คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : การผจญภัยช่วงที่ 5 นาคาพิโรธ และผลโทษของปานาติปาต
การผจญภัยช่วงที่ 5
นาคาพิโรธ และผลโทษของปานาติปาต
มวลน้ำมหาศาลที่กำลังกดทับร่างกายอยู่ในระดับที่ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะสามารถทนทานได้ มันแทบจะพอๆ กับเรือประมงสักลำที่กำลังล่มลงผืนทะเล แต่ในตอนที่สัญชาตญาณดิบของผมกำลังทำงาน ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมมันเหนือมนุษย์ไปแล้ว มันเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของผมด้วยซ้ำ
ดวงตากลับมามองเห็นอีกครั้ง สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือร่างกายกำลังเรืองแสงสีส้มเรืองรอง ใช้กำลังว่ายน้ำจนสามารถขึ้นสู่ผิวทะเลได้
ผมสามารถยืนอยู่บนผิวทะเลได้ด้วยพลังของผมเอง แลเห็นองค์ชายธรรพ์ในร่างยักษ์สูงสี่เมตร ต่อสู้กับนาคาที่ยืดคอจนมีความสูงมากกว่าเกือบสองเท่า ในมือของธรรพ์ถือหอกเล่มใหญ่ พยายามจ้วงแทงฝ่ายศัตรู แต่ด้วยความที่คู่ต่อสู้ของเขาคืองูซึ่งเลื้อยหลบไปมาเร็วปานแสง ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์เทียบเทวดา การต่อสู้จึงไม่ง่ายนัก
ผมแอบนิ่วหน้า เสียงฟ้าแลปฟ้าร้อง และพายุฝนนั้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งหูดับได้เลย
สมองผมมึนเบลอ ภาพตรงหน้าเหมือนเป็นเส้นแสงที่ส่องไปส่องมา อีกทั้งคลื่นใหญ่ยักษ์มากมายที่สาดซัดทั่วบริเวณ มันมากพอที่จะทำให้คนดูสักคนวิงเวียน ผมพยายามตั้งสติอีกครั้ง ครั้งนี้พอแยกได้แล้วว่าไหนยักษ์ และไหนนาคา
องค์ชายธรรพ์กำลังโดนนาครัดแน่น สักพักเขาก็กลายร่างเล็กลงเป็นมนุษย์ ผุดว่ายน้ำหนี ไปโผล่ตรงหาง ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายก็รู้ทัน ตวัดหางกระแทกผิวน้ำทะเลอย่างแรง เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ระดับสึนามิกระจายออกมา ผมรีบใช้พลังปกป้องตัวเองจากคลื่นนั้น
พอคลื่นน้ำผ่าพ้นไป ผมถึงเห็นว่าธรรพ์กลายร่างเป็นยักษ์และรับแรงกระแทกได้ทัน แต่เขาบาดเจ็บ
‘ทำอะไรสักอย่างสิ!!!’ เขาสื่อสารกับผมด้วยกระแสจิต ท่าทางสติแตกไม่มีเหลือ มือถือหอกกวัดแกว่งไปมาด้วยท่าทางเหมือนเด็กกวาดลานวัดมากกว่าการต่อสู้เสียอีก
ผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปแทรกในจังหวะช่วงไหน มองเห็นเพียงทิศทางการตวัดลำตัวของนาค และด้วยการใช้ความตั้งใจกับสติอย่างสูงสุด ในที่สุดผมก็เริ่มจับสังเกตถึงชุดการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ตามสัญชาตญาณของนาคตนนั้นในที่สุด
“หาง! เกาะหาง!” ผมไม่รู้จะสื่อสารด้วยกระแสจิตยังไง จึงทำได้เพียงแค่ตะโกนไปสุดเสียง และหวังว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
ธรรพ์โดนรัดอีกครั้ง เขาร้องโหยหวน ผมรีบเอาตัวเองพุ่งไปตามช่วงลำตัวที่เลื้อยพัน นาคาตกใจรีบคลายตัวออกจากยักษา คนที่กำลังแย่จึงเปลี่ยนเป็นผมที่กำลังเกาะกับนาคาสูงแปดเมตรแทนแล้วตอนนี้
นาคตวัดลำตัวเป็นคลื่น ก่อเกิดคลื่นทะเลรัวเร็วมากมาย ผมเกาะแน่น แม้กำลังรู้สึกถึงอวัยวะในร่างกายที่กำลังกระทบกระเทือนกัน มื้อเที่ยงแสนอร่อยตีขึ้นมาถึงลำคอและเตรียมออกทางปาก โชคดีที่ธรรพ์สามารถจับหางของนาคไว้ได้ก่อน ลำตัวนาคาแข็งเกร็ง และผมก็กระเด็นหลุดร่วงลงน้ำดังจ๋อม
เกือบตลกละนะ จริงๆ
แต่สถานการณ์นี้ถ้าผมไม่ตลก ผมว่าผมน่าจะเป็นโรคประสาทตายก่อน
ผมรีบดันตัวโผล่ขึ้นผิวน้ำ แต่สิ่งที่สาดซัดผมในเวลาต่อมาคือคลื่นลูกใหญ่ ร่างกายผมดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทร อุณหภูมิต่ำยะเยือกของน้ำนั้นบาดผิว ร่างกายชาไร้เรี่ยวแรง จมูกของผมเริ่มหายใจเอาน้ำเข้าปอดและสำลัก กรอบสายตาเห็นเพียงผิวน้ำลอยไกลออกไป ภาพที่เห็นค่อยๆ มืดลง
และ…
ผัวะ!!!
…ผมก็โดนเพื่อนตัวเองต่อย
อยู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้น คนที่นั่งข้างผมและกำหมัดอยู่คือไอ้เรย์ ส่วนดาวยืนมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง
“…พี่หลับไปนาน” น้องสาวผมอธิบาย “…อยู่ๆ ก็สลบไปเลย”
นาทีนี้ผมถึงปิ๊ง
ชิบหายละ ภาพลวงตา!
“ธรรพ์!” ผมร้อง “ธรรพ์อยู่ไหน!!!”
ดาวหันไปทางผู้ชายอีกคนที่สลบอยู่ไม่ไกล องค์ชายธรรพ์ยังอยู่ในร่างมนุษย์
“ปลุกเขา!” ผมบอก
ดาวรีบไปเขย่าร่างกายเขา แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ ธรรพ์อาการแย่กว่าผมอีก ใบหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยราวคนหายใจไม่ออก พร้อมทั้งเปล่งเสียงครวญครางแผ่วเบา
และผมก็ปลุกด้วยวิธีเดียวกับไอ้เรย์ คือต่อยแม่ง!
ผัวะ
“อ้ากกก!!!”
หมัดของผมทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ธรรพ์ลืมตาโพลงพร้อมเสียงร้องโหยหวน เขาดิ้นพล่านจนผมโดนถีบยอดอกไปลูกหนึ่ง
“สัตว์!!!” ผมถึงกับงอตัวกุมบาดแผลตัวเอง
จุกชิบหาย!
“ระวัง!!!”
ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรกันต่อ ดาวก็โผล่มากระชากแขนผมจนแทบหลุด ผมกระเด็นออกจากที่ที่ตัวเองเคยนั่ง ก่อนที่ตรงนั้นจะถูกแทนที่ไม้ท่อนใหญ่ที่ร่วงลงพื้นโดยไม่มีสาเหตุ โชคดีมากที่ธรรพ์กลิ้งหลบได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน
เพียงสายตาของผมกับธรรพ์สบกัน เท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่าชีวีกำลังจะมีภัยเข้าแล้ว
“วิ่งงง!!!” ธรรพ์ร้อง
ผมรีบใช้สองมือกระชากเพื่อนและน้องสาวตัวเองวิ่งทันที กิ่งไม้ท่อนใหญ่ร่วงลงพื้นไล่หลังเราราวสายฝน เพียงแต่เป็นฝนตกหนักชนิดที่สามารถทำบ้านพังได้ทั้งหลัง ผมรีบเบรกทันทีที่เห็นกิ่งไม้ข้างหน้าล้ม รีบพาเพื่อนทั้งสองวิ่งหลบไปด้านข้าง
“วิ่งไปที่แม่น้ำให้ได้!!!” ได้ยินเสียงของธรรพ์ตะโกนมาจากไหนสักแห่ง
“เรากำลังสู้กับนาคนะ!!!” ผมโต้ “ปะทะกับงูน้ำที่แม่น้ำ นี่คิดจะฆ่าตัวตายหรือไง!!!”
“แล้วนายจะวิ่งหนีกิ่งไม้ร่วงจนกว่ามันจะหมดป่าเลยไหม!” ธรรพ์ประชด
“คุณมีฤทธิ์ไม่ใช่เหรอ! ทำอะไรสักอย่างสิ!!!” ผมโต้
โครมมม!!!
กิ่งไม้กิ่งใหญ่ร่วงลงตรงหน้าเราจนขวางทางเดินโดยสมบูรณ์ และบนหัวเราก็กำลังจะตกลงมาเช่นกัน
“กลิ้งงงง!!!” เรย์ร้อง
ด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ ที่ทำให้ผมนอนลงกับพื้น กระเสือกกระสนไปหลบใต้ช่องว่างของไม่สองท่อนที่วางคานกันอยู่ เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นเองที่ท่อนไม้ใหญ่อีกท่อนทับลงมา และรอบตัวผมก็มืดสนิท
“กรี๊ดดด!!!”
เสียงกรี๊ดของดาวครั้งนี้ทำให้ผมเบาใจว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงไม่รู้จะเป็นไงบ้าง
“มีใครเป็นอะไรมั้ย…” เรย์ถามขึ้นข้างๆ ผม “ไอ้นัย! ไอ้นัย!!!”
“มึงจะตะโกนทำเหี้ยไรกูอยู่ข้างมึง!” ผมถลึงตาใส่มัน เริ่มมองเห็นมันจากแสงที่ลอดผ่านช่องว่างของไม้มา
ไอ้เรย์หัวเราะแหะ “ก็กูไม่รู้อะ”
“ส้นตีน!” ผมด่ามัน “หาดาวกับธรรพ์เร็ว”
ผมมองซ้ายขวาพยายามหาทางรอด ในตอนนั้นเองที่เห็นรอยเท้าเรืองแสงสีเขียวรอยหนึ่ง…น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแสงนำทางที่อยู่ๆ ก็แหกคอกมาอยู่ตรงนี้อย่างผิดปกติ
นี่ทำให้ผมเริ่มเรียกกลับความทรงจำบางอย่างมาได้ สิ่งที่ผมคิดได้ทำให้ผมยิ้มออก
“คนอะไรวะเก่งเป็นบ้า” ผมชมตัวเอง
เรย์มองผมเหมือนผมเป็นหมาบูลด็อกที่มันกลัว “เป็นไรมึงเนี่ย”
“เขาเรียกว่าการแกะรหัสจากรอยเท้ายังไงล่ะ” ผมโทษไอ้เรย์ที่มันถามไม่ตรงคำตอบของผม ก่อนจะคิดว่าผมจะสื่อสารเรื่องนี้กับธรรพ์ยังไงดี
กระแสจิต!
ผมไม่รู้หรอกว่ามันทำยังไง มีระยะจำกัดเหมือนสัญญาณสามจีเมืองไทยไหม แต่ลองดูหน่อยแล้วกัน
‘ธรรพ์’ ผมคิด
…ไร้คำตอบ
‘ธรรพ์!’ ผมคิดดังขึ้น (ถ้าความคิดของคนเรามันจะดังได้น่ะนะ)
ผมหลับตา ตั้งสมาธิ ‘ธรรพ์!!!’
‘อะไร!!!’ มีกระแสจิตตอบกลับมาแทบจะทันที ‘พวกนายไปมุดหัวกันอยู่ที่ไหน! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียว!’
‘เลิกบ่นได้แล้วไอ้องค์ชายขี้น้อยใจ!’ ผมโวย ‘พวกเราติดอยู่ใต้ท้อนไม้ออกไปไม่ได้ กลายร่างเป็นยักษ์แล้วยกออกไปให้หน่อย!’
‘ที่ไหน!’
‘ไม่รู้’ ใครมันจะไปมีเวลาจับทิศทางตัวเองตอนกำลังโดนไล่ฆ่าวะ ผมไม่ใช่จีพีเอสนะโว้ย
โครมมม!!!
“บ้าเอ้ย!!!”
แว่วได้ยินเสียงสบถไม่ไกล ความรู้สึกผมตอนนั้นราวเจอโอเอซิส
‘ธรรพ์!! ใกล้ๆ คุณ! ผมได้ยินเสียงคุณ!’
‘ตรงไหนวะ!!’
ผมไม่รู้จะตอบยังไง เป็นตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ ก่อนขอนไม้ใหญ่ด้านบนเราจะถูกยกออกโดยยักษาผู้สวมสังวาลกับโจงกระเบนสีกรม ดวงตาปูดโปนที่มองมานั้นคล้ายกำลังถลึงใส่เราว่าทำไมถึงซุ่มซ่ามแบบนี้นะ ซึ่งมันทำให้ผมอยากต่อยยักษ์สักหมัด (แม้จะต่อยไปแล้วครั้งนึงก็ตาม)
“รอตรงนี้ ตามหาดาว” ผมบอกไอ้เรย์
เรย์เม้มปากอย่างไม่เต็มใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายมันก็พยักหน้า
ธรรพ์หิ้วคอเสื้อผมด้วยท่าทางราวคุณแม่หิ้วถุงช้อปปิ้ง ไม่ทันให้ผมได้โวยผมก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งบนไหล่ยักษ์สูงสี่เมตร มุมมองตรงนี้ค่อนข้างน่าหวาดเสียวทีเดียว ผมจับสายสังวาลที่พาดไหล่เขาไว้แน่นเป็นหลักยึด
พอธรรพ์อยู่ในความสูงเท่านี้ สภาพป่าก็เงียบสงบ เหลือเพียงเศษซากต้นไม้ที่โค่นล้มจนพินาศ ตัวผมเองเมื่อมองไปด้านล่างด้วยระยะนี้ก็เห็นทิศทางของรอยเท้านั้นชัดเจนขึ้น
ผมมองอย่างพินิจ วินาทีต่อมาจึงหันไปบอกยักษ์ที่ผมนั่งอยู่ว่า “ตามหาต้นไม้”
“ต้นไม้?” ธรรพ์ถาม
“ต้นไม้ที่สมบูรณ์ที่สุด ต้นไม้ที่ไม่มีรอยแตกหัก…ต้นไม้ที่น่าสงสัย” ผมกระซิบ
แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่ธรรพ์ก็พาผมเดิน ผมเป็นคนบอกทิศทางเขาราวรู้ว่าต้นไม้ต้นนั้นจะอยู่ที่ไหน จนในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ที่ต้นสาละต้นหนึ่งที่สูงใหญ่ที่สุดในป่า
“เด็ดมันขึ้นมา…ต้นสาละนั่น” ผมสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ธรรพ์ถอนรากถอนโคนต้นไม้นั้นอย่างง่ายดายราวถอนหญ้า แล้วต้นสาละนั้นก็กลายร่างเป็นหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังมองพวกเราด้วยความแค้น ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเรืองแสงทั้งเบ้า ลูกแก้วพญานาคตรงหน้าผากราวมีพายุหมุนวนอยู่ข้างใน
“ไม่ได้! ให้ไม่ได้! คำสาป!!!” เธอร้อง พยายามดิ้นพล่าน แต่ดูเหมือนว่าจะหมดอิทธิฤทธิ์ลงเพียงเท่านี้
การทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นบาป…สำหรับมนุษย์อาจไม่เห็นผลชัด แต่สำหรับสรรพสิ่งในโลกหลังความตายล้วนสามารถสัมผัสบุญบาปได้อย่างง่ายดาย
นาคาตนนี้ทำบาปมานานเกินไป เขาสังหารดนัยมาหลายคน ทำลายป่าทั้งป่าจนราบคาบ นอกจากฆ่าผมแล้วก็ยังทำกรรมปานาติปาตต่อบรรดาสัตว์ป่าอีกมากมาย ความบาปที่ก่อเป็นตัวบั่นทอนบารมี ทำให้อิทธิฤทธิ์น้อยลงเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่ก่อกรรม…และมันก็มาสิ้นสุดที่ครั้งของผม
กรรมชั่วที่ก่อ เป็นผลให้นาคาต้องมาสิ้นฤทธิ์ในชาตินี้เอง
ดนัยคนที่แล้วรู้ความจริงข้อนี้ดี และเขาก็ได้สื่อสารกับผมด้วยทิศทางของรอยเท้า
ดนัยคนที่แล้ว…รู้ว่ายังไงก็ต้องตาย จึงได้ส่งการสื่อสารมายังดนัยคนต่อไปซึ่งก็คือผม โดยหวังว่าจะส่งผลสำเร็จ
แต่ผมล่ะอยากรู้จริงๆ เลยว่าไม่ใช่ว่าช่วงแรกๆ นาคจะมีฤทธิ์มากกว่านี้เหรอ แล้วทำไมดนัยคนก่อนๆ ยกเว้นคนที่แล้วถึงได้รอดไปตั้งหลายคน
ผมเก็บข้อสงสัยนั้นไว้ในใจ
“หมดเวลาของแกแล้วล่ะ” ผมว่าด้วยเสียงเริงร่า ฉีกยิ้มที่ทำให้ได้เพื่อนใหม่มาแล้วหลายคน “ไปชดใช้กรรมในนรกเถอะนะ!”
เพียงฝ่ามือบีบเท่านั้น ร่างของนาคนั้นก็สลายไปพร้อมเสียงร้องโหยหวน สิ่งที่ปรากฏมาแทนที่นั้นคือใบไม้สีดำขอบทองสองใบ กับชิ้นส่วนอัญมนีสีเขียวอีกหนึ่งอัน ทั้งสองอย่างนั้นอยู่ในมือของธรรพ์
ธรรพ์ยื่นของให้ผม ผมรับทั้งสองอย่างนั้นมา ยังไม่ทันได้พิจารณาเศษอัญมนีสีเขียว มันกลับลอยเข้าไปในจี้ผมเฉย แล้วหายไปราวเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมรีบเปิดล็อกเก็ตด้วยความตกใจ ปรากฏว่าภายในล็อกเก็ตนั้นคล้ายกับมีพลังงานสีเขียวบางอย่างลอยวนอยู่ และครั้งนี้ผมก็รีบปิด
…อะไรวะ
ผมละคนามสนใจมาที่ใบไม้แทน สำหรับใบไม้ใบสองใบ กลอนที่ถูกสลักลงไปนั้นเมื่อนำมาต่อกันก็มีความว่า
‘สองนักเวทเฉดตัวออกจากบ้าน
เหล่าทหารเหล่าชาวเมืองเฝ้าตามหา
สองนักเวทหนีเภทภัยใหญ่เกินพรรณา
พวกเรามาอาศัยในชายแดน
อนิจจังไอพลังอันมากล้น
กลับถูกค้นพบง่ายตามแบบแผน
จึงต้องหนีไปเรื่อยตามเขตแดน
เปรียบเทียบแทนเหยื่อน้อยคอยหนีไป’
ผมคิ้วกระตุก
โอ้โห! ชิงมาเกือบตาย สุดท้ายต้องมาฟังคำบ่นของไอ้คนแต่งกลอน!
แทบไม่ได้ใจความอะไรเลย!
ผมนึกอยากฉีกใบไม้ทิ้งเดี๋ยวนั้น แต่ก็ทำได้แค่ใช่ความอดทนอย่างถึงขีดสุดในการเก็บใบไม้นั่นเข้ากระเป๋ากางเกง รวมกับกลอนบทอื่นๆ ที่ถูกเก็บไว้ก่อนหน้านั้น
ธรรพ์เดินไปทางกลุ่มขอนไม้ที่เคยทับผม ดาว และเรย์ ซึ่งพอเราไปถึง ดาวกับเรย์ก็สามารถงัดตัวเองออกจากกองไม้ได้แล้ว ทั้งสองคนไม่ได้บาดเจ็บอะไรสาหัส แต่มีบาดแผลฟกช้ำมากมาย ผิดกับผมและธรรพ์ที่ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน (ถึงจะเกือบตายแต่ก็เกือบตายในภาพนิมิต)
เมื่อเราสี่คนรวมตัวกัน ธรรพ์ก็หิ้วผมลงพื้น และครั้งนี้ผมก็มีเวลาด่า
“วางดีๆ สิโว้ย! ไอ้ยักษ์เถื่อน!”
ตุ้บ!
และสิ่งที่ผมได้ คือผมถูกโยนลงพื้นในระยะหนึ่งเมตร ผมล้มลงก้นจ้ำเบ้า แขนกระแทกพื้น เกิดเป็นรอยฟกช้ำรอยใหญ่
เจริญล่ะ สู้มาตั้งนานอุตส่าห์ไม่เป็นอะไร ดันมาได้แผลเพราะโดนยักษ์โยนลงพื้น!
หันไปจะด่ามันอีกที มันก็กลายร่างเป็นมนุษย์และมองผมด้วยสายตาเอือมระอาขั้นสุด และยังไม่ทันที่ผมจะว่าอะไร มันก็พูดแทรก
“หุบปากไปไอ้มนุษย์ตัวภาระ”
เลือดในขมับผมเต้นตุบๆ “ว่าใครเป็นภาระหา!”
ดาวกับเรย์มองเราสองคนสลับกันเหมือนมองคนแข่งกีฬาเทนนิส แต่ผมไม่สนใจ
“ก็ว่าคนที่โดนนาคาจับจมน้ำจนเกือบตาย แล้วยังมาโดนขอนไม้ทับร่างกายอีกน่ะสิ”
“แล้วใครเป็นคนบอกให้แกปราบนาคด้วยการหักหางฟระ!”
“นี่นาย…”
“หุบปาก!!!”
“…”
ในที่สุดการต่อล้อต่อเถียงของหนึ่งคนหนึ่งยักษ์ก็เหมือนจะจบลงเพราะการห้ามศึกของน้องสาวผมเอง
ดาวยืนเท้าสะเอว “ไปเจออะไรกันมาเนี่ย อยู่ด้วยกันไม่ถึงวันดี ทะเลาะกันแล้วเหรอ”
เรย์หัวเราะนิดๆ “เป็นการผูกมิตรมากกว่ามั้งนั่น”
ผมยักไหล่ จะอะไรผมไม่สนหรอก ตอนนี้ขอแค่ให้ได้ด่ายักษ์แก้คันปากก็พอ ไม่ได้ด่าใครมานานแล้ว (เออแต่ผมก็เพิ่งด่าไอ้เรย์มาเองนี่หว่า เพราะงั้นช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมแค่อยากด่าก็พอ)
“แล้วไปทางไหนต่อ” ธรรพ์เองก็ดูจะอารมณ์เย็นลงแล้วเหมือนกัน
ผมมองแสงนำทาง มันนำพวกเราไปและสุดที่ต้นไม้ซึ่งหักโค่นไปแล้วต้นหนึ่ง ผมนำขบวนเดินไปถึงต้นไม้ต้นนั้น ใช้มือลูบไปตามเปลือกไม้ตามสัญชาตญาณ และแล้วพวกเราก็ตกลงไป
…สู่ถ้ำที่เราคุ้นเคย
ตอนนี้ถ้ำที่เรากลับมาอยู่คือถ้ำมืด ไม่ใช่ถ้ำอัญมณี (รัตนมนตรา อะไรก็ช่าง) ไม่มีอัญมณีแสนสวย ไม่มีบทเพลงชวนหลงใหล แต่ผมกลับสบายใจในการอยู่ที่นี่มากกว่า อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ต้องติดกับดักว่าต้องหลงวนเวียนไปตลอดกาล
…ผมอยากพาเรย์และดาวกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
วันนี้คือวันที่สองของการเดินทาง และระยะเวลาแค่สองวันเราทั้งต้องต่อสู้กับหิ่งห้อยประหลาด หลงเข้าเมืองยักษ์ ปะทะกับนาคาพิโรธ มีเรื่องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมากมายขนาดนี้ ผมไม่อยากจะติดเลยว่าถ้าเสลาล่วงเลยไปสู่วันที่สาม สี่ หรือห้า จะมีอะไรอีกบ้างที่เราต้องเจอ มีอันตรายอะไรอีกบ้างที่เป็นความสุ่มเสี่ยง ผมไม่อยากให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ผมพาทุกคนเดินไปตามแสงนำทาง และด้วยความที่รอยเท้าของคนจากประมาณสิบคนเหลือเพียงสี่หรือห้า นั่นทำให้แสงนำทางจางลงไปมาก ผลข้างเคียงคือทำให้ต้นกำเนิดแสงที่ผมสามารถมองเห็นได้น้อยลงไปด้วย ตอนแรกมันน่าขัดใจนิดๆ แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มชิน
จะว่าไปแล้วผมก็สงสัยว่าคนอื่นจะมองเห็นสิ่งภายในถ้ำได้ไงโดยที่ไม่ได้มีแสงนำทางเหมือนผม…
“จริงๆ แล้วตอนสู้กับนาคมีสิ่งหนึ่งที่สงสัย” ผมเกริ่น
“หือ?” ธรรพ์เป็นคนตอบรับ
“ตอนนั้นผมรู้ว่าที่นาคาเสื่อมฤทธิ์ลงเพราะผลกรรมที่เคยก่อ แต่มันไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้นาคตนนี้ก็มีพลังมากกว่านี้เหรอ ทำไมดนัยบางคนถึงรอด บางคนถึงตายล่ะ” ผมถาม
“เมื่อก่อนนาคมีฤทธิ์ แต่ดวงจิตของดนัยคนก่อนๆ ก็เข้มแข็งกว่านี้มากเหมือนกันนี่…ฉันแน่ใจว่าฉันเพิ่งบอกเรื่องนี้กับนายไปเมื่อเช้านี้เองนะ”
วลีสุดท้ายของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ “เออน่ะ!”
ธรรพ์ยักไหล่ “การต่อสู้ก็คือการต่อสู้ มีการผลัดกันแพ้ชนะ” ดวงตาคู่คมนั้นหันมาสบกับผมนิ่ง “แต่ถ้านายอยากไปให้ถึงราตรี…นายจำเป็นต้องชนะในทุกสนามรบ”
ผมกลืนน้ำลายลงท้องเอื๊อกใหญ่ สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ราตรีเป็นเหมือนรางวัลชนะเลิศของผู้ประกวดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ซึ่งการที่จะเข้ารอบสุดท้ายได้ นั่นหมายความว่าต้องเป็นผู้ชนะเลิศในทุกการแข่งขันของรอบก่อนหน้านั้น
และครั้งนี้…มีดาวกับเรย์เป็นเดิมพัน
ผมแพ้ไม่ได้…ผมรู้ดี
การเดินทางในถ้ำครั้งนี้เป็นเพียงการเดินทางในระยะเวลาอันสั้น เพราะเพียงสองชั่วโมงถัดมา แสงนำทางก็นำพวกเรามุดรูถ้ำจนโผล่ออกมาที่ป่าอีกแห่ง
…ป่าไม้ไพรหญ้า ธาราสีใส เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องยามอัสดง
มันฟังดูดีนะ และวิวรอบตัวของผมที่เป็นต้นไม้ใหญ่ใบเขียวขจีก็ถือว่าสวยดี ป่านี้ทึบกว่าป่าที่เราผ่านมาเล็กน้อย และต้นไม้ก็สูงกว่า หญ้าขึ้นรกกว่า และได้บรรยากาศของความเป็นธรรมชาติมากกว่ามาก
ผมเริ่มคิดถึงสังคมเมือง คิดถึงความสะดวกสบายที่ผ่านมา มันคงดีกว่านี้มาก ถ้าผมเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่บังเอิญผ่านมาสัมผัสความงามของสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ไอ้บ้าหน้าไหนไม่รู้ที่กำลังเอาตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
…การมองซ้ายมองขวาก็เห็นแต่ป่ามันช่างน่าเหงาเสียเหลือเกิน
“โอโซนทั้งนั้นเลยนี่หว่า!” ไอ้เรย์ร้อง “บนโลกของเรานี่หาป่าที่สมบูรณ์ขนาดนี้ยากมากเลยนะเนี่ย! อยากรู้จริงๆ ว่าแม้แต่ป่าแอมะซอนจะเทียบเท่าที่นี่ได้มั้ย!”
“ไอ้เรย์ มึงอย่าเว่อร์” ผมว่าเพื่อน “อย่าว่าแต่ป่าแอมะซอนเลย ขนาดอุทยานแห่งชาติในประเทศเรามึงเคยไปเที่ยวแล้วแหกตาดูอย่างอื่นนอกจากโทรศัพท์มึงบ้างมั้ยเถอะ”
ไอ้เรย์มองหน้าผม ขมวดคิ้ว ส่ายหัว “มึงนี่มันคนขาดอารมณ์ศิลป์ไง เขาเรียกศิลปะในการชื่นชมธรรมชาติมึงไม่รู้เหรอ”
ผมกำลังจะสวน แต่เสียงของดาวดังแทรกขึ้นก่อนว่า
“ถ้าพี่ชื่นชมธรรมชาติอยู่จริงๆ พี่หยุดเดินเถอะ”
เรย์หยุดกึก “หือ อะไรเหรอ”
ผมหน้าซีด เพราะมัวแต่เถียงกับเพื่อนเลยไม่ทันได้สังเกตว่าตรงหน้ามีอะไรอยู่ พอมาตอนดาวเรียกสติผมถึงได้รู้
ว่าหากก้าวอีกแม้เพียงก้าวเดียว ไอ้เรย์มีสิทธิ์เหยียบต้นกาบหอยแครง* โดนแดกตายห่าได้เลย
สุดยอดกาบหอยแครงขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนพื้น มันใหญ่มากชนิดที่ว่ากินพวกเราเข้าไปทั้งตัวได้สบายๆ
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตัวเอง มันยืนทำหน้าเอ๋ออยู่ตรงนั้น
“ไอ้เรย์ถอย!”
ผมเดินไปผลักมันออกจากตรงนั้น ทดลองโยนหินก้อนหนึ่งเข้าตรงขนสัมผัสของกาบหอยแครง ทันใดนั้นมันก็หุบลงอย่างน่าสยดสยอง ผมไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าสิ่งที่อยู่ข้างในคือคนไม่ใช่หิน คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร
“เรา…เดินอ้อมกันไปดีกว่า” ธรรพ์ว่า ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ายักษ์อย่างเขาจะไปกลัวอะไรกับต้นไม้!
“คุณก็เป็นยักษ์กินคนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ผมถามออกไป สีหน้าที่อีกฝ่ายมองผมเป็นสีหน้าเดียวกับไอ้เรย์ตอนที่ผมบอกมันว่า แกงขี้เหล็กอร่อยนะ
“ฉันเป็นยักษ์กึ่งมนุษย์นะ คิดว่าฉันจะกินคนลงจริงๆ งั้นเหรอ” องค์ชายยักษ์ว่าเสียงเนือย
“เออว่ะ ลืม” ผมบอก
“คนแก่สมองเสื่อม” ธรรพ์ด่าเข้าให้
ผมกะพริบตาปริบ “คนที่เกิดตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามีสิทธิ์ด่าคนอื่นว่าแก่ด้วยเรอะ!”
“พวกพี่สองคนที่พอกันเลยนะ” ดาวว่า “ปากสุนัขพอกันเลย เห่าเก่งกันทั้งคู่”
“…”
ผมนี่กริบเลยครับ
“เฮ้ทุกคน” เสียงของไอ้เรย์ดังขึ้น เป็นตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันได้หายตัวไปจนกลับมาอีกครั้งแล้ว สีหน้าของมันไม่ดีนัก “หาทางอ้อมไปไม่เจอเลย ข้างหน้าเรามีแต่ต้นไม้กินคนนั่นเต็มไปหมด...เอาไงดี”
ผมมองแสงนำทางซึ่งหายไปในดงต้นไม้นั่น แวบแรกคิดว่าหรือว่าดนัยคนก่อนจะโดนต้นไม้กินตายหมดวะ แต่แวบต่อมาก็คิดได้ว่าเออ มันมีทางอื่นนี่หว่า
ผมชี้ไปทางขนสัมผัสที่อยู่บนใบไม้สีแดงสด “เห็นขนนั่นมั้ย ถ้าเราไปโดนเมื่อไหร่จะโดนต้นไม้กินทันที”
ไอ้เรย์กลืนน้ำลายดับเอื้อก “…แสดงว่าเราก็ต้องเดินไปให้ได้โดยพยายามไม่สัมผัสขนนั่นสินะ”
“โอ๊ยยุ่งยากไอ้สัตว์!” ผมด่ามัน เดินไปหยิบก้อนดินมาอีกก้อนแล้วปาเข้าใบไม้นั่น ทันทีที่ก้อนดินกระทบขนสัมผัสใบไม้ก็หุบลงทันที ผมผายมือออกอย่าบภูมิใจนำเสนอ “จบมั้ย”
ทุกคนมองมาทางผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ผมล่ะภูมิใจจริงๆ
จากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นต่อพอจะนึกภาพออกใช่มั้ยครับ แก๊งเด็กซนสี่คนจับหินปาใส่ต้นไม้กันสนุกสนาน ต้นกาบหอยแครงหุบกับพึ่งพับราวต้นไมยราบ สายลมหอบใหญ่พัดพาจนผมและชายเสื้อปลิวจนสักพักใหญ่เลยแหละกว่าจะฝ่าดงพืชกินคนพ้นมาได้
“ว้าว”
ผมได้ยินเสียงดาวในจังหวะที่กำลังเอี้ยวตัวหลบต้นกาบหอยแครงต้นสุดท้ายมาพอดี ซึ่งเมื่อออกมาผฝได้ผมก็ร้องแบบเดียวกัน
“ว้าว”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ คือบ้านกระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่ง ขนาดพออยู่กันสองสามคน ตัวบ้านถูกสร้างจากไม้ไผ่ง่ายๆ ส่วนหลังคามุงหญ้าแฝก สภาพของมันดูกลางเก่ากลางใหม่ และดูเหมือนมีไอเวทบางอย่างแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
มันทั้งดูน่ารักน่าพักพิง และหลอนประสาทในเวลาเดียวกัน ผมเองก็อธิบายไม่ถูก ผมทดลองเดินไปสัมผัสกับกำแพง…และใช่ เพียงมือผมสัมผัส กลุ่มแสงสีส้มก็แผ่กระจายออกจากกระท่อมหลังนั้น
…บ้านหลังนี้มีเวทรักษาอยู่ คือคือบ้านที่มีเจ้าของ
ผมมองแสงนำทาง…แสงนั้นพาพวกเราให้เดินเข้าไป ก่อนจะออกมาแล้วเดินผ่านไป ซึ่งถ้าให้ผมเดา นั่นหมายความว่าดนัยคนก่อนทุกคนล้วนเคยมาค้างที่นี่
แล้วพวกเรา…จะค้างที่นี่ได้หรือเปล่านะ
“เราจะค้างที่นี่เหรอ” ดาวถามเหมือนเธอรู้ความคิดผม
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ก็เย็นย่ำมากแล้ว แสงอาทิตย์ส่องน้อยลงเต็มที และด้วยประสบการณ์ของเราตอนนี้ การเดินป่าตอนกลางคืนคงเป็นเรื่องอันตรายเกินไป
“ใช่” ผมหันไปบอกทุกคน “คืนนี้ เราจะนอนกันที่นี่”
เรย์กับธรรพ์เป็นสองคนแรกที่เข้าบ้านไป ส่วนผมแยกตัวออกมาคิดว่าอยากสำรวจสถานที่ โดยมีน้องสาวเดินตามมาด้วย
“ลำบากใจที่จะนอนกับพวกผู้ชายเหรอ” ผมถาม “เดี๋ยวดาวนอนติดกำแพงข้างๆ พี่ก็ได้”
ผมพูดอย่างนั้นด้วยถือว่าตัวเองเป็นพี่ชาย แต่วินาทีถัดมาผมกลับต้องคอแห้งผากเมื่อนึกลังเลว่าตกลงผมจะใช่พี่ของดาวจริงๆ หรือเปล่า
‘…ก็เหมือนกับที่เธอคิดว่าดนัยคือพี่ชาย แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่พี่ชายเธอ นั่นก็คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถูกปรับแต่งเหมือนกัน’ คำพูดของธรรพ์แวบเข้ามาในหัว
“…ไม่เป็นไร” ดาวบอก ดวงตากลมโตจ้องมองผมนิ่ง “พี่ลืมแล้วหรือไง การที่ดาวตัดสินใจมาที่นี่ ดาวตัดสินใจด้วยตัวของดาวเอง”
“…”
“…เชื่อเถอะ ว่าไม่ว่าดาวจะตัดสินใจยังไง ดาวจะทำมันให้สุด และไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ”
ผมกลายร่างเป็นไอ้งั่งที่พูดอะไรไม่ออก จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ แล้วเดินสำรวจบ้านโดยมีน้องสาวเดินตาม
หลังบ้านมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิต ทั้งโอ่งน้ำ ขันน้ำ ราวตากผ้าที่ถึงกับมีผ้าห้อยตากอยู่ด้วยซ้ำ ไกลออกไปหน่อยก็มีแคร่ไม้ขนาดสองคนนั่ง
อยู่ที่นี่จะว่ามีของพร้อมก็พร้อม จะว่าไม่พร้อมก็ไม่พร้อม ผมเดาว่าที่นี่คงเป็นกระท่อมนักเดินทาง หรือไม่ก็ใครก็ตามที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ก็คงอยู่ได้ในระยะเวลาไม่นานเท่านั้น
“นัย! ไอ้นัย!!!”
เสียงแตกตื่นของไอ้เรย์เรียกให้ผมหันไป มันโผล่หน้ามาทางหน้าต่างด้วยสีหน้าตื่นเต้นระคนตกใจ มือสั่นระริกชี้ไปด้านข้าง
“มึงต้องมาดู เข้ามาเร็ว!”
ผมกับดาวมองหน้ากัน ดาวยักไหล่ให้ผม เราสองคนเลยต้องวนไปหน้าบ้านเพื่อเข้าบ้านทางประตู ซึ่งพอผมเข้าไปแล้ว ทิศทางที่ผมมองตามมือของไอ้เรย์ก็ทำให้ผมอึ้ง
ที่ผนังส่วนบนของไม้ไผ่ มีรูปวาดของใครบางคนแขวนไว้อยู่…
มันคือภาพวาดของหนึ่งชายหนึ่งหญิง ฝ่ายชายมีดวงตาคมปลายเฉียงขึ้น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึก รูปหน้าคมคาย ร่างกายล่ำสัน เปลือยท่อนบน สวมเพียงสังวาล รัดต้นแขน กับโจงกระเบนลายวิจิตร นั่งอยู่บนบัลลังค์ ส่วนฝ่ายหญิงนั้นยืนอยู่ข้างบัลลังค์ สวมผ้ารัดอกเรียบง่าย และผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้า บนตัวมีเครื่องประดับมากมายจนผมไม่อยากบรรยายว่ามีอะไรบ้าง
หน้าตาของผู้หญิงทำให้ผลหัวใจของผมบีบแรงด้วยความโหยหา…หน้าตาแบบนั้น ผมรู้จักมาทั้งชีวิต
ดวงตากลมโตหวานฉ่ำ จมูกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากรูปกระจับ โครงหน้าออกไปทางกลมนั้นช่างน่าดึงดูด และถึงรูปนี้จะเป็นเพียงภาพวาดขาวดำ แต่ผมสามารถบอกได้ว่าริมฝีปากนั้นเป็นสีชมพูระเรื่อแบบไหน และผิวของเธอนั้นขาวน่าสัมผัสเพียงใด
กว่าผมจะรู้ตัวอีกที ผมก็พบว่าตัวเองเผลอปลดรูปนั้นลงมา มือกำลังลูบภาพบริเวณโครงหน้าเธออย่างคะนึงหา
“นั่นคือ…ราตรี?” ดาวเดาเรื่องราวออกได้ไม่ยาก
ผมพยักหน้า
“แต่ผู้ชายที่อยู่กับราตรีน่ะ…ทิวาใช่มั้ย” เรย์ถาม “ไอ้นัย…ทิวาหน้าตาเหมือนมึงเลย”
คำทักของมันทำผมชะงักกึก พอเหลือบไปมองก็ได้รู้ว่าทิวาหน้าตาคล้ายผมมากจริงๆ หน้าตาของเราอาจไม่ได้เหมือนกันทุกส่วน แต่เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์นั้นคล้ายกันแน่นอน
“ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะดนัยหน้าตาเหมือนทิวา ราตรีจะเรียกดนัยมาเหรอ” ธรรพ์ถามคำถามชวนคิด
“…แต่ผมสงสัย” ผมว่า “…ว่าทำไมผู้ชายทุกคนที่หน้าตาเหมือนทิวาถึงต้องบังเอิญชื่อดนัย มันจะเป็นไปได้ไหมที่เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“มึงหมายความว่าไงวะ” เรย์ถาม
ผมหันไปมองหน้ามัน ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองแสดงสีหน้าไปแบบไหน แต่ท่าทางหวั่นกลัวนิดๆ ของมันนั้นผมสังเกตได้ “ดวงจิตดวงเดิมที่เพียรเวียนว่ายตายเกิดมาหาคนรักคนเดิมนานนับสองพันปี มีใจยึดติดกับรักแท้ และตั้งมั่นว่าจะต้องมาหาและสามารถครองรักกันได้ในสักภพสักชาติหนึ่ง”
ผมได้ยินเสียงธรรพ์กลืนน้ำลายดังอึก “นี่นายกำลังจะบอกว่า…นายคือทิวากลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ”
“ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีกงเกวียนกำเกวียนของมัน และผมคิดมาตลอดว่าการที่อยู่ๆ ผมก็ต้องตามหาราตรีอย่างบ้าคลั่งนี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และการที่ผมถูกกำหนดว่าต้องเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มันต้องมีสาเหตุ…”
“สาเหตุมาจาก…?” ดาวถาม
“กฎแห่งกรรม” ผมตอบสั้นๆ
“…แล้วหลังจากนั้นผมก็สอบตก มันก็เลยทำให้ผมเกลียดคณิตศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้!”
“นอกจากจะไม่แปลกใจแล้วยังอยากสมน้ำหน้าด้วยยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
“ธรรพ์!!!”
“ฮ่าๆๆ พี่ทำตัวเองทั้งนั้นเถอะพี่เรย์”
“ดาวก็เข้าข้างมันด้วยเหรอ!”
ผม…งง
มองไปรอบตัว พบว่าตอนนี้เช้าแล้ว พวกเรากำลังก่อฟืนล้อมวงกินข้าวเช้ากันหน้ากระท่อม สีหน้าของทุกคนดูสดใสพูดคุยกันสนุกสนาน
ผมหลับตา จูนสติ…ความทรงจำสุดท้ายของผม คือความทรงจำว่าตัวเองกำลังดูรูปของทิวากับราตรีอยู่ แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนภาพตัดมาที่ตรงนี้
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ
“…พี่นัย?” ดาวเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของผม เธอขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง “ปวดหัวเหรอพี่”
ผมส่ายหัวตัวเองแรงๆ “…ก็นิดหน่อย”
เรย์ถอนหายใจพรืด “แหงแซะ ก็เมื่อคืนมึงเล่นไม่นอนทั้งคืน เอาแต่ลูบคลำรูปภาพแม่ราตรีอยู่นั่น ใครลากให้มึงไปนอนมึงก็ไม่ยอมนอน เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า!”
สาบานเลยว่าคำบอกเล่าของมันไม่ได้มีอยู่ในบันทึกความทรงจำในสมองผมแม้เพียงเสี้ยว ผมพยายามคิดแล้วนะ แต่ไม่ว่าคิดอย่างไร ความทรงจำล่าสุดก็อยู่แค่วินาทีที่ผมพูดกับดาวเรื่องกฎแห่งกรรมอะไรนั่น
ผมหันไปสบตากับธรรพ์ที่น่าจะรู้เรื่องมากที่สุด
‘ฉันไม่รู้ รู้แค่ว่ามันมีการแทรกแซงบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกายของนาย’ เขาคุยกับผมด้วยกระแสจิต
‘แทรกแซงอะไร ความทรงจำน่ะเหรอ’ ผมถาม
‘ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความทรงจำที่ถูกแทรกแซง แต่ฉันหมายถึงร่างทั้งร่างของนายเลยต่างหาก’
‘!!!’
‘ตั้งสติไว้ให้ดี พยายามทำสมาธิเข้าไว้ เพราะเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว แม้แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ’
ผมถอนหายใจยาว ทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้น
“ไอ้นัย?” เรย์ขมวดคิ้ว ท่าทางกังวลจริงแล้ว
“มึงจำตอนวันเรียนก่อนวันล่าสุดของเราได้มั้ย วันที่กูสติหลุดตอนคาบเรียนครูสุจิตราน่ะ” ผมเกริ่น
ไอ้เรย์พยักหน้า
“นั่นแหละ เหตุการณ์แบบเดียวกัน…กูสติหลุด” ผมเล่า “สติหลุดขนาดที่ว่า ความทรงจำล่าสุดของกูคือตอนคุยกับดาวอยู่ดีๆ แล้ววินาทีต่อมภาพก็ตัดมาว่ากูอยู่ที่นี่”
“…” ทั้งเรย์ทั้งดาวนิ่งอึ้ง
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อยแล้ว” ธรรพ์ว่า “เกรงว่ายิ่งเราไปพบราตรีได้ช้าเท่าไหร่ เขาจะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น หนทางเดียวที่แก้ได้ คือต้องรีบตามหาผู้หญิงคนนั้นให้พบโดยเร็วที่สุด”
ความหนักอึ้งบางอย่างลอยอบอวลในมวลอากาศ
“ถ้าเราไม่สามารถหาราตรีได้เจอภายในระยะเวลาที่กำหนด…” สีหน้าขององค์ชายธรรพ์ดูแย่มาก “ดนัยของพวกเธออาจจะต้องสูญหายไป…ตลอดกาล”
ความคิดเห็น