ตอนที่ 3 : บทที่ ๑ : ปิศาจแห่งเซีย คิงดอมส์ (๑)
บทที่ ๑ ปิศาจแห่งเซีย คิงดอมส์ (๑)
การเสียชีวิตของประธานคณินกลางงานเปิดตัวห้างสาขาใหม่อย่างอุกอาจเป็นข่าวแพร่สะพัดโด่งดังไปช่วงหนึ่ง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รายการข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ทุกรายการ วิทยุทุกสถานี ตลอดจนสื่อโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง ต่างพากันตามติดข่าวนี้แทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง และอาจเป็นเพราะความโด่งดังกระมังที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำงานกันสุดฝีมือจนกระทั่งจับตัวคนร้ายได้ในเวลาเพียงไม่นาน คนร้ายซึ่งเป็นมือปืนกราดยิงในวันนั้นสารภาพว่าทำไปเองเพราะความแค้นส่วนตัวโดยไม่มีผู้บงการ
“ผมเกลียดเซีย คิงดอมส์เข้ากระดูกดำ มันพรากทุกอย่างไปจากผม ในเมื่อชีวิตผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มันก็ต้องไม่เหลืออะไรเหมือนกัน ผมจะทำลายมันให้สิ้นซาก!”
เป็นคำกล่าวโกรธเกรี้ยวในวันทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ผู้ก่อเหตุเป็นชายวัยสี่สิบปี เคยอาศัยอยู่ในละแวกนั้นมาก่อน เขาเปิดร้านโชว์ห่วยเล็กๆ ก่อนที่จะถูกห้างเซีย คิงดอมส์ไล่ที่เพื่อก่อสร้างห้าง ทำให้กิจการของเขาต้องปิดตัวลง หนี้สินพอกพูนจนล้มละลาย เขาไม่มีเงินไปรักษาลูกสาว ทำให้เธอเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ส่วนภรรยาก็ทำใจกับการสูญเสียลูกไม่ได้จึงผูกคอตายตาม เขาโกรธแค้นเซีย คิงดอมส์มากจึงพกพาอาวุธหนักมาก่อเหตุ ไม่สนใจแม้ว่าจะทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องโดนลูกหลงไปกี่ราย ขอแค่ทำลายห้างที่เขาเกลียดชังให้ได้ก็พอ หลังจากก่อเหตุยิงกราดแล้วเขาก็หลบหนีไปกบดานที่จังหวัดอื่น แต่ก็ไม่รอดพ้นถูกตำรวจตามจับกลับมาจนได้ เรื่องราวน่าจะลงเอยด้วยดีเพราะผู้กระทำผิดถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะในโลกเสมือนจริงอย่างโลกของโซเชียล เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป มี ‘นักสืบ’ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในคดี วิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดเผ็ดมันส์ราวกับเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือวงในเสียเอง ว่ากันว่าคนร้ายที่ตำรวจจับกุมไปนั้นเป็น ‘แพะ’ คนร้ายตัวจริงซึ่งเป็นคนรวยยังลอยนวล ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีอยู่ด้านนอก เข้าทำนองที่ว่า คุกมีไว้ขังหมากับคนจนเท่านั้น ส่วนคนรวยรอดพ้นทุกคดีไป แล้วคนรวยที่ถูกกล่าวถึงคือใครกันล่ะ
“จะใครเสียอีกล่ะ ก็บอสปิศาจของเราไง!”
“ห๊ะ! คุณภีมน่ะหรือ!”
“ชู่ว์...เบาๆ สิแก เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า เราจะถูกฆ่าตายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบประธานคณินนะ ถึงจะเป็นพ่อลูกกันก็เถอะ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าคุณเขาเกลียดท่านประธานยังกับอะไรดี สู้รบกันมาตั้งนาน คราวนี้คงจะหวังโค่นพ่อด้วยวิธีสุดท้ายเพื่อให้ตัวเองขึ้นเป็นประธานแน่ๆ”
เสียงลือเสียงเล่าอ้างเช่นนี้เป็นสิ่งที่ณดาได้ยินจนชินหูไปแล้ว มันแพร่สะพัดจากโลกโซเชี่ยลมาถึงโลกของพนักงานเซีย คิงดอมส์ ด้วย ได้ยินมาตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ จนกระทั่งวันที่เซีย คิงดอมส์ ได้ประธานคนใหม่ ก็ยังไม่หยุดลือกันเสียที นานวันเข้าจากข่าวลือก็แปรสภาพเป็นข่าวจริง พนักงานต่างปักใจเชื่อว่า ภีมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารบิดาตัวเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งประธาน และการที่ฆาตกรชั่วช้าจะขึ้นมากุมอำนาจแทนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ แต่ก็นั่นละ สุดท้ายห้างเซีย คิงดอมส์ ก็ยังคงก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งสมกับปณิธานที่เคยวางไว้อยู่ดี
ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา ‘ภีม สิทธิอนันนต์’ ขึ้นมาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจต่อจากบิดาของเขา ซึ่งก็ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไร เพราะเขาเป็นทายาทคนเดียวของคณิน แม้จะไม่ได้เป็นที่รักใคร่เท่าบิดา แต่ก็เป็นคนทำงานเก่งและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์หลายเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากทีมผู้บริหารผลักดันให้ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานคนถัดไป และนั่นคือจุดเริ่มต้น ‘ยุคมืด’ ของเซีย คิงดอมส์ อย่างเป็นทางการ
“โปรดทราบๆ รหัส S ภายในสิบนาทีนี้ ทุกคนในแผนกโปรดเตรียมตัว!”
ทุกๆ แผนกจะมีพนักงานหูตาไวที่ทำตัวเป็นสายสืบอย่างน้อยหนึ่งคน คอยทำหน้าร้องประกาศเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อเหล่าผู้บริหารจะมาเยี่ยมเยือนและตรวจตรา คราวนี้ก็เช่นกัน ถึงคราวขึ้นเขียงของแผนกสินค้าไอที พอได้รับการเตือนจากพนักงานหนุ่มหน้ามนไม่ถึงสิบนาที รหัส S ที่ว่าก็โผล่มาตรงเวลาเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน เหมือนซาตานหนุ่มที่พร้อมจะกระชากวิญญาณเหล่าพนักงานผู้ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่เขาตั้งไว้
“เชิญครับ ท่านประธาน”
ไม่ว่าจะเยื้องย่างไปทางใด ชายหนุ่มก็มีผู้ก้มศีรษะเป็นทิวทางให้เสมอ ไม่ใช่ด้วยความเคารพนับถือ แต่เป็นความหวาดกลัวจนไม่กล้าเงยหน้ามองอะไร นอกจากปลายเท้าของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนภีมก็ไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาเหล่านั้นเท่าไร เพราะมัวแต่สนใจกับการทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น
‘ไม่ผ่าน!’
‘แย่!’
‘ไม่ได้เรื่อง!’
เป็นสามคำที่มักออกจากปากเขาเสมอเวลาตรวจตราแผนกต่างๆ คงเพราะเป็นคนเจ้าระเบียบกระมัง เขาจึงมองเห็นจุดผิดพลาดที่คนอื่นมักมองไม่เห็น หลายครั้งเขามีเหตุผลดี แต่หลายครั้งก็ไม่มีเหตุผล คราวนี้ก็เช่นกันหลังจากเฉดหัวร้านค้าไปสี่ร้านติดอย่างเลือดเย็น ท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงมขอความเมตตา ก็มาถึงคิวร้านที่ห้า คิดว่าจะหมดโควตาการเฉดหัวแล้ว แต่ก็เปล่า เพราะร้านนี้ไร้มาตรฐานจนปล่อยไว้ไม่ได้ คงคิดว่าเขาหน้าโง่น่าดู จึงพยายามจะลักไก่กันอย่างนี้
ปลายนิ้วเรียวยาวตวัดแตะบนหลังตู้โชว์เพื่อตรวจสอบความสะอาดของแผ่นกระจก
“ฝุ่นหนาเป็นคืบ”
“ค...ครับ?!”
เจ้าของร้านหน้าเหวอ ก่อนหน้านี้คิดว่าตนเองทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมเรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับพลาดอะไรไปบางอย่าง ใช่...เขาไม่ได้ทำความสะอาดตู้กระจกที่วางแล็ปท็อปโชว์อยู่หน้าร้าน! แต่มันเป็นจุดอับสายตา คงไม่มีใครยกแล็ปท็อปขึ้นมาดูหรอก เขาคิดแบบนั้นจึงกะจะลักไก่ แต่คาดไม่ถึงว่าท่านประธานที่กำลังจะเดินออกไปนอกร้านแล้ว จู่ๆ จะเปลี่ยนใจ หันกลับมายกแล็ปท็อปขึ้นเพื่อตรวจสอบความสะอาดพื้นที่ข้างใต้สินค้าด้วย
“สินค้าไอทีกับความสะอาดเป็นของคู่กัน ไม่แพ้สินค้าชนิดอื่น ผมเคยบอกคุณไปแล้วใช่ไหม ร้านค้าทุกร้านในนี้ล้วนถือเป็นหน้าตาของเซีย คิงดอมส์ ทั้งนั้น ทำไมไม่ปรับปรุง ไม่นำพาคำพูดผมเลยหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ขอโทษจริงๆ ผมสะเพร่าเอง จะรีบแก้ไขเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วก็กุลีกุจอไปหาไม้ขนไก่และผ้าสะอาดมาเช็ดทำความสะอาดทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะภีมไม่ให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง
“มันไม่ได้เรียกสะเพร่าแต่เรียกว่าชุ่ย!”
นวตา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ณดาลูก วิ่งเร็ว
มาส่งตอนใหม่ค่า หลีกทางให้บอสโหน่ยยย