนักจะเกิดขึ้นกับตนเองที่มีวัยยังไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ

    ช่วงการเรียนที่ ๑ อนุบาล
         ช่วงที่สองของชีวิตมันเริ่มต้นขึ้นในขณะที่ยังอยู่ในช่วงแรกของชีวิตนั้นกล่าวคือมันค่อยๆเกิดขึ้นไปกับชีวิตในช่วงแรกของเราทุกอย่างค่อยๆเริ่มต้นอย่างช้าๆเปลี่ยนแปลงไปและใครจะรู้บางทีมันอาจดับสูญในเวลาอันสั้นด้วยก็เป็นได้ทุกข์สิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นเมื่อวันที่เราได้เข้าการศึกษาแรกเริ่มอย่างที่บอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้เข้าฝากประจำในศูนย์เตรียมอนุบาลสักน้อยนิดดังนั้นแล้วเมื่อข้าพเจ้าต้องเข้าศึกษาในระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่๑ข้าพเจ้าจึงกลัวอย่างมากมันเป็นภาพที่ข้าพเจ้าจำได้เป็นอย่างดีภาพความทรงจำที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตมันแย่ที่สุดในสมัยนั้นมันเกิดขึ้นเพราะความกลัวของเรานั่นเองกลัวว่าจะต้องห่างจากพ่อแม่กลัวว่าจะต้องพบครูอาจารย์แล้วไม่เป็นที่รักของพวกท่านจนกระทั่งถูกด่าถูกตีกลัวว่าต้องพบกับเพื่อนที่นิสัยไม่พึงประสงค์กลั่นแกล้งเราเอาเปรียบเราได้ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่าในสมัยเด็กนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยมีความกล้ามีแต่ความกลัวมีจิตใจที่อ่อนไหวไม่อดทนจนเข้าขั้นอ่อนแอขีน้อยอกน้อยใจและเจ้าน้ำตามากเลยทีเดียวเมื่อข้าพเจ้าต้องเข้าสู่การศึกษาระดับอนุบาลก็กลัวมากวันนั้นญาติพี่น้องและแม่ไปส่งข้าพเจ้าที่โรงเรียนข้าพเจ้าไม่อยากไปแต่ก็ถูกหลอกให้ไปโดยผู้ใหญ่จะบอกกับข้าพเจ้าว่าจะพาไปเที่ยวข้าพเจ้าก็ไปแต่สุดท้ายก็ถูกจับลงปล่อยที่โรงเรียนวันนั้นข้าพเจ้าร้องให้ไปทั้งวันใครจะเชื่อว่าเด็กอย่างข้าพเจ้าจะมีแรงร้องให้ได้หลายชั่วโมงขนาดนั้นแล้ววันที่สองข้าพเจ้าก็เริ่มปลงกับชีวิตแต่ก็ยังไม่เข้ากับเพื่อนฝูงนั่งอยู่มุมห้องคนเดียวเพื่อนๆทั้งห้องมองมาที่ข้าพเจ้าอย่างตัวประหลาดนั่นก็คือความทุกข์แรกของข้าพเจ้าแล้ว
    เมื่อข้าพเจ้าปรับตัวจนเข้ากับสังคมในระดับชั้นอนุบาลได้แล้วข้าพเจ้าก็เริ่มมีเพื่อนมีสหายข้าพเจ้าได้เพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคนซึ่งก็เป็นคนบ้านเดียวกันนั่นเองนับแต่จำความได้ข้าพเจ้าก็อยู่แต่กับเพื่อนลูกพี่ลูกน้องในซอยเดียวกันเท่านั้นไม่ได้ออกจากซอยไปพบปะคนในหมู่บ้านสักเท่าไหร่นอกเสียจากออกไปที่ตลาดซื้อขนมของขบเคี้ยวกินเท่านั้นเองเมื่อรู้ว่าในโรงเรียนมีเพื่อนหมู่บ้านเดียวกันอยู่ก็สนิทสนมมากที่สุดอาจเป็นเพราะว่าการได้พบคนบ้านเดียวกันมันเหมือนกับเราไปในที่ๆไม่รู้จักใครเลยหรือเอาง่ายๆว่าเดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่เก่งเรื่องภาษาพูดคุยกับใครก็ไม่เป็นแต่เมื่อเจอคนไทยอยู่นั่นเราก็จะดีใจและเข้าไปทำความรู้จักกันจนเกิดสนิทสนมกันอย่างง่ายดายความเป็นไปของข้าพเจ้าในตอนนั้นก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันข้าพเจ้าดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับเพื่อนเป็นคนในหมู่บ้นและได้สนิทสนมกันในเวลาต่อมาเช่นนั้นแล้วเพื่อนสนิทคนนี้ก็พาข้าพเจ้าไปพบปะกับเพื่อนคนอื่นๆจนพวกเขาได้สนิทสนมรู้จักกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดีนับจากนั้นเป็นต้นมา
    นับจากวันที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนจนกระทั่งสอบในระดับอนุบาล ครูผู้สอนก็ชื่นชมเพราะข้าพเจ้าเป็นเด็กตั้งใจมุ่งมั่นกับการเรียนทุกวิชากลายเป็นเด็กเรียนดีเรียนเก่งของห้องไป นั่นเองที่ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนสำคัญของห้อง เพื่อนๆให้ความเคารพนับถือข้าพเจ้าในด้านการเรียน ใครต่อใครต่างเข้าหาข้าพเจ้าประมาณว่าเกาะคนเรียนเก่งเข้าไว้จะได้ไม่สอบตก หรือคบบัณฑิต บัณฑิตจะพาไปหาผลแห่งความสำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขมาก ไม่เคยคิดว่ากลายเป็นคนสำคัญของใครได้ขนาดนี้ เวลาผ่านไป ข้าพเจ้าเข้าสู่ระดับประถมศึกษา ครั้งนั้นข้าพเจ้าต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน และข้าพเจ้าก็ได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆอีกมากมายซึ่งก็เป็นผลพลอยได้จากการที่ข้าพเจ้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอีกนั่นแล หลังจากนั้นไม่นานข้าพเจ้าก็กลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือ นับจากอ่านหนังสือได้ข้าพเจ้าไม่เคยทิ้งหนังสือเลยอย่างน้อยหากไม่ได้อ่านหนังสือข้าพเจ้าจะหาหนังสือพิมพ์มาอ่านมาดูข่าวหรือน้อยที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องหาเศษกระดาษที่มีข้อความต่างๆขึ้นมาอ่าน ในหนึ่งวันเป็นอยู่เช่นนั้นดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงชอบศึกษาและเรียนรู้เป็นอย่างมาก เมื่อครูผู้สอนหลายคนเห็นก็รักและเอ็นดู ข้าพเจ้าจึงมีกำลังใจที่จะตั้งใจเรียนมากขึ้นและมากขึ้น
     
    ช่วงการเรียนที่ ๒ ประถมศึกษาตอนต้น
            ในตอนแรกที่ข้าพเจ้าย้ายมาเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ข้าพเจ้ามาพร้อมกับเพื่อนสนิทที่สุดของข้าพเจ้าในอนุบาลก็คือคนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันตอนแรกนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็ได้รู้จักกับเพื่อนๆในหมู่บ้าน หมู่บ้านใกล้เคียงมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อนใหม่ของข้าพเจ้าที่เป็นชาวเขา ข้าพเจ้าได้ศึกษาอะไรมากมายจากเพื่อนของข้าพเจ้าพวกเขาเหล่านั้นบอกข้าพเจ้าว่า การเป็นชาวเขานั้นไม่ง่ายเลย ต้องทนต่อคำเหยียดหยามของคนเมือง ทั้งดูถูก ทั้งทำท่าทีรังเกลียด ทั้งหมดคือสิ่งที่เขาได้พบเจอและต้องยอมรับมันแม้จะเป็นสิ่งที่ยากต่อการรับได้ก็ตาม นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้และเข้าใจว่า แท้จริงแล้วโลกใบนี้สร้างทุกอย่างมาเท่าเทียมดีอยู่อยู่แล้วแต่ทว่าใจคนนั้นเองที่ไม่เท่าเทียม คนเราแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งรวยแบ่งจน แบ่งขาวแบ่งดำ แบ่งแยก นั่นคือสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งส่งผลต่อสังคม ความเป็นอยู่ของมนุษย์มากขึ้นๆ ทุกวันๆ ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่าในขณะที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ ข้าพเจ้าอยู่แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ บางคนคงไม่อยากเชื่อ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ได้พบเห็นการตาย การจากไปของบุคคลที่รักไปแล้ว สองคนอย่างไม่มีเหตุผล มันส่งผลให้ข้าพเจ้าคิดตามอย่างมาก เมื่อคิดตามมันก็ย่อมมีข้อสงสัย เมื่อสงสัยก็ต้องถาม แต่หากถามแล้วไม่มีใครตอบได้ ข้าพเจ้าก็ต้องหาวิธีใหม่เมื่ออ่านหนังสือเป็นก็ต้องพึ่งพาหนังสือในการหาคำตอบที่สงสัยแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้พบอะไรอีกมากที่อยู่ในหนังสือ ข้าพเจ้ารู้ว่าโลกกว้างแค่ไหน แต่สุดท้ายเราทุกคนกับอยู่กันเพียงแค่รั้วโรงเรียน กฎของโรงเรียน บางทีมันแคบไปด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าจึงเปรียบการเรียนรู้ในชั้นเรียนดั่งตู้ปลาและตัวเราก็คือปลา เมื่อไม่สามารถออกจากตู้ปลาได้ก็มองดูสิ่งที่อยู่ภายนอกสุดลูกหูลูกตา เรียนรู้ศึกษาจากสิ่งที่เห็นแต่ไม่ได้สัมผัสจริง ทำได้เพียงสมมติเอาว่าเป็นอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้ สุดท้ายก็ไม่ใช่ความจริง
                เช่นกันข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ออกสู่โลกภายนอกบ่อยนัก ในขณะที่คนในเมืองอาจได้ออกสู่โลกภายนอกบ้างแต่การศึกษาภายในโรงเรียนก็ยังไม่ได้บอกว่าภายนอกเป็นอย่างไร ร้ายกาจอย่างไร ไม่มีสอนในโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กอายุ ๗-๘ ขวบ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากหนังสือและคิดตามจนเข้าใจในบางสิ่งก็อยากจะพูดอยากจะระบายให้เพื่อนฟัง แต่ทว่าข้าพเจ้าพูดไปก็ไม่มีเพื่อนคนใดเข้าใจได้ ข้าพเจ้าจึงคิดว่ามันอาจเป็นเพราะเรายังเด็กเกินไป เกินกว่าจะมาหวั่นกับเรื่องเหล่านี้เพราะมันยังไม่ถึงเวลา เมื่อข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ก็ต้องพักทุกอย่างไว้ที่ตรงนั้นก่อนจะหันมาเข้าหาสมาคมกับเพื่อน จนลืมเรื่องที่คิดนี้ไปในที่สุด
            กับเพื่อนของข้าพเจ้า เราเริ่มผูกพันกัน มากกว่าคำว่าเพื่อน เมื่อเพื่อนร่วมห้อง ห้าหกคนที่ข้าพเจ้ามีให้ความสำคัญกับข้าพเจ้าแล้ว ก็เริ่มเล่นกันไปตามปะสาเด็ก ได้พูดคุย หัวเราะ ร้องให้ เข้าใจกัน เป็นอยู่เช่นนี้จนกระทั่งวันหนึ่ง รุ่นพี่ในระดับที่สูงกว่าเข้ามากลั่นแกล้งข้าพเจ้าซึ่งเป็นเด็กขี้แยอยู่แล้วนั้น จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องร้องให้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะถูกใครรังแก กลั่นแกล้ง น้อยใจ ทรมานใจแค่ไหน ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่พวกขี้ฟ้องเพราะข้าพเจ้าไม่เคยฟ้องต่อคุณครูคนใดหรือพ่อแม่ก็ไม่เคย แล้วเช่นนี้คงไม่ต้องถามถึงว่าข้าพเจ้าจะพูดให้เพื่อนฟัง เมื่อเพื่อนเห็นข้าพเจ้าร้องให้สะอึกสะอื้นก็สงสัยว่าเป็นอะไร เมื่อถามแล้วก็ไม่ได้คำตอบเช่นนั้น ต้องวางแผน แอบดูข้าพเจ้ากันในตอนพักเที่ยง แผนนี้ข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อนของข้าพเจ้าต่างดำเนินการเองทั้งสิ้น เพราะว่าทุกครั้งที่ข้าพเจ้าร้องให้คือช่วงพักเที่ยง จึงต้องดักซุ่มดูตอนพักเที่ยง ในที่สุดความจริงก็ต้องกระจ่างเมื่อทุกคนได้เห็นกับตาว่ามีรุ่นพี่มาคอยกลั่นแกล้งข้าพเจ้าทุกวัน เมื่อเห็นเช่นนั้นเพื่อนๆ จึงต้องเข้ามาช่วยข้าพเจ้า ขับไล่รุ่นพี่คนนั้นไป บ่อยๆเข้าเขาก็กลัวจึงไม่กล้ามายุ่งกับข้าพเจ้าอีก เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นไปอีก กระทั่งข้าพเจ้าจบชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ครั้งนั้นคือความทรงจำที่ตราตรึงในใจของข้าพเจ้าอย่างมาก ในวันที่ข้าพเจ้าจบนั้นเป็นวันที่โรงเรียนต้องปิดตัวลงพอดิบพอดี เนื่องด้วยจำนวนนักเรียนน้อยเกินไปจึงต้องนำนักเรียนที่มีอยู่ไปรวมกับอีกโรงเรียนที่อยู่ถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่งไม่ไกลนัก แต่ทว่าคนที่ย้ายไปก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นต้องไปอยู่ที่อื่น นั่นหมายความว่าเราต้องแยกย้ายกันนั่นเอง เย็นวันนั้น ทุกระดับชั้นต้องมาตั้งแถวกันบริเวณถนนภายในโรงเรียนซึ่งมีต้นไม้ปลูกไว้ตามถนนจากทางเข้าจนสุดทางในโรงเรียน วันนั้นข้าพเจ้าจำได้เป็นอย่างดี ว่ามีลมพัดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่แต่พอทำให้ใบไม้และดอกไม้ต่างๆร่วงหล่นลงมาเป็นจำนวนมากจากยอดไม้จนถึงพื้นดิน เป็นภาพที่สวยมากอีกภาพหนึ่ง เราทุกคนที่ยืนอยู่ในแถวแหงนมองดูใบไม้และดอกไม้สีต่างๆที่ร่วงโรยลงมานั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่อยากให้เราจากไปและปล่อยให้อ้างว้างเดียวดายเลยกระนั้น ซึ่งก็ไม่ต่างกับข้าพเจ้าและเพื่อนๆที่คบหากันมาสามปีเต็มอย่างสนิทสนม ต้องลาจากไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบเจอกันอีกหรือไม่ เมื่อไหร่ อย่างไร ไม่มีใครรู้เลย
     
    ช่วงการเรียนที่ ๓ ประถมศึกษาตอนปลาย
               หลังจากแยกย้ายกันวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องย่ำกลับไปที่โรงเรียนเดิมตอนอนุบาล แต่ต้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ถึง ๖ ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่นี่กับเพื่อนที่สนิทที่สุดของข้าพเจ้าคนแรกที่จบเจอตอนอนุบาลที่โรงเรียนแห่งนี้อีกเช่นกัน เพียงเท่านั้น เป็นอีกครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าได้พบกับการลาจากและพบเพื่อนใหม่ ในแง่บวกมันก็ดีอยู่ไม่น้อยที่ทำให้สังคมของเรากว้างไกลยิ่งขึ้น มีเพื่อนต่างหมู่บ้านถึงจะอยู่ในตำบลเดียวกันอยู่ดีก็ตาม แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าเพื่อนใหม่หรือจะรู้ใจเราดีเท่าเพื่อนเก่า ต้องคบหากันใหม่และใช้เวลาพอสมควร แล้วยิ่งพื้นฐานของแต่ละคนมาต่างกันด้วยแล้วยิ่งร้ายใหญ่ ใช่แล้วร้าย ข้าพเจ้าได้เจอเพื่อนเกเรเข้าแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอ เจอแต่มิตรที่ดี ตอนนี้มีเพื่อนเกเรเข้ามาแล้ว ในทัศนคติของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าเป็นจุดดึงดูดของฝ่ายธรรมะแล้วละก็ เพื่อนใหม่คนนี้คงเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับข้าพเจ้า นี่คือฝ่ายอธรรม ซึ่งมีแรงดึงดูดไม่แพ้ข้าพเจ้าในช่วงประถมศึกษาตอนต้น เขาสามารถชักจูงคนได้ทั้งห้อง โดยเฉพาะพวกเด็กชายต่างหลงใหลและตามเขาไปกันทั้งสิ้น มีเพียงข้าพเจ้าและเพื่อนสนิทที่สุดคนนั้นที่ไม่ตามไปกับเขา เมื่อกลุ่มเด็กชายไปทางอธรรมกันหมด ฝ่ายธรรมะอย่างเราจะอยู่กันสองคนก็กะไรอยู่ เราจึงเลือกที่จะเข้าหากลุ่มเด็กหญิงดู แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าและเพื่อนผิดเพศแต่อย่างใด ข้าพเจ้าและเพื่อนยังเป็นชายเหมือนเดิม เพียงแต่มีสาวๆรุมล้อมบ้างก็เท่านั้นเอง
                สำหรับเพื่อนที่ว่าเป็นฝ่ายอธรรมนี้ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างวีรกรรมบางส่วนให้ฟัง เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ก็คือ เขาชอบทำกริยาอย่างกับเจ้าพ่อ มือปืน หรือแก๊งอะไรเทือกนี้ คือไปไหนไปกันเป็นกลุ่ม ทำซ่ากลั่นแกล้งผู้อื่น เขาชอบแกล้งรุ่นน้องที่อ่อนกว่า โดยเฉพาะรุ่นน้องผู้หญิงทำท่าทีเกี้ยวพาราสีไม่ให้เกียติ ต้องบอกก่อนว่านี่แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ปีที่ ๕ เท่านั้นเอง แล้วอนาคตจะเป็นเช่นไรหนอ นอกจากกริยาเชิงชู้สาว และแกล้งคนแล้ว ที่แย่ที่สุดคือในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เขาชักชวนให้เพื่อนๆ ดื่มสุราและบุหรี่จนติดเป็นนิสัย ในเวลาต่อๆมา แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าและเพื่อนสนิทก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดูอยู่เฉยๆ และทำความเข้าใจตามเพียงเท่านั้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าอันธพาลคืออะไรและเป็นเช่นไร ตอนนี้ข้าพเจ้าตระหนักดีแล้วว่าทุกสิ่งบนโลกมีการเกิดดับอยู่อย่างนั้น มีพบก็ต้องมีพรากมีจากเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อตระหนักได้แล้วข้าพเจ้าก็จบการศึกษาในระดับประถมศึกษามาได้ด้วยการเรียนที่ดีในระดับหนึ่งและครั้งนี้เห็นทีว่าข้าพเจ้ากับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมา ๖ ปีเกือบครึ่งของอายุของเรา อายุในตอนนั้นคือ ๑๓ ปีนั่นเอง ทางด้านการเรียนตลอดสามปีนี้แทบจะไม่มีอะไรมากมายก็แค่เรียนตามตำรา แค่ได้อ่านได้ทบทวนก็ทำข้อสอบได้ เกรดเฉลี่ยก็ออกมาดี ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังมองว่าเป็นการเรียนรู้แบบแคบๆ หรือตู้ปลาอยู่ดี

    ช่วงการเรียนที่ ๔ มัธยมศึกษาตอนต้น
                ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นข้าพเจ้าได้ย้ายโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ได้ย้ายมาเรียนใกล้กับตัวเมืองอีกหน่อย ทำให้สังคมของข้าพเจ้ากว้างขึ้น จากสังคมระดับหมู่บ้านสู่สังคมระดับตำบลและมาเป็นสังคมระดับอำเภอและจังหวัด ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นข้าพเจ้าได้พบกับเพื่อนใหม่ที่ทำให้ชีวิตข้าพเจ้าเปลี่ยนอีกแล้ว ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกันกับเพื่อนอีกคนที่จบประถมศึกษาปีที่ ๖ มาด้วยกัน ทำให้ข้าพเจ้าสนิทกับคนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยๆทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นสังคมที่แตกต่างออกไปอีกแบบหนึ่ง ถ้าให้เปรียบเทียบ จะเทียบได้ว่า ในระดับ ประถมตอนต้น สังคมแบบชนบททั่วไป ประถมตอนปลาย สังคมแบบมีดีมีเลวหรืออันธพาล มัธยมตอนต้น สังคมแบบอินเทรน ตามยุคสมัย ทำไมข้าพเจ้าบอกว่าสังคมแบบตามยุคสมัย นั่นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าได้เห็นเพื่อนสองสามคนจับกลุ่มกันพูดเรื่องเกมคอมพิวเตอร์เกมออนไลน์ บางกลุ่มพูดเรื่องโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเห็น และที่สำคัญข้าพเจ้ายังไม่มีมือถือพกพาไปไหนมาไหนเลย แต่เพื่อนข้าพเจ้ามีแล้ว เครื่องโทรศัพท์นะไม่ได้ซื้อขายกันง่ายๆอย่างปัจจุบันเสียหน่อยจะมีก็แต่เครื่องที่เป็นแบนด์หลักๆดังๆ ซึ่งราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ เรียกได้ว่าเกือบหมื่นจนทะลุหมื่นกันไปเลยทีเดียว สำหรับระดับนักเรียนนักศึกษาอย่างพวกเรามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้พกโทรศัพท์มือถือเลย นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มที่คุยกันเรื่องมอเตอร์ไซค์อีก แต่ยังดีที่ยังเหลือกลุ่มที่สนใจการเรียนซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเข้าด้วยได้อยู่ ช่างโลกอกเหลือคณา นั่นละคือกลุ่มที่มีอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ปีที่ ๑ เฉพาะห้องของข้าพเจ้าและกลุ่มชายเท่านั้นเอง เวลาผ่านไปข้าพเจ้าได้เกาะไปกับกลุ่มเด็กเรียนด้วยกันแล้วข้าพเจ้าก็ได้เป็นตัวเด่นของกลุ่มอีกครั้ง ข้าพเจ้าแทบไม่อยากเชื่อ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีห้องเรียนทั้งหมดห้าห้อง แต่ละห้องมีนักเรียนสามสิบสี่สิบคน ใครจะนึกฝันว่าข้าพเจ้าจะได้ผลการเรียนดีเป็นอันดับหนึ่งของทั้งระดับ ดังนั้นรุ่นเดียวกันจึงจ้องมองข้าพเจ้าตาเป็นมัน แน่นอนหลายคนจ้องจะเข้าหาสมาคมด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ต้องการสกัดหรือดับข้าพเจ้า มีทั้งแรงยุยงส่งเสริม มีทั้งแรงฉุดให้ร่วงระนาวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน นั่นทำให้ข้าพเจ้าลำบากใจอยู่ไม่น้อยยิ่งกลายเป็นความหวังของครูอาจารย์ในระดับนี้ที่จะให้เราเป็นต้นแบบมันยิ่งกดดันไม่น้อย ในระดับมัธยมศึกษาปีที่สองข้าพเจ้าก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องเรียน ต้องบอกว่าเป็นภาระอันหนักอึ้งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเจอมาก่อนเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้น
                ในความเป็นจริงแล้วการที่ข้าพเจ้าเรียนจนได้ผลการเรียนอันดับหนึ่งของระดับชั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ข้าพเจ้าเพียงแค่นั่งฟังเวลาครูอาจารย์สอน อยู่บ้านก็อ่านหนังสือทบทวนด้วยเหตุผลที่ว่าในตอนค่ำของแต่ละวันมันว่างไม่มีอะไรทำ บ้านข้าพเจ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่เพียงโทรทัศน์และวิทยุเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูละครหลังเลิกเรียนจบประมาณสองทุ่มก็เข้านอนกัน ข้าพเจ้าไม่ง่วงก็อ่านหนังสือก่อนเข้านอน ส่วนเวลาว่างในช่วงพักจากการเรียนก็เข้าหาสมาคมพูดคุยกับเพื่อนฝูงในเรื่องต่างๆ ที่ทั้งมีสาระและไม่มีสาระก็เท่านั้นเอง ทั้งหมดนี้มันทำให้ข้าพเจ้ามีผลการเรียนที่ดีขึ้นมาได้
                ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ นี้เองมีเหตุการณ์ที่ย้ำให้ข้าพเจ้าได้ตระหนักสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยตระหนักมาแล้วครั้งหนึ่งอีก นั่นคือเรื่องของความตาย สิ่งนี้บอกกับข้าพเจ้าว่า ชีวิตไม่เที่ยงเป็นเช่นไร และความตายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเพื่อนข้างห้องเกิดอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ข้าพเจ้าไม่ได้เอะใจมากเท่าครั้งนี้ เมื่อทราบเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าว่า เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่ชอบเรื่องราวของมอเตอร์ไซค์ซึ่งก็ชอบมาพูดคุยกับข้าพเจ้าอยู่บ่อยๆด้วยนั้นเกิดอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์เมื่อวานตอนเย็นขณะกลับบ้าน เหตุเพราะเพราะเพื่อนต่างห้องท้าแข่ง แล้วเมื่อทบทวนดูก็จะทราบว่า ตอนเย็นของวันปกติรถรับส่งนักเรียนมันมากอยู่แล้วดังนั้นจึงเกิดอุบัติเหตุได้ หลังจากที่ทราบข่าวพวกเราในห้องเรียนเดียวกันต้องเดินทางไปบ้านของเพื่อนทีจัดงานศพ เราได้เห็นชัดเจนอีกครั้งว่ากับการจากไปของคนใกล้ตัว ได้เห็นคนในครอบครัวที่เศร้าโศกเสียใจเพราะต้องสูญเสียคนที่รักและเป็นอนาคตของครอบครัวไปกะทันหัน มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เมื่อเวลาผ่านสิ่งต่างๆก็กลบความเศร้าหมองของเพื่อนๆในห้องไปพร้อมๆกับการได้บทเรียนไปร่วมกันแล้วว่าเราควรตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หลังจากนี้ก็มีเพียงแค่ว่าเราทั้งหลายจะจำมันไปได้อีกนานแค่ไหนเท่านั้นเอง  
                หลังจากผ่านเรื่องรายมาจนถึงภาคเรียนที่ ๒ ของมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ช่วงนี้กลายเป็นอีกเหตุการณ์สำคัญนั่นก็คือมีเพื่อนชายคนใหม่ย้ายมาเข้ามาเรียนห้องเรียนเดียวกันกับข้าพเจ้าอีกหนึ่งคน ซึ่งก็ได้รับการเปรียบเทียบอีกเช่นเคย ว่ากันว่า หากข้าพเจ้าเนื้อหอมเพราะการเรียนการศึกษาฉันใด เพื่อนใหม่คนนี้ก็เป็นฉันนั้น หลายคนพูดทันที่ที่เขาปรากฏตัวหน้าห้องว่า นี่คือแฝดคนละฝาของข้าพเจ้า ด้วยอะไรหลายๆอย่างของเราทั้งสองนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงร่าง ส่วนสูงก็ดูจะเท่ากัน ยกเว้นสีผิวและหน้าตาที่ต่างออกไป ทางด้านมันสมองก็พอๆกัน จบโรงเรียนเดิมมาด้วยผลการเรียนอันดับต้นๆเช่นกัน ดังนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนใหม่คนนี้จึงถูกจับให้นั่งคู่กันกลายเป็นสองผู้นำของห้อง แล้วเวลาผ่านไปก็กลายมาเป็นทั้งเพื่อนคู่หูและคู่แข่งกันและกัน ซึ่งต้องฟัดเหวี่ยงกันด้วยผลการเรียนในแต่ละภาคเรียนไป ซึ่งผลก็ออกมาสูสี อาจเป็นเพราะต่างคนต่างเก็งเลยทำให้ผลการเรียนของเราทั้งคู่ตกลงไปจนอยู่ระดับเท่าๆกัน นั่นคือไม่ใช่ที่หนึ่งหรือที่สองอีก แต่ก็ยังอยู่อันดับต้นๆอยู่ เป็นเวลาเกือบปีที่เราได้รู้จักกัน ก็มีทั้งเรื่องพูดคุยสนุกสนานเฮฮา หยอกล้อกันบ้างในบางครา นั่นก็ทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้นและเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของห้องไปจนกระทั่งจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อีกครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าต้องลาจากเพื่อนสนิทที่สุดไป เนื่องจากเพื่อนคู่หูคู่คิดคนนี้ต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิดต่างอำเภอซึ่งเดินทางสัญจรลำบากจึงต้องย้ายไป ในขณะเดียวกันเพื่อนๆคนอื่นๆ ก็มีทั้งย้ายและต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ไม่ต่อก็ไปทาง สายอาชีพบ้าง หรือ อาจย้ายโรงเรียนบ้างก็ตามจุดประสงค์ของแต่ละคนไป
     
    ช่วงการเรียนที่ ๕ มัธยมศึกษาตอนปลาย
                ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างหวือหวาสำหรับข้าพเจ้า นับจากวันที่เพื่อนๆ แยกกันไปตามทางฝันของตนแล้วไม่นานจากนั้นวันใหม่ของข้าพเจ้าก็เริ่มขึ้น การได้พบเพื่อนใหม่ครั้งนี้มีความสำคัญต่อชีวิตข้าพเจ้าอย่างมาก เพราะนั่นทำให้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในครั้งประวัติศาสตร์ เหตุการณ์เริ่มขึ้นเหมือนปกติทุกครั้งที่เปลี่ยนช่วงชั้น ข้าพเจ้าได้เจอเพื่อนใหม่อีกหลายต่อหลายคน เราสนิทกันเร็วมาก นิสัยทุกคนเหมือนกลับไปเมื่อวันที่เราเข้ามัธยมศึกษาปีที่ ๑ ใหม่ๆ อีกครั้ง ทุกอย่างค่อยๆเป็นไปอยู่อย่างนั้น แต่ ณ วันหนึ่งซึ่งก็ไม่กี่วันหลังจากเปิดภาคเรียน ข้าพเจ้าได้พบเจอกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องด้วยกันนั่นเองเรามีโอกาสได้รู้จักกัน แล้ววันต่อๆมาก็ค่อยๆสนิทกันมากขึ้น ข้าพเจ้าได้พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ มีความสุขดั่งได้เจอเพื่อนรู้ใจก็ไม่ปาน แต่ทว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ใกล้ชิด ได้พูดคุยกับเธอมากเท่าไหร่ความรู้สึกของข้าพเจ้าก็ยิ่งต่างออกไป ในที่สุดข้าพเจ้าก็หลงชอบเธอเข้าเสียแล้ว มันคืออาการเดียวกับการตกหลุมรัก แต่ข้าพเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน จากปกติที่เป็นคนขี้อายอยู่แล้วครั้งนี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าอายไม่กล้าบอกความในใจออกไป ดังนั้นจึงต้องเก็บมันไว้อย่างนั้น แต่ยิ่งเก็บยิ่งอึดอัดและกดดัน หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเผลอแสดงออกทางสายตา กริยา วาจา จนข้าพเจ้าคิดว่าเธอเองก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีให้นั้นคืออะไร แต่เพียงแค่ทั้งสองต่างไม่พูดเท่านั้นเอง มันกินเวลาไปนับเดือนกับการเก็บซ่อนความลับนี้ ข้าพเจ้าจึงอึดอัดมากดังนั้นจะต้องพูดออกไปเพื่อจะได้สบายใจยิ่งขึ้น แต่แล้วข้าพเจ้าก็ไม่กล้าพูดกับเธอตรงๆ ดังนั้นเพื่อนที่สนิทจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยอยู่ห้องเรียนเดียวกันตอนมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ตอนนี้เพื่อนคนนั้นอยู่คนละห้องกับข้าพเจ้าจึงไม่ได้รู้จักใครในห้องข้าพเจ้าดีมากนัก ข้าพเจ้าจึงเผลอไปพูดเล่าความในใจอันหนักอึ้งให้กับเพื่อนคนนี้ เมื่อเล่าไปเล่ามา เพื่อนคนนั้นเกิดนึกสงสารอยากช่วยข้าพเจ้าให้สมหวังดังที่หมายปอง เขาขอตัวหายไปสักพักข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาเพียงบอกกับข้าพเจ้าให้รออยู่ตรงนั้น ข้าพเจ้านั่งรออยู่หน้าห้องเรียนของเพื่อนซึ่งอยู่บนชั้นที่สี่ ส่วนห้องเรียนของข้าพเจ้าอยู่ชั้นที่สามมุมห้องตรงกันเพราะอยู่ตรงบันไดพอดี สักพักก็มีเสียงโห่แบบเซอร์ไพรส์ดังขึ้นมาจากห้อง มันทำให้ข้าพเจ้าสงสัย ทันทีที่ยื่นหน้าชะโงกไป เพื่อนร่วมห้องอีกสองสามคนก็เดินตามเพื่อนที่หายไปสักพักคนนั้นกับมาและพูดกับเราเหมือนว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ก่อนที่เพื่อนคนที่หายไปนั้นจะอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
    เพื่อนบอกว่าที่หายไปนั้นไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงมาหนึ่งดอกแล้วฝากผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านห้องของข้าพเจ้า ให้ผู้หญิงคนนั้นนำดอกไม้ไปมอบให้กับเธอที่ข้าพเจ้าแอบชอบ ขณะที่เพื่อนๆในห้องแทบทุกคนได้เห็นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาของตนเอง เหตุการณ์ทั้งแทนที่จะดีขึ้นอย่างที่เพื่อนข้าพเจ้าตั้งใจ แต่มันไม่ใช่ เมื่อเธอคนนั้นกลับได้รับความอับอายเพราะเพื่อนๆต่างล้อเธอทั้งวันเธอจึงพลอยโกรธข้าพเจ้าอย่างไม่มีทางอภัยให้ได้ ข้าพเจ้าทำตัวไม่ถูกได้แต่รอเวลาให้เธอหายโกรธแล้วจะเข้าไปคุยอีกครั้ง แต่ทว่าสองวันแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น สถานการณ์มันตอกย้ำทุกๆวันจากเพื่อนรอบข้าง เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปขอโทษเธอเสียในเย็นวันหนึ่ง แต่ทว่าเธอไม่ยอมให้อภัยข้าพเจ้า เธอบอกกับข้าพเจ้าว่ามันสายเกินกว่าจะอภัยให้ได้ ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนความหวังมันดับวูบ คนที่เราแอบชอบมาก่อนไม่ยอมอภัยให้เรา มันไม่ต่างกับการถูกปฏิเสธเมื่อขอความรักจากเขาเลยแม้แต่น้อย นับจากวันนั้น ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้คุยกับเธออีกเลย เธอไม่ยอมแม้แต่จะมองสบตากับข้าพเจ้า เป็นเช่นนี้ไปอีกนาน จากวันนั้นผ่านไปเป็นปี ข้าพเจ้าเริ่มท้อกับทุกสิ่ง ช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่สอง ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มเปลี่ยนไปเพื่อนในห้องพาข้าพเจ้าไปในสถานที่ต่างๆเพื่อผ่อนคลายทุกคนต่างคิดว่าข้าพเจ้าอกหัก จึงชวนข้าพเจ้าดื่ม เพื่อนหลายคนที่ไม่เคยดื่มสุรา สิ่งมึนเมาต่างๆก็ตามข้าพเจ้าไป แล้วพวกเขาทั้งหลายรวมถึงข้าพเจ้าก็กลายเป็นคนติดสุราอย่างงอมแงม หลังจากดื่มกับเพื่อนในเย็นวันนั้น ช่วงเสาร์อาทิตย์ข้าพเจ้าก็เข้าสู่วงการนักเลงสุราในหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นกลุ่มรุ่นพี่ทั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่หลงเหลือสภาพของเด็กเรียนดีที่ครูบาอาจารย์ให้ความเอ็นดู เพื่อนๆให้ความนับถือ อีกต่อไป กลายเป็นขี้เมาทั่วๆไป ที่เมาเช้า เมาเย็น ไม่ได้หลับก็ไปเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ย่ำแย่ลงไปตามๆกัน การเรียนก็ย่ำแย่ จากที่ไม่เคยติด ๐ ติด ร. ก็ต้องมาติดในปีนี้ จนกระทั่งผ่านไปถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ข้าพเจ้าก็ยังติดอบายมุขเหล่านั้น เรียกได้ว่าติดอย่างถอนตัวไม่ได้ แทบไม่มีวันไหนที่ข้าพเจ้าไม่เมา และเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อข้าพเจ้าได้พบเจอกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งในวงเหล้า เธอก็ไม่ต่างจากข้าพเจ้า เป็นขี้เมาที่ติดสุรางอมแงม เรารู้สึกว่ามีอะไรที่เหมือนกัน คุยกันได้ไปสักพักจึงชอบพอกันและตัดสินใจคบกันนับจากวันนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เลือกเธอจากความรักความชอบเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมห้องของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเลือกที่จะคบกับเธอเพราะคิดว่าจะประชดชีวิตที่มันไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยนั้น แล้วทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปอีก เมื่อเวลาผ่านไปเราได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ เขาไม่มีสิ่งใดเข้ากับเราได้เลย อีกทั้งยังเกเรชอบเที่ยวไปนั่นมานี่ และที่ร้ายที่สุดที่เธอปิดบังข้าพเจ้ามาตลอดจนข้าพเจ้าได้เห็นกับตาคือเธอคบคนอื่นอยู่ด้วยและก็คบเราอีกคน มันเป็นความรู้สึกที่ตอกย้ำข้าพเจ้ามากมาย ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่มีตัวตน เป็นคนงี่เง่าไม่ทันโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าให้เทียบคนนี้กับคนแรก ข้าพเจ้าว่าการกระทำของคนแรกยังดีกว่าคนที่สองเสียอีกอย่างน้อยเธอก็ไม่เคยปิดบังเรา โกรธก็บอกว่าโกรธ เกลียดก็บอกว่าเกลียด ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป นั่นยังดีกว่า คนที่สองที่มีใครอยู่แล้วยังเลือกที่จะคบหากับเราอีก
                เมื่อข้าพเจ้านึกทบทวนเรื่องราวต่างๆนับจากเริ่มต้นชีวิตในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ แล้วข้าพเจ้าก็ตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเลิก เลิกในครั้งนี้หมายความว่า เลิกที่จะเหลวไหลในอบายมุขต่างๆ โดยการห่างออกมาอย่างช้าๆ ข้าพเจ้าเลือกที่จะห่างจากสุราสิ่งมึนเมาเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเด็ดขาด ข้าพเจ้าแทบจะเลิกไม่ได้จนต้องๆลดละการดื่มลง เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งปี ข้าพเจ้ายังตัดขาดสิ่งมึนเมาไม่ได้ จนคืนวันหนึ่งข้าพเจ้าก็มีเรืองจนได้ มันเป็นเหตุวิวาทที่เกิดกับข้าพเจ้าครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต ในรอบ ๑๘ ปี ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเมาแล้วจะหาเรื่องใครก่อน ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าเมาแล้วจะนิ่งเงียบเหมือนคนง่วงนอน เพราะง่วงนี่เองที่พาข้าพเจ้าออกจากกลุ่มเพื่อนที่กำลังฉลองบางอย่างอยู่ ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกหนึ่งคนพากันออกมาซื้อของกันสองคน เพื่อนข้าพเจ้าเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ พอดีในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีหนึ่งเศษ กลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่งออกจากพลับมาท่าทางราวกับไม่พึงพอใจอะไรบางอย่าง ขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้าพวกเราอยู่ กลุ่มนั้นมีคนประมาณสิบคนทั้งทั้งคนขับขี่และคนซ้อนท้าย แต่ไม่ได้ขับเร็วอาจเพราะมึนเมาอยู่จึงต้องหาความปลอดภัยไว้ก่อน ส่วนข้าพเจ้าและเพื่อนเห็นว่าช้าจึงขับแซงไป แต่ด้วยความไม่พอใจกลุ่มอันธพาลก็ตามข้าพเจ้าและเพื่อนไปที่ตลาด เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนข้าพเจ้าไม่ทันตั้งตัว คนนับสิบนั้นเข้ามารุมล้อมข้าพเจ้าและเพื่อนสองคน ทุบตีพวกเราอย่างเมามันราวกับระบายความโมโหกับเราเท่านั้น โชคดีที่พ่อค้าช่วยเราด้วยการหลอกว่าตำรวจมา ทั้งหมดจึงแยกย้ายหนีกลับไป ข้าพเจ้าเจ็บหนักในตอนนั้น เลือดอาบตัว เพื่อนข้าพเจ้าจึงพาข้าพเจ้าไปส่งยังโรงพยาบาล ปรากฏว่าหลังของข้าพเจ้าเหวอะหวะเป็นแผลลึกเย็บร่วมยี่สิบเข็ม ข้าพเจ้าต้องนอนพักฟื้นที่บ้านไปเรียนไม่ได้อยู่ร่วมสองอาทิตย์ ระหว่างนั้นข้าพเจ้ากินทานแทบไม่ไหว สุราสิ่งมึนเมานะหรือไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย แต่ที่แย่ที่สุดซึ่งตอกย้ำข้าพเจ้าอย่างมากคือ คนที่ข้าพเจ้าคบอยู่เห็นเป็นโอกาสเหมาะ เขาไม่ได้มาดูข้าพเจ้าแม้แต่น้อยทั้งที่ทราบว่าข้าพเจ้าถูกรุมทำร้าย ตรงกันข้ามเขาไปพักอยู่กับผู้ชายอีกคนร่วมอาทิตย์
                ช่วงเวลาเช่นนี้เป็นโอกาสเหมาะแล้วแก่การทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดของข้าพเจ้า เป็นโอกาสเดียวที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดที่สุด ข้าพเจ้านั่งนับลมหายใจที่สูดเข้าออกพรางนึกคิดว่าข้าพเจ้าควรดำเนินชีวิตในทิศทางใดต่อไป ทบทวนว่าชีวิตข้าพเจ้าเมื่อก่อนเป็นเช่นไร ในช่วงเวลานี้อีกเช่นกัน ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนแท้เพื่อนอยากด้วย ปกติข้าพเจ้าอยู่บ้านนอกต้องขี่มอเตอร์ไซค์ร่วม ๓๐ นาทีกว่าจะไปถึงโรงเรียนได้ และต้องขี่ไปอีกยี่สิบนาทีจึงจะเข้าตัวเมือง และบ้านของเพื่อนข้าพเจ้าก็อยู่ในตัวเมืองซึ่งปกติต้องเดินทางกลับคนละทางกับบ้านของข้าพเจ้า แต่เพื่อนคนนี้ที่ข้าพเจ้าไม่เคยให้ความสนใจว่าเป็นคนสำคัญหรือสนิทสนมมากนัก อยู่ในห้องเขาไม่ต่างจากตัวตลกของห้อง ไม่นึกไม่ฝันว่าแทบทุกวันที่เลิกเรียนเขาจะยังไม่กลับบ้านแต่เดินทางมายังบ้านของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าพักผ่อนอยู่ เพื่อมาดูอาการ แล้วต้องขี่มอเตอร์ไซค์กลับอีกร่วมชั่วโมง ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าได้เพื่อนแท้แล้วละ หลังจากที่ข้าพเจ้าหายจากอาการบาดเจ็บครั้งนี้ เมื่อกลับมาสู่การเรียนอีกครั้ง ข้าพเจ้าเริ่มตัดขาดจากสุราต่างๆ กอปรกับวันหนึ่งน้าของข้าพเจ้ากลับมาจากกรุงเทพแกเป็นคนธรรมะ อยู่วัดมาเป็นปีๆ พูดธรรมะให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็เริ่มซึมซับไว้ ในที่สุดข้าพเจ้าก็เลิกดื่มสุราได้ ส่วนผู้หญิงคนที่ข้าพเจ้าคบอยู่นั้นบอกกับข้าพเจ้าว่าไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดสามเดือน แต่ที่ข้าพเจ้าทราบมาจากวงในคือในสามเดือนที่ฝึกงานนั้นมีชายอีกคนอยู่เคียงข้างด้วยซึ่งไม่ใช่คนแรกที่ข้าพเจ้าพูดถึงเป็ฯคนใหม่ซึ่งเรียนมาด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าเลิกติดต่อกับผู้หญิงคนนี้เสีย เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นมาอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไม่บอกเธอ เวลาผ่านไปสามเดือนเธอไม่อาจติดต่อข้าพเจ้าได้ จนในที่สุดก็ฝึกงานผ่าน กลับมาที่เชียงราย เธอมารอข้าพเจ้าในเย็นวันหนึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลับถึงบ้านจากโรงเรียน ข้าพเจ้าและเธอคนนี้ได้คุยเปิดใจกันเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าบอกเหตุผลข้าพเจ้าไม่อาจเป็นตัวเลือกของเธอได้ ข้าพเจ้าเลิกแล้วซึ่งสุรา ข้าพเจ้าจะจบทุกอย่างเสีย เธอรับรู้รับฟัง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเธอเข้าใจ นับจากวันนั้นเธอก็ไม่ติดต่อกับข้าพเจ้าอีกเลย ข้าพเจ้าได้เห็นเธอผ่านๆ หลายครั้งดูเธอก็มีความสุขดี เธอเองก็ได้ตัดสินใจเด็ดขาดเลือกคนที่ใช่ที่สุดแล้วถ้าข้าพเจ้าเดาไม่ผิด ข้าพเจ้าจึงคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้คิดผิดที่ปล่อยเธอไป อีกทั้งปล่อยตัวเองออกจากกรงที่แห่งทิฐิ เป็นความสบายใจอีกครั้งหนึ่งของข้าพเจ้าเหมือนกับได้หลุดจากอบายแล้วในตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่มีห่วง ไม่มีความรักในแบบหนุ่มสาว ไม่ต้องหึง ไม่ต้องหวงใคร ข้าพเจ้าไม่ดื่มสิ่งมึนเมาทุกชนิด ไม่เมา ไม่ขาดสติอีก ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่ดีอยู่รอบข้างซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อข้าพเจ้าเปิดใจรับเพื่อนต่างห้องเรียน ข้าพเจ้าอยู่กับกลุ่มนักเรียนดีได้อีกครั้ง
    ส่วนเรื่องของผู้หญิงคนแรกที่ข้าพเจ้าหลงรักจนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้น ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจ้องมองเธอจึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเธอได้มองข้าพเจ้าอย่างรู้สึกสงสาร อย่างน่าเวทนา เธอเองก็รู้สึกผิดว่าเป็นต้นเหตุทำให้ข้าพเจ้าเสียผู้เสียคน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสบตาเธอเราทั้งสองสบตากันและกันอีกครั้งไม่เหมือนครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบเธอแต่ครั้งนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไป จากความชอบพอแบบนั้นมาเป็นความรู้สึกห่วงใยแบบเพื่อน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดคุยปรับความรู้สึก ความเข้าใจกันกับเธอในรอบสองปีกว่านับจากเกิดเหตุครั้งนั้น แล้วเธอก็เข้าใจข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เราทั้งสองกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง แม้ว่ามันจะสายไปหน่อยก็ตาม แทบไม่อยากเชื่อว่าตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ตอนภาคเรียนที่หนึ่ง จนกระทั่งมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สองปีกว่าที่เราไม่เอ่ยปากพูดคุยกัน มาคุยกันอีกทีก็จวนเจียนจะจบการศึกษาเสียแล้ว ข้าพเจ้ากลับมาสนใจในการเรียนอีกครั้ง จาก มัธยมศึกษาปีที่ ๔ และ มัธยมศึกษาปีที่ ๕จำนวน ๔ ภาคเรียนที่ข้าพเจ้าการเรียนย่ำแย่ติด ๐ ติด ร. มามัธยมศึกษาปีที่ ๖ ก็ไม่ติดอีก
    ทั้งยังได้ผลการเรียนที่ดีขึ้น เรื่องทั้งหมดจบลงและข้าพเจ้าก็ต้องแยกย้ายกับเพื่อนๆทั้งหมดอีกครั้ง ต่างคนต่างต้องไปสู่เส้นทางชีวิตของตน แต่ข้าพเจ้าว่าช่วงชั้นนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกระดับในที่เคยมีมา ข้าพเจ้าบันทึกทั้งหมดไว้เป็นบทเรียนของข้าพเจ้า เป็นเครื่องเตือนใจของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมมันไปได้เลยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม ส่วนเรื่องที่ว่าเรียนรู้ในตู้ปลาก็จริงอย่างว่า เพราะความรู้ในห้องเรียนช่างเป็นความรู้ที่แคบจริงๆเมื่อเทียบกับความเป็นจริงของชีวิต หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจริงหาได้ง่ายดั่งในบทเรียนที่เราได้เรียนกัน แต่ทว่ามันช่างยากกว่า แล้วหลังจากนี้ชีวิตของข้าพเจ้าจะต้องไปในทิศทางใดต่อไป ใครเล่าจะรู้ได้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×