ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [THE SUN'S CURSE] คำสาปแช่งแห่งสุริยา (rewrite)

    ลำดับตอนที่ #8 : ผจญภัยช่วงที่ 7 การต่อสู้แสนรุนแรง และความขัดแย้งที่คาดไม่ถึง

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 64


     

    ผจญภัยช่วงที่ 7

    การต่อสู้แสนรุนแรง และความขัดแย้งที่คาดไม่ถึง

     

    เสียงดังกึกก้องกัมปนาท สัตว์ป่าสะท้านวิ่งวุ่นวาย ต้นไม้ใหญ่หักโค่น กองไฟขนาดมหึมาแผดเผา ร้อนเร่าราวไฟบรรลัยกัลป์ กลิ่นไอควันลอยคลุ้งมอดไหม้ร่างกาย ท้องนภาถูกเคลือบด้วยสีชาด หายนะที่กำลังเกิดขึ้นมันมากพอที่จะทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องจบลง

    ในสถานการณ์ที่กำลังแย่นั้น ผมเห็นตัวเองกำลังปีนอยู่บนต้นไม้ และค่อยๆ ไต่ไปมาระหว่างต้นไม้แต่ละต้น ดวงตาสองข้างมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง

    ไม่ใช่ว่าผมเห็นตัวเองหรอก…แต่เป็นผมเองเลยต่างหากที่กำลังเกาะกิ่งไม้อยู่ ผมสามารถรับรู้สิ่งสัมผัสได้ทุกอย่างที่ร่างกายนั้นรับรู้ ทั้งภาพไฟแผดเผา เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าสัตว์ป่า กลิ่นไอควันลอยคละคลุ้ง และรสขมปร่าของเลือดที่กำลังกบปาก รวมถึงอาการบาดเจ็บ รอยแผลฟกช้ำในร่างกายผมก็รู้ครบ

    มันเป็นเพียงว่า ผมไม่ใช่เจ้าของร่างกายนั้น

    ผมรับรู้ทุกอย่างที่เขาทำ ผมรับรู้ทุกอย่างที่เขาเป็น แต่ผม…ไม่สามารถบังคับควบคุมร่างกายตัวเองได้

    ตอนนี้ เรื่องที่แวบเข้ามาในหัวคือเรื่องโรคดิสโซสิเอทีฟ ในขณะที่ผมมีบุคลิกรองของตัวเอง ไม่แน่ว่าตอนนี้ผมอาจจะเป็นบุคลิกรองของใครอีกคนหนึ่ง

    มองเห็น รับรู้ สัมผัส แต่ไม่อาจควบคุม

    แต่ ณ จุดนี้ ผมคิดว่าดีแล้วที่ผมควบคุมร่างกายไม่ได้ เพราะอย่างน้อยเจ้าของร่างคนนี้มีสติกว่าผมมาก เพราะหากคนอยู่ตรงนี้เป็นผม ไม่แน่ว่าผมอาจกรี๊ดตั้งแต่เห็นซากกวางย่างเลือดตรงหน้าแล้วก็ได้

    กรอบสายตาปรากฏเงาดำบางอย่าง เจ้าของร่างหันขวับไป จนได้พบหญิงสาวแสนงามในชุดเดรสกระโปรงยาวสีดำ มันปลิวสไวตัดกับสีแดงของไฟเบื้องหลัง แววตาของเธอทั้งเจ็บปวดและเลื่อนลอย มือบางยกขึ้นมา เกิดวงแสงสีดำในมือนั้น เจ้าของร่างผมรีบปีนต้นไม้สูงขึ้น มือที่กำกับกิ่งไม้นั้นถลอกและมีเลือดซิบ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือชีวิตที่ต้องรักษาไว้

    เพียงตู้มเดียวต้นไม้นั้นก็โค่นลง เจ้าของร่างกระโจนไปเกาะต้นไม้อีกต้นได้ทันฉิวเฉียด เขากระโดดตุ้บลงพื้น แล้วมุดเข้าดงกิ่งไม้ไหม้ แฝงตัวเข้าไปอย่างแนบเนียน

    ความรู้สึกของเจ้าของร่าง…หรือของผมตอนนี้คือหายใจไม่ออก หัวใจเต้นเป็นจังหวะถี่รัว ระบบประสาทตื่นตัวพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา ราตรีเดินวนรอบ ดวงตาหวานพยายามกวาดหาตำแหน่งหลบซ่อนของอีกฝ่าย

    เจ้าของร่างตวัดนิ้วชี้เป็นวงกลม ประกายแสงสีส้มพุ่งออกไปกระทบต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดเสียงดังแกร่บ ราตรีหันขวับไป ก้าวฉับๆ ไปทางนั้น

    เจ้าของร่างอาศัยเวลาเพียงช่วงเสี้ยววินาทีในการพุ่งหลาวออกจากดงกิ่งไม้ไหม้อย่างรวดเร็ว วิ่งฝ่าช่องว่างระหว่างกองไฟไปได้อย่างปาฏิหาริย์

    ‘ทำไม…ทำไมถึงเป็นแบบนี้!’

    ผมได้ยินเสียงความคิดของเจ้าของร่าง

    ‘ราตรี…พี่รักเจ้าเสมอและตลอดมา แต่เหตุใด…น้องนางจึงทำกับพี่เช่นนี้ได้’

    เสียงความคิดนั้นตัดพ้อและสั่นระริกชัดเจน ผมนึกอยากปลอบ แต่สภาพผมตอนนี้ไม่ต่างจากผีเร่วิญญาณร่อนที่กำลังสิงร่างชาวบ้านเขา ผมทำอะไรไม่ได้

    ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ผมสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของชายหนุ่มผู้ยึดติดกับคนรักคนเดิมมานานหลายภพชาติ แต่แล้วผลออกมากลับไม่สำเร็จ ผมสัมผัสได้ถึงดวงชะตาแสนโหดร้ายของดวงจิตดวงนี้ แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ต่อสู้ฝืนชะตา หวังเพียงว่าวันหนึ่งจะสมกับความหวังในใจ

    หากสุดท้ายมันก็พังทลาย…

    ตุบ!

    ปอดกรีดร้องจากการสูดอากาศเอาสารพัดสารพิษจากไฟเข้าปอดเป็นเวลานาน ในตอนนี้ โอกาสมีชีวิตเหลือรอดแทบไม่มี สิ่งมีชีวิตในป่าตายกันถ้วนทั่ว และเจ้าของร่างคงไม่ใช่ข้อยกเว้น

    และแล้วชายหนุ่มก็เสียไปโดยมีวาระจิตสุดท้ายคือ ชาติต่อไปก็จะยังขอออกตามหาเธอ…

     

    เฮือกกก!!!

    สภาพผมตอนนี้เหมือนคนจมน้ำ ความเย็นวาบแล่นจากหัวจรดเท้า และผมก็กลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง หัวใจของผมเต้นถี่แรง จังหวะหายใจของผมนั้นรัวเร็ว ผมตัวสั่น เหงื่อท่วมร่าง

    “…พี่นัย?” ดาวมองผมอย่างเป็นห่วง

    “พี่…สลบไปนานมั้ย” ผมถาม

    “ไม่ มึงไม่ได้สลบ” เรย์เป็นคนตอบ “ไอ้นัย มึงแค่กะพริบตา แล้วอยู่ๆ ก็สะดุ้ง”

    ผมลังเลว่าจะเล่าดีมั้ย แต่เอาไปเอามา ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันขนาดนี้แล้ว ผมตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เพิ่งเห็นให้ทุกคนฟัง สีหน้าของพวกเขาหลังจากเรื่องจบนั้นดูไม่ดีนัก

    “มันคงเป็นการระลึกชาติ” ดาวเดา “แต่ดาวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมราตรีถึงต้องสู้กับพี่”

    “พี่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าไม่ว่าจะยังไง การต่อสู้ครั้งนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น” ผมรำพึง “ดาว พี่ขอถามอะไรได้มั้ย ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิง”

    “ได้ค่ะ” ดาวตอบรับ

    “พี่กำลังสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้ไหมที่ลูกผู้หญิงสักคน จะตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งมากถึงขนาดที่ว่าอยากรอคอยเขานานเป็นพันปี ให้ผู้ชายคนนั้นคอยเวียนว่ายตายเกิดมาหาซ้ำๆ”

    น้องสาวผมยักไหล่ “ถ้าถามใจดาวจริงๆ คือดาวก็เข้าไม่ถึงอะไรแบบนี้หรอกนะพี่ แต่สำหรับราตรี…ก็คงเป็นไปได้แหละ ว่าแต่พี่จะถามทำไมอะ” ดาวถามกลับ

    “พี่แค่กำลังสงสัยว่า…หรือว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะบทิวาและราตรี จะมีอะไรซับซ้อนมากกว่าความรัก”

    “หมายความว่าไง” ไอ้เรย์ถาม

    “ความรัก คือความรู้สึกในแง่บวก…ความรัก ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำร้ายใคร” ผมว่า “ถ้ามันเป็นสิ่งที่ทำร้าย และนำพาคนคนหนึ่งให้ไปสู่ความตายซ้ำๆ…สิ่งเหล่านั้นมันคือความแค้น”

    “…”

    “สี่ความรู้สึกที่รุนแรงของมนุษย์…รัก โลภ โกรธ หลง” ผมบอก “ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นและทำให้คนเราต้องใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่างกัน มันควรจะมีอะไรที่มากกว่าและซับซ้อนกว่าความรักเพียงอย่างเดียว”

    “หมายความว่าไง กูขอคำอธิบาย” เรย์ถาม

    “กูกำลังจะตั้งข้อสงสัยว่า หรือว่าสิ่งที่อยู่ในใจของทิวากับราตรีที่ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ซ้ำๆ นานนับพันปีอย่างนี้ อาจจะไม่ใช่ความรัก” ผมกวาดสายตามองทุกคนขณะเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยร้ำเสยงหนักแน่น “…แต่เป็นความแค้น

    ทุกคนตรงนั้นนิ่งอึ้ง

    “จะ…เป็นไปได้ยังไง” ธรรพ์ถามคนแรก สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความโลเล

    “ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าผมคือจิตวิญญาณของทิวาที่กลับชาติมาเกิดจริง ผมคิดว่าผมสัมผัสได้” ผมเหม่อมองอัฐิสถานดนัยที่อยู่ตรงหน้า “อะไรบางอย่างที่ฝังลึกในจิตใจของทิวา มันมีอะไรบางอย่างที่ถูกกดทับไว้มากมาย เกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้”

    สายลมหอบหนึ่งพัดให้ชายเสื้อของพวกเราปลิวไสว หากสายลมนั้นราวกับจะพัดพากลิ่นอายความบาปของเหล่าเปรตป่วนเมืองมาลงที่พวกเราแทน

    หัวใจของผมหนักอึ้งจากการแบกรับสิ่งต่างๆ มากมายภายในระยะเวลาอันสั้น นี่เพิ่งเป็นเย็นวันที่สองของการออกเดินทางเท่านั้น แต่ในความรู้สึกผมกลับรู้สึกว่าชีวิตผมนั้นเปลี่ยนไปตั้งมากมาย จากเด็กชายที่เคยใช้ชีวิตสนุกเต๊าะหญิงเตะบอลไปวันๆ มาวันหนึ่งกลับรู้ตัวว่าดวงจิตของตัวเองกำลังแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้

    เรย์เองก็อายุเท่าผม ดาวเองก็แค่ ม.ต้น แทนที่จะได้นั่งเรียนโง่ๆ อ่านหนังสือง่าวๆ เหมือนเด็กมัธยมทั่วไป แต่สุดท้าย พวกเราต่างก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องเจอเรื่องราวเสี่ยงอันตรายมากมาย ต้องรีบเรียนรู้ให้โตเกินวัยเพื่อการมีชีวิตรอด ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงว่าวันนี้จะมีอสูรตนไหนบุกมาทำร้ายอีกหรือเปล่า

    …มันหนักหนาเกินไปจริงๆ สำหรับกลุ่มเด็กที่ยังอายุไม่ถึงสิบแปดปีดีด้วยซ้ำ

    “ข้าเริ่มสนใจพวกเจ้าขึ้นมาแล้วสิ” สุมาลีพูดขึ้น สายตาของกษัตริย์หญิงพราวระยับ “เช่นนั้น การเดินทางครั้งนี้ข้าขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่”

    “!!!” พวกเราทุกคนอึ้งโดยพร้อมเพรียง

    “ข้ามั่นใจว่าการเดินทางครั้งนี้จะประสบผมสำเร็จ” สุมาลีว่า “ข้าอยากไปพบแม่ราตรีผู้นั้นด้วยตนเอง และจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้แล้วเสร็จ”

    “ทำไมถึงอยากไปล่ะครับ” ผมถาม

    “สองพันปีแล้วหนา ที่บ้านเมืองเราต้องสาป บัดนี้ บุคคลดังคำทำนายได้ปรากฏตัวเพื่อแก้คำสาปแล้ว ข้าในฐานะกษัตรี จึงอยากทำร่วมกับเจ้าเพื่อเป็นกำลังในการแก้ไขคำสาปเมืองของเรา กำจัดกลิ่นอายบาป พวกอสุราจึงจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำลายได้อีก” สุมาลีตอบ แววตามาดมั่นนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเธอไม่ยอมแน่ถ้าผมไม่ให้เธอไปด้วย

    “ก็ได้” ผมตอบรับ “ผมมีข้อแม้คือ ในการเดินทาง คุณจะต้องทิ้งเกียรติแห่งกษัตรีทิ้งไว้ด้านหลัง พวกเราทุกคนมีศักดิ์เทียมกัน”

    “และคุณต้องจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อย ชาวบ้านที่นี่จะต้องไม่เดือดร้อนที่เมืองขาดคนปกครอง” เรย์เสริม

    สุมาลีพยักหน้า “ตกลง”

     

    การเวกร้องเพลงบรรเลงเสียง

    เอ่ยสำเนียงเพรียงเพราะเสนาะขัน

    สองหนุ่มสาวคู่รักไม่พลัดกัน

    ราวสวรรค์บันดาลให้เป็นไป

     

    มาวันหนึ่งซึ่งผ่านมานานปี

    เปลี่ยนชีวีคู่รักด้วยคุณไสย

    พลังเวทอันมากล้นกลายเป็นไฟ

    ชีพมอดไหม้ด้วยโลภะเกินพรรณา

     

    องค์ราชันย์หัวเมืองเรืองฤทธิ์เลิศ

    กลับบังเกิดความกระหายใจโหยหา

    อยากครอบครองอำนาจอยากชิงมา

    จึงคิดพาสองคู่รักช่วยการเมือง

     

    อันทิวาราตรีคือนักเวท

    ในประเทศล้วนมักมีเสียงลือเลื่อง

    ลือถึงพลังว่าจะพารุ่งเรือง

    กลับเป็นภัยให้ขุ่นเคืองเกิดขึ้นมา

     

    สองนักเวทเฉดตัวออกจากบ้าน

    เหล่าทหารเหล่าชาวเมืองเฝ้าตามหา

    สองนักเวทหนีเภทภัยใหญ่เกินพรรณา

    พวกเขาพากันมาอยู่ ณ ชายแดน

     

    อนิจจังไอพลังอันมากล้น

    กลับถูกค้นพบง่ายตามแบบแผน

    จึงต้องหนีไปเรื่อยตามเขตแดน

    เปรียบเทียบแทนเหยื่อน้อยคอยหนีไป

     

    ท้ายที่สุดสองคู่รักพักในถ้ำ

    พบตำราสุดลึกล้ำอาจช่วยไข

    กล่าวถึงระวีสีพฤกษ์นึกแปลกใจ

    พวกเขาลองร่ายเวทตามในตำรา

     

    หายนะวอดวายไปโดยทั่ว

    ทั้งขุ่นมัวหม่นหมองกันถ้วนหน้า

    ทิวาจากไปไกลไม่กล่าวลา

    ทิ้งโศกาให้เกิดแก่ราตรีกาล

     

    ระวีสีพฤกษ์ส่องแสงแห่งประกาย

    แตกกระจายเหมือนดั่งรักแตกฉาน

    เวลาล่วงเลยผ่านกาลนาน

    ได้เวลาทำงานการรวมกัน

     

    เศษวัตถุอยู่ตามถิ่นทั่วไป

    ตกหล่นไว้บางชิ้นอาจมีแปรผัน

    จงตามหาจงเอามารวมสามอัน

    จงนำมารวมกันให้หวนคืน

    จิตวิญญาณแห่งแสงตะวัน

    “นี่คือบทกลอนทั้งหมดสินะ” ผมว่าหลังจากเอาใบไม้ทั้งหมดมาเรียงกันแล้วอ่านจับใจความอีกครั้ง

    ในระหว่างที่สุมาลีกำลังไปจัดการภารกิจบ้านเมืองของเธอ พวกเราก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาสูญเปล่า เลยมานั่งล้อมวงเรียงกลอนอ่านกัน ซึ่งพออ่านจบ ใจความสำคัญมันก็มีแค่บทสุดท้ายจริงๆ ว่าถ้าพวกเราอยากทำภารกิจให้สำเร็จ ต้องไปหาระวีสีพฤกษ์ให้ครบทั้งสามชิ้น

    มันเป็นกุญแจที่พาพวกเราไปสู่ราตรี

    ตอนนี้ผมเริ่มเดาบางอย่างได้แล้ว สาเหตุที่ผมสามารถมองเห็นแสงนำทาง นั่นเป็นแสงนำทางของระวีสีพฤกษ์ที่กำลังเรียกหากันเพื่อการรวมตัว ตอนนี้ผมมีระวีสีพฤกษ์เป็นจี้ที่คอของผมหนึ่งชิ้น เพราะฉะนั้นก็เหลืออีกสองชิ้นที่พวกเราต้องสะสมกันต่อไป

    “รู้สึกขำยังไงก็ไม่รู้” ดาวว่าขณะฉวยใบไม้ใบหนึ่งจากผมอ่าน “ ‘ท้ายที่สุดสองคู่รักพักในถ้ำ พบตำราสุดลึกล้ำอาจช่วยไข กล่าวถึงระวีสีพฤกษ์นึกแปลกใจ พวกเขาลองร่ายเวทตามในตำรา’ …นี่มันหมายความว่าไง หมายถึงว่าอยู่ๆ ก็เจอหนังสือปริศนาในถ้ำแล้วก็เลยลองทำตามดูน่ะเหรอ ทำไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นตำราของใคร หรือเป็นกับดักอะไรหรือเปล่า เพราะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังไงผลมันเลยเป็นแบบนี้”

    ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง รู้สึกโดนกระทบกระทั่งยังไงไม่รู้

    “คนเราตอนสิ้นหวังน่ะ พอมีแสงสว่างมาอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะอะไรก็เอาทั้งนั้นแหละ” ธรรพ์ออกความเห็น ท่าทางนิ่งพิงต้นไม้ของเขาแลดูเหนื่อยล้า “ถึงเราจะฟันธงไม่ได้ว่าบทกลอนที่ทิวาแต่งมาจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยบทกลอนบทนั้น เราก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทิวากับราตรีตอนนั้นสิ้นหวังมากจริงๆ”

    “หายนะที่เกิดขึ้นตอนนั้น คืออะไรเหรอครับ” ผมถาม

    แววตาของธรรพ์ดูเศร้าหมองราวเป็นหนึ่งในผู้คนในสมัยนั้น “โลกเกือบล่มสลาย เมืองยักษาของฉันทั้งเมืองระเบิด จนปู่ทวดต้องพาประชาชนเท่าที่ยังเหลืออยู่ตอนนั้นไปกบดานในถ้ำ มหาสมุทรเกิดภัยวิปโยค เป็นคลื่นสูงนับกิโลสาดซัดทั่วบริเวณ เหล่านางฟ้าเทวดาตัวเล็กตัวน้อยโดนคลื่นกวาดกันไปหมดแหละตอนนั้น…รวมถึงน่าจะสะเทือนมาถึงเมืองนี้ด้วยแหละ แม้ว่าสองคนนั้นจะหนีไปไกลมากแล้วก็ตาม”

    ผม ดาว และเรย์มองหน้ากันไปมา ไม่มีใครพูดอะไร

     

    ในที่สุดพวกเราก็ได้ออกเดินทางกันตอนสองทุ่ม ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติแบบที่เดตไลน์สามวันไม่ได้จี้ตูดพวกเรามา ไม่แน่ว่าเราอาจจะค้างคืนกันที่นี่ ทำตัวอืดอาดสบายๆ กันกว่านี้หน่อย แต่นี่คือไม่ได้แล้วไง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคืนนี้พวกเราจะได้นอนกันมั้ย

    ห้าวัน…จะเป็นระยะเวลาทั้งหมดที่ผมจากบ้านมาโดยไม่บอกล่วงหน้า

    ห้าวัน…ช่วงเวลาที่ผมพรากดาวและไอ้เรย์มาจากอ้อมอกพ่อแม่ของพวกเขา

    ห้าวัน…ผมขอเวลาเท่านี้

    แล้วทุกอย่าง มันก็กำลังจะจบลง

    การเดินทางในป่าตอนกลางคืนมันไม่ง่ายเลย ท่ามกลางความมืดสลัวผมเห็นเพียงแสงนำทางพอส่องให้มองเห็น แสงดาวบนฟ้านั้นสวยงามหากไม่ได้ช่วยให้อะไรง่ายขึ้น คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ เลิกหวังแสงจากดวงจันทร์ได้เลย

    เสียงสัตว์ป่ายามค่ำคืนก็คล้ายว่าจะน่ากลัวกว่าตอนกลางวัน เสียงนกร้องสุขอุรายามกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงจิ้งหรีดเรไรชวนขนลุกยามค่ำคืน สายลมแต่ละหอบที่พัดมาก็เย็นยะเยือก ยังไม่นับความหลอนประสาทเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่เราอาจจะต้องเจออีก (แม้ว่าเราจะเจอสิ่งลี้ลับมาเยอะแล้วก็เถอะ)

    “พวกเจ้ารู้ที่มาของชื่อเผ่าเวทอัญมนีหรือไม่” สุมาลีชวนคุย

    เธอเปลี่ยนจากชุดวิจิตรแบบชาววังเป็นชุดที่ทะมัดทะแมงขึ้น ด้วยผ้าคาดอกแบบออกรบสีกรมท่า เข็มขัดทองคำเรียบง่ายที่มีอาวุธหลายอย่างคาดอยู่ และโจงกระเบนสีเลือดหมู ไม่มีสารพัดสังวาลเครื่องประกับรกหูรกตา

    “ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” ผมบอก “ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นเมืองสวยรวยอัญมณี ที่ไหนได้ ความประทับใจแรกของผมที่มีต่อเมืองนี้ดันเป็นกองทัพเปรตไปซะได้”

    พอมาประโยคสุดท้ายทุกคนก็หัวเราะ สุมาลีหน้าแดง

    “ชาวเมืองเราถนัดในการใช้เวทจากอัญมณี” เธอตัดบทการหัวเราะนั้น “อัญมณีสวยงามล้ำค่า เรารู้จักนำมันมาประยุกต์แปรเปลี่ยนเป็นพลังมนตรา”

    “โคตรเจ๋ง!” เรย์ร้อง

    สุมาลียืดอกอย่างภาคภูมิ เธอหันมองเรย์อย่างพินิจ ก่อนจะปลดปอกดาบเล่มหนึ่งจากกระเป๋า โยนให้อีกฝ่ายราวโยนลูกบอล

    เรย์สะดุ้ง แต่ก็รับดาบนั้นไว้ได้ทันท่วงที มันตกใส่มือเขาอย่างพอดีราวปาฏิหาริย์

    “นั่นคือดาบที่เจ้าควรรับไว้” กษัตริย์หญิงว่า

    เรย์มือสั่น “ผมว่า…ผมน่าจะเคยชินกับการเป็นยอดชายไม้ฟุตเหล็กมากกว่านะครับ”

    สุมาลีทำหน้างง ขณะที่ผมกับดาวหัวเราะลั่น

    ยอดชายไม้ฟุตเหล็ก มันคิดได้ไงวะ

    ถ้าคิดไม่ออกคงต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยวันแรกที่เราออกเดินทาง ตอนที่โดนหิ่งห้อยประหลาดโจมตีครั้งแรก ตอนนั้นแหละครับที่มันใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นอาวุธในการต่อสู้

    มันถลึงตามองพวกเราอย่างคาดโทษ แต่มือมันก็ลองชักดาบออกจากฝักดู แต่ออกแรงยังไงดาบก็ยังไม่ยอมออกมา มันนิ่วหน้า

    “มันฝืดเกินไปนะ สนิมกินแล้วหรือเปล่า”

    “สนิมคืออันใด” สุมาลีถาม แต่เธอก็ปัดมืออย่างไม่ต้องการคำตอบ “เจ้าจักชักออกได้ เมื่อเจ้าสามารถระลึกถึงความเป็นเจ้าของมันที่เจ้ามี”

    เพื่อนผมขมวดคิ้ว “ความเป็นเจ้าของ?”

    อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม แต่ดวงตาปลายตรงของเธอสว่างวาบในความมืดของป่าไม้ยามค่ำคืน

     

    พวกเรานอนพักกันกลางป่า นี่เป็นคืนแรกที่พวกเราได้นอนป่ากันอย่างจริงๆ จังๆ อากาศถือว่าหนาวกว่าที่คิดเลย ก่อนนอนพวกเราผลัดเวรยามกันด้วยการจับไม้สั้นไม้ยาว และผมก็แจ็กพ็อตได้เฝ้าเวรแรก

    ทุกคนต้องขึ้นไปนอนบนต้นไม้ที่ปลอดภัยกว่าบนพื้น แม้กระทั่งผมที่เฝ้าเวรยามก็ยั่งต้องนั่งเฝ้าบนกิ่งไม้ใหญ่ คนที่กำลังนอนอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน แต่คนละฝั่งของผมคือธรรพ์

    “เหนื่อยมั้ย…” ธรรพ์ถามด้วยเสียงกระซิบ

    ผมแปลกใจ “ไม่นอนเหรอ”

    “นอนไม่หลับ” ทางนั้นตอบเสียงเพลีย

    “แทนที่จะถามผม ผมว่าคุณนอนเถอะ คุณดูเหนื่อยกว่าผมอีกนะ”

    “ไม่…ฉันถามนาย”

    “หือ?” ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสีหน้าของเขาตอนนี้เป็นแบบไหน แต่มันก็มืดเกินกว่าที่มองเห็นได้ อีกทั้งธรรพ์ยังนอนหันหลังให้ผม

    เขาไม่พูดอะไร จนผมต้องเป็นฝ่ายตอบ

    “ถามว่าเหนื่อยมั้ย ก็เหนื่อยแหละ” ผมตอบ “แต่ว่าสิ่งที่มีมากกว่าความเหนื่อยคือแรงใจล่ะมั้ง”

    “แรงใจ?” ธรรพ์ถาม

    ผมพยักหน้า แม้เขาไม่รับรู้ “ดาวกับเรย์แหละ แรงใจสำคัญของผม ผมไม่สนหรอกว่าผมจะเป็นทิวาหรือใครหน้าไหนกลับชาติมาเกิด ผมสนแค่ว่า ณ จุดๆ นี้ผมมีคนสำคัญที่ต้องดูแล ผมมีเพื่อนและน้องสาวที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย”

    “รู้อะไรมั้ย…” ธรรพ์เว้นจังหวะไปหน่อยหนึ่ง “ว่าฉันเกลียดทิวา…เกลียดดนัยมากเลยนะ แต่ฉัน…ไม่เคยเกลียดนาย”

    “หา?” ผมงง “คุณหมายความว่าไง”

    “ดิสโซซิเอทีฟ” ธรรพ์เฉลย “ฉันเกลียดบุคลิกรองของนาย แต่ฉันไม่ได้เกลียดนาย”

    “อ๋อ” ผมเข้าใจแล้ว ยักไหล่ “ก็ไม่เห็นแปลกนี่ บุคลิกรองของผมทำร้ายคุณไปขนาดนั้น”

    “คนที่ทำร้ายฉันน่ะ คือทิวา” ธรรพ์ว่า “แต่นายน่ะ นายมีจิตวิญญาณแห่งดวงตะวันอยู่ในตัวนะ นายแตกต่างจากเขา”

    ตอนนี้ผมเริ่มงงแล้วว่ามันยังไงกันแน่ “ธรรพ์ คุณหมายความว่าไงครับ” ผมถาม

    …ไร้เสียงตอบรับของคำถามนั้น

     

    วันต่อมา แสงนำทางพาเราเดินป่า พาเราลงถ้ำ แล้วก็ขึ้นกลับมาป่าอีกครั้ง วนเป็นลูปอย่างนี้ไปจนพวกเราหัวหมุน สภาพป่าที่ผมผ่านในวันนี้มีทั้งป่าสน ป่าดิบชื้น ป่าเต็งรัง และสารพัดป่าที่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้ จนเวลาผ่านไปถึงตอนดวงอาทิตย์ชี้ตรงหัว ก่อนจะเข้าสู่ยามสนธยาอย่างเปล่าประโยชน์

    สภาพของผมตอนนี้เหมือนคนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เหมือนคนทำเวรกรรมหนักเมื่อชาติปางก่อน เพราะในขณะที่วินาทีชีวิตใกล้หมดลงเท่าไหร่ เวลาที่ผมใช้ไปยิ่งไร้สาระมากเท่านั้น

    ตอนเย็นพวกเราก่อไฟกันอย่างสิ้นหวังอยู่ในป่าไหนสักป่าซึ่งผมไม่มีแรงพิจารณาว่ามันคือป่าอะไร รู้เพียงว่าสภาพป่ากลางๆ ระหว่างป่าทึบกับป่าโล่ง แสงอาทิตย์ยังพอส่องให้เห็นด้านล่างบ้าง แต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว แหล่งกำเนิดแสงของพวกเราจึงใช่กองไฟที่ก่อเป็นหลัก

    ดาวเหลือบมองผม สายตาของเธอดูน่าเป็นห่วงมากกว่าผมเองเสียอีก ส่วนไอ้เรย์นานั่งมองพื้น ซึมเหมือนโทรศัพท์แบตใกล้หมด

    ส่วนความรู้สึกผมกลับสดใสมากกว่าที่คิด เพราะอะไรรู้มั้ย…เพราะเราคือคนที่กำลังจะตายไง

    โอเค…ความจริงมันอาจจะไม่ใช่ความตาย แค่เป็นการหายไปของตัวผม แล้วแทนที่ตัวตนของผมด้วยตัวตนของคนอื่น แต่สำหรับผมแล้วมันก็คือความตายของผมไง

    คุณอาจจะกลัวความตาย แต่เมื่อวันที่ความตายของคุณมาถึงจริงๆ คุณจะรู้หรือเปล่าว่าวันนั้นคนที่เดือดร้อนที่สุดจะไม่ใช่คนตายอย่างคุณ แต่เป็นคนรอบตัวคุณต่างหากที่ต้องจัดการกับปัญหาข้างหลัง และจมดิ่งอยู่กับความเสียใจ

    ผมค่อนข้างจะปล่อยวางความตายของตัวเองเลยแหละ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมคนสำคัญของผมอย่างดาวกับไอ้เรย์ถึงไม่ยอมปล่อยวางความตายของผม ก็เป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ผมก็คงไม่ยอมให้พวกเขาตายเหมือนกันล่ะสินะ

    ถ้าวันนั้นมาถึง ถ้าผมต้องตายหรือหายไปจริงๆ…อย่างน้อยที่สุด ผมก็จะขอให้ธรรพ์ ช่วยพาสองคนนั้นกลับบ้านอย่างปลอดภัย

    ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวผมมีแค่สองอย่าง คือหนึ่ง รักษาความปลอดภัยของเรย์กับดาวให้ดีที่สุด และสอง ทำภารกิจส่วนของผมให้เต็มที่ จุดจบจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ถ้าผมเต็มที่กับมันแล้ว ผมจะไม่เสียใจเรื่องนั้นเลย

    บรรยากาศของพวกเรานิ่งเงียบ และคงจะเรียบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าดาวไม่พูดขึ้นว่า

    “พวกเรา…เดินทางต่อไปได้แล้วล่ะ”

    ผมมองข้อเท้าของน้องสาวที่เริ่มบวมจากการเดินเป็นเวลานาน “พักกันอีกหน่อยเถอะ พวกเราเหนื่อยกันมากแล้ว”

    ดาวกันก้มหน้า กันฟันแน่นจนตัวสั่น “แต่พี่…กำลังจะตายนะ”

    ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจเธอ ผมขยับไปโอบไหล่เธอไว้ แล้วก็เงียบ เพราะไม่รู้จะหาคำไหนมาปลอบใจดี

    “ทำไมพี่…ถึงยังใจเย็นอยู่ได้ล่ะ!” เธอตะคอก “พี่กำลังจะตายนะ!!!”

    “ดาว เธอสติแตกแล้ว” ผมเตือนด้วยน้ำเสียงสงบ

    “คนที่สติแตกไม่ใช่ดาว แต่เป็นพี่!!!”

    เสียงแว้ดข้างหูนั้นทำให้แก้วหูผมแทบแตก

    “พี่กำลังจะตายแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้ทำท่าไม่เดือดไม่ร้อนอะไรเลย!!!”

    ในหัวผมคิดหนักว่าจะตอบน้องสาวตัวเองยังไงดี ในตอนที่เรย์พูดขึ้นว่า

    “ไอ้นัย ตอนจะตาย มึงก็คิดจะตายของมึงคนเดียว…ทำไมมึงถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้”

    สายตาที่มันมองผมนั้นหม่นเศร้า แต่คำพูดของมันนั้นมากพอให้ผมสติหลุด

    “เห็นแก่ตัว?” ผมเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามเสียงเรียบ “มึงเพิ่งรู้เหรอว่ากูเห็นแก่ตัว”

    “นี่ พอได้แล้วมั้ง” ธรรพ์พยายามปราม แต่นาทีนี้ยักษ์ก็ยักษ์เธอ ความสํงสี่เมตรของเขาก็เอาผมไม่อยู่

    “มึงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากูต้องเจออะไรบ้าง…” นำเสียงของผมเย็นเยียบขึ้นในทุกประโยคที่เอ่ย “กูฝันเห็นผู้หญิงคนเดิมซ้ำๆ ในทุกครั้งที่กูหลับตา กูเผลอหลงไปว่ากูคิดถึงเธอ เธอคือชีวิต เธอคือลมหายใจ กูจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกนั้นมาเป็นสิบๆ ปีโดยที่กูเล่าให้ใครฟังไม่ได้เลยเพราะกูกลัวว่าคนอื่นจะหาว่ากูบ้า!”

    “…” ตอนแรกไอ้เคย์ช็อคตามด้วยสีหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังซัดมันต่อไม่หยุด

    ผมละจากดาว เดินไปหาเรย์ช้าๆ “จนในที่สุดกูก็ต้องออกเดินทางเพราะมันคือชะตากรรมของกู คือสิ่งที่กูถูกกำหนดว่าต้องทำ แล้วหลังจากนั้นกูก็ได้คำตอบว่าแท้ที่จริงแล้วกูไม่ได้รักเธอเลย ที่กูต้องลำบากลำบนเสี่ยงชีวิตมานี่ไม่ได้เกิดจากใจของกูที่กูอยากทำเลย แต่เป็นเพราะทุกอย่างมันฝืนบังคับให้กูต้องมาทำเรื่องบ้าบอนี่!”

    “…” ธรรพ์เลิกปรามผมแล้ว เขาเพียงฟังผมเงียบๆ

    ผมไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามัน สายตาใต้กรอบแว่นนั้นฉายแววหวาดกลัวชัดเจน แต่ผมก็ยังว่าต่อ “แล้วต่อมากูก็รู้ว่ากูต้องหายไปภายในสามวันถ้ากูทำไม่สำเร็จ แล้วมึงจะให้กูต้องรู้สึกยังไงไอ้เรย์…มึงคิดว่ากูอยากมาอยู่ที่นี่นักเหรอ มึงคิดว่าทั้งหมดที่กูมาที่นี่คือเป็นความปรารถนาของกูงั้นเหรอ มึงคิดว่าที่กูต้องมาเสี่ยงชีวิตอยู่ทุกวันนี้คือกูเต็มใจมางั้นเหรอ!!!”

    สามประโยคสุดท้ายเสียงของผมดังขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่ผมยังตกใจตัวเอง แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้

    “สิ่งที่ดีที่สุดที่กูทำได้คืออะไรรู้มั้ย…” ผมเริ่มรู้สึกอุ่นๆ ที่ดวงตา “สิ่งทีดีที่สุดที่กูทำได้…คือการตัดสินใจทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน กูตัดสินใจออกเดินทางก่อนที่กูจะเป็นบ้าเพราะความฝันของตัวเอง แต่กูไม่เคยคิดว่าพวกมึงจะตามมาด้วย พอพวกมึงตามมาด้วย กูเฝ้าคิดว่ากูจะทำยังไงให้พวกมึงกลับบ้านอย่างปลอดภัย พอกูรู้ว่ากูกำลังจะตาย กูก็ยังคิดหาทางว่าจะให้พวกมึงออกจากที่นี่ยังไงดี!”

    “…” ไอ้เรย์เลิกตัวสั่น มันจ้องหน้าผมนิ่ง แต่ไม่ตอบโต้

    “ทั้งหมดนั่น…มึงเรียกว่าเห็นแก่ตัวเหรอไอ้เรย์” เสียงผมสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “มึงไม่เคยเข้าใจ…ไม่เคยเข้าใจกูเลยจริงๆ”

    ผัวะ!!!

    หนึ่งหมัดเต็มๆ ที่ประเคนเข้าแก้ม หน้าผมสะบัดตามแรงด้านข้าง แว่วได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนดังกร๊อบ จนหันมามองมันด้วยความช็อค

    …ผมเป็นเพื่อนกับมันมาเป็นสิบปี มันคือคุณชายนิ่มที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร และนี่คือหมัดแรกที่มันต่อยผมด้วยสายตาขุ่นเคืองแบบนี้

    “ได้สติหรือยัง” เสียงของมันตอนนี้นิ่งกว่าผมอีก สายตาใต้กรอบแว่นคู่นั้นแน่วแน่ “ถ้าได้แล้วก็นั่งลง แล้วคุยกับกูดีๆ”

    น้ำเสียงของมันตอนนี้แฝงไปด้วยอำนาจและความหนักแน่นแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่แฝงในถ้อยคำนั้นทำให้บางอย่างในใจของผมสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมนั่งลง

    “กี่ปีแล้วที่กูกับมึงอยู่ด้วยกันมา” มันถาม

    “นี่มึง…” ผมกำลังจะว่า แต่มันพูดแทรกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

    “ตอบ-คำ-ถาม-กู” ช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

    “สิบ…ห้า” ผมน่าจะรู้จักมันครั้งแรกตอนสองขวบ ตั้งแต่สมัยเข้าเนิร์สเซอรี่ที่เดียวกัน

    “มึงคิดจริงๆ เหรอว่าตลอดเวลาสิบห้าปี…กูจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมึงเลย” ไอ้เรย์ถาม

    “…” ผมนั่งนิ่ง รอฟัง

    “ไอ้นัย กูรู้ตั้งแต่ตอนสิบห้าแล้วว่ามึงมีคนในใจ” ไอ้เรย์เฉลย “ตอนนั้นใครนะ…พิมพ์ใช่มั้ยที่มาสารภาพรักมึงครั้งแรก ตอนนั้นมึงรับเขาเป็นแฟนคนแรกของมึง แต่ช่วงที่มึงกับพิมพ์คบกัน มึงรู้มั้ยว่าพิมพ์บ่นกับกูตลอดว่าสายตาของมึงเวลาที่มึงมองพิมพ์ เหมือนมึงไม่ได้มองที่พิมพ์ แต่มองไปที่ใครที่ไหนไม่รู้ที่เหมือนมึงจะใช้พิมพ์เป็นตัวแทนของคนคนนั้น”

    ผมเม้มปาก สารภาพว่าก่อนหน้านี้เคยมีแฟนมาหลายคน แต่ทุกคนล้วนจบด้วยการเลิกกันด้วยเหตุผลที่ฝ่ายหญิงบอกผมว่า ผมไม่ได้รักเธอด้วยใจจริง

    ตอนแรกผมก็ยอมรับแหละว่าผมเป็นผู้ชายชั่วที่ไม่คิดคบหญิงจริงจังตั้งแต่ตอนเรียน และผมคิดว่าเธอคงบอกเลิกผมเพราะสัมผัสได้ว่าผมเป็นคนแบบนั้น แต่ผมไม่คิดเลยว่า…พวกเธอจะรู้ว่าผมมีคนในใจที่ไม่ใช่เธอ

    อา…นี่ผมคงใส่ใจแฟนเก่าผมน้อยไปจริงๆ

    “อันที่จริง กูรู้ตั้งแต่สมัยประถมว่าเหมือนมึงจะชอบเหม่อถึงใครสักคนในตอนที่มึงไม่ได้เฮฮากับใคร…กูรู้เพราะมันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่กูใช้เวลากูนั่งรอว่าเมื่อไหร่พ่อแม่จะมาหากูที่โรงเรียนในงานวันพ่อวันแม่แห่งชาติ” มันว่าต่อ “แต่กูก็ไม่แน่ใจ จนกระทั่งพิมพ์เล่าให้กูฟัง”

    “…”

    “แต่มึงไม่เคยบอกกูไงไอ้นัย มึงไม่เคยเล่าให้กูฟังถึงคนในความฝันของมึง แต่ถ้ามึงเล่า กูก็เชื่อ เพราะสายตาของมึงมันสื่อออกมาแล้วทุกอย่าง” น้ำเสียงเรียบนิ่งของเรย์นั้นกระทบใจผมแรงกว่าเสียงตะคอกหลายเท่า “พอมึงเก็บ กูก็ไม่กล้าถาม กูก็ได้แต่เดาไปเรื่อยแต่ก็เดาไม่ออก แล้วก็คิดง่ายๆ แค่ว่าวันหนึ่งมึงคงจะบอกกูเมื่อมึงพร้อม”

    “…”

    “แต่นั่นเพราะว่ามึง…ไม่เคยเชื่อใจกูเลยไง มิตรภาพตลอดที่ผ่านมาของเราไม่เคยมากพอที่จะทำให้มึงเปิดใจ” ประโยคนั้นแรงกว่าหมัดที่มันชกผมมาเมื่อกี๊อีก “แล้วอยู่ๆ มึงก็มาพูดอย่างงี้ใส่กู มึงคิดว่ากูจะรู้สึกยังไง”

    “ไม่ใช่แค่พี่เรย์ แต่แม้แต่คนในครอบครัวอย่างดาว…พี่นัยก็ไม่เคยเชื่อใจ” ดาวพูดขึ้น ผมหันขวับไปมอง

    สายตาของน้องสาวผมคือสายตาของเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ดาวขอถามพี่สักประโยคนึงได้ไหม…ระหว่างคนในครอบครัวอย่างดาว กับผู้หญิงคนนั้น ในใจพี่ให้น้ำหนักใครมากกว่ากัน”

    “…” ผมเงียบ

    “ระหว่างคนในครอบครัวที่ใช้ชีวิตมีตัวตนกับพี่สิบเจ็ดปี กับผู้หญิงผีหลอกวิญญาณหลอน แค่นี้พี่ก็เลือกไม่ได้เหรอ…”

    “ดาว ความทรงจำของพวกเราถูกปรับแต่งนะ” ในที่สุดผมก็ได้พูดอีกเรื่องที่ค้างคาใจของผม แต่อารมณ์ของผมเย็นลงมาก “เราไม่มีทางรู้ว่าเรื่องที่เรารู้มา เรื่องไหนเรื่องจริง เรื่องไหนเรื่อง…”

    “เรื่องนั้นฉันโกหก” ธรรพ์สารภาพ ทุกคนหันขวับไปทางเขา นิ่งอึ้ง

    สภาพของธรรพ์ขณะกำลังเขี่ยกองไฟนั้นแสนเศร้า “ความจริงแล้ว เรื่องการปรับแต่งความทรงจำนั่น มันก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ประกายไฟสีส้มสะท้อนในดวงตาคมดำขลับ “เขาก็คือเขา ที่เขาเกิดมาอาจเป็นการฝืนชะตากรรม แต่เรื่องที่เขาได้ใช้ชีวิตในฐานะพี่ชายของดาวและเพื่อนของเรย์ เรื่องนั้นคือเรื่องจริง”

    “แล้วมีเรื่องไหนที่ไม่จริงบ้าง อะไรกันแน่ที่ถูกปรับแต่ง” ผมถาม “แล้วคุณ…โกหกพวกเราทำไม”

    ดวงตาคมโศกที่มองสบกับผมทำให้ผมใจหายวาบ “ฉัน…ต้องทำตามคำปณิธานของคุณปู่ทวด”

    ผมหรี่ตาลง “คำปณิธาน…อะไร”

    “คำปณิธานว่า จะไม่มีวันเอาเมืองยักษ์ออกจากถ้ำถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ถูกแก้ไข”

    “ปัญหาอะไร แก้ไขยังไง” ผมไล่บี้ “ธรรพ์…อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้คุณเดินทางตามพวกเรามา”

    ไม่มีคำตอบของคำถามนั้น

    “ถ้าเกิดว่าไม่มีคำตอบ…” เสียงของผมเย็นเยียบ “เชิญคุณ…ออกจากขบวนการเดินทาง”

    โดยไม่คาดคิด คู่สนทนาของผมลุกขึ้นยืน ก่อนเดินจากไปเงียบๆ ตามแนวป่า

    ผมมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไกลออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ในใจของผมวูบโหวง แต่ก็ทำได้เพียงถอนใจ

    บทสนทนาเมื่อคืนย้อนกลับมาในหัว

    ‘รู้อะไรมั้ยว่าฉันเกลียดทิวา…เกลียดดนัยมากเลยนะ แต่ฉัน…ไม่เคยเกลียดนาย’

    ‘หา?คุณหมายความว่าไง’

    ‘ดิสโซซิเอทีฟฉันเกลียดบุคลิกรองของนาย แต่ฉันไม่ได้เกลียดนาย’

    ‘อ๋อก็ไม่เห็นแปลกนี่ บุคลิกรองของผมทำร้ายคุณไปขนาดนั้น’

    ‘คนที่ทำร้ายฉันน่ะ คือทิวาแต่นายน่ะ นายมีจิตวิญญาณแห่งดวงตะวันอยู่ในตัวนะ นายแตกต่างจากเขา’

    ผมสงสัยว่าทั้งหมดนี่มันหมายความว่าไง สงสัยว่าคำพูดของเขาสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ สงสัยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางมาด้วยกัน รวมถึงเหตุผลของเขาที่ทำให้อยู่ๆ เขาก็ล้มเลิก

    แต่ความสงสัยของผม คือความสงสัยที่ไม่มีวันได้รับคำตอบ

    แทนที่จะตอบคำถามแล้วไปต่อด้วยกัน แต่ตอนนี้เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งก็ได้หันหลังให้กับเรา และอาจหมายถึงหันหลังให้ปณิธานของคุณปู่ทวดที่เขาพูดถึงด้วยเช่นกัน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×