คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : การผจญภัยช่วงที่ 4 เข้าสู่ถ้ำรัตนมนตรา ออกทางผืนธาราในตำนาน
การผจญภัยช่วงที่ 4
เข้าสู่ถ้ำรัตนมนตรา ออกทางผืนธาราในตำนาน
หลังจากการกินอาหารมื้อเที่ยง (ในเวลาสิบโมงเช้า) จบลง ผม ดาว และเรย์ในฐานะแขกรับเชิญ (คิดว่างั้นนะ) ก็ได้โอกาสไปอาบน้ำ (ในมิติจำลองที่ธรรพ์สร้างขึ้นนั่นแหละ) จัดการธุระส่วนตัวเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมไปนิดหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ความรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวจากการลุยน้ำจมโคลนโดยไม่ได้อาบน้ำว่าหนึ่งวันเต็มของผมก็หายไป
สภาพเสื้อแขนยาวที่ผมให้น้องใส่ตอนนี้สภาพมันเละมาก ผมบอกให้ดาวสละมันไป แต่น้องสาวผมกลับมองแรงแล้วบอกว่า ‘ดาวไม่ใช่คนหนังด้านเหมือนพี่นะ ดาวก็หนาวเป็น’ ผมนี่กริบเลยครับ ไม่เถียงอะไรแล้วก็ได้
พอจัดการตัวเองกันเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางกลับสู่ที่ที่เราจากมา เพียงขาก้าวผ่านประตูเมืองที่ยักษ์ทหารโค้มตัวคำนับ ทิวทัศน์รอบตัวจากที่เคยเป็นเมืองยักษ์ก็แปรเป็นถ้ำอัญมณีราวเสกมนตร์
ผมหันกลับไปด้านหลัง แทนที่จะเห็นภาพเป็นประตูเมือง ตอนนี้กลับเป็นผนังแร่แซฟไฟร์เรียบๆ
เสียงเพลงนุ่มนวลกล่อมประสาทที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ชวนให้ผ่อนคลายจนอยากนั่งฟังอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล
มันให้ความรู้สึกราวกับร่างกายของผมกลายร่างเป็นปุยนุ่น เย็นสบายบางเบา ล่องลอยในนภาท้องฟ้าใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยเมฆาสีขาวปุย แสงแดดอบอุ่นอาบไล้ผิวหนัง สายลมเบาบางทำให้ชายเสื้อปลิวไปตามกระแส ด้านใต้คือป่าไพรที่น่าทิ้งตัวลงไปนอน…แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
เสียงของธรรพ์คือสิ่งที่ปลุกผมออกจากความรู้สึกนั้น
“ถ้ำรัตนมนตรา ไม่ว่าจะยังไงก็ชวนหลงใหลจริงๆ เลยนะ” องค์ชายธรรพ์รำพึง
เป็นตอนนั้นเองที่ผมได้สติว่าพวกเขาออกเดินกันไปไกลแล้ว ผมรีบวิ่งตามพวกเขาให้ทัน
“รัตนมนตรา?” เรย์ทวนคำด้วยสีหน้าฉงน “มันคือชื่อของถ้ำอัญมณีหรอกเหรอ”
ธรรพ์พยักหน้า “ถ้ารัตนมนตรา…ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว มันก็เป็นแค่ถ้ำมืดธรรมดาๆ เนี่ยแหละนะ เพียงแต่ว่าถ้ำแห่งนี้จะมีมนต์ขลังโบราณกาล เสกให้ผู้ใดก็ตามที่เข้ามามีความลุ่มหลง ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งมากพอล่ะก็…อาจจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเลยแหละ”
ผมเสียวสันหลังวาบ “แล้วเสียงเพลงที่เรากำลังได้ยินอยู่นี่คือ…?”
ทุกคนหันขวับมามองหน้าผม สีหน้าของพวกเขาทำให้ผมใจคอไม่ดี
“เสียงเพลงอะไรวะ?” ไอ้เรย์ถาม
ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ใจคิดว่าเจอดีแล้วมั้ยล่ะกู
“อ่า คงเพราะดนัยเป็นเหยื่ออันดับหนึ่งที่ถ้ำนี้ต้องการล่ะมั้ง” ธรรพ์ว่าด้วยสีหน้าติดตลกที่ผมไม่ตลกด้วย “ก็เป็นคนในตำนานของราตรีที่สร้างหายนะเยอะแยะมากมายให้โลกเวทมนต์นี่นะ”
“ดนัยคนก่อนจะเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอกนะ ที่รู้ๆ คือไม่ว่ายังไงก็อย่ามาเหมารวมกับพี่ชายฉัน” ดาวออกโรงปกป้อง
ธรรพ์ยกมือสองข้างขึ้นคล้ายยอมแพ้ แต่สายตายังคงฉายแววนึกสนุก “อ่า ฉันรู้ว่าพี่ชายของเธอก็คือพี่ชายของเธอ แต่ถ้ำมันไม่ได้รับรู้ด้วยนี่ จริงมั้ย”
“จะว่าไปแล้ว ถ้ำนี่ใช้อะไรเป็นมาตรฐานกันเหรอครับ ว่าใครที่มันจะกันไว้ไม่ให้ออกไป ส่วนใครไม่” เรย์ถาม
ธรรพ์กระแอมหนึ่งที “ก็คล้ายๆ กับที่พวกเธอเรียนมา…ได้เรียนกันหรือยัง ว่าด้วยเรื่องนิยามของคำว่า ‘ธรรมชาติคัดสรร’ น่ะ”
“นิวทรัลซีเร็ทชั่น” ผมแปลเป็นภาษาที่ตัวเองคุ้นเคย “ผมเคยอ่านเจอ ว่าด้วยเรื่องการพยายามเอาตัวรอดของเผ่าพันธุ์สัตว์ในธรรมชาติ…อ่อนแอก็แพ้ไป”
ธรรพ์ทำท่าถูกต้องแล้วคร้าบ ของพิธีกรรายการตอบคำถาม “ใช่แล้วล่ะ จริงๆ แล้วถ้านี้ก็ส่งกระแสเวทไปให้ทุกคนเท่ากัน เพียงแต่ว่าใครจะตอบสนองต่อมันมากหรือน้อย…สำหรับดวงจิตของดนัยที่มีพลังจิตที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เลยมีความต้านทานต่อเวทมนต์ต่ำ ทั้งเวทมนต์ของคนอื่น…หรือแม้กระทั่งเวทมนต์ของตัวเอง”
ผมยกมือขึ้นมามอง เพียงแบมือออกโดยนึกอยากให้มีเวทมนต์ เท่านั้นก็บังเกิดประกายแสงสีส้มวนรอบมือผมอยากง่ายดาย ซึ่งพอกำมือแสงนั้นก็แตกกระจายหายไป
“มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียน่ะนะ” ธรรพ์อธิบาย “ข้อดีคือสามารถดึงเอาพลังมาใช้ได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือการควบคุมพลังจะยากขึ้น และไม่สามารถดึงมาใช้ได้เต็มที่เพราะดวงจิตนั้นอ่อนแอเกินไป…การจะดึงเอาพลังเวทมนต์ออกมา มันต้องใช้พลังจิตมากนะ”
ผมมองมือตัวเองที่ว่างเปล่าแล้วขมวดคิ้ว “ผมไม่เข้าใจ…อะไรที่ทำให้ราตรีต้องยึดติดกับชายหนุ่มที่มีดวงจิตเหมือนทิวาขนาดนั้น ยิ่งถ้าดวงจิตอ่อนแอลงในทุกๆ ช่วงเวลาที่ผ่านไปจริง ก็ควรจะถอดใจไปนานแล้วไหม เพราะแม้แต่ดนัยคนก่อนตอนดวงจิตแข็งแรงกว่านี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ แล้วพลังของดวงจิตอันอ่อนแอลงจะไปทำอะไรได้”
ธรรพ์ยักไหล่ “คนที่ตอบคำถามนั้นได้ไม่ใช่ฉันหรอกนะ นายต้องหาคำตอบด้วยตัวเองแล้วล่ะ”
“ถ้ำนี้จะว่าไปแล้วพอมองดูก็น่ากลัวเหมือนกัน” เรย์เปลี่ยนเรื่อง “ตกลงว่าที่นี่เป็นถ้ำอะไร มาจากไหนเหรอครับ คุณพอจะรู้ประวัติความเป็นมาของที่นี่หรือเปล่า”
ธรรพ์นิ่งนึกไปสักพัก ก่อนจะตอบ “ถ้าอ้างอิงตามตำราประวัติศาสตร์แห่งนักเวทอัญมณี จะกล่าวว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำเก่าแก่ที่เกิดขึ้นคู่กับการกำเนิดของโลก เดิมทีถ้ำแห่งนี้เป็นเพียงโพรงหินธรรมดา ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เมื่อเผาพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิด และเริ่มบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มมีศรัทธาและการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งปฐพี พลังที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นก็ได้หลั่งไหลมาสู่ถ้ำนี้”
เรย์ขมวดคิ้วยิ่งกว่าตอนทำข้อสอบคณิตศาสตร์เพิ่มเติมเสียอีก “ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“ดวงวิญญาณของแกะที่ถูกบูชายัญ ดวงจิตของแม่มดผู้ถูกเผา พลังงานของเทพเทวาผู้ถูกบูชา…ไม่ว่าจะอะไร เมื่อถึงจุดสิ้นสุดล้วนต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่…เก็บสะสมความโกรธแค้นจากการถูกทำร้ายและถูกลืม จิตยึดติดในความพยาบาทจนไม่อาจไปเกิดในภพภูมิไหน จนทำได้เพียงเร่ร่อน ติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
ทำไมมันดาร์คจังวะ!
“นี่ถ้ำหรือนรกวะครับ” ผมถาม
ธรรพ์มองไปทางหินย้อยบุษราคัมขนาดใหญ่ราวมันเป็นหญิงสาวที่เขารัก (?) “ที่ใดที่ใจมีทุกข์ ที่นั่นย่อมเป็นนรกไร้ไฟ” เขาว่า
ดาวทำท่ากอดแขนตัวเอง “รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังสยองขวัญเลย…”
“ถ้ำนี้เป็นถ้ำเก่าแก่ แหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ” สายตาขององค์ชายยักษ์ที่มองมานั้นลุกวาบ “วันนี้พวกเธอเจอยักษา ต่อไปอาจเจอนาคา พรุ่งนี้อาจจะเจอเซนทอร์ของทางกรีก หรือสฟิงซ์ของอียิปต์ก็ได้…ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นสิ่งสมมติที่จะปรากฏตัวออกมาตามการยึดติดของจิต จิตของพวกนายยึดติดความเชื่อกับอสุรากลุ่มไหน ก็จะได้เห็นพวกมันเหล่านั้น”
“ตกลงว่า…ผมควรกลัว สินะ” เรย์ถาม “แต่ให้ตายเถอะ ทำไมถึงตื่นเต้นล่ะ รูปปั้นสฟิงซ์อียิปต์ที่พ่อแม่กับพี่ชายเคยถ่ายรูปมาอวดผมน่ะ นั่นน่ะจิ๊บจ๊อยเลยเถอะถ้าผมมีวาสนาได้เจอสฟิงซ์ตัวจริง!”
“โลกแห่งความจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอกนะ” สายตาของธรรพ์เป็นประกายลุกวาบ “ถ้ำแห่งนี้น่ะเป็นถ้ำเก่าแก่ที่ทรงพลังที่สุดอย่างไม่อาจมีเวทมนต์ใดทำลายได้ เป็นถ้ำเก่าแก่ที่มนุษย์สร้างขึ้นและปรุงแต่งมานานนับแสนปีนับตั้งแต่เริ่มอารยธรรมแห่งมนุษย์ ถ้ำนี้คือที่หลบภัยเพียงแห่งเดียวนับตั้งแต่ที่ราตรีสร้างหายนะขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ทุกอย่างล้วนราบคาบเป็นหน้ากลอง มีเพียงถ้ำแห่งนี้ที่อยู่รอด”
ผมเริ่มนึกภาพออก “พวกคุณก็เลยได้มากบดานที่นี่ ?”
“เวลาผ่านไป หลายเผ่าพันธุ์เริ่มฟื้นตัว รวมถึงเผ่ายักษ์เมืองอื่นๆ พวกเขาทยอยย้ายกลับไปอยู่โลกด้านบน” สายตาคนพูดเหม่อลอย “แต่เมืองของฉันต่างออกไป…พวกเราต้องใช้เวลามากกว่านั้นมาก และจนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่สามารถพาเมืองกลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้ พวกยักษ์ในเมืองน่ะ…บางตนไม่มีโอกาสได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังกำแพงเมืองมีสิ่งมหัสจรรย์หลายอย่างให้ค้นหา”
“คุณดู…รู้เรื่องโลกภายนอกเยอะ” ดาวว่า “ฉันว่าคุณต้องเคยออกไปโลกมนุษย์บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ คุณไป…ได้ยังไงคะ”
ธรรพ์หัวเราะหึ “ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีแห่งพระเจ้าตากสินฯ จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ฉันไม่เคยตกประวัติศาสตร์ไทยเลยนะ”
“เอ่อ…คุณอายุกี่ปีกันแน่เนี่ย” เรย์ถาม
“สามร้อยห้าสิบ…ฉันเกิดในสมัยอยุธยาตอนกลาง” ดวงตาคมกลับลง คล้ายระลึกถึงอดีต “สำหรับยักษ์ตนอื่น อายุเท่านี้คงเป็นช่วงเวลาวัยรุ่น แต่สำหรับฉันที่มีสายเลือดมนุษย์ที่ทำให้อายุขัยสั้นกว่ายักษ์ทั่วไป สามร้อยห้าสิบปีนี่ก็ถือว่าอยู่ในวัยเบญจเพสของมนุษย์แล้วล่ะนะ”
เรย์ทำหน้าเหมือนตอนจามขนแมว “ผมไม่อยากนึกภาพ…ยักษ์วันรุ่นอายุสามร้อยห้าสิบปีเลยอะ”
ผมกับดาวหลุดหัวเราะคึ่กๆ
“จุดเริ่มต้นมาจากความคิดอันใสซื่อของเด็กน้อยที่อยากรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของอีกสายเลือดหนึ่งของตัวเอง…จำได้ว่าตอนโผล่กรุงธนฯ ครั้งแรกนี่ตื่นเต้นกับสภาพความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นมาก หลังจากนั้นก็แอบออกเที่ยวเรื่อยมา จนพอมาสมัยรัชกาลที่สาม ตอนนั้นก็เปลี่ยนไปตื่นเต้นกับเรือสำเภาและตุ๊กตาอับเฉา* วัดจอมทอง…ไม่สิ ‘วัดราชโอรสาราม’…ชื่อยุ่งยากจังวุ้ย”
สีหน้าของธรรพ์ตอนนี้ราวคนกำลังระลึกถึงวัยเด็กของตัวเอง มันอ่อนโยน…ชวนคิดถึง ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นขบขันเมื่อเขาพูดต่อ
“ตอนนั้นเป็นตอนที่ฉันเจอกับดนัยคนที่แล้วโดยบังเอิญ…ฉันจำได้ว่าฉันบังเอิญเดินไปเห็นเขาตอนเขากำลังพยายามมอมเหล้าช่างหลวงเพื่อเค้นเอาความรู้ในการประกอบเรือนออกมา”
ผมสตั๊น ขณะที่เรย์กับดาวหัวเราะลั่น
“เอาจริงดิ!?” ผมถาม สีหน้าปุเลี่ยนเหมือนตอนโดนแม่บังคับกินแกงจืดมะระ
“นั่นแหละ” ธรรพ์ว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ตอนนั้นสิ่งที่สะดุดตาฉัน คือจี้ระวีสีพฤกษ์ในตำนานที่ห้อยคอเขาอยู่ ตอนแรกก็ว่าจะเข้าไปทักทายอยู่หรอก แต่พอคิดไปคิดมา ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาดีกว่า ถ้าเขามีโชคชะตาให้ต้องตามหาราตรี ไว้ฉันค่อยไปดักเขาระหว่างทาง…แต่แล้วเขาก็เดินทางเข้าเมืองยักษ์ เราเจอกันโดยที่ฉันไม่ต้องออกจากบ้านด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็เลยตามเขาไป เพื่อความสนุกส่วนตัวก็ส่วนนึง เพื่อภารกิจบ้านเมืองก็อีกส่วน แต่ส่วนสำคัญคือฉันสงสัย…ว่าอะไรที่ทำให้คนหนึ่งถึงได้ยึดติดกับคนอีกคนได้มากขนาดนี้ ยึดติดถึงขั้นว่าแม้ตายก็เกิดใหม่มาหา วนเวียนอยู่เช่นนี้ยาวนานนับพันปี”
“แล้วหลังจากที่ดนัยคนก่อนตาย คุณก็กลับมารอที่เมืองยักษ์อีกสองร้อยปีงั้นเหรอ”
“ใครบอกว่าฉันรอที่เมืองยักษ์กัน” ธรรมว่าด้วยเสียงขึ้นจมูก “ฉันก็ร่อนไปร่อนมาระหว่างเมืองยักษ์กับเมืองมนุษย์นั่นแหละ จนพอสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ ก่อตั้งโรงเรียน ฉันก็ไปเรียนเพราะอยากรู้ว่ามนุษย์เขาเรียนกันยังไง แล้วพอพระมงกุฎเกล้าฯ สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งแรก ฉันก็ศึกษาต่อจนได้ปริญญามาใบนึง ซึ่งจนถึงตอนนี้ฉันก็เก็บใบปริญญามาได้สิบกว่าใบในคณะและมหาลัยที่แตกต่างกันแล้วล่ะ”
พอมาประโยคสุดท้ายเขายังมีหน้ามาพูดด้วยท่าทางชูสองนิ้วน่าหมั่นไส้สุดๆ ทำเอาเด็กเตรียมสอบเข้ามหาลัยอย่างผมอิจฉาตาร้อน
ขณะที่ผมกำลังต้องแข่งขันกับเด็กนับแสนทั่วประเทศเพื่อสอบเข้ามหาลัย แต่ไอ้ยักษ์บ้านี่ที่ไม่ใช้มนุษย์ด้วยซ้ำกำลังอวดผมว่าฉันเรียนจบมหาลัยมาสิบกว่าครั้งแล้วนะ
มันน่าไหมล่ะนั่น!
“คุณดูจะชอบมนุษย์มากเลยนะครับ” เรย์ตั้งข้อสังเกต “ทำไมคุณไม่ย้ายไปอยู่เมืองมนุษย์ถาวรเลยล่ะ”
ธรรพ์หัวเราะ “จะบ้าหรือไง ถ้าฉันไปอยู่เมืองมนุษย์ถาวร…นายในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จะรู้สึกยังไงกับไอ้บ้าหน้าไหนไม่รู้ที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนมาทุกวันนี้ก็ไม่แก่ไม่ตายล่ะ”
แม้จะมีเสียงหัวเราะ แต่ผมกลับจับสัมผัสได้ถึงความเศร้าลึกๆ ในใจเขา
แต่คนที่จับสัมผัสได้ไวกว่าผมคือไอ้เรย์…ธรรพ์มีลักษณะของลูกที่ถูกพ่อแม่ลืม ผมว่าเรื่องนี้พวกเขาสองคนน่าจะเข้าใจกันดีที่สุดเลยล่ะ
เรย์จับไหล่ธรรพ์ ตบแปะๆ “ชีวิตคนเราะก็งี้แหละนะ”
“เอาน่า อย่างน้อยฉันก็ได้เที่ยวดูโลกภายนอกออกตั้งเยอะแยะ อันที่จริงถือว่าเป็นความโชคดีนะ” ธรรพ์เหมือนกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่า
เรย์ยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ็บปวดเสมอกัน “…นั่นสินะครับ”
อัญมณีจากที่เคยเรียงตัวเป็นโทนสดใสค่อยๆ หม่นลงเรื่อยๆ ตลอดกาลเดินทาง จากที่เคยมีเพชรพลอยหลากสีสัน หากตอนนี้เหลือเพียงโอนิกซ์กับหินออบซิเดียน ความมืดกร้ำกลายเข้ามาราวกับเรากำลังย้อนกลับไปสู่ถ้ำหินที่เคยมาในตอนแรก เช่นเดียวกับอุณหภูมิที่ค่อยๆ ลดต่ำลงเรื่อยๆ จนตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณยี่สิบองศาเซลเซียส สำหรับผมกับเรย์ถือว่าสบายๆ เพราะมันคืออุณหภูมิของแอร์ห้องเรียนเรา แต่ผมเหลือบเห็นดาวแอบกระชับเสื้อกันหนาวให้ห่อหุ้มตัว
ผมเดินไปรูดซิบให้น้อง ดึงสายฮู้ดให้ฮู้ดามารถสวมหัวน้องสาวผมได้
“ดีขึ้นมั้ย” ผมถาม
ดาวพยักหน้า ใบหน้าหวานซีดลงจากอากาศเย็น
เสียงเพลงไพเราะคล้ายว่าจะดังขึ้น ผมเอาหูฟังมาอุดหูเท่ๆ ทั้งทีความจริงมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย ใจก็นึกเสียดายว่าทำไมไม่เอาหูฟังแบบ Noise cancelling มา ดันลืมไว้ที่บ้านซะได้ จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบเห็นโทรศัพท์ของผมที่มีสายมิสคอลเกือบร้อยสาย สายล่าสุดที่โทรมาก็คือ ‘แม่’
ชิบหายละ ลืมติดต่อกับทางบ้านไปเลย!!!
ผมพยายามรวบรวมสติไม่แตกตื่น แต่พอหยิบโทรศัพท์มาโทรออกก็พบว่ามันไม่มีสัญญาณ
…ก็แหงสิ อยู่ในถ้ำแห่งโลกแฟนตาซีขนาดนี้ ถ้ายังติดต่อกับคนโลกภายนอกได้สิแปลก
ผมกำลังสลดด้วยความรู้สึกผิดที่ทำต่อครอบครัว…แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่ครอบครัวของผมจริงๆ ก็ตาม แต่ผมก็ถือว่าพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูผมมา และถ้าผมกลับไป ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าต้องขอโทษแบบไหนถึงจะสาสมกับความผิดที่ผมทำ
และสิ่งที่ปลุกผมออกจากความรู้สึกแย่นั้น ก็คือไอ้เรย์
“ ~ดนัยตัวนั้น ตัวนี้ เยอะแยะมากมาย และมันก็คล้ายๆ กันทุกตัว เย่~”
เหมือนมันมีอินดิเคเตอร์วัดความรู้สึกผมอะ เพราะพอผมเริ่มจิตตกถึงระดับหนึ่ง เสียงของมันเป็นสิ่งแรกเลยที่เข้ามาในภวังค์ของผม ดึงผมออกจากความย่ำแย่นั้น
“ไอ้เรย์ หุบปาก กลัวหมาไม่ได้ออกมาเห่าหรือไง” ผมหันไปด่ามัน
“ใช่ซี้” มันทำเสียงขึ้นจมูกอย่างน่าหมั่นไส้ “สิ่งที่อยู่ในปากกูคือหมานี่ ใครจะไปเป็นพ่อดอกพิกุลทองเหมือนมึงล่ะ”
“ก็มึง…อัก!”
ยังไม่ทันได้ด่าพ่อมัน ผมดันเดินชนเข้ากับแผ่นหลังของธรรพ์ที่หยุดเดินกะทันหัน มันงี่เง่าตรงที่ผมกระเด็นมาล้มก้นจ้ำเบ้า ให้เพื่อนกับน้องสาวตัวเองหัวเราะเล่น
เวรกรรมมีจริง กูยังไม่ทันได้ทำเวรก็โดนกรรมตามสนองแล้วเชี่ยเอ้ย
ผมลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัว ปัดเสื้อนักเรียนอันมอมแมมจนไม่สามารถสกปรกไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และถึงปัดไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ดีขึ้นแค่ความรู้สึกสะอาดขึ้นนิดนึงของผมนี่แหละ
พอปัดฝุ่นเสร็จ ผมกำลังจะเปลี่ยนจากด่าพ่อของไอ้เรย์เป็นพ่อของธรรพ์ ดีที่เขาพูดขึ้นก่อน
“น่าจะใช้เวลาประมาณเก้าสิบวินาทีในการดำน้ำ” เขาว่า “พวกเธอไหวกันมั้ย”
“หือ…ดำน้ำเหมือนตอนทำข้อสอบครูวิสุดาเหรอ” ไอ้เรย์พยายามเล่นมุก แต่แล้วมันก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีน้ำจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าธรรพ์ใช้อะไรในการคาดการณ์ เพราะภาพที่พวกเราเห็นตอนนี้ ก็เป็นแค่แอ่งน้ำเล็กๆ ที่ก้าวข้ามไปได้สบายๆ เท่านั้นเอง
แต่อนิจจา…แสงนำทางนั้นได้หายไปในน้ำ
ก็แสดงว่าพวกเราก็ต้องดำน้ำกันจริงๆ แบบที่ไม่ใช่การดำน้ำตอนทำข้อสอบวิชาการงานอาชีพหนึ่งโจทย์สิบตัวเลือกของครูวิสุดาด้วย
ผม เรย์ และธรรพ์ถอดเสื้อยัดใส่ถุงพลาสติก และถ้าไม่มีดาวอยู่ คาดว่าพวกเราน่าจะเหลือกันแต่กางเกงใน ส่วนดาวนั้นถอดเสื้อแขนยาวใส่ถุงพลาสติกแล้ว แต่เธอก็ยังทำท่าจะเลิกชายเสื้อนักเรียนขึ้น ทำเอาผมกับเรย์ร้องขึ้นพร้อมกัน
“จะทำอะไรน่ะ!”
“ถอดเสื้อไง” น้องสาวผมตอบหน้าตาเฉย
“ไม่ได้!!!” ผมกับไอ้เรย์ร้อง
“เอ๋ เป็นพ่อหรือไงเนี่ย” ดาวขมวดคิ้ว “ดาวไม่มีเสื้อสำรองนะ ถ้าไม่ให้ถอดเสื้อแล้วพอขึ้นน้ำจะเอาอะไรใส่”
“ฉันมีในมิติจำลอง” ธรรพ์ว่าพลางแกว่งแขนด้วยท่าทางของนักว่ายน้ำที่กำลังอบอุ่นร่างกาย “แต่ก็มีแค่เสื้อของฉัน สำหรับดาวอาจจะหลวมไปหน่อย…แต่เธอก็ใส่เสื้อไปเถอะ ผู้หญิงถอดเสื้อว่ายน้ำมันจะดูไม่งาม”
ดาวเบะปาก “พูดอย่างกับคนสมัยกรุงศรีฯ”
“ก็ฉันเกิดสมัยกรุงศรี” ธรรพ์ว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “เอาเถอะ ไม่เห็นแก่วัฒนธรรมไทยก็เห็นแก่ความเป็นห่วงของพี่ๆ ของเธอเถอะนะ สัญชาตญาณผู้ชายน่ะ บางทีมันก็น่ากลัวกว่าที่คิด”
ฟึ่บ!
ทั้งผมทั้งเรย์เอาตัวเองมากันดาวออกจากธรรพ์โดยพร้อมเพรียงกัน สายตาพราวระยับที่มองมานั่นแม่งน่าต่อยโคตร!
“เอาล่ะ หายใจเข้าปอดไว้นะ” ธรรพ์ว่าพลางสูดหายใจเข้า “เก้าสิบวินาที ที่เราต้องใช้ในการดำน้ำก่อนขึ้นสู่พื้นผิว…สำหรับฉันที่เป็นอสูรน่ะ สบายๆ แต่พวกเธอเถอะที่จะลำบาก”
พวกเราสามคนมองหน้ากัน สีหน้ากังวลแบบปิดไม่มิด
“หนึ่ง…” ธรรพ์ให้สัญญาณ
“สอง…”
“สาม!”
ตูม!!!
ธรรพ์กระโดดไปคนแรก ตามด้วยดาว ไอ้เรย์ และผมเป็นคนสุดท้าย
สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อเข้ามาในบ่อน้ำคือความมืด มันมืดไปหมดจนชวนขวัญผวา ดีที่ตีนของไอ้เรย์มันถีบหน้าผมทีนึงเป็นการเรียกสติผมโดยปริยาย ผมอาศัยใช้มือคลำผนังถ้ำ ได้สัมผัสสากๆ ตรงหน้าดวงตาก็เริ่มปรับโฟกัสได้เห็นเท้าเพื่อนกำลังกวัดแกว่งเพื่อว่ายน้ำตรงหน้าอยู่รางๆ ให้ได้พอแกะรอยตามไป
สามสิบวินาทีแรก
ตอนนี้อากาศยังเต็มปอดผมอยู่ พวกเรายังอยู่ในถ้ำมืด แสงนำทางหายไป คนนำทางผมจึงมีเพียงขบวนว่ายน้ำที่ว่ายตามกัน
วินาทีที่สามสิบเอ็ด
พวกเราโผล่พ้นออกจากปากถ้ำใต้แม่น้ำ ด้านล่างเราคือพื้นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยฝูงปลาและพืชน้ำแลดูสวยงาม และถ้าผมตาไม่ฝาก…เหมือนผมจะเห็นงูน้ำที่ใหญ่มากๆ นอนขดตัวอยู่พื้น ข้างกายมันมีอะไรสักอย่างกลมๆ สีทองวาบๆ ซึ่งด้วยสถานการณ์ที่ผมอยู่ ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้พินิจว่ามันคืออะไร
วินาทีที่สี่สิบห้า
ผมมองไปด้านบน เห็นผิวน้ำสีฟ้าเปล่งประกายใสอยู่ไกลๆ นั่นคือเป้าหมายที่เราต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะหมดลมหายใจจมน้ำตายเสียก่อน
หนึ่งนาทีผ่านไป
อากาศในปอดผมเริ่มหมด ปฏิกิริยาในร่างกายเรียกร้องให้ผมรีบโกยอากาศเข้าปอดโดยไว แต่ปัญหาคือรอบตัวผมตอนนี้มีแต่น้ำ อีกทั้งยังต้องว่ายน้ำซึ่งก็ต้องใช้พลังงาน ยิ่งต้องใช้ออกซิเจนขึ้นไปอีก แขนผมล้าเสียจนอยากเลิกว่ายน้ำเสียดื้อๆ ปล่อยตัวเองดิ่งลงสู่ผืนธาราโดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีก
ผมฮึดสู้ต่อไป วาดฝันไว้ว่าผิวของผืนน้ำนั่นกำลังใกล้เข้ามา
วินาทีที่แปดสิบ
แขนผมชาดิกไร้ความรู้สึก ท้องปวดมนราวโดนสากทุบ สมองมึนเบลอ ภาพที่เห็นพร่ามัวแทบโฟกัสอะไรไม่ได้ การลืมตาในน้ำนั้นแสนยากลำบาก
ตรงหน้าผม ดาวทำท่าจะไม่ไหวแล้ว แต่เป็นเรย์ต่างหากที่หยุดว่ายน้ำเสียดื้อๆ ร่างกายของเขาร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง ผมลืมความทรมานของตัวเองไปชั่วขณะ ว่ายน้ำเร่งความเร็วไปพยุงมันไว้ และในขณะที่ร่างกายผมกำลังทำงานด้วยระบบซิมพาเทติกนั่นเอง เป็นตอนที่แสงสีส้มบังเกิดขึ้นมาโอบรอบตัวผม ทันใดนั้นผมก็ราวกับสามารถหายใจใต้น้ำได้
วินาทีที่แปดสิบห้า
ผมใช้เวลาห้าวินาทีสุดท้ายในการใช้พลังทั้งหมด…รวมพลังเวทมนต์ด้วย ในการประคองเรย์ รวมถึงดาวที่ไม่ไหวแล้วให้ขึ้นไปด้วยกัน การที่ต้องแบกสองคนนี้ขึ้นไป แม้จะมีพลังช่วยแล้วแต่ก็ยังถือว่าหนักมาก ถ้าไม่ติดว่าอยู่น้ำ ผมคาดว่าน่าจะมีเหงื่อออกซิกๆ ผมกัดฟันจนปวดกราม และ…
ฟึ่บ!
ซ่าาา!!!
ผมสามารถพาตัวเองและเพื่อนๆ ขึ้นมาบนผิวน้ำในวินาทีที่เก้าสิบพอดี
ผมกับดาวไอค่อกแค่ก กอบโกยอากาศเข้าปอดราวของมีค่า ส่วนเรย์นั้นนิ่งไป
ผมกำลังคิดหนักว่าจะเอายังไงกับเรย์ดี ในตอนที่ธรรพ์ว่ายน้ำมาดีดหน้าผากเพื่อนผม จากนั้นเรย์ก็สำลักน้ำออกมาระลอกใหญ่ ไอค่อกแค่กเป็นเพื่อนพวกเราอีกคน
ความรู้สึกแวบแรกของผม คืออา…อากาศหายใจมันมีค่าขนาดนี้เลยเชียวหรือ และความรู้สึกแวบต่อมา คืออา…ท้องฟ้าสีครามช่างสวยงามเสียเหลือเกิน
ช่วงระยะสั้นๆ ของการใช้ชีวิตในถ้ำมืด และช่วงเวลาสั้นๆ ในการดำน้ำเก้าสิบวินาที มันสอนบทเรียนให้ผมรู้ว่า เราจะเริ่มเห็นคุณค่าของบางสิ่ง เมื่อเราไม่ได้รับมัน
อากาศบริสุทธิ์ และท้องฟ้าสีครามสดใส…โคตรดีเลย
แม้จะกำลังเชยชมธรรมชาติ แต่ความจริงคือเราทั้งสามคนหน้าซีดสนิทจากการขาดอากาศหายใจมานาน ยกเว้นเพียงเจ้าชายยักษ์ที่ท่าทางสบายๆ ราวเพิ่งกลับมาจากการเดินช้อปปิ้งที่สยามพารากอน ไม่ใช่ดำน้ำในแม่น้ำมรณะ ณ ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้
ผมกำลังจะถามว่าพวกเราขึ้นฝั่งกันได้ที่ไหน ในตอนพี่พอมองรอบตัวไปก็พบว่าเร่กำลังอยู่กลางแม่น้ำ และฝั่งทั้งสองข้างนั้นก็แสนไกลเหลือเกิน
“โอเค…” เสียงของผมแหบแห้ง “เรากำลังรอดจากการจมน้ำตายเพื่อมาจมน้ำตายอีกทีเพราะหาฝั่งที่จะขึ้นไม่เจอ”
“ใจเย็นสิ การดำน้ำเมื่อกี๊ก็แค่ออเดิร์ฟน่า ดนัยคนก่อนยังรอดมาได้สบายๆ” การปลอบของธรรพ์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย “ต่อไปที่จะเจอต่างหากของจริงที่ดนัยคนก่อนก็ตายด้วยสิ่งนี้”
ประโยคของเขาทำให้ผมนึกถึงพวกการพาดหัวข่าวของพวกเว็บไซต์คลิกเบต* แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่เว็บคลิกเบตผมแค่หมั่นไส้ แต่ตอนนี้ผมทั้งหมั่นไส้ทั้งเสียวสันหลังว่าตัวเองจะตาย
พวกเราพากันว่ายน้ำ ค่อยๆ กระเติ้บไปทีละนิด ทีละนิด ตามกำลังกายตัวเองจะไหว ดาวว่ายน้ำด้วยตัวเองได้ ส่วนเรย์ต้องให้ผมช่วยพยุง
และเมื่อเวลาผ่านไปซึ่งความรู้สึกผมนั้นราวกับชั่วกัปชัวกัลป์ ในที่สุดพวกเราก็ถึงฝั่ง ซึ่งสิ่งแรกที่พวกเราทำทันทีที่ถึงฝั่ง คือนอนแผ่บนพื้นราวกับเรารักพื้นที่สุดในโลก
ริมฝีปากของเรย์เปลี่ยนเป็นสีเขียว ฟันของเขาสั่นกระทบกันดังกึกๆ “ที่ว่าดนัย…คนก่อน…ตายด้วยสิ่งนี้ คุณ…หมายถึง…อะไร” เสียงของเขาสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
สายตาของธรรพ์ตอนนี้เหมือนตอนพวกขายตรงพูดประโยคออกมาว่า ‘เรามีสิ่งดีๆ มานำเสนอ’ แค่เปลี่ยนคำพูดนั้นเป็น “ตอนดำน้ำมา พวกนายเจออะไรหรือเปล่าล่ะ”
“งูน้ำ?” ผมตอบ “กับลูกแก้วสีทองๆ”
“งูน้ำ!? คิดได้ไง!” ตอนแรกธรรพ์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ ต่อมาก็หัวเราะด้วยเสียงดังกึกก้องราวกับเขากลายร่างกลับไปเป็นยักษ์อีกครั้ง “นั่นน่ะเป็นพญานาค…พญากาฬนาคราช ปกติจะนอนหลับ โดยจะตื่นก็แค่ตอนได้ยินเสียงกระทบของถาดทองที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงลอยลงไปเท่านั้น…ซึ่งถาดทองนั่น นายก็คงจะเห็นเป็น…ลูกแก้วสีทองล่ะสินะ”
ผมเดาว่าตอนนี้ตัวเองคงกำลังหน้าแดง “ตอนนั้นพวกเรากำลังเอาชีวิตรอดจากการดำน้ำมหาประลัยอยู่นะคุณ! ใครจะไปมีเวลามานั่งดู แค่ผมเห็นก็บุญแล้วเถอะ!”
“เดี๋ยวๆ ขอเบรกแป๊บนะคะ” ดาวขัดขึ้น “คุณอ้างถึงพระพุทธเจ้า นี่แสดงว่าตอนนี้เราออกจากถ้ำมาโผล่ที่…”
“ยินดีต้อนรับสู่มิติเวทมนต์แห่งประเทศอินเดีย ดินแดนรากฐานแห่งวัฒนธรรมประเพณีไทย” ธรรพ์ยืนยันความคิดนั้น
“บะ…บ้าไปแล้ว” ตัวของเรย์สั่นระริก “เดินมา…มาถึงอินเดียในเวลาสอง…สองวัน”
ผมขมวดคิ้ว “ไอ้เรย์…มึงไหวปะเนี่ย”
“ไหวๆ” มันตอบ แต่ตาอะกำลังจะปิด แถมแว่นก็เปียกโชก เอียงกะแท่แร่
ไม่ไหวบอกไหวมากมันอะ!
ผมไม่คิดจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ผมมองผืนน้ำด้วยความอัศจรรย์ใจ…แม่น้ำเนรัญชราที่ตำราพระพุทธศาสนากล่าวถึง รวมถึงพญานาคผู้เฝ้าจานทองในตำนาน
ว่าแต่…
“พญากาฬนาคราชนี่เหรอที่ทำดนัยคนก่อนตาย…ผมว่าไม่ใช่มั้ง”
ธรรพ์หัวเราะในลำคอ “ก็ไม่ใช่หรอก ฉันแค่ต้องการจะสื่อว่า อสูรที่ทำให้ดนัยคนก่อนตายก็คือนาคานี่แหละ”
“พญานาค?” เรย์ถาม
ธรรพ์ส่ายหน้า “นาคา…นาค ไม่ใช่พญานาค โดยปกติฤทธิ์ของนาคธรรมดาๆ จะต่ำว่าพญานาคมาก แต่ก็พวกนาคนี่แหละที่จะระรานชาวบ้านเขาไปทั่ว และถึงจะมีฤทธิ์ต่ำ แต่สำหรับมนุษย์ก็โดนเล่นงานจนตายได้ง่ายๆ เหมือนกัน…แม้แต่ฉันเองยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว”
“ผมล่ะงงจังเลยว่าคนอินเดียใช้ชีวิตได้ยังไงโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งยิ่งใหญ่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้” ผมสงสัย
“ใครว่านี่เป็นประเทศอินเดียที่พวกนายรู้จักล่ะ” ธรรพ์ว่า “นี่คือมิติตำนานของประเทศอินเดียต่างหาก…ก็เหมือนทุกๆ ที่พวกนายจากมา มันคือมิติตำนาน โลกคู่ขนานของทุกสิ่งที่พวกนายเคยรู้จัก”
“หมายความว่า…นี่คือมิติสมมติตามความเชื่อของประเทศอินเดียงั้นเหรอครับ” ผมสรุป “สมมติว่าต่อให้มีคนอินเดียวเดินผ่านมาตรงที่เราอยู่ตรงนี้ แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะยังไม่มีใครสื่อถึงกันอยู่ดี”
ธรรพ์พยักหน้าเป็นคำตอบ
“งั้นก็สรุปอีกแบบว่า…ที่นี่อาจจะเป็นสภาพจริงๆ ของแม่น้ำเนรัญชราในสมัยพุทธกาล ก็อาจจะแปลว่าพวกเราก็มีโอกาสได้เจอกับพระพุทธเจ้าจริงๆ ล่ะสิครับ!” ผมตื่นเต้น
สายตาของธรรพ์ที่เหลือบมา เป็นสายตาเดียวกับที่ครูอนุบาลเคยมองผมตอนผมพยายามเถียงครูว่าหนึ่งบวกหนึ่งได้สาม “ทิวากับราตรีเกิดหลังสมัยพุทธกาลห้าร้อยปี แล้วยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งเลยเวลานั้นไปอีก เรื่องเจอกับพระโคตมพุทธเจ้า* น่ะลืมไปได้เลย ขนาดปัจเจกพุทธเจ้าสักองค์นายก็คงไม่มีโอกาสได้พบ”
“โหดร้าย!” ผมร้อง “เขาว่ากันว่าต้องเป็นผู้มีบารมีมากล้น เคยทำกรรมร่วมชาติกับพระพุทธเจ้ามาเลยนะถึงจะมีสิทธิ์ได้พบพระพุทธเจ้า ผมก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันนะ!”
“ก่อนอื่นเลยนะพี่” ดาวสวน “แค่พี่เลิกม่อสาวสักสี่ห้าปี แล้วไปบวชพระไปธุดงค์ตามป่าไพรที่ไหนสักแห่ง แค่นี้พี่ก็น่าจะได้เจอสุดยอดพระอริยสงฆ์ในโลกแห่งความจริงแล้วล่ะ…เหลือแค่ว่าพี่จะทำได้หรือเปล่าเถอะ”
“นี่น้องสาวกำลังคิดแผนฆ่าพี่ชายทางอ้อมหรือไง” ผมโอด
“งั้นก็หุบปากไป ไอ้พี่บัวใต้ตม!”
“แรงมาก” ผมร้อง
“เดี๋ยวๆๆ บทสนทนาลากยาวไปถึงพระพุทธเจ้าได้ไง เรากำลังคุยกันเรื่องนาคไม่ใช่เหรอ” เรย์พยายามดึงกลับ
แต่ผมยังไม่ได้สติ “จะว่าไปแล้ว ตามตำนานพุทธประวัติ ยังมีพญานาคชื่อมุจลินทร์อีกตนที่เคยสนับสนุน…”
“ไอ้นัย!!!”
“หือ อะไรเหรอ” ผมหันไปถามมัน แต่สายตาดุดันใต้กรอบแว่นทำเอาผมเงียบกริบ
…กูหยุดพูดแล้วก็ได้
จะขออินกับพระพุทธเจ้าหน่อยก็ไม่ได้ แหม่
“นาคตนที่เคยสังหารดนัยคนก่อน มีชื่อว่าเทวกฤตนาคา” ธรรพ์เริ่มให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ “เขาคือนาคาผู้ครอบครองบทกลอนและวัตถุปริศนาที่ดนัยต้องใช้ในการเดินทางต่อ…ตอนแรกดนัยก็เดินไปถาม ไปขอมาดีๆ น่ะแหละ เขาเสนอซื้อขายด้วยซ้ำ แต่นาคาก็ไม่ยอม สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงสู้กันเพื่อแย่งชิงบทกลอน”
“ใช่บทกลอนที่ผมได้มาแล้วหรือเปล่า” ผมพยายามมองโลกในแง่ดี “แบบพวก…บทกลอนที่คุณให้ผมมา”
แต่องค์ชายยักษาก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าดนัยกับฉันชิงมาได้ จุดจบของเขาจะเป็นความตายหรือ”
บรรยากาศพลันหนักอึ้งลงทันที ผมก้มหน้านิ่ง ไม่พูดอะไร ใจจากที่เคยเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นพลันฝ่อลงด้วยความกังวล
ดนัยคนก่อนตายเพราะนาคตนนี้…แล้วผมมีอะไรพิเศษกว่าเขาล่ะ ผมมีอะไรดีกว่าเขาให้ตัวเองทำได้ดีกว่าเขาแล้วรอดกลับไป
‘…ว่าแต่ ดนัยในตำนานคนนั้นเป็นยังไงเหรอครับ’ เสียงของผมแวบเข้ามาในหัว
‘เงียบขรึม จิตใจตั้งมั่นในรัก เคร่งเครียด จริงจัง มุ่งมั่นทะเยอทะยาน…และที่สำคัญ คนผู้นั้นไม่เชื่อใจใคร เวลาเขามาที่นี่…เขาจะมาคนเดียว’
เป็นตอนนั้นเองที่ผมได้คำตอบ ผมสัมผัสได้ถึงแรงใจที่ฮึดขึ้นมา ผมคือผม ไม่ใช่ดนัยคนก่อนหรือดนัยคนไหนทั้งนั้น ผมไม่สนหรอกว่าที่ผ่านมานาคาตนนี้จะทำใครตายบ้าง ผมรู้แค่ว่าพอมาถึงคราวผม คราวที่ยังมีเรย์และดาวให้ต้องพากลับไปส่งอ้อมอกของครอบครัวพวกเขาอย่างปลอดภัย…ครั้งนี้พวกเราต้องรอด
ผมลุกขึ้นนั่งหลังจากพวกเราหายหอบจากมหากาพย์ดำน้ำใต้ธารามา ส่งพลังให้ทุกคนทางสายตา ยกมือขึ้นมากำ
“เราไปเตะก้นไอ้นาคาตนนั้นเถอะ โทษฐานที่เคยทำฉันตาย”
“นาคไม่มีก้นหรือเปล่า” ไอ้เรย์ที่อาการดีขึ้นมากแล้วถามหน้าซื่อ
ผมแทบล้มหน้าคว่ำตรงนั้น “เขาเรียกการเปรียบเปรยเฟ้ย!”
ธรรพ์มอบชุดใหม่ให้ผล เรย์ และดาว ในที่สุดผมยึงได้สละชุดนักเรียนเปื้อนโทรมมาเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนสบายๆ ไอ้เรย์ก็ใส่เหมือนผม ส่วนดาวใส่เสื้อไซส์ผู้ชายตัวหลวมโคร่ง กับกางเกงเลที่ชายกางเกงพับขึ้นถึงหัวเข่า ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายออกมาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เธอแค่ดูเหมือนเด็กมหาลัยที่เต้นสันทนาการในงานรับน้องเท่านั้นเอง
แสงนำทางกลับมาอีกครั้งเมื่อเราโผล่พ้นน้ำ แต่ครั้งนี้ผมสังเกตว่ารอยเท้าที่เป็นต้นแสงนั้นเริ่มสะเปะสะปะ ราวกับว่าเจ้าของรอยเท้านั้นกำลังหลงทาง จนมาถึงช่วงหนึ่ง ผมถึงมองเห็นว่ารอยเท้าเหล่านั้นเริ่มไม่เดินเป็นทาง แต่เท้าหลายคู่เริ่มวิ่งวนไปมาทั่วบริเวณ
ผมหยุดกึก ใจกลางป่าริมแม่น้ำเนรัญชรา สถานที่ซึ่ง ณ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ณ สถานที่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา ก็น่าจะเคยมีอุบัติภัยบางอย่างเกิดขึ้นเช่นกัน
จากทิศทางของรอยเท้าทั้งหมดนั่น มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นร่องรอยการต่อสู้ ถ้าจะพูดถึงตำแหน่งที่ดนัยคนก่อนตาย ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเป็นตรงนี้แหละ
ลำคอผมแห้งผาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนูตัวน้อยตัวนิดที่กำลังติดกับดักที่ตัวเองเคยติดมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ต้องติดอยู่ที่เดิมซ้ำๆ อย่างช่วยไม่ได้
สายตาของธรรพ์ที่เหลือบมองผมทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน เราส่งสัญญาณทางสายตาเงียบๆ ว่าจะยังไม่บอกเรื่องนี้ให้อีกสองคนตระหนก
ผมระแวดระวังเต็มที่ แต่จดแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรปรากฏออกมา ผิดกับรอยเท้าที่ยิ่งกระจายตัวจนผมเริ่มจับทิศทางไม่ได้ว่าควรไปทางไหน พวกเราเดินผ่านไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงช่วงหนึ่งที่รอยเท้าเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง แต่ก็น้อยลงมากจนแสงนำทางจางลงอย่างเห็นได้ชัด
ผมคำนวณในใจ ถ้า ณ จุดเริ่มต้นมีเจ้าของรอยเท้าประมาณสิบคน คนที่ ‘เหลือรอดจากการต่อสู้’ ครั้งนี้ก็เหลือเพียงสี่ห้าคนเท่านั้น
…ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว
มาถึงตรงนี้ ผมอยากหลอกตัวเองว่าเข้าสู่ระยะปลอดภัยแล้ว แต่บางอย่างก็เตือนผมว่าฟ้ามักสงบก่อนพายุเข้า
กึก
เสียงพุ่มไม้ในป่าสั่นไหวทำให้ผมและธรรพ์หันขวับไปด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ พวกเราสองคนตั้งท่าพร้อมสู้ ผมมองไปทางพุ่มไม้นั้นอย่างเอาเรื่อง
มาเลยสิ มึงมา!!!
ต้นไม้สั่นอีกครั้ง และอีกหลายๆ ครั้ง จนใบไม้หลุดร่วงลงพื้นราวสายฝน สายลมสูบหนึ่งพัดมาหอบใบไม้บางส่วนปลิดปลิวทั่วบริเวณ
“…”
ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก รีบกันดาวกับเรย์ไปด้านหลัง แบมือออกให้เกิดพลังไว้เตรียมพร้อม
“เมี๊ยววว ~~~”
“…”
อึ้งรอบที่สองครับ
แมวตัวน้อยตัวนิดสีปาวปุกปุย…สายพันธุ์เปอร์เซียซะด้วยมุดตัวออกมาจากพุ่มไม้นั้น ดวงตาสีฟ้าใสนั้นมองมาราวรำคาญใจที่เราไปรบกวนการนอนของมัน สลัดขนปุกปุยนั่นได้อย่างน่ารักน่าสัมผัส
“น้องแมววว ~” ดาวทำท่าจะไปเล่นกับแมวตัวนั้น แต่เป็นผมที่รีบพลิกตัวไปดันร่างของเธอเอาไว้
“บ้าเหรอ! แมวเปอร์เซียที่ไหนจะมาโผล่ใจกลางป่าประเทศอินเดียเมื่อสองพันปีก่อน” ผมร้อง
และทันทีที่จบประโยคนั้นเอง แมวน้อยน่ารักพลันตัวขยายใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็กลายเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่ง บริเวณหน้าผากของเธอมีลูกแก้วสีแดงติดอยู่
ลูกแก้วนั้น ทำไมผมจะไม่รู้จักล่ะ
ดวงตาพญานาค
ผมนึกขอบคุณตัวเองที่เป็นคนชอบวิชาภาษาไทย เพราะมันทำให้ผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์ รวมถึงตำนานความเชื่อต่างๆ ของไทย จนได้รู้ว่านาคสามารถเปลี่ยนร่างได้ และเอกลักษณ์หนึ่งของนาคคือเพชรพญานาคที่ผู้คนนำไปบูชา
ว่าแต่…นาคไทยกับนาคอินเดียจะเหมือนกันหรือเปล่าวะ
“พวกเรามาดี ไม่ได้มาร้าย” ผมบอก
‘ข้าก็มิได้มีเจตนาร้ายอันใด’
ผมรับรู้ความคิดของนาคาตนนั้นได้โดยไม่ต้องออกเสียง พวกเรากำลังสื่อสารกันทางจิต
“ผมได้ยินว่าคุณครอบครองบทกลอนสองบท” ผมเกริ่น
‘มันคือคำสาป’ สิ่งที่นาคตนนั้นกำลังสื่อออกมาคล้ายมีความทรมานอยู่ในที
“คำสาปอะไร” ผมถาม
แทนที่จะได้รับคำตอบ หญิงชราคนนั้นกลับกลายร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นนาคาตัวเต็มวัย
นาคาตระกูลเอราปถ ลำตัวเป็นเกล็ดสีเขียว ดวงตาเป็นเพชร หัวและปากแหลมยื่นสีทอง ประดับด้วยลวดลายวิจิตร ปากนั้นอ้าออก เผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลมคมชนิดกัดคนตายได้ในคราเดียว
ลำตัวของนาคนั้นลำพังตอนลำตัวพาดพื้นชูหัวขึ้นมา ยังสูงกว่าพวกเราตั้งเกือบเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางก็ประมาณสองเมตร นี่ถ้าเอาลำตัวมายืดตรงๆ คาดว่าน่าจะสูงถึงประมาณตึกสามชั้นกันเลยทีเดียว
ผมรีบผลักเรย์กับดาวออกไปจนสองคนนั้นล้มก้นจ้ำเบ้า พอหันกลับมาอีกที ผมก็พบว่าอยู่ๆ ผมก็ยืนอยู่บนผืนน้ำทะเลเชี่ยวกราดอย่างผิดธรรมชาติ มหาสมุทรไกลสุดลูกตา ท้องฟ้าหมองหม่นมีฝนตกหนักซึ่งทำให้ผมเปียกได้จริง และบริเวณนั้น เหลือแค่ผม ธรรพ์ และนาคาพิโรธ
ใจหนึ่งผมโล่งที่เรย์กับดาวไม่อยู่ที่นี่ แต่วินาทีต่อมาความเป็นห่วงก็ตามมา
ไม่ทันที่ผมจะได้จมปลักกับความเป็นห่วงมากพอ ก็บังเกิดพลังงานมหาศาลโอบอุ้มคลื่นทะเลสูงท่วมหัวผม คลื่นนั้นสาดซัดใส่ร่างกายผมอย่างแรง
ผมจมสู่ห้วงมหาสมุทร สายตาพลันเห็นเพียงความมืดมิด น้ำปริมาณมหาศาลไหลเข้าปอดโดยไม่ทันตั้งตัว รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแตกสลายจากมวลน้ำมหาศาลที่ราวกับจะฉีกกระชากร่างกายของผม
*พระโคตมพุทธเจ้า (อ่านว่า พระ - โค - ตะ - มะ - พุด - ทะ - เจ้า) คือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสดาองค์ปัจจุบัน
Tips : พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 มีชื่อว่า พระศรีอริยเมตไตรย หรือ พระศรีอารย์ ปัจจุบันเชื่อว่ากำลังสะสมบารมีอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อเตรียมตัวจุติลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เมื่อมนุษย์มีอายุขัยถึง 80,000 ปี (แต่ในไทยสามารถพบท่านได้ในร่างทรงทั่วไป 55555)
ความคิดเห็น