ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ เดียงศาแรกของลมหายใจ
บทที่ ๑
เดียงศาแรกของลมหายใจ
เดียงศาแรกของลมหายใจ
"นับแต่เราทั้งหลายเริ่มลืมตามองโลก เราทั้งหลายก็หายใจรับความทุกจากโลกนี้เข้าไปแล้ว จริงหรือไม่เล่า ไม่เช่นนั้นเด็กน้อยแรกเกิดทำไมต้องร้องไห้ขนาดนั้น ความจริงข้าพเจ้าว่าเพราะความทุกข์กำลังเริ่มต้น แต่ขณะเดียวกันเด็กที่ไม่ร้องให้ใครต่อใครหาว่าเขาจะเป็นใบ้ ไม่เต็ม แต่ข้าพเจ้าว่าคนเหล่านั้นแลที่ไม่ทุกข์ จริงไหม"
ข้าพเจ้าจำไม่ได้หรอกว่า วัยเด็กแรกเกิดข้าพเจ้าเริ่มต้นอย่างไร เติบโตอย่างไร ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจำความได้ ข้าพเจ้าไม่รู้ ที่รู้มีเพียงว่าข้าพเจ้าเริ่มได้รับความสุขทางโลกเมื่อจำความได้ แต่ความสุขนั้นก็น้อยนิดเหลือคณา จะว่าจริงก็จริงที่ว่าชีวิตนั้นสุดแสนสั้น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีความสุข มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนไม่รู้ว่านั่นคือความสุขจริงหรือไม่กันแน่
นับจากข้าพเจ้าจำความได้ ข้าพเจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อข้าพเจ้าอยู่กับพ่อ แม่ ภายในกระท่อมเล็กๆ ภายในหมู่บ้าน แต่ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าในเมืองเป็นเช่นไร บ้านนอกคืออะไร ความอ่อนเดียงสานั้นทำให้ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าข้าพเจ้าอยู่ตรงไหนในสังคม ขอเพียงมีพื้นที่ให้วิ่งเล่นตามปะสาเด็กก็เพียงพอแล้ว
ตอนเด็กๆ เมื่อจำความได้ข้าพเจ้าก็พบเจอกับเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องของข้าพเจ้าอยู่สามคนที่สนิทที่สุดเพราะอายุห่างกันไม่ถึงสิบปี และมีอีกห้าคนที่อายุห่างกันราวสิบปี ดังนั้นข้าพเจ้าต้องสนิทกับกลุ่มรุนอายุน้อยอย่างแน่นอน นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำดีๆที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าได้มีเพื่อนที่พากันวิ่งเล่นไปทั่วทั้งซอย ได้ซุกซนอย่างเด็กๆ แบบไม่มีการปิดกั้น อย่างที่รู้ๆกัน ว่าหากมีสิ่งใดที่เราอยากทำแล้วไม่ได้ทำ หรือการปิดกั้น มันทำให้เรากดดัน อยากมี อยากได้ อยากเป็น มันจะฝังใจเราไปอีกนาน นั่นก็เป็นไปกับทั้งวัยเด็ก วัยเรียน หรือวัยทำงาน ไม่มีวัยไหนที่ไม่เป็น อย่างน้อยก็ในประชาชนทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรา ใช่แล้วเมื่อได้อิสระเต็มที่ มีเพื่อนฝูง ได้คุย ได้เล่น ได้หัวเราะ ย่อมเป็นที่อิจฉาของเด็กคนอื่นๆที่ไม่มีเพื่อน เอาแต่ถูกพ่อแม่ผู้ปกครองจำกัดอยู่กับบ้านโดยเฉพาะลูกท่านทั้งหลายที่ไม่อยากให้มาคลุกคลีกับชาวบ้านสามัญเช่นพวกเรา อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สาระ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ที่สำคัญที่ข้าพเจ้าอยากบันทึกลงสมุดโน๊ตชีวิต คือความสุข ความไร้เดียงสา ในวัยเยาว์เท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าและเพื่อนลูกพี่ลูกน้องรวมกันสี่คน รุ่นเดียวกับข้าพเจ้ามี คนเดียว เป็นผู้หญิง เธอมีพี่ชาย อีกซึ่งก็เป็นหนึ่งในสี่คนของก๊วนเรา อีกคนหนึ่งก็เป็นพี่สาว ซึ่งที่สำคัญบ้านของเราอยู่ถัดๆกันไป มันจึงเป็นความสนิทสนมที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น หลังจากที่เราทั้งหลายได้เล่นสนุกกัน ทุกวันๆ ในช่วงวัย ๓-๔ ขวบ ใช่แล้ววัยก่อนเรียนอนุบาลนั่นเอง พวกเราโชคดีที่ไม่ได้ถูกส่งเข้าศูนย์เตรียมอนุบาล เราจึงมีอิสระ มีความสุข เรียกว่าไปกันได้ทั่วทั้งหมู่บ้าน เข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ โผล่นั่นนู่นนี่ แต่ก็มีผู้ใหญ่คอยกำกับอยู่เรียกว่าเป็นพี่เลี้ยง และพี่เลี้ยงของเราก็หาใช่ใครอื่น ตาและยายนั้นเอง เราอาศัยไปกับตายาย ที่ต้องเดินไปนู่นมานี่เพื่อธุระของท่าน เหล่านั้นมันทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรักความอบอุ่นทั้งจากเพื่อน จากตาและยาย อีกด้วย
ยายเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าครั้งหนึ่งยายและตาพาพวกเราไปเที่ยวที่สวนหลังบ้าน ซึ่งต้องเดินเท้าไปกัน จะว่าไกลก็ไม่ไกลแต่ด้วยความเป็นเด็ก การย่างก้าวแต่ละครั้งมันเหนื่อยเหลือเกิน ทันทีที่ไปถึงสวนก็ต้องล้มตัวลงนอนบนกระท่อมไม้ในสวนเป็นการพักผ่อน แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยแล้วต่างหาก ความแก่นแก้วของเด็กสี่คนเริ่มกลับมาเมื่อมีแรง ยายเล่าว่าในตอนนั้นยายเลี้ยงไก่เอาไว้ที่สวนหลายตัว ทั้งไก่เล็กไก่น้อย แม่ไก่ พ่อไก่ เต็มไปหมด และปล่อยตามอัธยาศัย เพราะว่าไก่เหล่านี้มันคุ้นเคยกับคนมาก เรียกได้ว่าใครๆจะไปจับไปอุ้ม ก็ไม่วิ่ง และด้วยเหตุนี้เองความซนของข้าพเจ้าก็แผงฤทธิ์ ข้าพเจ้าจับไก่ตัวน้อย หากเทียบก็คงจะเป็นวัยขึ้นหนุ่มขึ้นสาวละมั้ง จับได้แล้วทำอย่างไรนะหรือ ข้าพเจ้าต้องขอบอกก่อนว่า มันมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง ติดเรทให้คำแนะนำกับเด็ก ว่าไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างเลยทีเดียว ใช่แล้วข้าพเจ้าใช้แรงของข้าพเจ้าบีบเจ้าไก่สุดแรงเกิด ประมาณว่า เอาสิ ไม่เจ้าก็ข้าใครสักคนจะต้องหมดแรงตายก่อนกันนั่นทีเดียว แล้วจะเหลือหรือ ไก่ที่ข้าพเจ้าอุ้มล้วนสิ้นชีพคามือของข้าพเจ้า เรื่องนี้มีพยานหลายคนที่จะชี้ความผิดว่าข้าพเจ้าเป็นฆาตกรฆ่าไก่อย่างทารุน แต่ก็เพราะด้วยความอ่อนเดียงสานั่นปะไรที่ทำให้เราทำลงไป แต่สุดท้ายก็ได้รับการไต่สวนจากตาของข้าพเจ้า แล้วก็โดนไม้เรียวศักดิ์สิทธิ์ของท่านตาหวดเข้าเต็มแรง เรียกได้ว่าร้องได้ไปอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
ไม้เรียวของตาคือความทรงจำที่ดีอีกอย่างหนึ่งของข้าพเจ้า ไม้เรียวนั้นซ่อนไปด้วยสิ่งที่เรามองไม่เห็น อย่างแรกเลย ความเจ็บปวดเมื่อโดนหวด อย่างที่สองคำสั่งสอนของผู้ที่รักและหวังดีต่อเรา และอย่างที่สามให้เราได้สำนึกรู้จักความเจ็บปวด ไม่นานนักข้าพเจ้าก็ไตร่ตรองได้ว่าการสังหารไก่ ไม่ใช่สิ่งที่ดี ข้าพเจ้าได้รู้ว่าชีวิตเป็นเช่นไร ความเจ็บปวดเป็นฉันใด และคำว่าตาย คืออะไร เมื่อเรียนรู้แล้วหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เลิกอาชีพฆ่าไก่ไปโดยปริยาย จนตราบทุกวันนี้ข้าพเจ้าทนดูการพรากชีวิตอีกไม่ได้เลย แต่ถามว่าทานเนื้อหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ต้องตอบว่าทานอย่างแน่นอน
แม้ข้าพเจ้าจะสงสารสัตว์ผู้ร่วมโลกทั้งหลายที่ถูกฆ่า แต่ว่าเนื้อก็เป็นอาหารอันโอชะเหลือเกิน ครั้งหนึ่งที่ผู้ปกครองเราทั้งก๊วนรวมตัวกัน เรียกว่าก๊วนผู้ใหญ่ จัดปาร์ตี้ตามปะสา ส่วนเราก็ได้กินสุกี้ นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกของการกินสุกี้ของข้าพเจ้า มันทำให้ข้าพเจ้าชอบอย่างน้อยๆเราทั้งหลายก็แย่งกันทานสุกี้จนหมดเลยทีเดียว เมื่อครอบครัวสนิทสนมกันเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าเองก็นึกอยากจะมาอยู่บ้านยายเสียแล้วเพราะบ้านยายใกล้บ้านเพื่อนลูกพี่ลูกน้องกว่าเยอะ ความจริงบ้านของข้าพเจ้าอยู่ไม่ห่างจากบ้านยายสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าบ้านยายของข้าพเจ้าจะเป็นจุดศูนย์กลางของลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆพอเหมาะพอดีนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงขอพ่อและแม่ไปอยู่บ้านหลังเดียวกับยาย ซึ่งอย่างน้อยๆมันก็ใหญ่กว่ากระท่อมหน่อย บ้านยายเป็นบ้านไทยทั่วไปทำจากไม้ทั้งหลัง ยกเว้นแต่เสาที่หล่อปูนยกขึ้นเป็นใต้ถุน มันทำให้ข้าพเจ้าสะดวกยิ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็สามารถวิ่งไปบ้านคนโน้นคนนี้ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพี่สาวมากกว่า นั่นและที่ทำให้ความผูกพันยิ่งแน่นเฟ้นขึ้นทุกๆวัน ทุกๆเช้าเมื่ออยู่บ้านตา ยาย ข้าพเจ้าต้องตื่นแต่เช้าเวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ มาดูโทรทัศน์ แล้วตกสายไปเล่าให้คนอื่นๆฟัง จนเพื่อนพี่น้องเห็นข้าพเจ้าเป็นคนชอบคุยประจำก๊วนไปเสียแล้ว หลายครั้งกับโทรทัศน์ที่ต้องแย่งดูกับตายาย เราอยากดูการ์ตูนตามประสาเด็ก แต่ยายก็ชอบนะหนังวรรณคดีไทยนะ เอาสิ แย่งกันไปมา แต่สุดท้ายก็ผัดกันดูคนละช่วง มีความสุขไปอีกแบบ กระทั่งความแก่นแก้วจอมซนกลับมาอีกครั้ง ตอนสายๆ เราทั้งหลายพากันไปเล่นที่ๆ ผู้ใหญ่เขาสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ก็เพราะห้ามอย่างเด็ดขาดนี่ละทำให้เด็กๆอยากรู้ว่าทำไม ประมาณว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุยิ่งแหย่ การปีนต้นไม้คือเรื่องต้องห้าม ตายายบอก มันตกลงมาจะเจ็บนะ เลือดออกบ้างละ หนักสุดถึงตายนะ ไอ้เด็กอย่างเราๆหรือจะสนใจ ไม่รู้อะไรหรอกนอกจากอยากกิน มะขาม มะม่วง ก็พากันปีนขึ้นไปสิ สุดท้ายเป็นอย่างไร ครั้งแรกๆก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะสิ ไม่มีใครเป็นอะไร ความย่ามใจย่อมเกิด มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีครั้งต่อๆไป ดังนั้นตาจึงตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม้กายาสิทธิ์มาแล้ว ทุกคนต้องรีบกระโดดอย่างไม่คิดชีวิต แตกหนีกระเจิดกระเจิง จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ให้รู้กันไป สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่บ้านอยู่ดี โดนไม้เรียวไปตามๆกัน ทุกครั้งที่ถูกไม้เรียวกระทบก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกจำขึ้นมาบ้าง ร้องไห้กันเป็นแถว แต่สุดท้ายเลิกไหมไม่ ก็ต้องมีอีกเมื่ออยากกิน ดังนั้น เมื่อรู้ว่าซนจะต้องถูกไม้เรียวตี จะอย่างไรกันดี เอาอย่างนี้สิ ความคิดดีๆโลดแล่นภายในกลุ่ม ไปหาดูซิไม้เรียวของตาอยู่ไหน เอาสิหาให้เจอ เจอแล้วไงต่อ หน้าปากซอยนู่น หน้าปากซอยมีธารน้ำสายเล็กๆไหลผ่านอยู่ เอาไปโยนทิ้งกันสิ แล้วไม้เรียวอันศักดิ์สิทธิ์นักหนาก็ล่องลอยไปตามน้ำจนได้ ด้วยความดีอกดีใจพากันโดดเล่นน้ำกันตูมตามจนเปียกทั้งตัว สุดท้ายแล้วตารู้ก็ต้องถูกจับมานั่งลงโทษกันจนได้ ต้องนั่งฟังคำสั่งสอนจนหูชา นั่นคือเรื่องราวเพียงบางส่วนของพวกเราเท่านั้นเอง
เสียดายที่อยู่มาอีกไม่กี่ปี ตาก็ลาจากโลกนี้ไป นั่นคือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็น ว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง สุดท้ายก็ต้องลาจากกันไปอยู่ดี แม้จะอาลัยอาวรณ์สักเท่าใดก็ตาม
นั่นคือช่วงเวลาแรก หลังจากนั้นเราก็ได้เข้าใจอะไรอีกหลายๆอย่าง แต่เด็กก็คือเด็ก ลืมเรื่องเศร้าไปได้เมื่อเจอเรื่องดีๆมากๆ เรากับมาสุขสันเฮฮากันเหมือนเดิม เวลาเปลี่ยนไป เราก็เข้าสู่วัยของการศึกษา อนุบาล ประถม แต่ก็ไม่ลืมว่ากลับบ้านคลาใดพวกเราต้องเจอกับก๊วน ในทุกๆเย็น กิจกรรมที่พวกเราจะทำกันก็ต้องเป็นการละเล่นต่างๆ แน่นอนการละเล่นพื้นบ้านแบบไทยๆ ในสมัยก่อนเป็นอะไรที่ฮอตฮิตสุดๆ แต่ถ้าพูดถึงตอนนี้ แทบจะหาไม่ได้ไปเสียแล้ว เด็กๆสมัยนี้ต้องเล่นอะไร เกมกด เกมคอม เกมออนไลน์แทน นั่นคือความเปลี่ยนแปลงไป ของยุคสมัย แต่ก็เถอะ อย่างน้อยๆสมัยของพวกเราก็ยังทันได้เล่นแบบคนสมัยใหม่อยู่ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ามีเครื่องเล่น แฟมิลี่คอมหรือแฟมิคอม เราสนุกกับการเล่นเหมชนิดนี้กันมาก แต่ก็ติดที่ว่า พ่อและแม่ของข้าพเจ้านั้นกำหนดช่วงเวลาให้เล่นได้ช่วงค่ำเท่านั้น แล้วเพื่อนๆเองก็น้อยครั้งที่จะได้ออกนอกบ้านตอนกลางคืนนอกเสียจากมีงานสำคัญๆร่วมกันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีอยู่แต่ไม่ได้เล่นก็ต้องเพิ่มความยากให้เพื่อนๆยิ่งขึ้น ในที่สุดความคิดพิสดารก็โลดแล่น เอาสิแกล้งทำทีเป็นเล่นไปโรงเรียนซักครั้ง วิธีเล่นหรือ เรามีบ้านกันอยู่สามหลังด้วยกัน บ้านที่ว่างไม่มีผู้ปกครองอยู่คือบ้านสองพี่น้องชายหญิง ก็เลือกสมมติให้บ้านหลังนี้เป็นโรงเรียนสิ แล้วอีกสองหลังก็เป็นบ้านนักเรียน แท้ที่จริงแล้วคือการเคลื่อนย้ายเครื่องเล่นไปเล่นที่บ้านอีกหลังหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อครั้งแรกผ่านฉลุย ครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น ตามด้วยสาม และสี่ จนเป็นที่สงสัย แล้ววันหนึ่ง ความก็แตก เมื่อกระเป๋าที่ใช้ขนย้ายเครื่องเล่นเกมนั้นเกด ซิบแตก เครื่องเล่นก็หล่นตกลงมากลางทาง พ่อ แม่ ของข้าพเจ้าเห็นจึงทราบความจริง ว่าที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ก็เลยกลายเป็นว่าถูกลงโทษไม่ให้เล่นเกมอีก แต่ก็นะ ความรั้นของเด็กนั้นมีอยู่ ข้าพเจ้าแอบเล่นอยู่หลายครั้ง ด้วยความโมโหของพ่อ ในที่สุดพ่อก็นำเกมนั้นไปทำลาย ข้าพเจ้าจำได้ดี วันนั้นข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่นานเพราะใครจะเชื่อว่าท่านพ่อจะนำเครื่องเล่นเกมเครื่องโปรดของเราไปวางที่โล่งแล้วใช้ขวานฟันสับจนแหลกละเอียดได้อย่างไม่รู้สึกเสียดายเลย
นั่นคือความทรงจำในช่วงวัยเด็กที่ทั้ง สุข ทุกข์ ขมอมหวานกลืนปะปนกันไป แต่ทว่าใครจะรู้ว่าความสุขก็ดีทุกข์ก็ดีเช่นนี้จะอยู่กับเรานานสักเพียงไร เราไม่อาจทราบได้ แต่ทุกอย่างจะค่อยๆเผยตอนจบออกมาให้เราได้เห็น ในช่วงท้ายๆ พี่ผู้ชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มจะแยกก๊วนแยกกลุ่ม ทิ้งให้เหลืออยู่กันเพียงสามคน แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเงียบเหงาไปบ้างก็ตาม เราก็ยังมีกันและกันอยู่ สนุกสนานเฮฮาได้อย่างเดิม แต่ทว่า พระศุกร์เข้า พระเสาร์ย่อมแทรก เมื่อพี่สาวเดิมทีที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือดอยู่แล้วเริ่มป่วยผิดปกติจากทุกๆครั้ง ที่หลังจากไปโรงพยาบาลทุกๆเดือนก็จะเป็นปกติ แต่คราวนี้ไม่ใช่ ต้องเดินทางเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แล้วก็เหลือแค่ข้าพเจ้ากับเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันที่ต้องดูความเคลื่อนไหวที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปดั่งพายุตั้งเค้า กระทั่งวันหนึ่ง วันที่พี่สาวไปนอนโรงพยาบาล ได้สองสามคืนผ่านไป เพราะบ้ายยายที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ตั้งอยู่ระหว่างกลางบ้านพี่น้องทั้งทางใต้และตะวันออก จึงรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่าง และครั้งนี้บ้านทางทิศใต้เริ่มเงียบเพราะทุกคนในบ้านหลังนั้นไปอยู่เฝ้าไข้พี่สาว มีแต่พวกเราที่ไม่ได้ไปเพราะคิดว่าเป็นปกติอย่างทุกวัน แต่อยู่ๆในค่ำวันนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอยู่หลายกริ๊ง ข้าพเจ้าไม่กล้ารับเพราะใจมันกล้าๆกลัวๆแบบแปลกๆ ทันใดที่แม่ท่านมารับสายก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นป้า แม่ของพี่สาว แล้วแม่ท่านก็ตกใจขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่ท่านรับรู้นั้นมันเกินคาดถึง นั่นก็คือ พี่สาวเสียแล้ว...
เหตุการณ์ครั้งนี้สุดสะเทือนใจ เมื่อครั้งก่อนโน้นตาเสียว่าเสียใจแล้วแต่ยังไม่เท่าครั้งนี้ เราได้รู้แล้วว่าตาเป็นคนแก่ คนแก่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทว่า พี่สาวอายุตอนนี้ ถ้าจำไม่ผิดไม่เกินสิบห้าด้วยซ้ำ ก็จากโลกไปเสียแล้ว มันยิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า โลกนี้ไม่ได้แน่นอน วันนี้เราหัวเราะร่าเริงอยู่ดีๆ ใครจะรู้ พรุ่งนี้เราอาจป่วย มะรืนนี้เราอาจจากโลกนี้ไปเสียเฉยๆก็เป็นได้ ทุกอย่างมันทำให้ข้าพเจ้าตระหนักมากยิ่งขึ้นเมื่อก๊วนที่ข้าพเจ้าเคยสนุกสนานเฮฮานั้นก็จบลงอย่างเศร้าหมองเสียแล้ว นับจากนี้ข้าพเจ้าต้องเดินไปทางใหนต่อใครจะรู้ ข้าพเจ้าจะต้องเผชิญมันด้วยตนเอง เพราะข้าพเจ้าผ่านมรสุมครั้งสำคัญครั้งแรกไปแล้ว ต่อไปเข้าสู่ยุคที่สองของชีวิตข้าพเจ้า ซึ่งตอนนี้นั้นข้าพเจ้ายังไม่อาจทราบว่าจะดำเนินต่อไปเช่นไร จะดี จะเลวร้ายก็ไม่อาจรู้ได้ ที่ทำได้ก็คือ ทำทุกๆวันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น